ตอนที่ 252
เก็บกระต่ายประหลาดได้ตัวหนึ่ง!
“อารอง นี่คือสิ่งใดกัน?” จิงฟ่งอวี่เอ่ยอย่างตกตะลึง น
ยน์ตาของจิงเทียนเหิงดูมืดครื้มขึ้น เอ่ยด้วยนํ้าเสียงที่เคร่งเครียดว่า “หมอกควันเหล่านี้กำลังกัดกร่อน”
ทุกคนตกตะลึง มองไปยังบริเวณที่มีหมอกหนาทึบ
อย่างที่คาดไว้บริเวณที่ถูกหมอกปกคลุม ล้วนแต่ดูขมุกขมัวเงียบเชียบ ต้นไม้แห้งเหี่ยว บนลำต้นมีนํ้าหนองไหล บนพื้นก็ดูขรุขระ ทั่วบริเวณล้วนแต่เป็นนํ้าหนอง ชนิดเดียวกันกับที่พวกเขาเจอกันมาตามทาง
คนที่อยู่ในที่นี่ล้วนแต่สีหน้าเปลี่ยนสี อดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
ในใจของจิงฟ่งอวี่หนักอึ้งขึ้น ดวงตาจับจ้องไปยังหมอกพิษที่สามารถแผ่พุ่งออกมาได้ทุกขณะ เกิดความไม่แน่ใจออกมา
เขามีความกระตือรือร้นที่จะได้รับสัตว์อสูรพันธสัญญาของตัวเอง แต่ว่า ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ กลับทำให้เขาไม่กล้าเข้าไปใกล้!
“อารอง พวกเราเข้าไปใกล้ไม่ได้แล้ว” จิงฟ่งอวี่เอ่ยด้วยเสียงเข้มกับจิงเทียนเหิง
จิงเทียนเหิงก็มีท่าทางที่ดูเคร่งเครียดเช่นเดียวกัน เหลือบมองไปยังหลานชายของตน จ้องมองโดยไม่พูดจาเป็นเวลานาน
จิงฟ่งอวี่เป็นรุ่นเยาว์ที่มีความสามารถมากที่สุดของตระกูลจิง แบกรับความหวังทั้งหมดของตระกูล ยากที่จะได้พบเจอกับสัตว์อสูรพันธสัญญาอันแข็งแกร่ง หากว่า จะยอมล้มเลิกไปเช่นนี้ไม่ต้องพูดว่าจิงฟ่งอวี่รู้สึกเสียดายไม่ยินยอม เขาเองก็ไม่ยินยอมเช่นเดียวกัน
“มีอีกวิธีหนึ่ง” อยู่ดีๆ จิงเทียนเหิงก็เอ่ยขึ้นมา
นัยน์ตาของจิงฟ่งอวี่เปล่งประกาย เอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “วิธีอันใดขอรับ?”
นัยน์ตาของจิงเทียนเหิงเปล่งแสงวาววับดูลึกลํ้าขึ้นหลายส่วนก่อนจะเอ่ยว่า “เตี๋ยหลานเขียง!”
เตี๋ยหลานเขียง! คนตระกูลจิงที่ได้ยินถึงคำนี้ต่างพากันสูดลมหายใจลึก เข้าไปโดยไม่ได้นัดหมาย มองไปยังจิงเทียนเหิงอย่างตกตะลึง แม้แต่จิงฟ่งอวี่ก็ไม่ยกเว้น
“อารอง จะใช้เตี๋ยหลานเขียงงั้นหรือ?” จิงฟ่งอวี่หยุดหายใจ เอ่ยถามให้แน่ชัดอีกครั้งด้วยความตกตะลึง
จิงเทียนเหิงหลุบตาลง สายตาตกไปอยู่ที่หมอกพิษเหล่านั้น แล้วก็พยักหน้า
“แต่ว่า เตี๋ยหลานเขียงเป็นยาต้องห้ามของตระกูลพวกเรา…” จิงฟ่งอวี่โต้แย้ง
แต่ในใจของเขาก็รู้ดีว่าหากไม่ใช้เตี๋ยหลานเขียงแล้ว แม้แต่โอกาสเดียวพวกเขาก็ไม่มี
คำพูดยังพูดไม่จบ เขาก็นิ่งลง ดูเหมือนกำลังต่อสู้กับความคิดอย่างดุเดือด
“ฟงอวี่ ใช้เตี๋ยหลานเขียงก็เป็นวิธีในตอนที่ไม่มีวิธีอื่นแล้ว” จิงเทียนเหิงตบบ่าของจิงฟ่งอวี่ ถอนหายใจเอ่ยออกมา
ทุกคนนิ่งไป จิงเทียนเหิงจึงค่อยพูดขึ้นอีกว่า “สัตว์อสูรพันธสัญญานี่ดูเจ้าเล่ห์มาก อาศัยหมอกพิษที่มีฤทธิ์กัดกร่อนเป็นเกราะคุ้มกัน พวกเราไม่อาจจะเข้าใกล้ได้ทางเดียวที่มีก็ คือต้องล่อมันออกมา ทำให้มันยอมที่จะเดินออกมาจากหมอกพิษ เดินเข้ามาในค่ายกลพันธสัญญาที่พวกเราจัดวางไว้ดีแล้วด้วยตัวมันเอง”
เขาหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยกับจิงฟ่งอวี่อย่างมีความนัยว่า “ฟ่งอวี่ ในรุ่นเยาว์รุ่นนี้เจ้าเป็นผู้ที่มีความสามารถมากที่สุดของพวกเราตระกูลจิง แต่ว่าหากเทียบกับ บรรดารุ่นเยาว์แห่งภาคกลางแล้วก็ยังไม่เพียงพอ ยังไม่ต้องพูดไปถึงซีเซียนเสวี่ยแห่งตระกูลซีที่ถูกส่งเข้าไปเป็นธิดาเทพในตำหนักเทพ ก็แค่เว่ยมั่วลี่ของตระกูลเว่ยก็ล้วนแต่กดอยู่บนหัวของเจ้า สัตว์อสูรพันธสัญญาในครั้งนี้แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าที่ข้าและบิดาเจ้าคิดเอาไว้เสียอีก แต่สำหรับเจ้าแล้วมันกลับถือเป็นโอกาสอย่างหนึ่ง!”
นัยน์ตาของจิงฟ่งอวี่ฉายแววไหววาบ ค่อยๆ เคลื่อนไปมองที่ร่างของจิงเทียนเหิง
จิงเทียนเหิงพูดต่อว่า “ตระกูลจิงต้องการให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้น เจ้าก็จำเป็นต้องแข็งแกร่งขึ้น เช่นนั้นถึงจะสามารถรักษาสถานะของตระกูลจิงเอาไว้ได้ สามารถได้รับทรัพยากรที่มากยิ่งขึ้น ดังนั้นความเสี่ยงที่จำเป็นก็ไม่ควรหลีกเลี่ยง”
หลังจากที่จิงเทียนเหิงพูดจบ จิงฟ่งอวี่ก็ไม่โต้เถียงอีก ในที่สุดก็ยอม “ข้ารู้แล้ว อารอง”
เมื่อโน้มน้าวใจของจิงฟ่งอวี่ได้แล้ว จิงเทียนเหิงก็พยักหน้า
แต่นี่ก็ไม่อาจจะลบความกังวลในใจของจิงฟ่งอวี่ลงได้ “อารอง เตี๋ยหลานเขียงนั้นมีความไม่เสถียร ถึงแม้ว่าจะสามารถควบคุมสติของสัตว์อสูรพันธสัญญาได้ชั่วขณะ แต่ก็ง่ายดายมากที่จะถูกต่อต้าน การดำเนินการมีความเสี่ยงมาก ถ้าหากว่าเกิด…”
“ไม่มีถ้าหาก จะต้องสำเร็จ! ครั้งนี้ข้าจะลงมือเอง!” จิงเทียนเหิงเอ่ยอย่างตัดสินใจ
“อารองไม่ได้!”
“ผู้อาวุโสไม่ได้!”
