Skip to content

พลิกปฐพี 250

ตอนที่ 250

ใช่ ข้ายังไม่พร้อม

เหลือบมองซือมั่ว มู่ชิงเกอไม่อาจไม่ยอมรับได้ว่า นายท่านมั่วที่กำลังหึงนั้นน่ารักเป็นพิเศษ บนใบหน้าที่สมบูรณ์แบบนั้นมีความโมโหที่ดู ‘มีเสน่ห์’ เหมือนกับจะทำให้นาง ‘รู้สึกไม่สบายใจ’!

ซือมั่วในตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เป็นราชาที่สูงส่งอีกต่อไปแล้ว กลายเป็นเพียงคนธรรมดาที่กำลังตกอยู่ในห้วงความรัก เป็นเช่นเดียวกันกับคนธรรมดา มีรักโลภโกรธหลง

“ธุระของเจ้าจัดการเสร็จแล้วหรือ?” มู่ชิงเกอเชยคางเขาขึ้นมา มองดูโครงหน้าได้รูปของเขา

ซือมั่วไม่ได้ผลักมือนางออก แต่ดันตัวไปข้างหน้า ปิดทางถอยทุกทางของมู่ชิงเกอเอาไว้ ดวงตาสีอำพันที่มองนางฉายแวววาววาบ “คุณชาย ต้องทำอย่างไรถึงจะสามารถทำให้เจ้าโปรดปรานได้?”

มุมปากของมู่ชองเกอกระตุกเบาๆ คำพูดนี้ เป็นเพียงแต่คำพูดล้อเล่นที่นางใช้หยอกล้อเขาก็เท่านั้น ตอนนี้กลายเป็นจะทำจริง ถูกชายคนนี้กำเอาไว้ในมือ

“ดูการกระทำของเจ้า” ผ่านไปครู่หนึ่งมู่ชิงเกอถึงได้ทำปากแข็งเอ่ยคำพูดนี้ออกมาได้

ใครจะรู้ว่าหลังจากซือมั่วได้ยินประโยคนี้แล้ว นัยน์ตาก็เปล่งประกาย นิ้วเรียวยาว ลื่นไหลลงไปตามชายเสื้อของนาง เอ่ยด้วยนํ้าเสียงที่อ่อนโยนว่า “เช่นนั้นคุณชาย ก็ดูข้าแสดงออกก็แล้วกัน”

เมื่อรู้สึกได้ถึงความหมายของเขาแล้ว มู่ชิงเกอก็ริบจับมือใหญ่ที่กำลังลื่นไหลลงบนชุดของนางเอาไว้ นัยน์ตาแฝงไปด้วยความระวังเอ่ยว่า “เจ้าจะทำอะไร?” “แน่นอนว่าจะบริการคุณชายไง!” ซือมั่วมองมาด้วยสายตาหยอกเย้า

คำพูดที่แสดงความหมายออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนนี้ ทำเอาในใจของมู่ชิงเกอต้องส่งเสียงร้องเตือนออกมา สองมือของนางดันที่หน้าอกของซือมั่วเอาไว้ออกแรงผลัก พยายามที่จะหนีออกมาจากการควบคุมของเขา ลุกขึ้นยืนแล้วก็ตบๆ จัดเสื้อของตนเอง

ซือมั่วมองท่าทางที่ดูแตกตื่นดุจดังสัตว์ตัวเล็กได้รับการตกใจของนางแล้ว ก็อดไม่ได้ที่ริมฝีปากจะปล่อยเสียงหัวเราะทุ้มตำออกมาเบาๆ

เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะ สีหน้าของมู่ชิงเกอก็เปลี่ยนไปในทันที นางรู้แล้วว่าตัวเองถูกชายคนนี้กลั่นแกล้ง!

“ตอนที่เสี่ยวเกอเอ๋อร์เอียงอายขึ้นมานั้นน่าดูจริงๆ” ซือมั่วเสริมไปอีกประโยค

ฉ่า—–!

มู่ชิงเกอรู้สึกว่าสองแก้มของตนเองแดงร้อนขึ้นในพริบตา เมื่อรู้สึกได้ว่าเสียหน้า นางก็กัดฟันพูดออกไปประโยคหนึ่ง “ใครอายกัน?”

เพียงแต่ว่า ประโยคนี้กลับดูแทบไร้ความหมาย ดูไม่มีแรงและไม่น่าเชื่อถือ

ดีที่ซือมั่วก็ไม่ได้คิดจะทะเลาะกับนาง เขายืดกายขึ้น เดินไปข้างกายของมู่ชิงเกอ เงาร่างอันสูงใหญ่ของเขา เพียงพอที่จะคลุมมู่ชิงเกอไปได้ทั้งตัว มือของซือมั่วยื่นออกไปกุมไว้ที่เอวของมู่ชิงเกอ โอบนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอดของตนเอง เขาก้มหน้าลง มองดวงตาของมู่ชิงเกอ เอ่ยด้วยเสียงเข้มว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์เมื่อไหร่เจ้าถึงจะได้ถูกเรียกว่าเป็นภรรยาข้า ข้ารอไม่ไหวแล้ว”

คำพูดที่ชัดเจนทำให้แก้มของมู่ชิงเกอร้อนผ่าวขึ้นมา ดวงตาของนางเหม่อลอยไปเอ่ยว่า “อา เรื่องนั้น…ข้ายังไม่ทันได้เตรียมตัวดีเลย”

“หึๆ!” การตอบสนองของมู่ชิงเกอทำให้ซือมั่วหัวเราะออกมาเบาๆ

มู่ชิงเกอเกิดอาการเก้อเขินขึ้นในใจ ไม่กล้ามองเขา ปากกัดฟันเอ่ยออกมาว่า “ไม่ได้ความเกินไปแล้ว!”

เรื่องราว ระหว่างชายหญิง นางก็ทำอะไรไม่ถูกจริงๆ

แน่นอนว่านางตัดสินใจเลือกซือมั่วแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้คิดถึงขั้นนั้น เพียงแต่ ไม่ว่าจะเป็นชีวิตก่อนหน้าหรือว่าชีวิตนี้ นางก็ไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน

เคยเห็นหมูวิ่งไม่ได้แปลว่าตัวเองจะทำเป็น

หากจำเป็นต้องแล้ว นางคิดว่าหัวสมองของตัวเองนั้นว่างเปล่า ไม่รู้จะไปทางไหน ไร้หนทาง

ไร้หนทาง!?

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอก็เกิดเปลวไฟลุกโชน นี่เป็นเรื่องที่ไม่สามารถยอมได้!

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ยังไม่พร้อมข้าก็ไม่บังคับเจ้า” ซือมั่วหัวเราะ ทำเป็นเข้าใจเรื่องราว

มู่ชิงเกอหันมองเขา มองเขาอย่างพินิจอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็กล่าวว่า “เรื่องนั้น กลั้นนานๆ อาจจะเกิดปัญหาระเบิดได้”

รอยยิ้มบนมุมปากของซือมั่วแข็งทื่อขึ้น จ้องมองดวงตาที่ไร้เดียงสาคู่นั้นของมู่ชิงเกอ ภายในดวงตาส่วนลึกของนางจับได้ถึงรอยยิ้มความเจ้าเล่ห์

เขาค่อยๆ ยิ้มกว้างขึ้น หรี่ดวงตาเล็กลงแล้วถามว่า “ใช่แล้ว อาจจะระเบิดได้ เช่นนั้นเสี่ยวเกอเอ๋อร์คิดว่าควรทำเช่นไร?”

