ตอนที่ 253
ใครปองร้ายใคร? อีกหนึ่งตระกูลมู่
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์อยากกินเนื้อกระต่ายหรือ?” เสียงของซือมั่วเกิดไอสังหารรุนแรงปั่นป่วนบริเวณโดยรอบ
สายลมที่เกิดขึ้นมาฉับพลันพัดพาเส้นผมมู่ชิงเกอปลิวไสว ทำให้นางร้สึกหนาวต้นคอ ราวกับมีมีดคมกริบปัดผ่านต้นคอนางไปอย่างไรอย่างนั้น
นางค่อยๆ กวาดสายตามองไปรอบๆ ทั้งสี่ด้านด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ
เก็บความประหลาดใจได้แล้วนางจึงเอ่ยตอบคำถามของซือมั่ว “โดยทั่วไปในสถานการณ์เช่นนี้ หากไม่ให้นำมาย่าง หรือจะให้เลี้ยงเก็บไว้หรือไง?”
คำพูดของนาง ทำให้รอยยิ้มในดวงตาเขาฉายชัดยิ่งขึ้น ทันใดนั้นเขาก็ยกมือขึ้น ยื่นมือไปจะหนีบ ‘เจ้ากระต่าย’ ที่อยู่ในมือมู่ชิงเกอออกมา
เมื่อฝ่ามือใหญ่ของเขาขยับบีบเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ‘เจ้ากระต่าย’ ตัวนั้นก็ขนพองลุกชันไปทั้งตัว ส่งสายตามองเขาถมึงถึง ในขณะที่ฝ่ามือของซือมั่วใกล้จะสัมผัสโดนตัวมันนั้น มันก็ส่งเสียงร้องเล็กๆ ‘จี๊ด จี๊ด’ ขึ้นมา ราวกับได้รับเรื่องที่ทำให้ตกใจขนาดหนัก ประท้วงออกมา
“เป็นอะไรไปรึ?” มู่ชิงเกอดึงมือของตนกลับ ปล่อยให้มันขยับหนีออกจากฝ่ามือของซือมั่ว
นางใช้มือหนีบกระต่ายพลิกตัวกลับมาเผชิญหน้ากับตนเอง พิจารณาอยู่ชั่วครู่ก่อนเงยหน้าขึ้นมองซือมั่ว “เหมือนว่ามันจะกลัวมาก?”
“ใช่สิ จะถูกพวกเรากินอยู่แล้ว ไม่กลัวได้หรือ?” ซือมั่วเอ่ยกึ่งล้อเล่น
ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็ขมวดคิ้ว จมูกเล็กสูดลมหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า “มีกลิ่นคาวเลือด มันได้รับบาดเจ็บมา?” มู่ชิงเกอลงมือค้นหาทันที ในที่สุดก็พบรอยแผลที่มีเลือดไหลซิบๆ ใต้ขนของมัน
“เช่นนั้นก็รีบลงมือเข้าเถอะ เดี๋ยวตายไปจะเสียรสชาติ” ซือมั่วเสนอความเห็นพร้อมรอยยิ้ม คำพูดประโยคนี้ของเขา ทำเอาส่วนลึกนัยน์ตาของ ‘เจ้ากระต่าย’ เยือกเย็น ฟันเขี้ยวในปากโผล่ออกมาให้เห็นเป็นระยะ
“ก็จริง” มู่ชิงเกอพยักหน้าลง แสดงอาการเห็นด้วยกับความคิดเห็นที่ซือมั่วเสนอ
นางก็ไม่ได้ใจบุญพอที่จะสิ้นเปลืองโอสถไปช่วยเหลือ อาหารมื้อเย็น
“เจ้าสังหารข้าไม่ได้!” ทันใดนั้น ‘เจ้ากระต่าย’ ก็เปล่งวาจาภาษาคนออกมา
เสียงนั้นฟังไปแล้วทุ้มตํ่ายิ่งนัก แต่ก็น่าฟังราวกับบุรุษวัยกลางคนอย่างไรอย่างนั้น
“เจ้ากำลังพูดงั้นรึ?” มู่ชิงเกอมองดูกระต่ายในมือด้วยความตกใจ
ดวงตาสีทองของ ‘เจ้ากระต่าย’ เหลือบมองนางอย่างถือตัวครู่หนึ่งก่อนปิดเปลือกตาลง ปฏิกิริยาถือดีนี้ทำเอามู่ชิงเกอกลอกตาก่อนจะหันไปมองหน้าซือมั่ว
ซือมั่วอมยิ้มพยักหน้ารับ
ดวงตาทั้งสองข้างของมู่ชิงเกอจริงจังขึ้นมาในทันใด ดวงตาสุกสกาวเปล่งประกายตะลึงงัน
นางก็สามารถคาดเดาตัวตนที่แท้จริงของสิ่งที่อยู่ในมือได้จากท่าทีของซือมั่ว! ทว่า เมื่อเทียบกับภาพลักษณ์องอาจน่าเกรงขามในตำนานแล้วเหมือนจะไม่สอด คล้องเอาเสียเลย!
เพียงชั่วขณะ นางก็นึกถึงเสียงระเบิดก่อนหน้านี้
ในสภาวะเดิมที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่แล้ว พบกับผู้แข็งแกร่งระดับพลังชั้นสีทองที่ระเบิดตนเอง เกรงว่ายากที่จะปกป้องตนเองได้ มีเพียงทำให้บาดแผลเจ็บเพิ่มมากขึ้น
สัตว์ดุร้ายแสนอันตรายเช่นนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะตกอยู่ในมือของตนเองเสียได้?
ทันใดนั้น มู่ชิงเกอก็มีความรู้สึกราวกับถือเผือกร้อนไว้ใ มือ
ไม่ต้องคิดอะไรมาก มู่ชิงเกอก็ส่ง ‘เผือกร้อน’ ในมือตนเองยื่นไปตรงหน้าซือมั่ว การเคลื่อนไหวนี้ทำเอา ‘เจ้ากระต่าย’ ตกใจจนตาถลน ขาเล็กๆ ที่อยู่กลางอากาศ ตะเกียกตะกายเป็นพัลวันหมายจะอยู่ให้ห่างจากซือมั่ว
ไม่สนใจมองปฏิกิริยาต่อต้านของมันซือมั่วยื่นมือไปจับหูยาวสองข้างของมันจากมือของมู่ชิงเกอมา
เมื่อถูกซือมั่วจับไว้มันก็รู้สึกราวกับว่ามีพลังแข็งแกร่งขุมใหญ่คลุมมันเอาไว้ทำให้มันขยับตัวไม่ได้ไม่สามารถที่จะต่อต้าน หากเป็นตอนที่มันมีพลังแก่งกล้า ไหนเลยจะหวาดกลัวบุคคลตรงหน้านี้?
ดวงตาสีทองแฝงแววโหดเหี้ยมใส่ซือมั่ว
แต่ซือมั่วกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย เพียงส่งยิ้มแฝงแววตาไม่ชัดเจนให้มัน
“เจ้าคิดจะทำอะไร?” ในที่สุด ‘เจ้ากระต่าย’ ก็เอ่ยปากออกมาอีกครั้ง
ซือมั่วอมยิ้มกล่าวขึ้นว่า “จุดประสงค์ที่ข้ามา เจ้าย่อมรู้ดี”
‘เจ้ากระต่าย’ ตัวแข็งทื่อ นิ่งเงียบไปอีกครั้ง
การสนทนาของหนึ่งคนหนึ่ง ‘กระต่าย’ ทำเอามู่ชิงเกอถอยห่างออกมาสองก้าวเงียบๆ โยนเผือกร้อนในมือออกไปได้แล้ว ทำให้นางสบายใจขึ้นมาไม่น้อย
ที่สำคัญคือเดิมซือมั่วก็มาเพื่อโห่ว ตอนนี้สามารถจับมันได้โดยไม่เปลืองแรง เป็นอะไรที่ดีสุดๆ!