จิงเทียนเหิงเพิ่งจะพูดออกไป จิงฟ่งอวี่กับคนอื่นๆ ในตระกูลจิงก็เอ่ยยับยั้งออกมา
“อารอง ท่านเป็นคนที่มีระดับพลังสูงที่สุดในหมู่ของพวกเรา หากว่าเป็นท่านใช้เตี๋ยหลานเขียง เช่นนั้นหากสัตว์อสูรพันธสัญญาต่อต้านแล้ว เกรงว่าพวกเราล้วนแต่จะต้องตายที่นี่ ยังคงให้ข้าลงมือเถอะ!” จิงฟ่งอวี่เอ่ย
“ไม่ได้! เจ้าไม่อาจเสี่ยงได้!” จิงเทียนเหิงคิดก็ไม่คิด ตอบปฏิเสธไป
สัตว์อสูรพันธสัญญาไม่มีแล้วก็ยังสามารถหาใหม่ได้ แต่ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับจิงฟ่งอวี่แล้วละก็ เมื่อเขากลับไปถึงตระกูลจิงล่ะจะพูดว่าอย่างไร สำหรับตระกูลจิงแล้วนี่เป็นความสูญเสียที่ถึงชีวิต
“อารอง นี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด หากว่าข้าเป็นอะไรไป ยังมีท่านอยู่ อย่างน้อยชีวิตข้าก็ยังจะปลอดภัย” จิงฟ่งอวี่ยืนยัน
แต่ว่าจิงเทียนเหินกลับส่ายหน้าปฏิเสธ “เรื่องนี้ก็ทำเช่นนี้เถอะ ให้ข้าลงมือเอง”
“อารอง!” จิงฟ่งอวี่ยังคิดจะยับยั้ง
จิงเทียนเหิงกลับยกมือตัดบทพูดของเขา “พวกเจ้าซ่อนตัวอยู่ในเงามืด หากว่าทุกอย่างปกติ สัตว์อสูรพันธสัญญาสามารถเดินเข้าในค่ายกลพันธสัญญาและรับ พันธสัญญาได้ เช่นนั้นก็จะดีที่สุด ถ้าหากว่ามันต่อต้าน พวกเจ้าก็ไม่ต้องสนใจข้ารีบหนีไปรักษาชีวิต จากนั้นก็รีบกลับไปที่ภาคกลาง เข้าใจหรือไม่?”
“อารอง…” จิงฟ่งอวี่พอฟังออกว่าในนํ้าเสียงของจิงเทียนเหิงนั้นฉายแววเด็ดขาดแน่วแน่ ก็กลืนคำพูดกลับลงไป
จิงเทียนเหิงมองจิงฟ่งอวี่ เหมือนกับแต่ก่อน ตบบ่าของเขา ถ่ายทอดอารมณ์หลากหลายผ่านดวงตา
“เอาละ วางค่ายกลพันธสัญญา” เมื่อได้สั่งเสียความในใจแล้ว จิงเทียนเหิงก็เอ่ยสั่งการ
การยืนยันของเขาและความเงียบของจิงฟ่งอวี่ ทำให้คนของตระกูลจิงทำได้แต่เคลื่อนไหวตามแผนการ
จิงฟ่งอวี่ถูกผู้คุ้มกันของเขาลากไปที่มุมๆ หนึ่ง ลอบมองคนของตระกูลจิงใช้วิธีที่พิเศษวาดค่ายกลพันธสัญญาโบราณที่สืบทอดกันมานับพันปีของตระกูลจิงลงบนพื้นเรียบ
ค่ายกลชนิดนี้หากไม่ใช่สายเลือดของตระกูลจิงแล้วก็ไม่มีทางที่จะเปิดค่ายกลได้ถึงแม้ว่าจะวาดแบบเดียวกันก็ตาม ก็ไม่สามารถได้รับผลลัพธ์ของค่ายกลได้
นี้เป็นพลังของสายเลือด เป็นความสามารถทางสายเลือดของตระกูลจิง!
“เตี๋ยหลานเขียง เตี๋ยหลานเขียง…เคยมีคนตระกูลจิงมากมายแค่ไหนที่ต้องตายไปกับเตี๋ยหลานเขียง?” จิงฟ่งอวี่มองการเคลื่อนไหวของทุกคน สายตามองไปยังจิง เทียนเหิงที่นั่งสมาธิควบคุมลมหายใจอยู่อีกด้าน ในใจของเขานั้นเกลียดเตี๋ยหลานเขียงมาก
ความสามารถของเตี๋ยหลานเขียง สำหรับคนตระกูลจิงนั้นก็เป็นเหมือนสตรีเต็มไปด้วยเสน่ห์ดึงดูดและอันตราย เตี๋ยหลานเขียงเป็นกลิ่นหอมที่แปลกประหลาดชนิดหนึ่ง สามารถทำให้คนที่ใช้สามารถเข้าไปอยู่ในสติของสัตว์อสูรพันธสัญญาตัวใดก็ได้ เข้าไปควบคุม ในตอนที่เข้าไปได้สำเร็จ และสามารถควบคุมสัตว์อสูรพันธสัญญาได้นั้น คนที่จุดกลิ่นหอมก็จะมีสถานะเหมือนกับเป็นเผ่าสัตว์อสูร
ภายในช่วงเวลานั้น คนที่จุดกลิ่นหอมจะสามารถสั่งการสัตว์อสูรพันธสัญญาได้
แต่ว่าทำได้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ คนมีระดับพลังตํ่าจุดกลิ่นหอมบางทีอาจจะได้ผลแค่พริบตาเดียว จิงเทียนเหิงอยู่ ระดับสีทองขั้นสอง เวลาที่สามารถควบคุมก็ยังไม่ถึงหนึ่งเค่อ
ขอเพียงฤทธิ์ของเตี๋ยหลานเขียงหมดไป สติของสัตว์อสูรพันธสัญญาก็จะกลับคืนมาและก็เริ่มต่อต้านอย่างรุนแรง สลายสติของมนุษย์ที่เข้ามา และก็กระตุ้นความ บ้าคลั่งในตัว ซึ่งจำเป็นต้องใช้เลือดสดเพื่อสยบความบ้าคลั่งของมัน
เตี๋ยหลานเขียงเคยเป็นวิธีในการจับเหล่าสัตว์อสูรพันธสัญญาที่โหดร้ายของตระกูลจิง หลังจากนั้นเป็นเพราะว่ามีคนตายมากเกินไป จึงถูกจัดเป็นของต้องห้ามของตระกูลจึง เวลาผ่านมาอย่างยาวนานในที่สุดเตี๋ยหลานเขียงก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง!
ท่าทางของจิงฟ่งอวี่ดูเคร่งเครียด ไม่พูดไม่จา
“นายน้อย ท่านอย่าได้คิดมากไปเลย ในเมื่อได้ตัดสินใจไปแล้ว ก็พักผ่อนหน่อยเถอะ เตรียมตัวดีแล้วถึงจะสามารถมั่นใจเรื่องการทำพันธสัญญาได้” ผู้คุ้มกันของ จิงฟ่งอวี่มองออกถึงความรู้สึกของเขาจึงเอ่ยปลอบเบาๆ
จิงฟ่งอวี่พยักหน้า มองจิงเทียนเหิงครั้งสุดท้ายแวบหนึ่ง จากนั้นก็นั่งสมาธิ เข้าสู่ท่วงท่าฝึกปรือ
คนของตระกูลจิงกำลังเตรียมตัว
ส่วนอีกมุมๆ หนึ่งของ หุบเขากูจี๋ซาน เงาร่างสองสายก็กำลังเดินเล่นอยู่ด้วยกัน มู่ชิงเกอมองดูผู้ชายที่อยู่ด้านข้างอย่างเอือมๆ ส่ายหน้าในใจ นางอดไม่ได้ถามออกไปว่า “เจ้ามาหาโห่วหรือมาเที่ยวเล่นกันแน่?”
“ก็ทั้งสองอย่าง อยู่กับเสี่ยวเกอเอ๋อร์ แน่นอนว่าอย่างหลังสำคัญกว่า” นัยน์ตาสีอำพันของซือมั่วฉายแววขบขัน มองมู่ชิงเกอ
นํ้าเสียงที่ตอบกลับมาจริงจังมาก ไม่มีปลอมแปลง และก็ไม่รู้สึกว่าเป็นวาทศิลป์ของเขา
มู่ชิงเกอกระตุกปากเบาๆ จงใจประชดประชันว่า “พูดเช่นนี้ เป็นเพราะข้าส่งผลถึงการเคลื่อนไหวของเจ้างั้นหรือ? เช่นนั้น ข้าจะไปเสียตอนนี้ จะได้ไม่ทำลายการ ใหญ่ของเจ้า!”