มู่ชิงเกอกะพริบตา ท่าทางหมดหนทาง นางที่อยู่ภายใต้การจ้องมองอย่างสนใจของซือมั่ว หลุบตาลง วางมือไปที่มือขวาของซือมั่ว หยิบมันขึ้นมา วางที่ตรงหน้าของซือมั่วเขย่าเบาๆ

นัยน์ตาของซือมั่วเกิดความสงสัยขึ้น มองมือของตนเอง ที่ถูกนางชูขึ้นมาเขย่าอย่างไม่เข้าใจ

ในขณะที่เขากำลังสงสัย รอคอยและคาดหวังการอธิบาย มู่ชิงเกอก็เอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง “หากเวลาอดไม่ได้จริงๆ แล้ว ก็ให้มันช่วยเจ้าเถอะ ข้าไม่ถือสา”

ร่างกายของซือมั่วแข็งทื่อกลายเป็นหิน

แต่มู่ชิงเกอกลับหัวเราะ ‘เหอ เหอ’ ขึ้นมา ออกมาจากอ้อมกอดของซือมั่วด้วยท่าทางที่สบายใจ เดินออกไปข้างนอก

ในตอนที่เสียงหัวเราะของมู่ชิงเกอค่อยๆ สะท้อนไกลออกไปนั้น ท่าทางแข็งทื่อของซือมั่วก็ค่อยฟื้นคืนเป็นปกติ นัยน์ตาลีอำพันของเขาฉายแววขุ่นมัวด้วยหมอก ควัน ดุจดังท้องฟ้ายามทะเลกำลังจะเกิดคลื่นยักษ์

ทันใดนั้น ร่างกายของเขาก็หายวาบไป ไล่ตามมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอกำลังเดินอย่างสบายใจไปข้างหน้า คิดว่าตนเองชนะอย่างงดงาม ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ถึงสายลมพัดเข้ามา ก็ได้ยินเสียงที่มากับลมแนบเข้าที่หูของตนเอง “ยังคงเป็นเสี่ยวเกอเอ๋อร์ช่วยข้าจัดการเองจะดีกว่า!”

มู่ชิงเกอชะงัก นัยน์ตาหดตัวลง รู้สึกว่าความอันตรายกำลังใกล้ตัวเองเข้ามา ไม่ได้คิดมาก ร่างกายของนางรีบตอบสนองอย่างรวดเร็วที่สุด

หนี!

ร่างกายขยับ มู่ชิงเกอใช้ท่าก้าวดาราก่อกำเนิด หลบกรงเล็บปีศาจที่ยื่นมาจากด้านหลัง

ซือมั่วจับได้ความว่างเปล่า ตอนที่หันกลับก็มองเห็นเงาร่างสีแดงเปี่ยมเสน่ห์หลบหนีไปจากสายตาของเขา ภายในดวงตาสีอำพัน ฉายแววขบขัน เขาตามเงาร่างสีแดงนั้นไป

ถึงแม้ว่าจะตามไปที่ไหน ต่อให้สุดหล้าฟ้าเขียว บนสวรรค์หรือใต้นรก เขาก็จะตามไปไม่ปล่อย!

คิดจะหนีไปจากกรงเล็บปีศาจของซือมั่ว เพียงพริบตามู่ชิงเกอก็ใช้พลังจิตสูงสุดของตัวเอง ใช้ความเร็วที่สูงที่สุด หนีออกไปนอกเมือง ในเมืองจินไห่ก็มองเห็นเพียงแค่เส้นแสงแวบผ่านไป ก่อนจะหายไปไม่เห็นร่องรอย

หลังจากนี้ ก็มีความมืดเปล่งวูบขึ้นมา ไล่ตามแสงนั้นไป

ในตอนที่ความมืดวาบปรากฏ ภายในตำหนักเทพ ก็มีชายชราผมขาวสวมชุดเงินผู้หนึ่งส่งเสียง ‘หืม’ ออกมา เงยหน้าขึ้นมองไปยังท้องฟ้าเหมือนกำลังคิดอะไร

คิ้วสีขาวขมวดเข้าด้วยกัน

“ใต้เท้าเทวทูต!” ทันใดนั้น ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าที่ดูเร่งร้อนขององครักษ์เกราะทองดังเข้ามา คุกเข่าลงต่อหน้าเขา

ชายชราผมสีเงินหันสายตาออกจากท้องฟ้า นัยน์ตาที่ดูลึกลํ้าและมีปัญญามองลงไปยังร่างกายของเขา

องครักษ์เกราะสีทองเงยหน้าขึ้น สบตากับดวงตาที่สามารถมองทะลุคำโกหกได้ทั้งหมดคู่นั้นแล้วเอ่ยว่า “ใต้เท้าเทวทูต เหล่าแขกของตระกูลจิงกำลังจะออกเดินทางไปหุบเขากูจีซานแล้ว”

ชายชราผมสีเงินขมวดคิ้วลึกขึ้น เอ่ยถามเหมือนไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องว่า “เมื่อครู่นี้ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ไม่ควรปรากฏขึ้นที่นี่”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขาทำให้องครักษ์เกราะทองเกิดความสงสัย

แสงและความมืด หนึ่งหน้าหนึ่งหลัง พุ่งออกไปนอกเขตเมืองจินไห่

ซือมั่วไล่ตามมาด้านหลังอย่างกดดันและกระชั้นชิด

มู่ชิงเกอหันกลับไปมองแวบหนึ่ง จากนั้นก็เร่งความเร็วขึ้นอีก

เห็นแสงด้านหน้าเร่งความเร็ว แววขบขันในนัยน์ตาสีอำพันของซือมั่วก็เพิ่มขึ้น ยังคงตามไปอย่างไม่ร้อนใจ ไม่ได้รู้สึกว่าเปลืองแรง

ทั้งสองคนไล่ตามกันไปบนท้องฟ้าครู่หนึ่ง มู่ชิงเกอก็หันกลับไปมองชายที่ตามมาด้านหลังอีกครั้ง ดวงตาฉายแววปรับเปลี่ยนไปมา สุดท้ายก็ขรึมขึ้น

นางเลือกทิศทางบนอากาศ จากนั้นก็ลอยพุ่งไปทางขวา ซือมั่วก็เปลี่ยนเส้นทาง ตามนางไปต่อ ในตอนที่ทะเลสาบผืนใหญ่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของมู่ชิงเกอนั้น ใน ใจของนางก็มีแผนใหม่โผล่ออกมา

จับจ้องเกาะที่กลางทะเลสาบแล้วมู่ชิงเกอก็หยุดลง พุ่งเข้าไปในป่าหนาทึบบนตัวเกาะ

ซือมั่วก็ตามนางเข้าไปดุจดั่งดาวตก

ทั้งสองคนพุ่งตามกันลงไปในเกาะขนาดเล็ก เกิดเป็นพายุอันรุนแรงพัดเอาดอกไม้ใบหญ้าที่ตกอยู่ให้ม้วนขึ้นมา เกาะขนาดเล็กในชั่วขณะนั้นเต็มไปด้วยกลีบดอกไม้สีชมพูปลิวว่อนเต็มไปหมด

มู่ชิงเกอยืนอยู่ภายใต้ฝนกลีบดอกไม้หันกายมองไปยังชุดลีดำที่ตามมาด้านหลัง

นางมองเห็นแววขบขันในดวงตาของชายคนนั้น นัยน์ตาสดใสฉายแววเจ้าเล่ห์พุ่งเข้าไปก่อน ลงมือจัดการคน

มองเห็น ‘หมัด’ ที่พุ่งมายังตนเองแล้วก็ทำให้ซือมั่วเผยท่าทางที่ดูมีความสุขออกมา

เมื่อเสี่ยวเกอเอ๋อร์อยากเล่น แน่นอนว่าเขาก็ต้องสนอง หมัดนำพายุเข้ามา พัดดอกไม้ที่ตกลงให้กระพือขึ้น กลีบบางถูกแรงหมัดของมู่ชิงเกอทำให้หมุนตามมากับหมัด เกิดเป็นกระแสลมหมุน

หมัดที่นำพาความรุนแรงมาของมู่ชิงเกอพุ่งเข้ามาที่หน้าของซือมั่ว

ซือมั่วสะกิดเท้าเล็กน้อย ทั้งร่างกระโดดขึ้นไปกลางอากาศ ลอยไปตามพื้นถอยไปด้านหลัง บริเวณที่เขาลอยไป กลีบดอกไม้บนพื้นก็ลอยพุ่งขึ้นมาปลิวพลิ้วบน อากาศ

ซือมัวถอย มู่ชิงเกอใกล้เข้ามา!