แต่ว่า…จับตัวโห่วได้แล้ว ซือมั่วก็จะต้องจากไปแล้วน่ะสิ?
ในห้วงความคิดของมู่ชิงเกอ จู่ๆ ก็มีความคิดเช่นนี้ผุดขึ้นมา
นางปิดเปลือกตาลง รำพึงกับตนเองในใจว่า ‘เปลี่ยนมามีอารมณ์อ่อนไหวใจเปราะบางเพียงนั้นตั้งแต่เมื่อไรกัน ไปก็ไปสิ!’
“ข้าทำพันธสัญญากับเจ้าไม่ได้!” เนิ่นนานกว่าที่ ‘เจ้ากระต่าย’ จะเอ่ยออกมาอีกครั้ง
ซือมั่วเอ่ยเสียงนิ่ง “เมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็ทำพันธสัญญากับนางเถอะ”
หืม?
หืม!
มู่ชิงเกอที่จมดิ่งอยู่ในอารมณ์ความคิดของตนเอง หันหลับมามองซือมั่วด้วยสายตาตื่นตระหนกในทันใด ส่งสายตามองไปที่ ‘เจ้ากระต่าย’ ตัวนั้น
เช่นเดียวกัน ‘เจ้ากระต่าย’ ที่ถูกซือมั่วจับเอาไว้ก็มอง หน้ามู่ชิงเกออย่างเหนือความคาดหมาย
หลังจากที่มันพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยดูถูกระคนเบื่อหน่ายว่า “อาศัยแค่เจ้าไก่อ่อนปวกเปียกนี่ ก็สามารถทำพันธสัญญากับข้าหรือ?”
“เจ้ามีสองตัวเลือก ถ้าไม่ถูกนางทำพันธสัญญาก็ถูกข้าบีบขยี้จนตาย” ซือมั่วเอ่ยสั้นๆ ง่ายๆ
ประโยคนี้ทำเอา ‘เจ้ากระต่าย’ ตกอยู่ในความเงียบสงบอีกครั้ง ทั้งร่างเต็มไปด้วยไอความเย็นยะเยือก
มู่ชิงเกอเองก็มองซือมั่วด้วยสีหน้าไปไม่ถูก อ้าปากค้าง มีหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากจะถาม แต่ก็รู้สึกว่าเวลานี้คล้ายกับไม่ค่อยเหมาะเท่าไร
ซือมั่วไม่ได้มาเพราะมันหรือไง?
เหตุใดตอนนี้จึงได้เปลี่ยนเป็นนางทำพันธสัญญากันเล่า?
เช่นนั้นแล้วซือมั่วจะทำอย่างไร?
กลับไปมือเปล่า ไม่รู้ว่ามีผลกระทบอะไรกับเรื่องที่เขาต้องทำหรือไม่?
‘ตอนนี้เขาบาดเจ็บสาหัส ข้านำกลับไปก็ไม่มีประโยชนอะไร แต่หากทิ้งไว้ให้เจ้า เจ้ามีโอสถรักษาบาดแผลของเขา ทำให้พลังของเขากลับมาเป็นปกติ อีกอย่างเป็นการคุ้มครองความปลอดภัยของเจ้าอย่างหนึ่ง แบบนี้ข้าเองก็จะได้วางใจขึ้นมาหน่อย’ ซือมั่วส่งเสียงอธิบายในทันที
มู่ชิงเกอเข้าใจในบัดดล!
เดิมทีซือมั่วไม่วางใจเรื่องความปลอดภัยของนาง ดังนั้นจึงอยากทิ้งยอดฝีมือไว้ให้นางคนหนึ่ง!
ความจริงแล้วก่อนหน้านี้ซือมั่วก็เคยพูดไว้ว่า แม้ว่าโห่วจะได้รับบาดเจ็บ แต่เรื่องพละกำลังยังคงหลงเหลือไว้ ประมาณระดับพลังชั้นสีทองขั้นหก แม้ว่าตอนนี้จะบาดเจ็บสาหัสแต่เมื่อมีการใช้โอสถปรับสมดุล เขาก็ยังเป็นไพ่ตายที่ไม่เลวใบหนึ่ง
เพียงแต่ว่า
มู่ชิงเกอมีข้อสงสัยอยู่บ้าง ส่งเสียงเอ่ยกับซือมั่วว่า ‘แบบนี้ได้หรือ? เจ้ามาเพราะมัน แต่กลับส่งมันให้ข้า มิใช่มาเสียเที่ยวหรืออย่างไร?’
‘เสียเที่ยวได้อย่างไร?’ ดวงตาสีอำพันของซือมั่วเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มยั่วเย้า
เขาจับจ้องมองดูมู่ชิงเกอ ให้นางเข้าใจความหมายของประโยคนี้
ทันใดนั้น สองแก้มของมู่ชิงเกอก็แดงระเรื่อ และกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
‘เสี่ยวเกอเอ๋อร์เจ้ากับข้าเป็นหนึ่งเดียวตั้งนานแล้ว รั้งอยู่ข้างกายข้าหรือรั้งอยู่ข้างกายเจ้า จะมีอะไรแตกต่าง? อย่าได้ปฏิเสธ’ ซือมั่วส่งเสียงแว่วมาอีกครั้ง ขจัดความกังวลสุดท้ายของมู่ชิงเกอ
นางหัวเราะขื่นขมพยักหน้า สายตาทอดมองไปยัง ‘เจ้ากระต่าย’
โห่ว บรรพบุรุษแห่งเหล่าอสูรร้าย!
นี่เป็นไพ่ตายที่กล้าแข็งมากใบหนึ่งจริงๆ!
พูดว่าไม่ใจเต้นก็เป็นเรื่องหลอกลวง
หากไม่ใช่ว่าซือมั่วต้องการ เกรงว่าตอนที่นางได้รับข่าวก็คงเตรียมกลยุทธ์แย่งชิงมันเป็นแน่แท้
“เป็นอย่างไร ทบทวนดีหรือยัง?” ซือมั่วพูดกล่อมมู่ชิงเกอแล้วก็เอ่ยกับ ‘เจ้ากระต่าย’ อีกครั้ง
‘เจ้ากระต่าย’ แค่นเสียงเย็นชา “เจ้าให้คนที่เป็นไก่ปวกเปียกเช่นนี้มาทำพันธสัญญากับข้า ไม่กลัวว่าข้าฟาดนางจนตกตายหรือไง?”
ซือมั่วกลับยิ้มแล้วเอ่ยว่า “นางเป็นอาจารย์ปรุงยา ปัญญาแห่งการหยั่งรู้กล้าแกร่ง คงไม่มีทางถูกทำอันตราย”
“อาจารย์ปรุงยา!” ‘เจ้ากระต่าย’ ดวงตาวาววับ ดวงตาเปลี่ยนเป็นคมกริบขึ้นมาทันใด เขามองหน้ามู่ชิงเกอ เอ่ยขึ้นด้วยนํ้าเสียงดูแคลน “มนุษย์ เจ้าเป็นอาจารย์ปรุงยาหรือ?”
มนุษย์?
คำเรียกที่ไม่เคารพ เช่นนี้ทำเอามู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ
“อ่อก!”
ทันใดนั้น ‘เจ้ากระต่าย’ ก็เปล่งเสียงร้องโหยหวน มันคำรามและส่งสายตาขุ่นเคืองให้ซือมั่ว
“เจ้าทำอะไร?” คิดไม่ถึงว่าบุรุษสมควรตายผู้นี้จะดึงหูของเขา!
ซือมั่วระบายโทสะแทนนาง ทำเอาจิตใจของมู่ชิงเกอฟูฟ่องลอยไป นางยักคิ้วหัวเราะขบขัน “กระต่ายน้อย ข้าเป็นอาจารย์ปรุงยาจริงๆ”
“คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่เจ้ารู้จักตัวตนของข้าแล้ว ยังกล้าเรียกข้าว่ากระต่าย!” โห่วเอ่ยอย่างมีโทสะ
รอยยิ้มมุมปากมู่ชิงเกอยิ่งยั่วยุคน “ก็เจ้าเหมือนกระต่ายนี่ ข้าไม่ได้เรียกผิด”
ภายในใจของโห่ว มีม้าหญ้าโคลนหมื่นตัวทะยานผ่าน
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าการพูดเหตุผลกับสตรี เป็นภารกิจที่ไม่มีทางสำเร็จอย่างหนึ่ง!