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์คิดจะไปไหน?” การเคลื่อนไหวของซือมั่ว เร็วกว่าปาก
ในตอนที่เขาพูด มือที่ทั้งสองจูงกันอยู่ เขาออกแรงก็ลากมู่ชิงเกอเข้ามาไว้ในอ้อมอก กอดไว้อย่างหนาแน่นแล้ว
“อา! ปล่อยข้า เจ้ายังมียางอายอยู่หรือไม่?” มู่ชิงเกอไม่ทันได้ตั้งตัวตกเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของซือมั่ว สองมือยันแผ่นอกของเขาเอาไว้นํ้าเสียงดูโมโห
แม้ว่าจะไม่ใช่ครั้งแรก แต่ในตอนที่กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของผู้ชายคนนี้โอบล้อมตัวนางเอาไว้นั้น นางยังรู้สึกได้ถึงว่าแก้มของตัวเองแดงกํ่าขึ้น การสูญเสียการควบคุมเช่นนี้ทำให้นางดูตื่นกลัวเหมือนกับสัตว์ตัวเล็กๆ สูญเสียความมั่นใจ
นางคิดจะหนี เพราะกลัวว่าตัวเองจะถูกกลืนกินจนเกลี้ยง แล้วสติของนางจะหลุดออกจากการควบคุม ทำให้นางทำเรื่องบางอย่างที่อาจจะทำให้เสียหน้ามากกว่านี้ขึ้นมาได้
ก็เหมือนกับวันนั้นที่เกาะกลางทะเลสาบนอกเมืองจินไห่ ภายในป่าดอกท้อ
นางเกือบจะสิ้นสติ กลืนซือมั่วลงท้องไปแล้ว!
“ต่อหน้าเสี่ยวเกอเอ๋อร์ข้าไม่ต้องการอะไร ต้องการเพียงแต่เจ้าเท่านั้น” ซือมั่วก้มหัวลง ทิวทัศน์ที่สวยงามที่สุดของโลกเข้ามาใกล้ถึงเพียงนี้
นัยน์ตาสีอำพัน เหมือนดูดแสงดวงดาวทั้งท้องฟ้ามาไว้ ด้วยกัน มีรอยยิ้มนำพาความรัก มองมาที่นาง ลมหายใจระหว่างพูด รดพรมลงที่ใบหน้าของมู่ชิงเกอ ทำเอาใบหน้าหนานา ของนางเปลี่ยนเป็นบางขึ้น ออกสีแดง
“คำพูดไหลลื่นนัก” มู่ชิงเกอเอ่ยออกมาอย่างเคืองๆ ท่าทางที่ดูเอียงอาย ปรากฏอยู่บนตัวของมู่ชิงเกอ ทำเอาซือมั่วดุจดังได้พบกับสมบัติ จ้องมองอย่างเพ่งพินิจ
แต่ในใจของมู่ชิงเกอกลับแค้นจนอยากขุดหลุมฝังตัวเอง! ช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก อ้า อ้า อ้า!
“รีบปล่อยมือนะ!” ในตอนก่อนที่อารมณ์ของตัวเองกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ มู่ชิงเกอก็เอ่ยเสียงเย็นออกมา แต่ว่าสิ่งที่ตอบนางมา กลับเป็นใบหน้าอันหล่อเหลา ของซือมั่วที่กดดันเข้ามา
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์…” เป็นเสียงกระซิบด้วยอารมณ์เสน่หา ปกคลุมตัวมู่ชิงเกอทั้งตัว
ยังไม่ต้องรอให้นางตอบสนอง ริมฝีปากของนางก็ถูกซือมั่วปกคลุมไว้
อือ…” ตอนที่ปากถูกปิดไว้นั้น มู่ชิงเกอก็เบิกตากว้าง
นัยน์ตาอันสดใส เมฆลมแปรเปลี่ยน สุดท้ายก็กลายเป็นฝนฤดูใบไม้ผลิ
ผู้ชายคนนี้นางยอมแล้ว…
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายรอยยิ้มออกมา ค่อยๆ หลับตา สองมือโอบรอบคอของซือมั่ว ดื่มด่ำเข้าไปกับรสจูบนี้ จูบนี้เป็นความรู้สึกที่ซือมั่วแสดงออกมาให้นางเห็น ไม่มีอะไรเจือปน…จากเริ่มต้นก็เป็นเช่นนี้
“แฮ่กๆ—–แฮ่กๆ—–”
เสียงหายใจของทั้งสองคน กลายเป็นดังชัดเจนมากขึ้น และถี่เหมือนคนขาดอากาศหายใจ การเคลื่อนไหวที่อ่อนโยนของซือมั่วก็กลายเป็นดุดันขึ้นเล็กน้อย เขาใช้มือหนึ่งจับเอวของมู่ชิงเกอ อีกมือก็ดันแผ่นหลังของนาง ดูเหมือนแทบอยากจะให้ตัวนางทั้งตัวฝังเข้าไปในอกของตนเอง
ความบ้าคลั่งของเขา มู่ชิงเกอก็ไม่ได้ด้อยกว่า ทั้งสองคนดูดุเดือดเหมือนกับสัตว์อสูร ล้วนแต่อยากจะเอาชนะอีกฝ่าย กลืนกินอีกฝ่าย จะเอาอีกฝ่ายเข้ามาอยู่ในร่างกายของตน!
ทันใดนั้น ซือมั่วก็รู้สึกขนลุกชันขึ้นมา ปล่อยริมฝีปากที่ถูกจูบจนแดงกํ่านั้น โอบมู่ชิงเกอทั้งตัวเข้ามาไว้ในอ้อมอกของตนเอง ใช้แขนเสื้อบังโฉมหน้าที่กำลังเอียงอายนั้นของนาง
สภาพของเสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขาในตอนนี้ มีเขาแค่คนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถเห็นได้
ภายใต้นัยน์ตาสีอำพันของซือมั่ว ความรักถอยออกไป แทนที่ด้วยความเย็นชา “เสี่ยวเกอเอ๋อร์อย่าให้ข้ารอนานนัก” ริมฝีปากของเขา ปัดผ่านติ่งหูของมู่ชิงเกอเบาๆ กระซิบออกมา
ประโยคนี้ทำให้แก้มที่หายแดงแล้วของมู่ชิงเกอ กลับมาแดง ‘แปร๊ด’ แดงขึ้นอีกครั้ง
เพียงแต่ นัยน์ตาของนางต่างจากแต่ก่อนที่ดูพร่ามัว ได้กลับมาสู่ความสดใสมีสติอีกครั้ง
“ออกมา!”
นํ้าเสียงของซือมั่วแฝงไว้ด้วยความเย็นชา ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกเย็นยะเยือก ในที่สุดก็ตอบสนองกลับมาได้ว่า ที่ชายคนนี้หยุด เหตุผลส่วนใหญ่ก็เพราะว่ามีคนเข้ามาใกล้ เป็นใครปรากฏตัวกัน?
มู่ชิงเกอฟังออกถึงจิตสังหารจากนํ้าเสียงของซือมั่ว ถัดมาก็ได้ยินเสียงกรีดแขนเสื้อ มองเห็นเงาสีดำที่ดูคุ้นเคยโผล่ออกมา
‘ที่แท้ก็เป็นกู่หยากับกู่เย่!’ มู่ชิงเกอเข้าใจในทันที จากนั้นในใจก็รู้สึกขบขันขึ้นมา สองคนนี้ทำลายเรื่องดีของเจ้านายตนเอง ไม่รู้ว่ามีหนังให้ลอกกี่ชั้น ถึงจะสามารถลดทอนความแค้นในใจของซือมั่วลงได้
เอ๋?