หมัดอันดุดันในที่สุดก็ห่างจากซือมั่วเพียงแค่เส้นบางๆ เส้นผมของทั้งสองคนถูกสายลมพัดขึ้น ลอยพลิ้วกลางอากาศอย่างงดงาม ทันใดนั้น ซือมั่วก็ยื่นมือออกมา จับเข้าที่ข้อมือของมู่ชิงเกอ ร่างกายเบี่ยงไปด้านข้าง ไหลไปตามแขนของนาง เอานางเข้ามาใกล้ การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ ร่างกายกระโดดพลิ้วขึ้นไปบนอากาศ สองเท้าถีบไปยังซือมั่ว

ซือมั่วใช้เพียงมือเดียวสกัดการโจมตีของมู่ชิงเกอ อีกมือพลิกกลับไปจับแขนของนาง โยนนางขึ้นไปกลางอากาศ ร่างของมู่ชิงเกอหมุนเป็นวงกลมรวมไปกับดอกไม้กลางอากาศ

นี่ไหนเลยจะเป็นการต่อสู้ระหว่างคนสองคน? เห็นได้ชัดว่าเหมือนเป็นการเต้นรำมากกว่า

มู่ชิงเกอร่อนลงมาจากท้องฟ้า แต่กลับไม่ได้ถอยหลังไปในทันที จับชายเสื้อของซือมั่วด้วยความรวดเร็ว คิดจะทุ่มเขาออกไป แต่กลับถูกซือมั่วหลบได้

ลงมือแต่ไม่ได้รับผลลัพธ์นี่ทำให้มู่ชิงเกอต่อสู้อย่างจริงจังขึ้นมา

เงาร่างสองสายลอยไปมาท่ามกลางกลีบดอกไม้ในป่าดอกท้อ บางครั้งแยก บางครั้งกอด การต่อสู้ ต่อสู้ได้งดงามนัก ทำให้คนรู้สึกอิจฉา

การต่อสู้ที่ไม่ได้ใช้พลังจิต ผ่านไปเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วยาม

แม้แต่ปลายชุดของซือมั่ว มู่ชิงเกอก็แตะไม่โดนแม้แต่น้อย ส่วนซือมั่วในทุกๆ ครั้งที่จะโดนตัวของมู่ชิงเกอ ก็ถูกนางหลบหลีกไปได้อย่างแยบยล ทำให้คนเกิดความรู้สึกไหลลื่นติดลม

มู่ชิงเกอยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งจริงจัง การต่อสู้แบบประชิดแบบนี้ ไม่ค่อยได้มีโอกาสมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่มือคือซือมั่ว ส่วนซือมั่วกลับยิ่งต่อสู้ยิ่งตามใจ ค่อยๆ ทำตัวเป็นคู่ซ้อมที่ดี

ในที่สุดซือมั่วก็จับข้อมือของมู่ชิงเกอได้ลากนางเข้ามาใกล้กับตนเอง รู้สึกได้ถึงลมหายใจอันกระชั้นชิดของมู่ชิงเกอ ระยะห่างแค่คืบ เขามองเห็นว่ามู่ชิงเกอเพราะการต่อสู้ในครั้งนี้ ผิวเปลี่ยนเป็นอมชมพู แล้วก็ยังมีเหงื่อผุดออกมา

“เด็กดี พักผ่อนครู่หนึ่ง” ซือมั่วเอ่ยอย่างเอ็นดู

แต่ว่า มุมปากของมู่ชิงเกอกลับเกิดรอยยิ้มที่ไม่ชัดเจน มือที่ไม่ได้ถูกจับ จับเข้าที่ชายเสื้อของซือมั่ว พลิกตัวเป็นแนวโค้ง คิดจะโยนซือมั่วออกไป

รู้สึกได้ถึงความคิดของนาง ซือมั่วใช้มือจับเข้าที่เอวของนาง ในตอนที่ทั้งร่างของเขาจะถูกมู่ชิงเกอโยนไป นำเอานางไปด้วย

อยู่ดีๆ ร่างกายก็พลิกกลับ ทำให้มู่ชิงเกอเบิกตากว้าง แต่ว่าไม่รอให้นางตอบสนอง นางกับซือมั่วก็ตกลงไปที่พื้นอย่างรุนแรง

ดีที่ตอนร่วงตกลง ซือมั่วจัดท่าร่างให้เขาตกก่อน ส่วนมู่ชิงเกอก็ตกลงไปในอ้อมอกของเขา ถูกเขากอดไว้อย่างหนาแน่น

ร่างที่กอดกันของทั้งสองคนกลิ้งไปในป่า กลีบดอกไม้บนพื้นติดไปตามเสื้อผ้าของพวกเขา ฝนกลีบดอกไม้กลางอากาศค่อยๆ ตกลงมา

กลิ้งไปหลายตลบ ทั้งสองคนถึงได้ค่อยๆ ช้าลง

ในตอนที่ทั้งสองคนหยุดกลิ้ง เสื้อผ้าของทั้งสองก็ได้ยับยุ่งไปเรียบร้อยแล้ว กลิ่นอายผสมปนเปกัน ผมของมู่ชิงเกอ บนเสื้อผ้า ล้วนแต่เต็มไปด้วยกลีบดอกไม้ส่วนเสื้อสีดำของซือมั่วก็มีไม่แพ้กัน

มู่ชิงเกออยู่บนตัวของซือมั่ว อยู่ใกล้กันถึงขนาดนี้ทำให้ ลมหายใจพรมลงไปบนหน้าของเขา ตัวเองก็สามารถสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่กระชั้นชิดของเขา

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ลงมา” นัยน์ตาสีอำพันของซือมั่วเข้มขึ้น ปรากฏให้เห็นสีแดงวาบขึ้นมา นํ้าเสียงของเขาเปลี่ยนเป็นข่มกลั้นและแหบพร่า

ความเปลี่ยนแปลงของร่างกายเขา ชัดเจนจนถึงขนาดที่มู่ชิงเกอสัมผัสได้

หากเป็นเวลาปกติ ในเวลาเช่นนี้ภายใต้การเตือนของผู้ชาย มู่ชิงเกอก็จะต้องวิ่งหนีไปเร็วกว่ากระต่ายอย่างแน่นอน

แต่ในตอนนี้นางรู้สึกหลงใหลในใบหน้าของผู้ชายคนนี้ ใช้สายตาที่อ่อนโยน จ้องมองใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา

นางสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายบนตัวของผู้ชายคนนี้ ว่ารู้สึกสบายแค่ไหน สามารถทำให้นางวางใจได้

นัยน์ตาส่วนลึกของนาง ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นมึนงง สติก็ค่อยๆ หายไป แม้แต่คอก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายลง

“เสี่ยวเกอเอ่อร์!” เห็นมู่ชิงเกอไม่ขยับ ซือมั่วก็คิดว่านาง ยังอยากจะเล่นกับไฟต่อ จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือนอีก แต่ในตอนที่คำพูดของเขาหลุดออกไป มู่ชิงเกอก็ก้มหัวลงมา กัดลงไปที่ริมฝีปากของเขา กัดริมฝีปากเฉียบเย็นของเขา

ซือมั่วเบิกตากว้าง ส่วนลึกของนัยน์ตาสีอำพันดูฉายแววตกตะลึง

เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขารู้หรือไม่ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่?

ซือมั่วถูกมู่ชิงเกอกดเอาไว้ สองมือของตัวเองถูกผู้หญิงที่ตนเองรักออกแรงข่มไว้ ดูเหมือนจะทำเพื่อป้องกันการขัดขืนของเขา

ริมฝีปากถูกตักตวงอย่างบ้าคลั่งทำให้ซือมั่วตกตะลึง และมันก็โจมตีสติที่เหลืออยู่ของเขา

ทันใดนั้นสองแขนของเขาก็ถูกยกขึ้นมา กดลงไปบนหัว

มู่ชิงเกอมือหนึ่งกดข้อมือของเขา ควบคุมการขัดขืนของเขา…ในความเป็นจริง ซือมั่วก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรเลย ส่วนอีกมือ ก็เริ่มดึงเสื้อผ้าของซือมั่วแล้วก็สายคาดเอวของเขาออก

ไม่นาน เสื้อผ้าของซือมั่วก็ถูกเปิดออก เผยให้เห็นผิวกายวับๆ แวมๆ

สายคาดเอวบนเอวของเขาก็เปลี่ยนเป็นคลายออก สามารถหลุดลงได้ตลอดเวลา

นัยน์ตาของซือมั่วกลายเป็นลึกลํ้าดูหวานฉํ่า เขามองการเคลื่อนไหวของมู่ชิงเกอ มุมปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ มีความหมายไม่ชัดเจน

ดูเหมือนว่าเสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขาจะอดใจไม่ไหวแล้ว!