ส่วนลึกของดวงตาสีทองคู่นั้นราวกับเปลวเพลิงแผดเผา เปล่งประกายสังหาร เขาเอ่ยเสียงตํ่า “ได้! หากเจ้ารับปากจะปรุงโอสถให้ข้า รักษาอาการบาดเจ็บ ข้าก็ตกลงให้เจ้าทำพันธสัญญา รับเจ้าเป็นนาย! หากไม่ตกลง พวกเจ้าก็สังหารข้าทิ้งเสียเลย”
พูดจบ เขาก็ปิดเปลือกตาเย่อหยิ่ง ท่าทางยอมตายอย่างผู้กล้า
มู่ชิงเกอประสานสายตากับซือมั่วแวบหนึ่ง ซือมั่วขบขันในใจ
เมื่อรับนางเป็นนายแล้ว นางจะตระหนี่โอสถได้อย่างไร?
จะให้โห่วแสดงคุณค่าสูงสุด ย่อมต้องรักษาอาการบาดเจ็บของเขาให้ดี
คิดไม่ถึงว่าเขาจะหยิบยกเรื่องนี้มาคุยกับนาง โง่หรือไม่?
‘ดูท่า แม้ว่าอสูรร้ายบรรพกาลจะเจ้าเล่ห์แสนกลแต่ก็มีขีดจำกัด!’ มู่ชิงเกอถอนหายใจอยู่ในใจรอบหนึ่ง
“ตกลง ไม่มีปัญหา” มู่ชิงเกอตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม
นางอารมณ์ดีเพียงนี้ทำเอาโห่วรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ทว่าในเวลานั้นเขากลับคิดไม่ออกว่ามันคืออะไร เวลานี้เขาเพียงคิดจะรักษาบาดแผลบนร่างกายให้หายดี จากนั้นไปแก้แค้นศัตรู สังหารพวกมนุษย์ที่ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพนี้! พวกก่อนหน้านี้ที่วางแผนปองร้ายเขา ทำลายพลังยุทธ์ของเขา ทั้งพวกมนุษย์ที่คิดจะทำพันธสัญญากับเขาเหล่านั้น เขาก็จะไม่มีทางละเว้นพวกมันแม้แต่คนเดียว!
“เดี๋ยวก่อน ตอนนี้เจ้าปรุงยาออกมาได้ระดับใดบ้าง” ดวงตาสีทองของโห่วเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เอ่ยถามขึ้นในทันใด
หากหญิงสาวเบื้องหน้าเป็นเพียงอาจารย์ปรุงยาระดับล่างหรือระดับสูง จะมีประโยชน์อะไรกับเขา?
“วางใจเถอะ ข้าเป็นอาจารย์ปรุงยาระดับเทวะ โอสถที่หลอมออกมาย่อมไม่ทำให้เจ้าผิดหวังอย่างแน่นอน” มู่ชิงเกอตอบระบายรอยยิ้มทั่วหน้า
อาจารย์ปรุงยาระดับเทวะ!
เป็นครั้ง แรกที่ดวงตาของโห่วมองมู่ชิงเกอด้วยความตื่นตระหนก
เกรงว่าเขาคงจะคิดไม่ถึงเป็นแน่ว่า สตรีผู้มีรูปโฉมงดงามโดดเด่นราวกับหลุดออกมาจากภาพวาดที่อยู่ตรงหน้านี้จะเป็นถึงอาจารย์ปรุงยาระดับเทวะ
‘อาจารย์ปรุงยาระดับเทวะไม่ใช่ล้วนเป็นพวกผู้เฒ่าหรอกหรือ?’ โห่วเอ่ยในใจ
“ได้! คำไหนคำนั้น!” พอได้รู้ว่ามู่ชิงเกอเป็นอาจารย์ปรุงยาระดับเทวะ โห่วก็ข่มความตื่นเต้นไว้ในใจ ตอบตกลงทำพันธสัญญากับมู่ชิงเกอ
ความกระตือรือร้นของเขา ก็ทำให้มู่ชิงเกอหรี่ตาลง ในสายตาเผยความครุ่นคิดเช่นกัน
โห่วหลุบตาลง ปิดบังไอสังหารที่อยู่ส่วนลึกในแววตา
เขายิ้มเย็นยะเยือกอยู่ในใจ ‘รอให้เขาหายดีเสียก่อน คนที่เขาจะสังหารเป็นคนแรกก็คือสตรีที่กล้าให้เขานับเป็นเจ้านายผู้นี้! พันธสัญญาอะไรนั้น สำหรับเขาแล้วไม่ถือเป็นเรื่องสำคัญอะไร! แม้ว่าการฉีกทำลายพันธสัญญา จะทำให้เขาพบเจอกับผลสะท้อนกลับ แต่จะเป็นอะไรไป? เพียงนำโอสถที่สตรีผู้นี้ปรุงออกมาไปได้ถึงแม้จะได้รับการสะท้อนกลับก็จะกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว’
“เริ่มเลยเถอะ” ตั้งใจแน่วแน่แล้ว โห่วก็เอ่ยขึ้นอย่างอดใจรอไม่ไหว
ความกระตือรือร้นของเขายิ่งทำให้มู่ชิงเกอเลิกคิ้วสูงขึ้นไปอีก
แต่ว่าซือมั่วกลับเอ่ยขึ้นเรียบๆ ตามเดิม “ได้”
ในระหว่างที่สะบัดมือ ซือมั่วก็สลักค่ายกลพันธสัญญาที่ซับซ้อนและวิจิตรกว่าตระกูลจิงขึ้น
พอซือมั่วแบมือ โห่วก็กระตือรือร้นกระโดดเข้าไปอยู่ตรงใจกลางค่ายกล ทันใดนั้นก็เกิดเป็นแสงสีแดงเลือดและแสงสีทองผสมปนเปกัน พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าล้อมเขาไว้อยู่ข้างใน
“ด้วยจิตวิญญาณของข้า ด้วยชื่อของข้า ด้วยร่างกายของข้า ยอมรับสตรีผู้นี้เป็นนาย ไม่ทรยศตลอดกาล!” เสียงร่ายพันธสัญญาที่ดูโบราณทุ้มตํ่าดังออกมาจาก ปากของโห่ว
ในขณะที่มู่ชิงเกออยู่ในอาการตกตะลึง เลือดหยดหนึ่งก็ลอยขึ้นจากร่างของโห่วบินเข้าใส่กลางหว่างคิ้วของนาง ทว่าในขณะที่เลือดหยดนั้นบินมาอยู่ตรงหน้ามู่ชิงเกอนั้น กลับถูกซือมั่วใช้มือขวางเอาไว้ขัดขวางการเดินหน้าของมัน
มู่ชิงเกอมองเขาด้วยสายตาสงสัยไม่เข้าใจ ส่วนสายตาของโห่วกลับเปลี่ยนไปเยือกเย็นขึ้นมา
ซือมั่วยิ้มเย็นชาเอ่ยบอกกับโห่วว่า “เพื่อสุดท้ายเจ้าไม่บิดพลิ้วสัญญา ข้าต้องเพิ่มอะไรเสียหน่อย” พูดจบหมอกควันสีเทาก็ลอยออกมาจากปลายนิ้วซือมั่ว เข้าใส่ หยดเลือดของโห่ว
“พลังแห่งการสาปแช่ง!” โห่วเอ่ยด้วยความตระหนก
ซือมั่วรั้งมือกลับ หยดเลือดบินเข้าสู่หว่างคิ้วของมู่ชิงเกอทำเอาร่างกายนางสะท้าน จากนั้นแสงสีทองจากหว่างคิ้วนางก็พุ่งออกมา พุ่งเข้าสู่หว่างคิ้วของโห่วอย่างรวดเร็วปานอัสนีสันนิบาต
โห่วส่งเสียง ‘อึกอัก’ ก่อนจะหมดสติสลบอยู่กลางค่ายกล
ในเวลานี้เอง มู่ชิงเกอก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ร่างทั้งราวกับเป็นสีแดง ราวกับอยู่ท่ามกลางเตาหลอม รอบ ด้านล้วนเป็นเปลวเพลิงที่กำลังแผดเผา เหงื่อเม็ดโตผุดออกมาจากผิวหนังของนาง ริมฝีปากของนางก็เปลี่ยนไปเป็นซีดขาว
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ตั้งสติไว้ให้มั่น เข้าสู่การฝึกพลังยุทธ์” เสียงของซือมั่วดังเข้าหูนาง ‘นี่ข้าเป็นอะไรไป?’ มู่ชิงเกอส่งเสียงตอบกลับไปในใจ นางไม่ได้ตื่นตกใจเสียการควบคุมแต่อย่างใด เพราะนางรู้ว่ามีซือมั่วอยู่ข้างกาย
เสียงของซือมั่วส่งกลับมาทันที ‘โห่วเป็นบรรพชนแห่งมวลอสูร ถึงแม้พลังจะถูกทำลายจนลดไปช่วงใหญ่ ระดับพลังยุทธ์กลับยังคงอยู่เท่าเดิม ตอนนี้เจ้ากำลังจะ ทะลวงชั้นแล้ว ดังนั้นควบคุมสติความคิดให้ดี อย่าได้วอกแวก ตั้งใจทะลวงชั้น’
มู่ชิงเกอพยักหน้ารับบางเบา นางเข้าใจแล้ว
ทะลวงชั้นอีกแล้วงั้นรึ?