มู่ชิงเกอกะพริบตา ลอบพิงอกของซือมั่วเงียบๆ ‘ไม่ถูกต้อง! ทั้งสองคนน่าจะถือได้ว่าเป็นคนที่ช่วยชีวิตตนเองถึงจะถูก! หากไม่ใช่ว่าพวกเขามาได้ทันเวลา ไม่แน่ว่า นางอาจจะ…’
สูดลมหายใจเข้าลึกๆ มู่ชิงเกอยึดเอาความดี เก็บความคิดที่ชอบเห็นคนอื่นทุกข์ทรมานกลับไป
“ท่านประมุข พวกเรา…พวกเรามีเรื่องสำคัญจะรายงาน” กู่หยาพยายามพูดออกมา
ถ้าหากว่าสายตาสามารถฆ่าคนได้พวกเขาสองคนคงตายไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว
พวกเขาสาบานได้ว่าพวกเขาเพิ่งจะมาถึง มองไม่เห็นอะไรเลย สิ่งเดียวที่ทำพลาดไปก็คือไม่ควรปรากฏตัวในเวลานี้ ทำลายเรื่องดีของท่านประมุข ในใจของกู่หยานั้นรู้สึกรันทดในใจยิ่งนัก กู่เย่นิ่งเงียบ ท่าทางรู้สึกผิด
“พูด” ซือมั่วเอ่ยออกมาคำเดียว แต่กลับทำให้ความหวาดกลัวของกู่หยาและกู่เย่เพิ่มขึ้นจนขนลุกตั้งชัน
“คนของตระกูลจิงหาโห่วพบแล้ว!” กู่เย่ที่เงียบอยู่แย่งพูดออกมาก่อน
“พวกเขาหาโห่วพบแล้วงั้นหรือ?” มู่ชิงเกอลากแขนเสื้อของซือมั่วลง โผล่ใบหน้าของตนเองออกมา
เพียงแต่ว่า แม้ว่านางจะโผล่มาแค่ใบหน้า กู่หยาและกู่เย่ ก็ยังไม่กล้ามอง ทำได้เพียงก้มหัวให้ตํ่าลง
“ขอรับ” กู่เย่เอ่ยตอบ
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ เอ่ยกับซือมั่วว่า “พวกเราก็รีบไปดูเถอะ”
ซือมั่วแน่นอนว่าไม่ปฏิเสธ พยักหน้าให้กับมู่ชิงเกอ ในตอนที่เขาหันกลับมา แล้วสายตาไปตกอยู่ที่กู่หยาและกู่เย่นั้น ก็เปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกขึ้นมา “หลังจากกลับไป พวกเจ้าสองคนไปเฝ้าอยู่ที่ทะเลมั่วไห่สักระยะหนึ่งเถอะ”
คำนี้พอหลุดออกไป กู่หยาและกู่เย่ทั้งสองคนก็สั่นขึ้นพร้อมกัน
หวาดกลัวจนทั้งสองเงยหน้าขึ้นมองซือมั่ว สีหน้าเปลี่ยนเป็นขาวซีด
เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีทีท่าที่จะถอนคำสั่งกลับ ทั้งสองคนก็หลุบตาลงอย่างน่าสงสาร เอ่ยด้วยอารมณ์ที่สิ้นหวังว่า “ขอรับ”
พูดจบแล้วทั้งสองคนก็หายตัวไปจากสายตาของมู่ชิงเกอ
“ทะเลมั่วไห่คือสถานที่อย่างไรกัน? เหตุใดเมื่อพวกเขาได้ยินแล้วถึงหวาดกลัวได้ถึงขนาดนั้น?” แน่นอนว่ามู่ชิงเกอรู้ว่าซือมั่วจงใจลงโทษพวกเขา
เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าทะเลมั่วไห่เป็นสถานที่อย่างไรกันแน่ ถึงได้สามารถทำให้กู่หยาและกู่เย่หวาดกลัวได้ถึงขนาดนั้น?
“นั่นเป็นสถานที่หนึ่งที่พวกเขายอมตายเสียดีกว่าที่จะไป” ซือมั่วกล่าวอธิบายอย่างคลุมเครือ
‘สถานที่ที่ยอมตายก็ไม่ยอมไป!’ นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหดตัวลง มองไปทางซือมั่ว แต่ก็ไม่ได้ไล่ถามต่อ
จิงฟ่งอวี่ตื่นขึ้นมาจากการฝึกปรือ ก่อนจะมองไปยังหมอกพิษที่ยังไม่ได้กระจายไปไหนเหล่านั้น ไม่ไกลออกไป อารองของเขากำลังเตรียมความพร้อม เพื่อจุดกลิ่นหอมเตี๋ยหลานเขียง มีคนของตระกูลจิงคอยวาดค่ายกลพันธสัญญา ดูแล้วอีกไม่นานก็คงเสร็จ
ในตอนที่จิงเทียนเหิงลืมตาขึ้นมานั้น จิงฟ่งอวี่ก็ลุกขึ้นเดินไปหาเขา
“อารอง…” จิงฟ่งอวี่คุกเข่าลงข้างกายของจิงเทียนเหิง ในนํ้าเสียงมีความเป็นห่วง
จิงเทียนเหิงถอนหายใจ มองไปทางจิงฟ่งอวี่แล้วเอ่ยว่า “ฟงอวี่ไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้ารู้ตัวดี”
“อารอง ถ้าหากรู้สึกว่ามันต่อต้าน ท่านก็ต้องรีบตัดการเชื่อมต่อในทันที ห้ามฝืนเป็นอันขาด” จิงฟ่งอวี่เอ่ยกับจิงเทียนเหิง
จิงเทียนเหิงยิ้มๆ ส่ายหน้า เอ่ยกับจิงฟ่งอวี่ว่า “หลังจาก ที่เตี๋ยหลานเขียงถูกจุดขึ้นแล้วก็ไม่ใช่ว่าข้าอยากจะหยุดก็จะหยุดได้”
“อารอง หากว่าต้องเสียท่านไปเพื่อแลกกับสัตว์อสูรพันธสัญญา ข้าไม่ขอเอาจะดีกว่า” จิงฟ่งอวี่เอ่ย
จิงเทียนเหิงชะงัก ในใจเกิดความซาบซึ้ง
“อารอง ท่านก็รู้ว่าหลังจากจุดเตี๋ยหลานเขียงแล้วก็จะไม่สามารถควบคุมตนเองได้อีกทั้งบิดาข้าก็เคยพูดว่า ก่อนที่สัตว์อสูรพันธสัญญาจะต่อต้าน ก็ให้ตัดปัญญา แห่งการหยั่งรู้บางส่วน ถึงแม้จะได้รับบาดเจ็บหนัก แต่อย่างน้อยก็สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้!” จิงฟ่งอวี่เอ่ยกับจิงเทียนเหิงอย่างจริงจัง
“เอาละ ข้ารู้แล้ว” จิงเทียนเหิงพยักหน้า
เวลานี้ คนของตระกูลจิงก็เดินเข้ามา เอ่ยกับจิงเทียนเหิงและจิงฟ่งอวี่ว่า “ผู้อาวุโส นายน้อย วาดค่ายกลพันธสัญญาเสร็จแล้วขอรับ”
จิงเทียนเหิงลุกขึ้นมา เดินไปยังค่ายกลพันธสัญญา พร้อมกันกับจิงฟ่งอวี่
นี่เป็นค่ายกลพันธสัญญาสีเลือด บนนั้นมีอักขระลวดลายที่ดูลึกลับและโบราณ สามารถอัญเชิญพลังพิเศษชนิดหนึ่ง ที่สามารถทำให้สัตว์อสูรยอมจำนนและทำ พันธสัญญากับคนที่มีสายเลือดตระกูลจิงได้
ดูค่ายกลพันธสัญญาอย่างละเอียดแล้ว จิงเทียนเหิงกับจิงฟ่งอวี่ก็สบตากันแวบหนึ่ง พยักหน้าให้กัน
จิงเทียนเหิงหันกายไปเอ่ยกับคนอื่นๆ ว่า “เอาละ ลำบากแล้ว ทำตามแผนการที่วางเอาไว้ก่อนหน้านี้ พวกเจ้าถอยเข้าไปในที่ลับ รอจนกว่าสัตว์อสูรพันธสัญญาจะเดินเข้าไปในค่ายกลพันธสัญญา พอค่ายกลเปิดการทำงานแล้ว ก็ค่อยออกมา หากมีอะไรไม่ถูกต้อง ให้พวกเจ้าจากไปในทันที ห้ามลังเลเด็ดขาด ยังมีอีกอย่าง ต้องคุ้มครองนายน้อยฟ่งอวี่ให้ดี คุ้มครองเขาให้ไปจนถึงตระกูลจิงในภาคกลาง!”