ในที่สุดมู่ชิงเกอก็ยอมปล่อยริมฝีปากของซือมั่ว เปลี่ยนเป้าหมายไปที่คิ้ว จมูก คาง จากนั้นก็ประทับตราลงไปที่คอของเขาลงไปเรื่อยๆ …

จูบที่ดูโง่งมเหล่านี้ดูชาๆ คันๆ แต่กลับทำให้ความรักในนัยน์ตาของซือมั่วเปลี่ยนเป็นลึกลํ้ามากขึ้น เขายอมตามใจนาง ตามใจไปจนฟ้าดินสลาย จนโลกพังทลาย เพียงแต่ว่า…เรื่องเช่นนี้ ยังคง เป็นคนที่เป็นผู้ชายอย่างเขาเป็นคนทำ จะดีกว่า!

นัยน์ตาของซือมั่วฉายแววแข็งกร้าวขึ้น เขาพลิกกลับร่าง กดมู่ชิงเกอไว้ใต้ร่างได้อย่างง่ายดาย ภายใต้ความแปลกใจของมู่ชิงเกอ เขาก็ก้มหัวลงไปกัดริมฝีปากที่กำลังอ้าของมู่ชิงเกอ

เมื่อสัมผัสได้ว่าผู้ชายของตนเองต้องการแย่งชิงอำนาจแล้ว มู่ชิงเกอก็โมโห!

แต่การขัดขืนของนางกลับถูกกดลงมาอีกครั้ง

ขัดขืนอีกก็ถูกกดกลับไปท่าเดิมอีก!

อย่างรวดเร็ว เสื้อผ้าบนร่างของนางก็หลุดลุ่ย ดูวับๆ แวบๆ

ในตอนที่ทั้งสองคนกำลังแย่งชิงความเป็นใหญ่กันอย่างดุเดือดอยู่นั้น อยู่ดีๆ ก็เกิดเสียงเข้ามาขัดจังหวะ ดุจดังถังนํ้าเย็นสาดลงมาดับไฟความร้อนบนตัวของทั้งสอง คนไปในพริบตา

“สมควรตาย! ผู้ชายสองคนกำลังทำอะไรกันที่นี่!”

ซือมั่วและมู่ชิงเกอแข็งทื่อไปพร้อมถัน ส่วนคนที่ส่งเสียงนั้นก็เหมือนกับมองเห็นอะไรที่ดูขยะแขยงสายตา เพียงพริบตาก็พาเอาผู้หญิงของเขาหายไปจากเกาะดอกท้อกลางทะเลสาบแล้ว

สติกลับคืนมาในหัวของมู่ชิงเกอ นางเผชิญหน้ากับสายตาที่ดูสบายๆ ของซือมั่วแล้ว ก็รีบผลักเขาออกไปในทันที

จากนั้นชันกายลุกขึ้นมาจากพื้น เพิ่งจะยืนขึ้น สายคาดเอวที่หลวมก็จะหลุดลง มู่ชิงเกอรีบคว้าเอาไว้หันหลังให้กับซือมั่วจัดเสื้อผ้าของตนเอง

ซือมั่วนั่งอยู่บนพื้น เสื้อผ้าก็หลุดลุ่ยเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้รีบจัด เพียงแต่มองอย่างขบขัน มองมู่ชิงเกอกำลังจัดเสื้อผ้าเงียบๆ

ในที่สุดก็จัดจนเสร็จ มู่ชิงเกอปัดเสื้อผ้าของตัวเอง ยกมือขึ้นสัมผัสกับต่างหูสีม่วงบนหูตามสัญชาตญาณ มันยังคงเปล่งแสงสว่าง ทำหน้าที่ของมันต่อไป คิดถึงคำพูดที่เข้ามาขัดจังหวะเมื่อครู่แล้ว มู่ชิงเกอรู้สึกเหมือนโดนเต้าหู้โจมตีจนตาย! น่าขายหน้ายิ่งนัก!

แต่ทว่า ก็ดีที่มีคำพูดของคนๆ นั้นเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน มิเช่นนั้น ตอนนี้นางก็คงเสียตัวอยู่ที่นี่ไปแล้ว

ควบคุมสติดีแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้หันไปหาซือมั่วที่นั่งปล่อยผมอย่างเกียจคร้านอยู่บนพื้น

“เจ้ายังไม่ใส่เสื้อผ้าดีๆ อีกหรือ?” มู่ชิงเกอพูดอย่างเก้ๆ กังๆ เหลือบมองไปแวบหนึ่ง

ซือมั่วยิ้มให้นาง คลายสองมือออก “เสื้อผ้าของข้าถูกเสี่ยวเกอเอ๋อร์ทำจนเป็นเช่นนี้แล้ว แน่นอนว่าต้องรอเสี่ยวเกอเอ๋อร์มาช่วยข้าสวมใส่”

มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก นางอยากจะพูดมากว่า ‘เสื้อผ้าของข้าก็ถูกเจ้าทำยุ่ง แต่ข้าก็ยังจัดเองเลย!’

แต่ว่า ก็รีบหยุดยั้งเอาไว้ ถ้าหากว่านางพูดเช่นนั้นไปจริงๆ ซือมั่วก็จะต้องเสริมมาอีกประโยค ‘ข้าชอบที่จะช่วยเจ้าสวมเสื้อผ้า เจ้าไม่สู้ถอดออก ข้าช่วยเจ้าสวมใหม่ดีหรือไม่?’

นับไปนับมาคนที่ขาดทุนก็ยังคงเป็นนาง

ดังนั้น มู่ชิงเกอก็กลืนคำพูดนั้นลงไป

นางยิ้มเย็นออกมา “ตามที่เจ้าสบายใจเถอะ เพราะถึงแม้จะถูกคนพบเห็น คนที่ขายหน้าก็ไม่ใช่ข้า”

อยู่ดีๆ ซือมั่วก็พูดคำพูดออกมา “ล้วนแต่เป็นข้าที่ไม่ดี ควรจะทำสิ่งกีดขวางป้องกันไม่ให้มีใครเข้ามาได้ทำให้เสี่ยวเกอเอ๋อร์ตกใจแล้ว”

เหอ เหอ…

ในใจของมู่ชิงเกอไร้คำที่จะต่อ

เรื่องนี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นนางที่ก่อขึ้นมา ในตอนที่ตัวเองกำลังสิ้นสติแล้วถูกคนขัดขวางถึงไม่ได้ดำเนินต่อไป นางดีใจที่ตัวเองได้สติขึ้นมา มิเช่นนั้น

‘ครั้งแรกจะอย่างไรก็ต้องเลือกสถานที่ดีๆ สักหน่อย!’ มู่ชิงเกอมองไปรอบด้าน แล้วเอ่ยในใจ

แต่มาครั้งแรกก็เล่นแบบป่าเถื่อนแบบนี้แล้ว นางรับไม่ได้จริงๆ

“อืม ข้ายอมรับคำขออภัยจากเจ้า” มู่ชิงเกอจงใจทำหน้าหนา จัดเสื้อผ้าของตนเอง เอ่ยกับซือมั่ว

ทันใดนั้น ซือมั่วก็ลุกขึ้นมา เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ พวกเรามาต่อกันดีหรือไม่?”

มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก ผลักเขาออกไป สะบัดชุดของตนเอง ส่ายหน้าเอ่ยว่า “เรื่องนี้ต้องดูดินฟ้าอากาศ แล้วก็ยังมีอารมณ์ ตอนนี้น่ะหรือไม่มีทั้งดินฟ้าอากาศ ทั้งไม่มีอารมณ์ดังนั้นเลี่ยงไปเถอะ”

ซือมั่วยิ้มอย่างขมขื่น

เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขาช่างเป็นปีศาจน้อยเจ้าเสน่ห์จริงๆ แต่นั้นก็ทำให้เขาต้องทนทรมานและยอมได้ตลอด

“พูดเรื่องสำคัญกันเถอะ” มู่ชิงเกอนั่งลงไม่ไกลไปจากที่ๆ ซือมั่วนั่ง ท่าทางเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา

ซือมั่วหรี่ตายิ้มลงเอ่ยว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์มีเรื่องอะไรอยากจะถามข้างั้นหรือ?”

มู่ชิงเกอนิ่งคิด แล้วก็เอ่ยปัญหาที่ทำให้นางหนักใจมากที่สุดออกมา “เจ้าเข้าใจเคล็ดวิชาเทวะมากแค่ไหน?”

เคล็ดวิชาเทวะ!

เมื่อได้ยินคำนี้ออกจากปากของมู่ชิงเกออีกครั้ง นัยน์ตาของซือมั่วก็มืดครึ้มลง

แต่เขาก็ยังเอ่ยตอมตามความเป็นจริง “ถือว่ารู้อยู่บ้าง”

หว่างคิ้วของมู่ชิงเกอเผยความหนักใจออกมา นางเคลื่อนไปข้างกายของซือมั่วเล็กน้อยแล้วกระซิบว่า “เมื่อก่อนตอนที่ข้ากำลังฝึก ดูเหมือนจะไปกระตุ้นการทำงานของเคล็ดวิชาเทวะส่วนบน แต่ข้าก็พบว่าวิชาบนนั้นเป็นวิชาที่ผกผันไม่เหมือนกับวิชาทั่วไป ไม่อาจฝึกได้ แต่ว่า นับจากตอนนั้น ทุกครั้งที่ข้าฝึกวิชา ก็จะตกเข้าไปอยู่ในภวังค์”

มู่ชิงเกอคิดย้อนกลับไป ลองพูดความรู้สึกของตนเองในตอนนั้นออกมา

“…เหมือนกับว่า ข้ากำลังอยู่ในความฝัน แล้วก็ฝึกวิชาตามเคล็ดวิชาเทวะส่วนบน จากนั้นร่างกายของข้าก็ระเบิดออก และข้าก็ตื่นขึ้นมาจากการฝึก แต่ว่า เมื่อข้าสำรวจร่างกายของข้าก็ไม่พบการเปลี่ยนแปลงอะไร”

นางค่อยๆ ส่ายหน้า “ข้าไม่รู้ว่าความฝันที่ดูไม่เหมือนฝันนั้นหมายความว่าอย่างไร และข้าก็ไม่ชัดเจนว่าทำไมเคล็ดวิชาเทวะของเผ่าเทพที่ถูกร่ำลือว่าเป็นวิชาที่แข็ง แกร่งที่สุดกลับไร้ทางฝึก หรือว่าเป็นเพราะข้าไม่ใช่เทพ มีเพียงเทพเท่านั้นถึงจะฝึกได้งั้นหรือ?’’ มู่ชิงเกอเอ่ยข้อสงสัยของตนเองออกไป มองไปยังซือมั่ว ตลอดเวลาที่ผ่านมา ปัญหาทุกอย่างของนาง ซือมั่วล้วนแต่สามารถตอบได้ ครั้งนี้นางก็หวังว่าจะไม่มีอะไรที่เหนือความคาดหมาย

ในตอนที่นางถามซือมั่วนั้น ซือมั่วก็กำลังมองนาง

ภายใต้สายตาที่กำลังรอคอยของนาง ซือมั่วเปิดปากเอ่ยว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ไม่จำเป็นต้องเข้าใจ ถ้าหากว่าเจ้าไม่อยากจะฝึกเคล็ดวิชาเทวะ ข้าก็สามารถช่วยเจ้าลบมันไปจากความทรงจำของเจ้าได้”

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วอย่างขมขื่นเอ่ยว่า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากฝึก แต่เป็นเพราะไม่มีทางฝึก”

พูดจบแล้ว นางก็กัดฟัน เอ่ยว่า “เจ้าสามารถช่วยข้าลบได้งั้นหรือ?’’

นั่นหมายความว่านับจากนี้จะไม่มีภาพเช่นนั้นโผล่ขึ้นมาในหัวอีกงั้นหรือ?

ซือมั่วพยักหน้า และก็ค่อยๆ เอ่ยว่า “นี่เป็นวาสนาของเจ้า แต่ก็เป็นอุปสรรคด้วย ข้าไม่สามารถแน่ใจได้ว่า เคล็ดวิชาเทวะสำหรับเจ้าแล้วเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี”

ในคำพูดของซือมั่ว มีความกังวลที่ไม่อาจพูดออกมาแฝงเอาไว้อยู่

มู่ชิงเกอฟังอย่างตั้งใจ และก็คิดอย่างจริงจัง ในที่สุดนางก็พยักหน้า “เช่นนั้นก็ปล่อยไปเถอะ ปล่อยไปตามธรรมชาติ”

พูดจบแล้ว นางก็เผยรอยยิ้มอันงดงามให้แก่ซือมั่ว

การตัดสินใจของนาง ทำให้ซือมั่วขมวดคิ้ว “เสี่ยวเกอเออร์…”

มู่ชิงเกอยกมือขึ้นขวางสิ่งที่เขากำลังจะพูด “ข้ารู้ว่าเจ้ามีหลายเรื่องที่ปิดบังข้าไว้อยู่ และก็ยังไม่สามารถบอกให้ข้าฟังได้ ดังนั้นข้าก็ต้องแข็งแกร่ง แต่สำหรับเคล็ดวิชาเทวะนี้ ในเมื่อได้ปรากฏข้างกายข้าแล้ว ก็เหมือนกับที่เจ้าพูดว่าเป็นวาสนา ถึงแม้ว่ายากที่จะบอกว่าวาสนานี้ หมายความว่าอย่างไร แต่ก็เป็นสิ่งที่ข้าต้องการ เบื้องหลังของวาสนา ก็มีทั้งความเสี่ยงและโชค ข้าไม่กลัวความเลี่ยง และก็คาดหวังโชค อามั่วเจ้าไม่ต้องกังวลใจกับข้า ข้าไม่ได้อ่อนแอ และก็ไม่ต้องการให้เจ้าปกป้องไว้ใต้ปีก”

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์! เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?” นัยน์ตาของซือมั่วเปล่งประกายขึ้นในทันใด สดใสเหมือนเพชรตื่นเต้นระยิบระยับ

เมื่อถูกเขาไล่ถาม มู่ชิงเกอก็เผยความเอียงอาย แต่ก็ยังเรียกออกไปอีกรอบว่า “อามั่ว”

อามั่ว

อามั่ว!

ดูเหมือนว่านานมาแล้วก่อนหน้านี้ซือมั่วก็เคยเรียกร้องให้นางเรียกเขาเช่นนี้ เพียงแต่ว่าในตอนนั้นนางไม่สนใจ เอาแต่จะเรียกเขาว่า ‘ปีศาจเฒ่า’

ส่วนตอนนี้คำว่า ‘อามั่ว’ ถูกเอ่ยออกมาจากปากของนางอย่างง่ายดาย

นี่เป็นสิ่งที่ซือมั่วไม่คาดคิด และนางก็คาดไม่ถึงเช่นเดียวกัน

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของข้า!” ซือมั่วอ้าแขนกว้างโอบมู่ชิงเกอเข้ามาในอ้อมอก ท่าทางที่ดูทะนุถนอมเช่นนั้น เหมือนกับกำลังอยู่กับสมบัติที่มีค่ามากที่สุดในโลกก็ไม่ปาน

มู่ชิงเกอถูกซือมั่วดึงเข้าไปในอ้อมอกอย่างกะทันหันในใจตกตะลึง แต่ในทันทีนางก็ได้สัมผัสถึงความสุขที่ล้นออกมาจากผู้ชายคนนี้

ความสุขเช่นนี้ดูเหมือนจะขับไล่ความเหงานับพันนับหมื่นปีของเขาให้สลายไป

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ปล่อยวางไปเถอะ ทุกอย่างมีข้าอยู่!” คางของซือมั่วเกยอยู่บนหัวของมู่ชิงเกอ พูดคำสัญญาของตนเองออกมา

ไม่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับอะไร ก็จะมีเขาอยู่!