ราวกับว่าครั้งก่อนที่นางทะลวงชั้นจะอยู่ที่เมืองหลานอูเฉิง ห่างกันแค่เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น
ทว่าพลังสูงขึ้นเป็นเรื่องที่ดี อย่างน้อยแล้วสำหรับเรื่องที่จะทำก็มีโอกาสมากขึ้นหลายส่วน มู่ชิงเกอสงบสติอารมณ์ ตั้งใจจมดิ่งอยู่ในการบรรลุขั้น เรื่องภายนอกมีซือมั่วอยู่ นางไม่กังวลใจเลยสักนิด
มีเพียงสิ่งเดียวที่ประหลาดใจอยู่บ้าง ก็คือคำพูดของโห่วที่ว่า ‘พลังแห่งการสาปแช่ง’ หมายความว่าอย่างไร…
แต่ว่าทั้งหมดนี้ ต้องรอหลังจากที่นางบรรลุขั้นเสร็จเรียบร้อยจึงจะถามได้
ปัง!
ภายในร่างกายมู่ชิงเกอ แว่วเสียงดังสะท้อนออกมา ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างถูกทำลาย พลังที่ถูกกักเก็บ ก่อนหน้านี้ก็ทะลวงขีดจำกัดออกไป ปรับแต่งร่างกาย ของมู่ชิงเกอย่างต่อเนื่อง พาให้ระดับพลังยุทธ์ของนางพุ่งทะลวงขึ้นเรื่อยๆ ระดับพลังชั้นสีเทาขั้นหกแต่เดิมบรรลุขั้นแล้ว พลังจิตสีเทาขาวเปลี่ยนไปเป็นสีเงินอ่อน เมื่อพลังจิตสีเทาขาวสุดท้ายแปรเปลี่ยนเป็นสีเงินอ่อนนั้น พลังยุทธ์ ของมู่ชิงเกอก็เลื่อนจากระดับพลังชั้นสีเทาขั้นหกเข้าสู่ระดับพลังขั้นสีเงิน ถึงเกณฑ์ที่สามารถเข้าสู่ทำเนียบชิงอิง
ทว่า ทั้งหมดนี้ยังไม่หยุดยั้ง
ปัง!
ระดับพลังชั้นสี เงินชั้นหนึ่ง
ปัง!
ระดับพลังชั้นสีเงินชั้นหนึ่งระดับกลาง
ปัง!
ระดับพลังชั้นสีเงินขั้นหนึ่งระดับสูง
ปัง!
ระดับพลังขั้นสีเงินขั้นหนึ่งระดับสูงสุด!
ปัง!
ระดับพลังขั้นสีเงินขั้นสอง!
ระดับพลังชั้นสีเงินขั้นสองระดับกลาง!
ระดับพลังขั้นสีเงินขั้นสองระดับสูง!
ระดับพลังขั้นสีเงินขั้นสองระดับสูงสุด!
ขณะที่มู่ชิงเกอทะลวงไปถึงระดับพลังขั้นสีเงินที่ห่างจากระดับพลังขั้นสีเงินขั้นสามอีกเพียงเสี้ยว ในที่สุดพลังที่แข็งแกร่งขุมนั้นก็หยุดนิ่งลง ระดับพลังยุทธ์ของนางมั่นคงที่เหนือระดับพลังขั้นสีเงินขั้นสอง
แต่ถึงอย่างนั้น แม้ว่าจะบรรลุเกณฑ์เข้าสู่ทำเนียบชิงอิง ทว่าต้องการจะครองตำแหน่งหนึ่งในร้อยตำแหน่งนั้น
โดยเฉพาะอันดับต้นๆ กลับยังคงไม่เพียงพอ เมื่อมู่ชิงเกอตื่นขึ้นมาหลังเสร็จสิ้นการฝึกพลังยุทธ์ก็พบว่าท้องฟ้าเป็นสีดำเสียแล้ว
“เรียบร้อยแล้วหรือ?” เสียงซือมั่วดังขึ้นข้างตัว
มู่ชิงเกอหันกลับไปมองซือมั่ว ดวงตาสุกสกาวเปล่งประกายแสงสีเงินจางๆ นางอมยิ้มพลางพยักหน้า
“ระดับพลังชั้นสีเงินขั้นสอง เยี่ยมทีเดียว” ซือมั่วมองดูมู่ชิงเกอ ก่อนจะพยักหน้า
ดวงตาสีอำพันซ่อนความยินดีและภาคภูมิใจไว้ ความก้าวหน้าในแต่ละขั้นของมู่ชิงเกอล้วนทำให้เขามีความรู้สึกร่วมไปด้วย ภาคภูมิใจอย่างยิ่ง กระทั่งว่า ดีใจยิ่งกว่าตนเองบรรลุขั้นเสียอีก
มู่ชิงเกอหลุบตาลงมองฝ่ามือตนเอง ค่อยๆ กำเข้าหากัน เอ่ยบอกซือมั่วว่า “แต่ยังคงอ่อนแอเกินไป”
ฝ่ามือหนาของซือมั่วลูบผมนางอย่างอ่อนโยน เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ไม่ต้องรีบร้อน ก้าวนั้นจะเร็วจะช้าเจ้าก็จะเดินไปถึง ช้าหน่อยถึงจะมั่นคง ยิ่งไปกว่านั้นความก้าวหน้าของเจ้าก็ไม่ช้าเลย”
เท่าที่รู้มา มู่ชิงเกอเข้าสู่โลกแห่งยุคกลางได้ยังไม่ทันครบปี ก็มาถึงระดับพลังชั้นสีเงินขั้นสอง เทียบกับผู้มีพรสวรรค์ที่เกิดและเติบโตที่นี่แล้วก็เก่งกาจมากแล้ว มู่ชิงเกอพยักหน้า
สำหรับระดับพลังยุทธ์นางไล่ตามมาโดยตลอด แต่ก็เข้าใจดีว่าสิ่งใดเรียกว่า หนึ่งก้าวหนึ่งรอยเท้า
ส่งสายตาทอดมองไปยังโห่วที่ยังคงนอบสลบไม่ได้สติ มู่ชิงเกอก็เอ่ยถามขึ้นว่า “เขาเป็นอะไรไป?”