คำพูดของจิงเทียนเหิง ดูเหมือนเป็นคำฝากฝังครั้งสุดท้าย ฟังแล้วก็ทำให้ในใจของจิงฟ่งอวี่รู้สึกเจ็บปวด
คนอื่นๆ ของตระกูลจิงก็ล้วนแต่ดูเคร่งเครียด พยักหน้าให้แก่จิงเทียนเหิง เป็นการรับปาก
หลังจากจิงเทียนเหิงกวาดตามองดูใบหน้าของพวกเขาแล้ว ก็หลุบตาลง เดินไปด้านหลังค่ายกลพันธสัญญา นั่งสมาธิลง ในตอนที่เขากางฝ่ามือออก ใจกลางฝ่ามือของเขาก็ได้มีเครื่องหอมที่มีขนาดเล็กเท่าเล็บมือสีทองอยู่อันหนึ่ง
“นายน้อย นี่คือเตี๋ยหลานเขียงในตำนานอย่างนั้นหรือ?” ผู้คุ้มกันของจิงฟ่งอวี่ที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขา เอ่ยถามขึ้นมาเสียงเบา
จิงเฟิงอวี่พยักหน้า และก็กดเสียงให้เบาเอ่ยว่า “ข้าเคยเห็นที่บิดามาครั้งหนึ่ง เป็นเตี๋ยหลานเขียงจริงๆ”
“ผู้คุมกฎออกมาในครั้งนี้ถึงกับนำเตี๋ยหลานเขียงมาด้วย เกรงว่าคงเตรียมพร้อมมาก่อนแล้ว นายน้อยก็อย่าได้เป็นกังวลเกินไปเลย” ผู้คุ้มกันเอ่ยปลอบ
แต่ว่า จิงฟ่งอวี่กลับส่ายหน้า “นำเตี๋ยหลานเขียงมาก็หมายความว่าอารองต้องการนำสัตว์อสูรพันธสัญญา กลับไปจริงๆ เขากำลังเสี่ยงอันตรายเพื่อข้า เพื่อตระกูล จิง จะไม่ให้ข้าเป็นห่วงได้อย่างไร?”
คำพูดของเขา ทำให้ผู้คุ้มกันเงียบลง ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ทำได้เพียงภาวนาในใจ ภาวนาให้ไม่มีอันตราย
“ข้าจะจุดเครื่องหอมแล้ว” จิงเทียนเหิงพูดออกมา
นัยน์ตาของจิงฟ่งอวี่ฉายแวววาววาบ สั่งการทุกคน “ถอยไป!”
เขาสั่งการออกไป ทุกๆ คนค่อยๆ ถอยไปด้านหลัง ซ่อนตัวเองไว้ในเงามืดของดงไม้ เก็บกลิ่นอายของตนเอง
จิงฟ่งอวี่นำผู้คุ้มกันของตนเองถอยไปในเงามืด เพียงแต่ระยะห่างของเขานั้นใกล้กับจิงเทียนเหิงที่สุด และก็ทำให้เขาสามารถมั่นใจได้ว่า หากมีเรื่องเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น ก็สามารถช่วยจิงเทียนเหิงออกมาได้ในทันที
ในตอนที่ลมหายใจของทุกคนหายไปแล้วนั้น เตี๋ยหลานเขียงในมือของจิงเทียนเหิงก็มีควันสีเขียวโผล่ออกมา
เตี๋ยหลานเขียงนั้นมีเพียงแค่พลังจิตเท่านั้นถึงจะจุดให้ติดได้
ควันของเตี๋ยหลานเขียงเข้มชันขึ้นเรื่อยๆ เงาร่างของจิงเทียนเหิง เปลี่ยนเป็นดูคลุมเครือต่อหน้าพวกจิงฟ่งอวี่ ดูเหมือนกับได้ถูกหมอกของเตี๋ยหลานเขียงคลุมตัวเอาไว้
ทันใดนั้น เตี๋ยหลานเขียงก็โอบล้อมสติของจิงเทียนเหิง ออกจากหว่างคิ้วของเขาลอยออกไป เข้าไปในหมอกพิษ เตี๋ยหลานเขียงนำสติของจิงเทียนเหิง ทะลุผ่านหมอกพิษเข้าไปภายในส่วนลึกของหมอกพิษ
ในส่วนลึกภายในถํ้าขนาดใหญ่มืดมิดดั่งความว่างเปล่าอันเวิ้งว้าง
มีอสูรร้ายบรรพกาลตนหนึ่ง หมอบอยู่บนพื้น มองเห็นแค่เพียงเงารางๆ แต่แม้เพียงเงาลางๆ ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่แข็งแกร่ง ดูดุจดั่งขุนเขา
มันดูเหมือนว่ากำลังหลับอยู่ ดูเหมือนเป็นเพราะร่องรอยบาดแผลบนร่าง กำลังรักษาตัว
ทันใดนั้นก็มีแสงมืดทึบก็พุ่งเข้ามาในถํ้า ไม่ได้หวาดกลัวต่อหมอกพิษที่อยู่รอบตัวมัน พุ่งตรงมาตรงหน้าของมัน เข้าไปยังหว่างคิ้วของมันอย่างไม่ลังเล
ทันใดนั้นดวงตาที่ปิดสนิทของมันก็ถูกเปิดออกในทันใด เสียงคำรามดังลั่นสะเทือนไปทั่วฟ้า
“โฮก—–!”
เสียงดังไปตามรอยแตกและช่องว่างสะท้อนออกไปทั่วทั้งป่า
เสียงนี้ดังออกไปนอกหมอกพิษ ทำเอาคนของตระกูลจิงเกร็งไปชั่วขณะ
นัยน์ตาของจิงฟ่งอวี่ฉายแววลึกลํ้า มองไปทางจิงเทียนเหิง
อย่างที่คิดเอาไว้สีหน้าของจิงเทียนเหิงเปลี่ยนเป็นซีดขาว มีเลือดซึมออกมาจากปาก
นี่ทำให้จิงฟ่งอวี่หวั่นเกรงขึ้นมา กังวลใจในสถานการณ์ของจิงเทียนเหิง ในขณะเดียวกันในใจของเขาก็รู้สึกตกตะลึง ‘เป็นสัตว์อสูรชนิดใดกันแน่ถึงได้ร้ายกาจถึงขนาดนี้!’
ลึกลงไปในพื้นดิน ดวงตาสีทองดุจดั่งเปลวเพลิงของโห่ว มืดแสงลงดุจดั่งสติหลุดลอยไป
อยู่ดีๆ มันก็ลุกยืนขึ้นมา ร่างกายอันใหญ่โตดุจดั่งขุนเขา ค่อยๆ ก้าวออกมานอกหมอกพิษ ดูเหมือนว่าเป็นหุ่นไม้ที่ถูกควบคุม
นอกป่าหมอกพิษ คนของตระกูลจิงเฝ้ารออย่างร้อนใจ
ตามกาลเวลาที่ผ่านไป กล้ามเนื้อของพวกเขาล้วนแต่เขม็งเกร็งไปหมด หวาดกลัว กังวล ตื่นเต้น ตึงเครียด…
อารมณ์หลากหลายอารมณ์พัวพันกันอยู่ในใจของพวกเขา
จิงฟ่งอวี่ทั้งคอยจับตาดูสถานการณ์ของจิงเทียนเหิงทั้งจ้องมองในหมอกพิษ
ทันใดนั้น เขาก็มองเห็นว่าในหมอกพิษ มีเงาร่างมหึมากำลังค่อยๆ เคลื่อนไหว นัยน์ตาของเขาหดตัวลง เอ่ยเตือนเสียงเบาว่า “มาแล้ว!”
มาแล้ว!