มู่ชิงเกอยิ้มอย่างมีความสุข เงยหน้าขึ้นมาในทรวงอกเขา สัญญาเช่นกัน “ข้าก็เช่นกัน ทุกอย่างมีข้าอยู่! ไม่จากไปไหน”

“ไม่จากไปไหน…” คางของซือมั่วถูไปมาบนเส้นผมของมู่ชิงเกอ ในปากพึมพำประโยคนี้นานมาก เขาถึงได้เอ่ยว่า “ดี ไม่จากไปไหน”

ใครขวาง ก็ฆ่าคนนั้น!

ในตรงที่มู่ชิงเกอมองไม่เห็น นัยน์ตาสีอำพันของซือมั่วฉายแววลึกลํ้า เผยกลิ่นอายสังหารออกมา

“ใช่แล้ว!” มู่ชิงเกอลุกขึ้นมาจากอ้อมอกของซือมั่ว ภายใต้การจ้องมองของเขา หยิบยาระดับเทวะที่หลอมได้ออกมา ส่งมอบให้เขา “นี่เป็นยาระดับเทวะที่ข้าหลอมให้เจ้า ถึงแม้ว่าจะไม่อาจทำให้ร่างกายของเจ้าขจัดปัญหาได้ทั้งหมด แต่เมื่อใช้ในตอนที่อาการกำเริบ ก็จะสามารถควบคุมและลดผลกระทบได้”

ซือมั่วรับยาจากมือของนาง พยักหน้าเงียบๆ เก็บมันลงไปอย่างเบามือ

“เมื่อครู่นี้ข้าพบคนของตระกูลจิงในตำหนักเทพ พวกเขาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องสำคัญเกิดขึ้น” มู่ชิงเกอครุ่นคิดพร้อมเอ่ยขึ้น

“พวกเขามาเพื่อโห่ว*!]’’ ซือมั่วพูดคำตอบออกมาตรงๆ

“หือ?” มู่ชิงเกอมองเขาอย่างแปลกใจ

ซือมั่วมองนางหัวเราะและเอ่ยว่า “ข้าก็มาเพราะโห่วเช่นเดียวกัน”

“โห่ว?” มู่ชิงเกอทวนคำที่ดูไม่คุ้นนั้นอีกครั้ง

ซือมั่วหัวเราะ อธิบายให้นางฟังอย่างใจเย็นว่า “โห่วเป็นอสูรร้ายบรรพกาลชนิดหนึ่ง พูดกันว่า มันกลายร่างมาจากกะโหลกศีรษะของเทพผู้สร้างโลก มีกำลังที่แข็งแกร่ง นิสัยดุร้ายป่าเถื่อน ชอบกินสมองมังกร สามารถพูดได้ว่ามันเป็นบรรพบุรุษของอสูรร้ายทั้งปวง”

“ร้ายกาจถึงขนาดนั้นเชียว!” มู่ชิงเกอที่ได้ยินก็ไม่อยากจะเชื่อ

ซือมั่วพยักหน้า “โห่วนั้นลึกลับมาโดยตลอด ไม่เคยเผยตัวออกมาง่ายๆ แต่ในครั้งนี้ กลับมีข่าวออกมาว่ามันได้รับบาดเจ็บจนตกเข้าไปในหุบเขากูจี๋ซานนอกเมืองจินไห่ ของโลกแห่งยุคกลางเขตภาคใต้ ดังนั้นข้าจึงได้มาดู”

“ตระกูลจิงก็ได้รับข่าวด้วยงั้นหรือ?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม

“ความสามารถตระกูลจิงเจ้าเองก็น่าจะรู้ดี ภายในตระกูลของพวกเขา มีศิลาก้อนหนึ่งที่สามารถตอบสนองกับตำแหน่งของสัตว์อสูรเทวะ สัตว์มหาเทพ อสูรร้าย บรรพกาลได้ ข้าคิดว่าพวกเขาน่าจะใช้ศิลาก้อนนั้น จับสัมผัสได้ว่าหุบเขากูจี๋ซานมีสัตว์อสูรเทวะหรือสัตว์มหาเทพที่แข็งแกร่งปรากฏตัวขึ้น ส่วนจะเป็นอะไรนั้นพวกเขาไม่รู้อย่างแน่ชัด” ซือมั่วค่อยๆ เอ่ยออกมา

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเอ่ยว่า “พูดเช่นนี้แสดงว่าทั้งตระกูลจิง และเจ้าต่างมีจุดมุ่งหมายเป็นโห่วงั้นหรอ?”

ซือมั่วไม่ยอมรับแต่เอ่ยขึ้นมาว่า “ถ้าหากว่าสามารถทำให้โห่วเชื่องได้ ก็จะเป็นกำลังรบที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง”

“ข้าช่วยเจ้า!” มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างไม่ลังเล

ซือมั่วชะงัก ชั่วขณะนั้นก็หัวเราะดังขึ้นมา เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขาเติบโตขึ้นแล้ว สามารถช่วยเขาได้แล้ว “ดี พวกเราไปหุบเขากูจี๋ซานด้วยกัน”

มู่ชิงเกอหัวเราะพยักหน้า

คิดแล้วนางก็เอ่ยถามว่า “ต้องการให้ข้าไปสืบข่าวที่ตระกูลจิงหรือไม่? พอดีเลยที่ข้ารู้จักกับจิงฟ่งอวี่”

พูดแล้วนางก็ขมวดคิ้วครุ่นคิด พึมพำเอ่ยว่า “แต่ทว่าก่อนหน้านี่ดูเหมือนว่าเขามีธุระรีบออกไป ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับเรื่องโห่วหรือไม่”

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์” อยู่ดีๆ ซือมั่วก็ร้องเรียกนาง

มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมองซือมั่ว

“ไม่จำเป็นต้องสืบข่าว ที่ตระกูลจิงรู้นั้นไม่ได้มากไปกว่าข้า ก่อนหน้าที่ข้าจากไปก็ได้ไปสืบเรื่องโห่วที่หุบเขากูจี๋ซาน เจ้าเพียงไปกับข้า อยู่ข้างๆ ข้าก็พอแล้ว” ซือมั่วเอ่ย

จากคำพูดของเขา มู่ชิงเกอได้ยินถึงความไม่พอใจ นางขบริมฝีปากเอ่ยว่า “ดี”

นางรู้ว่าหลังจากจัดการเรื่องโห่วเสร็จ ซือมั่วก็จะต้องจากไปอีก จะได้พบกันอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

ดังนั้น เขาจึงรักษาทุกช่วงโอกาสอยู่กับนาง

ส่วนนางก็เช่นเดียวกันมิใช่หรือ?