ซือมั่วยิ้มแล้วว่า “ไม่มีอะไร”
“แล้วพลังแห่งคำสาปแช่งมั่นมันเรื่องอะไรกัน?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ซือมั่วกลับไม่รีบเฉลยคำตอบ แต่บอกกับนางว่า “รอเขาฟื้นขึ้นมาแล้ว ค่อยพูดทีเดียวดีกว่า”
“ข้าตื่นแล้ว” เขาเพิ่งจะพูดจบประโยค โห่วก็ปีนขึ้นมา สายตาเย็นชาจ้องมองไปที่ซือมั่ว “เจ้าเพิ่มคำสาปแช่งอะไรเข้าไปกันแน่?”
มู่ชิงเกอเองก็มองซือมั่วด้วยความประหลาดใจ
ซือมั่วกลับยังคงอยู่ในอาการสงบนิ่ง เอ่ยแผ่วเบาราวปุยเมฆ “นางตาย เจ้าก็ดับสูญ”
นางตาย เจ้าก็ดับสูญ!
มู่ชิงเกอและโห่วมีสายตาเคร่งขรึมขึ้นมาพร้อมกัน
มู่ชิงเกอตะลึงที่ซือมั่วคิดทบทวนรอบด้าน เป็นห่วงว่าแม้นางจะทำพันธสัญญาแล้วก็ไม่มีวิธีควบคุมโห่วได้จึงตระเตรียมวิธีการรับมือให้นาง
ส่วนโห่วกลับตะลึงที่ซือมั่วล่วงรู้ความคิดของเขา ใช้ไม้นี้มาตัดทางถอยของเขา จากนี้เป็นต้นไปชะตาชีวิตของเขาก็ผูกมัดอยู่กับสตรีผู้ที่อยู่เบื้องหน้านี้หากนางตายไป ตนเองก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไป!
ช่างโหดเหี้ยมจริงๆ!
ทันใดนั้น โห่วก็หัวเราะเสียงแข็ง “แล้วหากข้าตายล่ะ?”
ซือมั่วหัวเราะน้อยๆ เอ่ยอย่างมีเหตุและผลว่า “นางจะไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่ปลายเล็บ”
อารมณ์ของโห่วเปลี่ยนเป็นมืดหม่น เขาอยากจะสังหารคน!
โดยเฉพาะสังหารสองคนที่อยู่ตรงหน้านี้!
แต่ปัญหาก็คือ คนหนึ่งเขาสังหารไม่ได้ ส่วนที่เหลืออีกคนหนึ่งเขาก็ไม่อาจสังหารได้!
ช่างโศกเศร้าจนแทบหลั่งนํ้าตา!
ทันใดนั้นโห่วก็รู้สึกว่าหลังจากที่ตนถูกปองร้าย เขาก็เริ่มโชคร้ายเรื่อยๆ มาไม่มีหยุด การตระหนักรู้นี่ทำเอาเขาแค้นคนที่กล้ามาปองร้ายกับเขาเหล่านั้นจนกัดฟันกรอด
คำพูดของซือมั่ว ทำเอามุมปากมู่ชิงเกอกระตุกขึ้นบางเบา
โห่วข่มเพลิงโกรธในใจ ดวงตาสีทองดุจเปลวเพลิงทอดมองไปยังซือมั่ว เอ่ยข่มขู่ว่า “เจ้าสองคนดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนประเภทเดียวกัน เจ้าใส่ใจนางถึงเพียงนี้ เจ้าไม่กลัวว่าข้ารั้งอยู่ข้างกายนางแล้ววันหนึ่งจะหลุดปากเปิดโปงตัวตน ของเจ้าหรืออย่างไร?”
ตัวตนของซือมั่ว?
ประโยคนี้ ทำเอามู่ชิงเกอหันไปมองซือมั่ว
แต่ไหนแต่ไรมาตัวตนของซือมั่วล้วนเป็นความลับที่ยากจะคาดเดา จวบจนทุกวันนี้นางยังคงไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าเขาเป็นใครกันแน่ มาจากที่ใด เพียงแค่เบาะแสอันน้อยนิด ยังมีท่าทีที่ไม่ได้ปิดบังแต่อย่างใด บอกกับนางเป็นนัยๆ ว่าซือมั่วให้ความสนใจกับของของเผ่ามาร
ความจริงแล้ว ความคิดนี้เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่นางอยู่ท่ามกลางเศษซากโบราณ ตอนที่ช่วยซือมั่วไปเอาสมบัติ
สิ่งที่ถูกซือมั่วเรียกว่า ‘สมบัติที่ตกทอดของตระกูล’ ไอพลังที่ปล่อยออกมา แม้ว่านางจะไม่เคยสัมผัส แต่ก็ยืนยันลักษณะของมันได้รู้สึกได้ว่าสิ่งนั้นเป็นของที่ตรงกันข้าม
หากว่าโลกนี้มีเทพมารอยู่จริง พลังสีดำแฝงความหนาวเย็น ให้ความรู้สึกทำลายล้างรุนแรงนั้น เกรงว่าจะอยู่ในขอบเขตของมาร
‘ซือมั่วมีความสัมพันธ์กับเผ่ามารหรือ?’
มู่ชิงเกอคิดอยู่ในใจ แม้ว่าจะเผชิญหน้ากับการข่มขู่ของโห่ว ทว่าซือมั่วกลับ ไม่สนใจแม้แต่น้อย “ตัวตนของข้า สักวันหนึ่งนางจะเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ข้าก็เป็นข้า”
มู่ชิงเกอตัวแข็งทื่อ เงยหน้าขึ้นมองเขา นางรู้สึกได้ว่าประโยคสุดท้ายของซือมั่ว ไม่เพียงบอกกับโห่วเท่านั้น แต่ยังบอกกับนางด้วย
ความสงสัยในใจค่อยๆ ลดหายไป มู่ชิงเกอเอ่ยชี้แจงกับตนเองในใจ ‘นั่นสินะ! ซือมั่วเป็นใครสำคัญที่ไหน? เขายังคงเป็นเขา ไม่พอหรืออย่างไร?’
โห่วยุแยงไม่สำเร็จ มองทั้งสองคนทื่ส่งสายตาหากันอย่างท้อแท้
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็อดรนทนไม่ไหวเอ่ยขึ้นว่า “เอ้ มนุษย์ โอสถของข้า”
มู่ชิงเกอละสายตาหันกลับมามองโห่ว เอ่ยคล้ายยิ้มคล้ายเฉยเมย “เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?”
ใบหน้า ‘กระต่าย’ ของโห่วสุขุมลงไป กัดฟันแหลมคม เกิดเสียงดัง ‘กรอดกรอด’ “นายท่าน ข้าต้องการโอสถ”
มู่ชิงเกอยักคิ้ว สะบัดฝ่ามือก่อนที่โอสถขวดหนึ่งก็ปรากฏอยู่บนมือของนาง นางมองดูสายตารอคอยของโห่วแล้ว ก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะมอบให้มันแต่อย่างใด “ชื่อของเจ้า”
ดวงตาสีทองของโห่วเปล่งประกาย ในที่สุดก็ก้มหน้า “ข้าชื่อข่งเซวียน”
ข่งเซวียน?
มู่ชิงเกอกลอกตา ความทรงจำชาติภพที่แล้วทับซ้อนขึ้นมา
นางจำได้ว่าตำนานในชาติภพที่แล้ว ข่งเซวียนเป็นนกยูงตัวแรกระหว่างโลกมนุษย์กับสรวงสวรรค์ปรากฏตัวในตำนานเรื่องการกำเนิดของทวยเทพ
ไม่คิดเลยว่า โห่วจะตั้งชื่อให้ตนเองว่าข่งเซวียน
สรรพสิ่งล้วนมีความบังเอิญเสียจริง!