คำที่ง่ายดาย กลับทำให้คนของตระกูลจิงที่ซ่อนตัวอยู่เพิ่มความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น ยิ่งเก็บงำกลิ่นอาย
จิงฟ่งอวี่เตือนไปไม่นาน เงาร่างอันมหึมาก็ค่อยๆ ออกมาจากหมอกพิษ
ตามการปรากฏตัวของมัน จิงฟ่งอวี่แล้วก็ยังมีคนของตระกูลจิงล้วนแต่เลื่อนสายตาขึ้นไป มองไปยังยักษ์ใหญ่ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของพวกเขา
ป่าไม้ที่นี่นั้นสูงมาก ต้นไม้ทุกต้นล้วนแต่สูงประมาณสิบจั้ง
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้ามัน ก็ดุจดังเป็นต้นหญ้า เปลี่ยนเป็นเล็กจ้อย
คนของตระกูลจิงล้วนแต่ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง นัยน์ตาเกิดเป็นเมฆดำพร่ามัวก้อนใหญ่
“นายน้อย นี่เป็นสัตว์อสูรพันธสัญญาชนิดใดกัน!” ผู้คุ้มกันของจิงฟ่งอวี่เอ่ยถามอย่างแปลกใจ
จิงฟ่งอวี่ก็ตกใจเช่นเดียวกัน มองไปยังยักษ์ใหญ่ที่ค่อยๆ เข้ามาใกล้ ไม่รู้เลยว่าจะพูดว่าอย่างไร
มันดูเหมือนขุนเขาที่กำลังเคลื่อนที่ เมื่อเข้ามาใกล้ด้านหน้าของพวกเขาก็เหมือนมี เมฆดำก้อนใหญ่บังเอาไว้ ร่างเพรียวยาว ลักษณะทั้งเหมือนม้าและหมือนกระต่าย ผสมกัน ทั้งร่างดูแน่นหนา นัยน์ตาสีทองดุจดังมีเปลวไฟลุกโชน เพียงแต่ตอนนี้ดูเหมือนจะมืดทึบ ฟันแหลมคมที่ถูกซ่อนไว้ในปากดูเหมือนจะฉีกฟ้าได้อย่างง่ายดาย กรงเล็บด้านหน้าดูเหมือนกรงเล็บของนกอินทรี กรงเล็บด้านหลังดูเหมือนเสือ ทุกก้าวย่างที่เดิน ล้วนแต่สนสะเทือนไปทั้งฟ้าดิน
“นี่…นี่คือ…” นํ้าเสียงของจิงฟ่งอวี่สั่นขึ้นเล็กน้อย เขารู้สึกได้ว่าเมื่อตัวเองอยู่ต่อหน้าสัตว์อสูรตัวนี้แล้วก็ดูดุจดังมดปลวก
เขาหมุนคอมองไปทางคนของตระกูลจิง พบว่าใบหน้าของทุกคนในตอนนี้เป็นเหมือนกับขี้เถ้า ดูหวาดกลัวมาก
“ภายในภาพวาดสัตว์อสูรของตระกูลจิง ข้าไม่เคยเห็นมันมาก่อน!”จิงฟ่งอวี่สูดหายใจลึกรีบเอ่ยออกมา
ภาพวาดสัตว์อสูรของตระกูลจิง เป็นสิ่งที่วาดโดยบรรพชนของตระกูลจิงมาเป็นเวลากว่าพันหมื่นปี บนนั้น บันทึกสัตว์อสูรวิญญาณ สัตว์อสูรเทวะ สัตว์มหาเทพ จำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้ แต่บนโลกก็ยังมีสัตว์อสูรมากมายที่พวกเขาไม่เคยเห็น และก็ไม่ได้บันทึกไว้ในภาพวาด เหมือนกับตรงหน้า!
ชั่วขณะนั้นจิงฟ่งอวี่เหมือนลืมไปเลยว่าตัวเองควรจะทำอะไร ทำได้เพียงแต่จ้องมองสัตว์อสูรยักษใหญ่อย่างหวาดกลัว ค่อยๆ ก้าวเข้ามาในค่ายกลพันธสัญญา
ในตอนที่กรงเล็บด้านหน้าของมันก้าวเข้ามาในค่ายกลพันธสัญญานั้น แสงสีเลือดของค่ายกลพันธสัญญาก็เปล่งแสงออกมา
จิงเทียนเหิงเม้มริมฝีปากแน่น ทันใดนั้นก็กระอักเลือดออกมา
ฉากนี้ดูน่ากลัวมาก
ร่างกายของโห่ว ขัดขืนเล็กน้อยแต่ก็ยังขยับเดินไปด้านหน้าอีกหนึ่งก้าว
แต่ค่ายกลพันธสัญญาที่ ‘เล็กๆ’ นั่นก็ดูเหมือนจะไม่สามารถรองรับร่างกายทั้งหมดของโห่วได้ ร่างของโห่วใหญ่โตเกินกว่าที่ทุกคนของตระกูลจิงคาดเอาไว้
ในที่สุดกรงเล็บด้านหน้าของโห่วก็ตกเข้าไปในใจกลางของค่ายกลพันธสัญญา
ในชั่วขณะนั้นเอง ลวดลายอักขระลึกลับบนค่ายกลพันธสัญญาก็วาววาบเป็นสีเลือดออกมา พุ่งขึ้นไปบนฟ้า ดูเหมือนสร้างกรงระหว่างดินกับฟ้าขึ้นมาขังโห่วไว้ด้านใน
ร่างกายครึ่งหน้าของโห่วถูกขังไว้ด้านในค่ายกลพันธสัญญา ส่วนร่างกายส่วนหลังกลับอยู่นอกค่ายกลพันธสัญญา
ภาพที่ดูแปลกประหลาดเช่นนี้ ทำให้คนของตระกูลจิง เกิดความตึงเครียดจนไม่กล้าหายใจ
พลังของค่ายกลพันธสัญญาตกลงบนร่างของโห่ว ด เหมือนกับสายฟ้าสีแดง เกี่ยวพันเข้ากับร่างกายของมัน พลังที่ต้องการจะบุกโหมเช่นนี้กระตุ้นให้สติของมันต่อต้านขึ้นมา!
“โฮก—–!”
เสียงคำรามดังสนั่นสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งฟ้าดินดังขึ้นมาอีกครั้ง
โห่วยกหัวขึ้นมา คำรามขึ้นฟ้า ต้องการหลุดออกจากการ
เกี่ยวพันของค่ายกลพันธสัญญา
“อึก—–!”
ทันใดนั้น จิงเทียนเหิงก็กระอักเลือดออกมา เลือดสาดกระจาย เปื้อนใบหน้าและเสื้อผ้าของเขา
เมื่อเห็นแล้วจิงฟ่งอวี่ก็ร้องตะโกนขึ้นอย่างตกใจ “อารอง!”
“โฮก—–!”
เสียงคำรามด้วยความโมโหดังขึ้นอีกครั้ง ในนั้นผสมกับพลังที่สามารถทำลายฟ้าดินได้ มันกำลังโกรธ โกรธที่เหล่ามนุษย์ที่น่ารังเกียจเหล่านี้คิดจะควบคุมสติของมัน ทั้งยังปล่อยให้พวกเขาทำสำเร็จ เหล่ามนุษย์ที่น่าตายพวกนี้กลับยังคิดจะทำพันธสัญญากับมันอีก ทำให้มันกลายเป็นทาสของพวกมนุษย์!
ดวงตาสีทองขนาดใหญ่ที่ลุกโชนด้วยเปลวไฟคู่นั้นเต็มไปด้วยไอสังหาร มีเส้นสีแดงเคลื่อนอยู่ภายใน
มันอยากจะฆ่า! ต้องฆ่าทุกคนที่นี่!
“ฟ่งอวี่ เร็ว รีบอาศัยจังหวะนี้!” จิงเทียนเหิงกุมหน้าอก ตะโกนไปทางจิงฟ่งอวี่
จิงฟ่งอวี่ได้สติ เงยหน้ามองไปยังโห่ว สายตาของเขาผสานกันกับสายตาที่เต็มไปด้วยไอสังหารของโห่ว ความกลัวชนิดหนึ่งเกิดขึ้นในส่วนลึกของจิตใจ
พริบตานั้น เขาคิดจะหนีแต่สุดท้ายก็ยังพุ่งเข้าไปในค่ายกลพันธสัญญา
“ด้วยเลือดของข้า ด้วยวิญญาณของข้า ขอทำพันธสัญญากับเจ้า เป็นตายร่วมกัน ไม่แยกจาก!” จิงฟ่งอวี่ พูดจบอย่างรวดเร็ว กรีดมือของเขา เลือดไหลออกมาจากบาดแผล
เขามองไปยังโห่ว คิดจะแตะมือที่มีเลือดไหลไปที่ตัวของโห่ว ในขณะที่สัตว์อสูรพันธสัญญานี้ยังไม่ทันได้ตั้งตัว กลับมาทำพันธสัญญากับมันก่อน
แต่ว่า มือของเขาเพิ่งจะถูกยกขึ้น เสียงคำรามก็ดังออกมาจากปากของโห่ว
เสียงของโห่วนำพาพลังอันแข็งแกร่งออกมาด้วย ทั้งยังมีเปลวไฟเผาไหม้มุ่งตรงมายังจิงฟ่งอวี่
“อึก—–!”