(โห่ว สัตว์ในตำนานชนิดหนึ่งของจีน)

ยามคํ่าคืน มู่ชิงเกอกลับไปยังเรือนพักแรม บอกทุกคนว่าตนเองจะจากไปหลายวัน

สำหรับคนที่อยู่ดีๆ โผล่ออกมานั้น ในใจของเสวี่ยหยาเต็มไปด้วยความสงสัย หลังจากนางถูกกู่เย่นำตัวไปนั้นก็พยายามเดาสถานะของพวกเขามาโดยตลอด

แต่ก็หาไม่พบ

การตัดสินใจของมู่ชิงเกอแน่นอนว่าไม่มีใครขัดขวาง

ส่วนคนที่มู่ชิงเกอนำไปเพียงคนเดียวก็คือหยวนหยวน

“ท่านพ่อ ท่านพ่อ ท่านพ่อ ท่านพ่อ…” หยวนหยวนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ร้องคำว่า ‘ท่านพ่อ’ ออกมา 78 คำ

ซือมั่วมองไปยัง ‘ลูกชายคนโต’ ที่ยืนอยู่ตรงหน้าของตัวเอง นัยนตาสีอำพันฉายแววขบขัน มือคลายออกต่อหน้าหยวนหยวน บนนั้นมีเม็ดบัวอัคคีเปล่งแสงสีแดงลูกใหญ่ “เด็กดี”

“ขอบคุณท่านพ่อ!” นัยน์ตาของหยวนหยวนฉายแววเปล่งประกายรีบแย่งเม็ดบัวอัคคีในมือของซือมั่วมาในทันที ดูเหมือนจะกลัวซือมั่วเปลี่ยนใจ

หยวนหยวนเพิ่งจะรับเอาเม็ดบัวอัคคี มู่ชิงเกอก็ยกมือโบกขึ้นเก็บเขาเข้าไปในช่องว่าง

“เขากลืนกินพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดไปรึ?” ซือมั่วมองมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยถาม

มู่ชิงเกอมองเขาอย่างแปลกประหลาด “นี่เจ้าก็ดูออกงั้นหรือ?”

ซือมั่วยิ้มชี้ที่คิ้วของตนเอง อธิบายกับมู่ชิงเกอว่า “หว่างคิ้วของเขามีจุดชาดสีแดงที่มีกลิ่นอายของพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง!

มู่ชิงเกอพยักหน้า

“ออกเดินทางไปตอนนี้เลยไหม?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม

ซือมั่วค่อยๆ ส่ายหน้า “ไม่รีบ รอฟ้าสว่างค่อยไปก็ไม่สาย”

“ได้” มู่ชิงเกอพยักหน้า ยอมรับในการจัดการของซือมั่ว

ค่ำคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในตอนแรกอรุณ หุบเขากูจี๋ซานนอกเมืองจินไห่ไปทางเหนือร้อยลี้ มีเงาคนสองสายเดินทางไป

เสื้อสีดำและแดงเคียงคู่กันไป บนหุบเขากูจี๋ซานสีขาวหิมะมองเห็นได้อย่างเด่นชัด

ที่สวมชุดสีดำนั้นเป็นชายที่รูปร่างงดงามที่แม้แต่ฟ้าดินก็ต้องสูญเสียความโดดเด่น เขาสูงเพรียว ท่าทางสูงสง่า มองไปทางหญิงสาวที่อยู่ข้างกายด้วยความรักและอ่อนโยน รอยยิ้มบนใบหน้าก็ดูเหมือนว่าจะยิ้มเพื่อหญิงสาวนางนั้น

ส่วนหญิงสาวชุดสีแดงคนนั้นก็ดูสูงเพรียว ใบหน้าก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าชายผู้นั้นเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความอหังการบนหว่างคิ้วนั้นก็ยิ่งดึงดูดให้ผู้ชายจำนวนนับไม่ถ้วนสติหลุดได้โดยง่าย

ทั้งสองคนล้วนแต่มีรูปโฉมที่งดงาม ยากที่จะพบเห็นบนโลก ปรากฏอยู่บนหุบเขากูจี๋ซานก็ดูเหมือนกับเป็นเทพแห่งบุปผาในขุนเขาก็ไม่ปาน

เดินทางไปด้วยกัน ท่องเที่ยวไปทั่วฟ้าดิน ดุจดังคู่รักเทพเซียน

“ที่นี่คือหุบเขากูจี๋ซานงั้นหรือ? ช่างงดงามจริงๆ!” มู่ชิงเกอที่เอาต่างหูออก ได้กลับคืนสู่ความเป็นผู้หญิง นางกวาดสายตามองไปยังต้นไม้ดอกไม้ที่เป็นสีขาวรอบกาย อดไม่ได้ที่จะกล่าวชมออกมา ความงามของหุบเขากูจี๋ซานในสายตาของนาง ก็ไม่รู้ว่าในสายตาของซือมั่วนั้น นางถึงจะเป็นบรรยากาศที่งดงามที่สุด

“ใช่ หุบเขากูจี๋ซานปลูกต้นอวี้หลีเต็มไปหมด ในตอนที่ถึงฤดูออกดอก ทุกๆ ที่ล้วนแต่เป็นดอกอวี้หลีสีขาว มองไปไกลๆ ก็ดุจดังหุบเขาหิมะก็ไม่ปาน ดังนั้นหุบเขากูจี๋ซานจึงยังมีชื่อเล่นอีกอย่างหนึ่งว่าหุบเขาหิมะหยก” ซือมั่วมองนางอย่างวาววาบ คอยอธิบาย

มู่ชิงเกอพยักหน้า เอ่ยชมว่า “มีลักษณะของหุบเขาหิมะหยกจริงๆ”

นางหันกลับ เอ่ยถามว่า “โห่วเป็นอสูรร้ายบรรพกาลที่ดุร้ายถึงขนาดนั้น จะมาอยู่ในหุบเขาที่สวยงามขนาดนี้จริงๆ น่ะหรือ?”

เพิ่งจะพูดออกไป นางก็พบว่าซือมั่วกำลังจ้องมองนางเงียบๆ

ภายในดวงตา ไม่ปิดบังความรักใคร่ ทำให้นางรู้สึกเก้อเขินขึ้นมา

“แค่ก แค่ก มองอะไรกัน?” มู่ชิงเกอรู้สึกว่าตัวเองที่อยู่ในชุดของหญิงสาวดูไม่คุ้นชินอยู่บ้าง

“แน่นอนว่ามองเจ้า” ซือมั่วเอ่ยอย่างจริงจัง

คำตอบตรงๆ เช่นนี้ทำให้สีหน้าของมู่ชิงเกอรู้สึกเก้อเขินขึ้น

“แค่กๆ! เรื่องนั้น พวกเรามาจับโห่วนะ” นางเอ่ยเตือนเขาถึงจุดมุ่งหมายในการมาครั้งนี้

รอยยิ้มที่มุมปากของซือมั่วยิ่งลึกขึ้นไม่ยอมให้หญิงที่อยู่ข้างกายรู้สึกลำบากใจ เอ่ยตามนางไปว่า “ใช่”

“ใช่ ใช่? แค่นี้น่ะหรือ?” มู่ชิงเกอกะพริบตามองเขา อย่างหมดคำจะพูด

ซือมั่วเลิกคิ้วที่น่ามองขึ้นสูงเหมือนกำลังถาม

มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างหมดวาจาจะกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าต้องมีแผนมิใช่หรือ? อีกอย่างพวกเราจะหาตำแหน่งของโห่วได้อย่างไร? ก่อนหน้านี้เจ้าเข้ามาในหุบเขากูจี๋ซานได้พบเจอร่องรอยของโห่วหรือไม่? แน่ใจหรือยังว่ามันอยู่ที่นี่จริงๆ?”

บรรยากาศอันงดงามรอบด้าน ทำให้นางรู้สึกว่าโห่วที่ซือมั่วพูดว่ามีนิสัยป่าเถื่อนดุร้ายแปลกประหลาดจะไม่ได้อยู่ที่นี่

“ที่นี่ เพียงแค่เป็นรอบนอกของหุบเขากูจี๋ซานเท่านั้น” ในที่สุดซือมั่วก็พูดคำพูดไร้สาระที่ไม่ได้ไร้สาระมากออกมา

“มันอยู่ข้างในงั้นหรือ?” มู่ชิงเกอเอ่ยเดา

มองท่าทางที่ดูจริงจังของนางแล้ว ซือมั่วก็ยิ้มและเอ่ยว่า “โห่วนั้นเจ้าเล่ห์มาก หลบซ่อนเก่ง ในที่ๆ เจ้าคิดไม่ถึง มันก็จะอยู่ที่นั่น มันได้รับบาดเจ็บหนัก พลังในร่างกายเหลือไม่ถึงหนึ่งในสาม เวลานี้ คิดอยากจะจับมันนั้นง่ายดายมาก ดังนั้นมันจะต้องไม่รอให้มาจับและจะต้องซ่อนตัวอยู่อย่างแน่นอน”

“เช่นนั้นพวกเราจะจับมันได้อย่างไร?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม

นางไม่คุ้นเคยกับนิสัยของโห่วแน่นอนว่าเสนออะไรที่มีประโยชน์ออกมาไม่ได้ทำได้แต่เพียงทำตามที่ซือมั่วจัดวางไว้

ซือมั่วส่ายหน้า “จะหาโห่ว ไม่ใช่เรื่องแค่วันหรือสองวัน คนของตระกูลจิงไม่ใช่ว่ากำลังช่วยพวกเราอยู่หรือ?”