“ข้าชื่อข่งเซวียน มีสิ่งใดไม่ถูกต้องกัน?” ความเงียบของมู่ชิงเกอทำให้โห่วไม่พอใจ
มู่ชิงเกอได้สติกล่าวตอบไปว่า “ไม่มีอะไร ชื่อดีทีเดียว”
พูดจบก็โยนโอสถในมือไปข้างกายโห่ว
กลิ่นหอมอ่อนๆ ของโอสถลอยออกมาจากขวด
โห่วก้มหน้าอ้าปากกัดขวดโอสถ ฟันอันแหลมคมกัดขวดจนแตก โอสถและเศษขวดถูกเขากลืนลงไปในคราวเดียว
ภาพการกระทำอันป่าเถื่อนนี้ ทำเอามู่ชิงเกออดไม่ได้ที่จะส่งเสียงจิจ๊ะ
หลังจากที่กินโอสถลงไป ร่างของโห่วก็เปล่งแสงเรืองรองจางๆ ก่อนที่เขาเองจะปิดเปลือกตาลง ราวกับนอนหลับสบาย
มู่ชิงเกอยกมือขึ้นนำโห่วเก็บเข้าไปในช่องว่างของตนเอง และบอกเหมิงเหมิงให้แยกพื้นที่ส่วนหนึ่งให้เขาเป็นพิเศษ
โห่วไม่ได้ยอมสยบจากใจจริง นางย่อมไม่อาจให้เขาเข้าใกล้กับหยินเฉินที่กำลังรักษาอาการบาดเจ็บมากเกินไป หากใช้กำลังบีบบังคับหยินเฉินจะทำเช่นไร?
“ลูกพี่ท่านแม่ หยวนหยวนอยากออกไป” ทันใดนั้นเสียงของหยวนหยวนก็ดังขึ้น
มู่ชิงเกอครุ่นคิดชั่วครู่ สะบัดมือปล่อยให้เขาออกมา
พอหยวนหยวนออกมาก็กระโดดโลดเต้นไปอยู่ตรงหน้าซือมั่ว ส่งเสียงเรียก ‘ท่านพ่อ’ อยู่หลายครั้ง
“เด็กดี!” ซือมั่วได้ฟังก็อมยิ้ม มอบเม็ดบัวอัคคีกำหนึ่งใส่มือหยวนหยวน เวลานั้นหยวนหยวนแย้มยิ้มเบิกบาน อารมณ์รอยยิ้มบนใบหน้าเต็มไปด้วยการประจบ ประแจง
“น่าเสียดาย นึกไม่ถึงว่าจะไม่มีโอกาสให้คุณชายน้อยได้แสดงฝีมือ!” ประคองบัวอัคคี หยวนหยวนเอ่ยด้วยความผิดหวัง
มู่ชิงเกอได้ยินเช่นนี้ ก็ทำหน้าไม่ถูก
ที่พาหยวนหยวนมาก็เพราะคิดถึงเวลาต่อสู้กับโห่ว ไม่แน่ว่าพญาเพลิงอาจจะมีประโยชน์ช่วยอะไรได้บ้าง ถึงอย่างไรด้วยสายเลือดของโห่วแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหยินเฉิน หรือว่าไป๋สี่ เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาพละกำลังล้วนถูกบั่นทอนลงไป
ทว่าใครเล่าจะคาดคิดว่าสุดท้ายแล้วจะจบลงเช่นนี้?
ไม่จำเป็นต้องสู้รบ ก็สยบโห่วลงได้
‘อืม นี่ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดีที่เหนือความคาดหมาย สถานที่งดงามเช่นหุบเขากูจี๋ซานนี้ การจะเข้ามาที่นี่ก็ควรจะเป็นการท่องเที่ยวชื่นชมธรรมชาติถึงจะถูก ต่อสู้ รบราฆ่าฟันไปก็ไม่ดีนัก’ มู่ชิงเกอเอ่ยรำพึงรำพันกับตนเองอยู่ในใจ
“ได้ในสิ่งที่ต้องการแล้วก็กลับเถอะ ดูผู้ที่มาใหม่ไว้ด้วย หากเมื่อไรที่เห็นว่าผิดปกติก็พ่นไฟเผาเขาได้ไม่ต้องเกรงใจ” มู่ชิงเกอเอ่ยสั่งความหยวนหยวน
หยวนหยวนได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้ารับอย่างร่าเริง ฟิ้ว… หายไปจากตรงหน้าของซือมั่วกับมู่ชิงเกอ
หลังจากเขาจากไปแล้ว มู่ชิงเกอก็เอ่ยด้วยอาการครุ่นคิดว่า “โลกใบนี้ช่างแปลกประหลาด เป็นสัตว์ชัดๆ กลับสามารถเอ่ยภาษามนุษย์แปลงร่างเป็นมนุษย์ร่างเดิม เป็นไฟเพลิง แต่กลับสามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์’
ซือมั่วเดินมาหยุดอยู่ข้างกายนาง นั่งลงเคียงบ่านางเอ่ยชี้แจงด้วยรอยยิ้ม “สรรพสิ่งล้วนมีจิตวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นพาหะใดก็แยกจากจิตวิญญาณไม่ได้ จิตวิญญาณ ดับสูญสิ่งพวกนั้นย่อมตายลง”
มู่ชิงเกอคิดตามนั้นไป ก่อนจะเอ่ยพึมพำขึ้นมาว่า “จิตวิญญาณดับสูญ ย่อมตายลง เช่นนั้นแล้วจิตวิญญาณคืออะไร? ความคิดหรือ? จิตสำนึกหรือ? หรือว่าเป็นสิ่งใดที่ไม่สามารถจับต้องได้?”
มู่ชิงเกอแหงนหน้าขึ้นมองดวงดาวบนท้องฟ้า มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่รู้ทำให้นางเต็มไปด้วยความสงสัยต่อโลกใบนี้
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ข้าต้องไปแล้ว” ทันใดนั้น ซือมั่วก็พูดในสิ่งที่มู่ชิงเกอคาดเดาได้ตั้งแต่แรก แต่กลับไม่ปรารถนาที่จะเอ่ยถามออกมา
มู่ชิงเกอเก็บความรู้สึกนึกคิดหันหลังกลับไปมองหน้าเขา ดวงตาสุกสกาวพิจารณาโครงหน้าของเขา สุดท้ายก็เอ่ยออกมาเพียงคำเดียวว่า “อืม”
คำว่า‘อืม’ง่ายๆ คำเดียวกลับหมายรวมนับหมื่นพัน
มู่ชิงเกอไม่ได้เอ่ยรั้ง และไม่ได้เอ่ยถาม ทั้งยังไม่ได้ทวงถามคำตอบว่าเมื่อไรถึงจะพบกันใหม่
ทั้งสองนั่งเคียงกันอยู่บนหุบเขากูจี๋ซาน เมื่อฟ้าสาง กู่หยากับกู่เย่ก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าพวกเขา ซือมั่วจากไปพร้อมกับพวกเขา ก่อนจะจากไปก็มาส่งมู่ชิงเกอที่ นอกเมืองจินไห่
ส่งสายตามองซือมั่วจากไป ในใจของมู่ชิงเกอมีความอาลัยอาวรณ์อยู่หลายส่วน
นางสวมต่างหูสีม่วงกลับเข้าไปที่หูซ้ายเงียบๆ กลับไปเป็นคุณชายรูปงามล่มเมือง เย่อหยิ่งสง่างามผู้นั้น
ทันใดนั้น กระดิ่งข้างเอวนางก็ส่งเสียงกังวานเสนาะหู
มู่ชิงเกอหลุบตาทอดมองบนกระดิ่ง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ทว่าเป็นรอยยิ้มที่แสนหวาน
ครึ่งเดือนถัดจากนั้น มู่ชิงเกอก็ใช้ขีวิตอย่างธรรมดาทั่วไปในเมืองจินไห่
ยามกลางวันนางก็ไปยังตำหนักเทพ ไปทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ของโลกแห่งยุคกลาง ทำความเข้าใจกับลักษณะของสถานที่ต่างๆ ในเขตภาคใต้ ต้องพูดเลยว่า ข้อมูลที่ตำหนักเทพพรักพร้อมมาก ทำให้นางใช้เวลาเพียงสั้นๆ ก็สามารถรับรู้ความเข้าใจใหม่ๆ ของโลกแห่งยุคกลาง และเผยบางส่วนที่ก่อนหน้านี้รู้สึกว่าเป็นม่านลึกลับ
ตกดึก นางก็กลับไปพักผ่อนที่เรือนของนาง นั่งสมาธิฝึกพลังยุทธ์ปรุงโอสถ
ทุกครั้งที่นางปรุงโอสถ ก็จะมีกระต่ายประหลาดตัวหนึ่ง นั่งอยู่ข้างกายนาง สีหน้ารอคอยโอสถที่ปรุงออกจากเตา ทว่าทุกครั้งที่กระต่ายตัวนี้ปรากฏตัว ไป๋สี่ที่แต่ไหนแต่ไร มาชอบเข้ามาคลอเคลียมู่ชิงเกอกลับถอยห่างไปไกล ไม่กล้าเข้ามาใกล้จุดนี้ทำให่โย่วเหอและฮวาเยวี่ยต่างพากันประหลาดใจ
ระยะเวลาที่พักอาศัยอยู่ในเมืองจินไห่นี้ มู่ชิงเกอก็ไม่ได้พบกับจิงฟ่งอวี่อีกเลย
นางลอบสืบข่าวในตำหนักเทพเงียบๆ ถึงได้รู้ว่าแขกที่มาจากเขตภาคกลางพวกนั้นราวกับว่าประสบความสูญเสีย สุดท้ายแล้วมีเพียงสองคนที่มีชีวิตรอดออกมา คืนต่อจากนั้นก็เดินทางออกจากเขตภาคใต้ด้วยประตูทะลุมิติ และหนึ่งในนั้นก็ดูลมหายใจอ่อนแรง ลมปราณเบาบาง
มู่ชิงเกอไม่รู้ว่าจิงฟ่งอวี่เป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตหรือไม่ แต่ว่าในใจของนางมีความรู้สึกอย่างหนึ่งนั้นก็คือจิงฟ่งอวี่ยังไม่ตาย!