จิงฟ่งอวี่กระอักเลือดออกมา ร่างกายถูกพลังอันแข็งแกร่งกระแทกจนตัวลอยออกไปนอกค่ายกลพันธสัญญา
นัยน์ตาของจิงเทียนเหิงหดตัวลง ไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตัวเอง กระโดดลอยตัวขึ้น รับร่างของจิงฟ่งอวี่กลางอากาศ ทั้งยังอดไม่ได้ที่จะกระอักเลือดออกมา ในตอนที่เขาเพิ่งจะรับร่างของจิงฟ่งอวี่นั้น ก็สัมผัสได้ถึงไอสังหารที่ไม่อาจต้านทานตกลงมาจากฟ้า
ไม่ต้องคิดมาก จิงเทียนเหิงพลิกร่าง ป้องกันจิงฟ่งอวี่ที่สลบอยู่อย่างแน่นหนา ในตอนที่เขาเพิ่งจะทำเสร็จ กรงเล็บอันแหลมคมด้านหน้าของโห่วก็ตกลงบนส่วนหลังของเขา กำลังอันแข็งแกร่งดูเหมือนจะทำให้กระดูกสันหลังและเส้นชีพจรของเขาแตกละเอียด
สีหน้าของจิงเทียนเหินเปลี่ยนเป็นม่วงคลํ้า เส้นเลือดบนหน้าผากนูนขึ้น นัยน์ตามีสีเลือดเจือปน
พลังฝึกปรือในร่างแทบจะถูกสลายไปโดยการโจมตีครั้งเดียว
ร่างกายของจิงเทียนเหิงและจิงฟ่งอวี่ตกลงมาจากฟ้า
คนของตระกูลจิงที่ซ่อนตัวอยู่ในที่ลับต่างพากันออกมาในทันที พยุงพวกเขาขึ้นมา
จิงเทียนเหิงผลักพวกเขาออก ใช้แรงเฮือกสุดท้ายเอ่ยว่า “สัตว์อสูรตัวนี้พวกเราไม่อาจล่วงเกินได้พวกเจ้ารีบพาฟ่งอวี่ไป ข้าจะรั้งท้ายเอง!”
“ผู้อาวุโส!” ทุกคนร้องขึ้นมา เวลานี้ใครก็รู้ดีว่ารั้งท้ายหมายความว่าอย่างไร
จิงเทียนเหิงเอ่ยอย่างแค้นเคืองว่า “อย่ามาทำตัวชักช้ากับข้าที่นี่ จดจำภารกิจของพวกเจ้าให้ดีรีบไป—–!”
คนของตระกูลจิงทุกคนกัดฟัน แบกจิงฟ่งอวี่แล้วถอยหนีไป
แต่เสียงคำรามของโห่วก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
ทำให้ทุกคนหัวใจกระตุก กระอักเลือดออกมา แทบอ่อนแรง
แรงลมดุดันสายหนึ่ง พุ่งขึ้นมาจากพื้นเรียบ ม้วนพวกเขาทิ้งออกไปไกล ตามมานั้นยังมีเสียงที่กระตุกหัวใจของจิงเทียนเหิงดังออกมาว่า “รีบไป—–!”
เสียงนี้ทำให้ทุกคนเข้าใจว่านี่คือลมที่ส่งพวกเขาไป เป็นการปกป้องสุดท้ายที่จิงเทียนเหิงมอบให้พวกเขา
“โฮก—–!” นัยน์ตาสีทองที่ดูเหมือนกับเปลวไฟของโห่ว ดูเยียบเย็น จับจ้องเหล่ามนุษย์ที่หลบหนีไปจากมือของมัน หมอกควันที่มีฤทธิ์กัดกร่อนพุ่งออกมาจากช่องว่างระหว่างเกล็ดผิวหนังของมัน ไล่ตามพวกคนของตระกูลจิงพวกนั้นไป
เพียงแค่สัมผัส พวกเขาจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!
“ไม่—–!” จิงเทียนเหิงรู้ถึงเจตนาของโห่ว ร้องตะโกนขึ้นอย่างสิ้นหวัง ข่มความเจ็บปวดของตันเถียนที่ถูกทำลาย ปล่อยการโจมตีที่รุนแรงที่สุดออกไป เขานำเอาพลังฝึกปรือระดับสีทองชั้นสอง รวมทั้งพลังจิตทั้งหมดในร่างกายรวมเป็นก้อนแสง พุ่งไปยังหัวของโห่ว
เขาต้องฆ่าสัตว์เดรัจฉานตัวนี้ให้ได้!
ตอนนี้เวลานี้ ความสามารถทางสายเลือดของตระกูลจิงไม่ได้มีประโยชน์อันใดเลย
ดูเหมือนสัตว์อสูรตัวนี้จะไม่ได้รับอิทธิพลจากสายเลือดเลยแม้แต่น้อย
“ชิ พวกมนุษย์’ ทันใดนั้นโห่วก็พูดภาษาคนออกมา กรงเล็บด้านหน้าตะปบออกไปเบาๆ การโจมตีด้วยพลังทั้งหมดของจิงเทียนเหิง ก็ถูกตบส่งกลับไป ตกลงภายในป่า เกิดเป็นเสียงระเบิดดังสนั่น
สีหน้าของจิงเทียนเหิงเปลี่ยนเป็นขาวซีดขึ้น พุ่งไปหาโห่วอย่างบ้าคลั่ง!
เขาเสียใจ เสียใจจริงๆ ในตอนที่สัมผัสได้ว่าโห่วไม่ธรรมดานั้น เขาน่าจะปล่อยวางความโลภ นำพาทุกคนถอยออกไปอย่างปลอดภัย ไม่ควรเสี่ยงทำพันธสัญญา!
หากว่ารุ่นเยาว์ที่มีความสามารถมากที่สุดของตระกูลจิง มาตายลงที่นี่ เขาตายหมื่นครั้งก็ไม่อาจลบความผิดลงได้!
“อ้า—–!” อยู่ดีๆ ร่างกายของจิงเทียนเหิงก็บวมขึ้นมาเหมือนกับเป็นก้อนทรงกลมขนาดใหญ่
“ระเบิดตัวเอง!” นัยน์ตาสีทองดั่งเปลวเพลิงของโห่วหดตัวลง
พริบตาเดียว จิงเทียนเหิงก็มาถึงตรงหน้าของมัน เผยรอยยิ้มที่โหดเหี้ยมให้แก่มัน
บึ้ม—–!
เสียงระเบิดดังสะท้านไปทั่วหุบเขากูจี๋ซาน
สั่นสะเทือนไปทั้งหุบเขา
“เกิดอะไรขึ้น? ถึงรุนแรงได้ถึงขนาดนี้!” มู่ชิงเกอเกือบจะยืนไม่อยู่ เงยหน้ามองไปยังส่วนลึกของหุบเขากูจี๋ซาน บริเวณที่มีเสียงระเบิดดังออกมา
นัยน์ตาสีอำพันของซือมั่วหรี่เล็กลง เอ่ยออกมาว่า “ระดับสีทองระเบิดตัวเอง”
“ระดับสีทองระเบิดตัวเอง!” มู่ชิงเกอสูดลมหายใจเข้าไป นัยน์ตาหดตัวลง
แรงระเบิดทำให้เกิดพายุม้วนพัดออกมา
คนของตระกูลจิงที่กำลังหนีได้ยินถึงเสียงนี้ร่างกายล้วนแต่ชะงัก หันกายไปพร้อมสีหน้าทำทางที่ดูเศร้าสร้อยร้องว่า “ผู้อาวุโส—–!”
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่พวกเขาจะได้ระบายความรู้สึกโศกเศร้าในใจ หมอกพิษที่มีฤทธิ์กัดกร่อนก็เข้ามาปกคลุมสายตาของพวกเขา
“รีบนำนายน้อยหนีไป!” คนตระกูลจิงที่มีระดับพลังอยู่ระดับสีเงินคนหนึ่งตัดสินใจหลบทางให้ผู้คุ้มกันของจิงฟ่งอวี่
ผู้คุ้มกันคนนั้นกัดฟัน แบกจิงฟ่งอวี่ วิ่งไปพร้อมกับนํ้าตา
ในดวงตา ใช้สายตาส่งจิงฟ่งอวิ่จากไปแล้ว เขากับคนตระกูลจิงที่เหลืออยู่ก็ล้วนแต่ตัดสินใจจะสู้ตายด้วยกัน
พวกเขาปล่อยพลังจิตของตนเองออกมา สร้างเป็นเกราะป้องกัน ขวางหมอกพิษที่มีฤทธิ์กัดกร่อนเหล่านั้น
หมอกพิษปะทะเข้ากับเกราะพลังจิต กัดกร่อนอย่างต่อเนื่อง…
ไม่นาน ก็มีเสียงโหยหวนร้องขึ้นมาภายในป่าหลายเสียง บรรดาคนของตระกูลจิงใช้ชีวิตถ่วงเวลาให้กับจิงฟ่งอวี่ ส่วนพวกเขากลับจับมือกัน กลายเป็นกองเลือดภายในหมอกพิษ…
หนึ่งเค่อผ่านไป
“ที่นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” มู่ชิงเกอเหยียบไปบนพื้นที่ถูกกัดกร่อน นัยน์ตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง
รอบกายของนางห้าสิบจั้ง ทุกๆ ที่ล้วนแต่มีลักษณะเหมือนโดนกัดกร่อน เกิดกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ทำให้คนรู้สึกคลื่นไล้ ดูเหมือนว่าเพียงแค่พริบตา พวกนางได้เข้ามาถึงนรกที่น่าสยดสยองแห่งหนึ่ง
“พวกเราไปกันเถอะ” อยู่ดีๆ ซือมั่วก็เอ่ยขึ้นมา
“ไปงั้นหรือ?” มู่ชิงเกอหันมองเขา นัยน์ตาฉายแววสงสัย “ไม่ไปหาโห่วแล้วหรือ?”
“มันไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว” ซือมั่วเอ่ยอย่างสงบ ลากมู่ชิงเกอออกจากซากเละเทะนั่น
มู่ชิงเกอระหว่างที่เดินออกไปก็หันกลับไปมองภาพตรงหน้าดูน่าตกตะลึงจนเกินไป เป็นครั้งแรกที่ในใจของนางเข้าใจอย่างชัดเจนถึงความสามารถในการต่อสู้ของโห่ว
มองเห็นฉากนี้ด้วยตาของตนเอง ดูเหมือนว่านางจะสามารถเข้าใจแล้วว่าเหตุใดผู้แข็งแกร่งระดับสีทองของตระกูลจิงถึงต้องระเบิดตนเอง
โห่วน่ากลัวเกินไป และก็แข็งแกร่งเกินไป!
“คนของตระกูลจิงตายหมดเลยงั้นหรือ?” มู่ชิงเกอถอนสายตากลับ เอ่ยเสียงเบาๆ
ใครจะรู้ว่าซือมั่วกลับส่ายหน้า “มีไอชีวิตสองสายหนีไปแล้ว ถึงแม้ว่าหนึ่งในนั้นจะอ่อนแอมาก”
ยังมีสองคนงั้นหรือ? จะเป็นใครกันนะ?
ภายในหัวของมู่ชิงเกอ ปรากฏภาพของจิงฟ่งอวี่ขึ้นมาในทันใด เหตุการณ์ในหุบเขากูจี๋ซาน เกรงว่าคงจะส่งผลกระทบต่ออัจฉริยะของตระกูลจิงคนนี้ไม่น้อยเป็นแน่?
“เช่นนั้นตอนนี้พวกเราจะไปหาโห่วได้ที่ไหน?” มู่ชิงเกอเก็บความคิดที่ล่องลอยกลับเอ่ยถามออกไป
ซือมั่วยังคงสงบนิ่ง ท่าทีเช่นนี้ ดูเหมือนกับเขาไม่ได้มาเพื่อโห่วเลย ไม่ได้กังวลใจเลยว่าโห่วจะหนีไป “โห่วมีนิสัยเจ้าเล่ห์มันได้รับบาดเจ็บหนัก ทั้งยังต่อสู้ครั้งใหญ่กับมนุษย์ตอนนี้จะต้องไม่อยู่ที่เดิมอย่างแน่นอน แต่ถึงจะหนีไป กลิ่นอายของมันก็หนีไม่พ้นมือข้า ตามมาเถอะ”
มู่ชิงเกอกะพริบตา ทันใดนั้นก็เข้าใจ คาดว่าชายผู้นี้คงจะจับไอชีวิตของโห่วได้ตลอดดังนั้นจึงไม่ได้กังวลใจ พอคิดถึงฉากภาพทั้งหมดที่ถูกกัดกร่อนเมื่อครู่ นัยน์ตา ของมู่ชิงเกอเผยความเสียดายออกมา “น่าเสียดาย บรรยากาศอันงดงามของหุบเขากูจี๋ซาน”
ถอนหายใจแล้ว นางก็เอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “เป็นใครกันที่สามารถทำให้โห่วบาดเจ็บได้ถึงขนาดนี้ จนถึงขั้นต้องตกลงมาในโลกแห่งยุคกลาง?”
ซือมั่วคลี่ปากยิ้มออกมา นัยน์ตาสีอำพันฉายแววที่ยากจะเข้าใจมองดูมู่ชิงเกอ “เป็นกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า วิญณูชนกลุ่มหนึ่ง”
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น เข้าใจในทันที!
บนโลกนี้มีคนชั่วไม่น้อยเลยจริงๆ ที่มีมากเช่นเดียวกันก็คือพวกวิญณูชนจอมปลอม
สามารถทำให้โห่วที่แข็งแกร่งบาดเจ็บเช่นนี้ได้อีกฝ่ายคงต้องใช้เล่ห์กลต่างๆ มากมายเป็นแน่ แน่นอนในใจของมู่ชิงเกอก็ไม่ได้ปฏิเสธการใช้เล่ห์กลอุบายต่างๆ เพราะนางก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ชอบใช้เล่ห์กลเช่นเดียวกัน
ดังนั้น สำหรับซือมั่วที่เอ่ยอย่างล้อเล่นว่าเหล่า ‘วิญณูชนจอมปลอม’ นั้นมู่ชิงเกอทั้งไม่ยินดีและไม่รังเกียจ
“ทางนั้นมีการเคลื่อนไหว!” ทันใดนั้น มู่ชิงเกอก็สัมผัสได้ว่ามุมตาของตนเองมองเห็นเงาดำขยับอยู่ นางหยุดฝีเท้า มองสำรวจไปทางนั้น
ซือมั่วก็หยุดตาม มองไปตามสายตาของนาง แต่ฝั่งนั้นดูสงบเงียบมาก ดูเหมือนกับไม่มีอะไรเลย
“แปลก” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น เมื่อครู่นางรู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวจริงๆ
ในตอนที่นัยน์ตาของซือมั่วหรี่เล็กลง เผยรอยยิ้มออกมา ทันใดนั้น…
ซ่า ซ่า
ภายในกอหญ้า ก็เกิดการสั่นไหวขึ้นมาในทันใด
มู่ชิงเกอหรี่ตาเล็กลง ร่างกายดุจดังสายฟ้าแวบพุ่งออกไป รอตอนที่เงาร่างของนางปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งนั้น ในมือของนางก็มีบางอย่างออกมาด้วย มีขนาดยาว ประมาณสองนิ้ว
“เป็นกระต่ายที่ดูประหลาดมาก!” มู่ชิงเกอพิจารณาของในมือที่ชูขึ้นมา มองดูอย่างสนใจ
กระต่ายประหลาดตัวนี้ ตลอดทั้งร่างเป็นสีขาว สองหูกลับมีสีดำ มีปลายแหลมตรงปาก กลีบปากสีชมพูอ่อนน่ารักมาก เพียงแต่ดวงตาคู่นั้น
“ข้ายังไม่เคยพบเจอกระต่ายที่มีดวงตาสีทองมาก่อน น่าสนใจมาก” มู่ชิงเกอจ้องมองดวงตาสีทองของกระต่าย ภายในดวงตาสีทองคู่นั้น มีความหวาดกลัวที่ถูกจับ ดูตื่นๆ ทำให้คนรู้สึกว่ามันน่าสงสารยิ่งนัก
มู่ชิงเกอหันกระต่ายตัวนั้นไปที่เบื้องหน้าของซือมั่ว มุมปากเผยรอยยิ้มออกมาเอ่ยว่า “จับกระต่ายได้ตัวหนึ่ง คืนนี้สามารถเพิ่มในรายการอาหารได้”
เสียงของนางเพิ่งหลุดออกไป ร่างกายของกระต่ายที่ถูกนางจับอยู่ๆ ก็แข็งทื่อขึ้นมา
ความมืดมนในนัยน์ตาสีอำพันของซือมั่วจ้องมองกระต่ายตัวนั้น ค่อยๆ หรี่ตาลง และในมุมที่มู่ชิงเกอมองไม่เห็น กระต่ายประหลาดในมือของนางตัวนั้น ดวงตาสีทองที่ดูบริสุทธิ์น่าสงสารคู่นั้นหายไปแทนที่ด้วย ความเย็นชาและตักเตือน
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์อยากจะกินกระต่ายงั้นหรือ?” ซือมั่วไม่สนใจการข่มขู่จากนัยน์ตาสีทองคู่นั้น มุมปากเผยรอยยิ้มขบขัน ค่อยๆ เอ่ยออกมา