พูดจบเขาก็ยิ้มให้กับมู่ชิงเกออย่างมีลับลมคมนัย

ทันในนั้นมู่ชิงเกอก็เข้าใจในทันที

ว่าเพราะอะไรซือมั่วทั้งๆ ที่ว่าตระกูลจิ่งกำลังหาโห่วแล้วจึงไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจ

ที่แท้เขาก็วางแผนไว้ว่าจะให้คนของตระกูลจิงที่อยู่ด้านหน้าไปแหวกหญ้าให้งูตื่น ส่วนเขาก็แอบซ่อนในที่ลับ เตรียมเก็บผลประโยชน์

“ถ้าหากว่าคนของตระกูลจิงทำให้โห่วเชื่องได้ก่อนล่ะ? เจ้าอย่าลืมว่าพวกเขานั้นมีพรสวรรค์” มู่ชิงเกอเอ่ยเตือน

“ไม่อย่างแน่นอน” ซือมั่วเอ่ยอย่างมั่นใจ “ถึงแม้ว่าโห่วจะอยู่ในช่วงอ่อนกำลัง คนของตระกูลจิงก็ไม่ใช่คู่มือของเขา เกรงว่า รอจนคนของตระกูลจิงพบว่าสัตว์มหา เทพที่พวกเขาตามหานั้นเป็นโห่ว คงทำได้เพียงแต่วิ่งหนี”

“ขนาดนั้นเชียวหรือ?” มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ

ซือมั่วกลับยิ้มอย่างขบขันเอ่ยว่า “อสูรร้ายไม่ได้ทำให้เชื่องง่ายอย่างเช่นสัตว์มหาเทพ มีโอกาสแว้งกลับได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรพบุรุษแห่งอสูร

ร้ายอย่างโห่ว”

หว่างคิ้วของมู่ชิงเกอฉายแววเคร่งขรึม เอ่ยอย่างกังวลใจว่า “ในเมื่อโห่วมันยากที่จะต่อกรขนาดนั้น เหตุใดเจ้าจึงไม่นำกูหยา กูเย่มาด้วย ร่างกายของตัวเองจะรับได้ หรือ?”

แม้จะมีนางกับหยวนหยวนคอยช่วยเหลือ แต่กำลังของพวกเขาก็ไม่สู้กู่หยากับกู่เย่สองคน

ถ้าหากว่านำกู่หยากับกู่เย่มา มีพวกเขาสี่คนคอยช่วยเหลือ โอกาสแห่งชัยชนะก็น่าจะเพิ่มขึ้นมาหน่อย

“อย่ากังวลใจไปเลย” ซือมั่วยกมือขึ้นคลึงเบาๆ บนคิ้วที่ขมวดเป็นปมของมู่ชิงเกอ ในตอนที่นางมองมา เขาก็เอ่ยกับนางว่า “สามีของเจ้านั้นแข็งแกร่งมาก หากว่าโห่วมีกำลังเต็มที่อาจจะทำให้ข้าหวั่นเกรงได้บ้างเล็กน้อย แต่ว่าตอนนี้…”

ซือมั่วหัวเราะส่ายหน้า แสดงความหมายโดยไม่ต้องพูด มู่ชิงเกอขยับๆ ปาก อยากจะพูดว่า ‘แต่ว่าเพราะข้า เจ้าถึงได้สูญเสียพลังฝึกปรือหมื่นปี ทั้งยังได้รับบาดเจ็บหนัก ทำให้บาดเจ็บภายใน หากว่าลงมือจริงๆ ก็อาจจะทำให้ร่างกายไม่สมดุล ถึงแม้ว่าจะทำให้โห่วเชื่องได้ ก็ไม่อาจทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายได้’

แต่สุดท้ายนางก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพราะว่านางก็รู้ว่าสิ่งที่นางคิดจะพูดนั้นซือมั่วล้วนแต่รู้ดี และก็ชัดเจนดี

หากไม่ใช่ว่าโห่วสำคัญกับเขา เขาคงจะไม่มาลงมือเองอย่างแน่นอน

คิดถึงตรงนี้ในใจของมู่ชิงเกอก็ยิ่งตัดสินใจที่จะช่วยซือมั่วเอาโห่วมาให้ได้!

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ข้าไม่เป็นอะไร” ซือมั่วจับมือของมู่ชิงเกอขึ้นมา จูงมือนางเดินไปท่ามกลางป่าต้นอวี้หลีสีขาวในหุบเขากูจี๋ซาน

อีกทางหนึ่งของหุบเขากูจี๋ซาน มีกลุ่มคนชุดสีขาว เร่งรีบเดินไป พวกเขาทั้งหมดมีสิบคน เสื้อผ้าบนตัวเข้ากันกับป่าต้นอวี้หลีจนแทบแยกไม่ออก

“อารอง เหตุใดจึงปฏิเสธการมาส่งของตำหนักเทพ?” จิงฟ่งอวี่เดินอยู่ด้านหน้ากลุ่ม เอ่ยถามชายวัยกลางคน คนหนึ่งที่อยู่ข้างกายอย่างไม่เข้าใจ

นี่เป็นอารองของเขา ผู้คุมกฎแห่งตระกูลจิง จิงเทียนเหิง พลังระดับสีทองชั้นสอง เป็นยอดฝีมือ!

คำถามของจิงฟ่งอวี่ จิงเทียนเหิงอธิบายเสียงเข้มว่า “ติดค้างบุญคุณของตำหนักเทพ ไม่ไค้คืนได้ง่ายๆ อีกอย่างนักรบศักดิ์สิทธิ์ของสาขาย่อยเขตภาคใต้ก็มีพลังเพียงระดับสีเทา ตามมาแล้วจะมีประโยชน์อะไร? เป็นเพียงแค่ปัญหาเท่านั้น เรื่องของตระกูลจิงก็ให้ตัวเองจัดการเองไม่ต้องให้คนอื่นยื่นมือมาช่วย”

“แต่ว่า พวกเราไม่คุ้นเคยกับหุบเขากูจี๋ซาน มีคนในพื้นที่ นำทางก็จะดีขึ้นมาหน่อย” จิงฟ่งอวี่เอ่ย

จิงเทียนเหิงกลับส่ายหน้าเอ่ยว่า “พวกเราไม่จำเป็นต้องคุ้นเคยกับสภาพของหุบเขากูจี๋ซาน เพียงแต่อาศัยไอพลังค้นหาก็ได้แล้ว”

พูดจบเขาก็ล้วงเอาศิลาก้อนเล็กๆ ชิ้นหนึ่งออกมาจากอก

บนก้อนหินมีแสงวาววับขึ้นแวบหนึ่งสีม่วง แวบหนึ่งสีแดง ชี้ไปทางทิศเหนือ นี่เป็นเหมือนกับเข็มทิศ ชี้เส้นทางให้แก่คนตระกูลจิง

เพียงแต่แสงที่อีกไม่นานก็ม่วงอีกไม่นานก็แดงนั้นกลับทำให้จิงเทียนเหิงขมวดคิ้ว “แปลกมาก ครั้งนี้เป็นสัตว์อสูรเทวะหรือว่าสัตว์มหาเทพกันแน่?”

สีแดงคือสัตว์อสูรเทวะ สีม่วงคือสัตว์มหาเทพ

แต่ที่แวบหนึ่งม่วงแวบหนึ่งแดงนี้กลับทำให้คนตระกูลจิงมึนงง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!