คืนนั้นมู่ชิงเกอไม่ได้ฝึกพลังยุทธ์เหมือนช่วงก่อนหน้า ทว่ามาปรากฏตัวอยู่นอกห้องจิงไห่ ยืนอยู่เงียบๆ ภายในห้อง แสงสว่างสลัวขมุกขมัว เงียบสงบอย่างยิ่ง มีเพียงผู้ที่ฝึกพลังยุทธ์เท่านั้นที่จะสามารถรับรู้ได้ถึงพลังจิตอันมีพลานุกาพ ราวกับว่ามีคนกำลังลองทะลวงชั้น จิงไห่ติดตามมู่ชิงเกอมาเป็นเวลาเกือบหนึ่งปี เริ่มฝึก พลังยุทธ์จากระดับพลังชั้นสีม่วงขั้นต้นในที่สุดวันนี้ก็บรรลุขั้นเข้าสู่ระดับพลังขั้นสีเทา ระยะเวลาหนึ่งปี ฝึกพลังยุทธ์มาถึงขั้นนี้ได้ พรสวรรค์ย่อมไม่ธรรมดา
ถึงแม้ว่าจะมีผลจากโอสถผลัดกระดูกเปลี่ยนเส้นเอ็นของมู่ชิงเกอพวกนั้น แต่ว่านั้นก็ไม่อาจแยกออกจากพรสวรรค์ที่มีในตนเองได้
จิงไห่ที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ เป็นเพียงแค่หนุ่มน้อยในหมู่บ้านชาวประมงจริงหรือ?
มู่ชิงเกอคิดอยู่ในใจ
ตอนที่รู้จักใหม่ๆ คล้ายกับว่าจิงไห่นั้นช่างธรรมดา แต่พอได้พัฒนาการฝึกพลังยุทธ์แล้ว พรสวรรค์ของเขาก็ราวกับว่าเผยออกมาอย่างแท้จริง
‘จิงไห่ จิงฟ่งอวี่ ตระกูลจิง…’ ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด ในใจของมู่ชิงเกอถึงได้บังเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า จิงไห่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับตระกูลจิงแห่งเขตภาคกลาง
แต่ว่า จากที่ได้สอบถามทางจิงฟ่งอวี่แล้ว ตระกูลจิงมิได้มีคนในตระกูลร่อนเร่อยู่ที่เขตภาคใต้
ไม่ว่าเช่นไรก็ตาม ไม่ว่าจิงไห่จะมีความสัมพันธ์กับตระกูลจิงหรือไม่ ก็เป็นลูกศิษย์ของนาง ลูกศิษย์คนแรกของนาง!
ความจริง หากพูดตามหลักเกณฑ์ตามความหมายแล้ว นักเรียนกลุ่มแรกของนางสมควรเป็นองครักษ์เขี้ยวมังกร โย่วเหอและฮวาเยวี่ย ทว่าใช้ชื่อศิษย์อาจารย์ในการรับลูกศิษย์จิงไห่กลับเป็นคนแรก ในจุดนี้ไม่ต้องสงสัย
ปัง!
ทันใดนั้นภายในห้องก็มีเสียงเล็ดลอดออกมา ขัดจังหวะทางความคิดของมู่ชิงเกอ
นางส่งสายตากลับไปมองในห้อง ลมปราณด้านในค่อยๆ สงบลงมา
เพียงครู่เดียว นํ้าเสียงตื่นเต้นยินดีของเด็กหนุ่มก็แว่วออกมาจากด้านใน “เลื่อนระดับแล้ว! เลื่อนระดับแล้ว! ข้าเลื่อนระดับแล้ว!”
จากนั้นประตูห้องก็เปิดออก จิงไห่พุ่งตัวออกมาจากด้านใน
ทว่า เพิ่งจะพุ่งตัวออกมา ก็มองเห็นมู่ชิงเกอที่ยืนอยู่ด้านนอกประตู
จิงไห่ชะงัก ตะโกนด้วยอาการตะลึงค้าง “ครูฝึก!”
มู่ชิงเกอพยักหน้ารับ
เมื่อเห็นมู่ชิงเกอ ความรู้สึกยินดีที่ไม่อาจเก็บไว้ได้มิด ภายในใจของจิงไห่ก็ถึงคราวเผยออกมา เขาเอ่ยบอกมู่ชิงเกอด้วยใบหน้าตื่นเต้น “ครูฝึก ข้าบรรลุขั้นแล้ว ข้าเข้า สู่ระดับพลังขั้นสีเทาแล้ว”
“ระดับพลังชั้นสีเทาขั้นหนึ่ง ไม่เลวเลยทีเดียว” มู่ชิงเกอพิจารณามองเขา เอ่ยขึ้นนิ่งๆ
จิงไห่ขบเม้มริมฝีปาก ยืนต่อหน้ามู่ชิงเกออย่างไม่รู้ว่าจะเอามือไว้ตรงไหนดี
เวลานี้เขาไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี และก็ไม่รู้ด้วยว่าควรจะแสดงความขอบคุณเช่นไร
“ในเมื่อบรรลุถึงระดับพลังขั้นสีเทาแล้ว พรุ่งนี้เจ้าก็จากไปพร้อมโย่วเหอเสีย ไปรายงานตัวกับองครักษ์เขี้ยวมังกร” มู่ชิงเกอทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยคก่อนจะหันหลังเดินจากไป
จิงไห่ตัวแข็งทื่อ มองดูแผ่นหลังองอาจของมู่ชิงเกอที่เดินจากไป ร้องตะโกนเสียงดัง “ครูฝึก!”
มู่ชิงเกอหยุดเท้าที่กำลังเดินจากไป หันหลังกลับมามอง
ทันใดนั้นจิงไห่ก็คุกเข่าทั้งสองข้างลงตรงหน้ามู่ชิงเกอ
‘ตึง ตึง ตึง’ โขกศีรษะลงสามครั้ง ก่อนจะเงยหน้าผากที่ขึ้นสีแดง มองมู่ชิงเกอด้วยนํ้าตาคลอเบ้าเอ่ยว่า “ครูฝึก จิงไห่จะไม่มีวันลืมคำสั่งสอนของท่าน เมื่อไปอยู่กับองครักษ์เขี้ยวมังกรแล้วจะพากเพียรฝึกฝน ไม่เกียจคร้านโดยเด็ดขาด”
มู่ชิงเกอเคยบอกไว้แล้ว รอให้เขาบรรลุระดับพลังชั้นสีเทาก็ต้องไปจากนาง เข้าสู่การฝึกพลังยุทธ์ขององครักษ์เขี้ยวมังกร
สำหรับวันนี้นั้น เขาเคยรอคอย และเคยปฏิเสธ
เขากระหายที่จะเป็นนักรบทมิฬขององครักษ์เขี้ยวมังกร เติบโตอยู่ในสนามรบ ขณะเดียวกันก็ไม่อยากจากมู่ชิงเกอ ไม่อยากแยกจากเขา
มู่ชิงเกอพยักหน้า นํ้าเสียงยังคงราบเรียบเช่นเคย “แผนการฝึกพลังยุทธ์ของเจ้าต่อจากนี้ข้าจะให้โย่วเหอส่งให้มั่วหยาง ให้เขามาควบคุมดูแลเจ้า ทดสอบเจ้า”
พูดจบ มู่ชิงเกอก็หมุนตัวเดินจากไป
ครั้งนี้จิงไห่ไม่ได้เอ่ยปากร้องตะโกนอีก เพียงแต่ทอดสายตามองเขาจากไปเงียบๆ
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น โย่วเหอก็พาจิงไห่ออกจากคฤหาสน์หลังน้อย พวกเขาต้องเดินทางไปรวมตัวกับพวกมั่วหยางที่เมืองอื่น ส่วนพวกมู่ชิงเกออยู่ต่อ
“เมืองจินไห่มีประตูมิติ แบ่งเป็นทะลุไปยังเมืองอื่นๆ กับเขตชายชอบ จากที่นี่มีประตูมิติไปยังเมืองหลักของเขตภาคตะวันตกจะสะดวกกว่ามาก ทั้งยังประหยัดเวลา” ฮวาเยวี่ยมองหน้ามู่ชิงเกอ เอ่ยแสดงความเห็นของตนเอง
วันนี้มู่ชิงเกอไม่ได้ไปที่ตำหนักเทพ สิ่งที่ควรดู สิ่งที่ควรเข้าใจ นางก็รู้ไม่น้อยแล้ว
เป้าหมายในวันนี้คือยืนยันเส้นทางก้าวต่อไป
ยังไม่ถึงเวลาที่นางเอ่ยปาก ก็ปล่อยให้ฮวาเยวี่ยแสดงความคิดเห็นของตนเอง
ฮวาเยวี่ยเป็นคนที่มาจากตระกูลมู่ และทราบจุดมุ่งหมายในการไปเขตภาคตะวันตกของมู่ชิงเกอเป็นอย่างดี เรื่องราวต่างๆ ก่อนหน้านี้ทำให้เสียเวลาไปมาก พวกเขาเข้าสู่โลกแห่งยุคกลางมาเป็นปี แต่ยังเดินทางไม่ถึงเขตภาคตะวันตก ช้าเกินไปจริงๆ
ดังนั้นในความคิดของฮวาเยวี่ยคือใช้ประตูมิติไปที่เมืองหลักของเขตภาคตะวันตก จากนั้นขณะที่ทำความเข้าใจเรื่องราวของเขตภาคตะวันตกอยู่ที่เมืองหลัก ก็สืบข่าวเรื่องราวตระกูลซางไปด้วย หลังจากที่สืบข่าวทั้งหมดชัดเจนแล้ว ก็พุ่งตรงไปที่ตระกูลซาง นี่เป็นเส้นทางที่ประหยัดเวลาที่สุดแล้ว
มู่ชิงเกอพยักหน้าลงเล็กน้อยแทบไม่ทันสังเกต ความคิดของฮวาเยวี่ยเป็นไปในทางเดียวไม่ขัดกันกับนาง
ประสบการณ์ของเขตภาคใต้ทำให้นางไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสิ้นเปลืองเวลาในการค้นหาทุกๆ เมือง จุดมุ่งหมายที่ไปเขตภาคตะวันตกก็เพื่อค้นหาตระกูลซาง นางสามารถเข้าไปที่เมืองหลักของเขตภาคตะวันตกลืบหาข้อมูลของตระกูลซาง
“แจ้งพวกองครักษ์เขี้ยวมังกรด้วยว่า ถึงเวลาเข้าไปในเขตภาคตะวันตกกันแล้ว” มู่ชิงเกอเอ่ยกับฮวาเยวี่ย
ฮวาเยวี่ยค้อมตัว จดจำคำพูดของมู่ชิงเกอ ถอยหลังกลับไปเตรียมแจ้งคำสั่งกับพวกมั่วหยาง
ตอนนี้ มีป้ายส่งข่าวแล้ว ทำให้การรับส่งข่าวของพวกนางสะดวกสบายยิ่งขึ้น คำสั่งที่ประชุมตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยเพียงแค่เคาะป้ายไม่กี่ที ก็สามารถทำให้ทุกคนรู้ว่าต้องทำเช่นไร
การใช้ประโยชน์จากแผ่นป้าย บวกกับรหัสลับที่รู้กันในการปฏิบัติของเหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกร ดังนั้นจึงได้เปิดม่านปรากฏโฉมได้เร็ว กลายเป็นกองกำลังหลิวเค่อระดับปฐพี ชื่อเสียงเลื่องลือขึ้นมา ห่างจากระยะเวลาครึ่งปีที่มู่ชิงเกอกำหนดให้ไว้อีกไม่มาก พวกมั่วหยางกำลังพุ่งตัวไปสู่สุดทางที่กองกำลังหลิวเค่อระดับนภา
“คุณชาย แล้วพวกเรา…” ฮวาเยวี่ยเอ่ยถาม
มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นเอ่ยกับนางว่า “เจ้าไปซื้อสิทธิ์ผ่านประตูมิติ ออกเดินทางวันพรุ่งนี้”
“คุณชาย เกรงว่าพวกเราจะไม่สามารถไปเมืองหลักของเขตภาคตะวันตกได้ชั่วคราวแล้ว’’ ทันใดนั้น เสวี่ยหยาก็เดินเข้ามาจากนอกประตู เอ่ยออกมาหนึ่งประโยค
มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว ดวงตาสุกสกาวทอดมองไปที่นาง
เสวี่ยหยาเดินมาตรงหน้านาง เอ่ยเสียงเคร่งเครียด “ข้าได้รับข่าววงในมาจากในชนเผ่า แม่ทัพมังกรที่เดินทางไปยังทะเลทรายท่องวิญญาณกลับมาแล้ว ทว่ากลับมา พร้อมข่าวไม่สู้ดีเท่าไร”
เรื่องที่แม่ทัพมังกรจะเดินทางไปทะเลทรายท่องวิญญาณ พาตัวบ่าวรับใช้ที่มีแผนที่อีกครึ่งหนึ่งของเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางบนแผ่นหลังมายังโลกแห่งยุคกลาง มาส่งให้นาง ในจุดนี้มู่ชิงเกอทราบดี บัดนี้แม่ทัพมังกรเดินทางกลับมาแล้ว แต่กลับมาพร้อมกับข่าวที่ไม่ค่อยสู้ดี?
ส่วนลึกในใจมู่ชิงเกอนึ่งงันไป กังวลว่าจะเกิดเรื่องกับแผนที่อีกครึ่งหนึ่ง
“เกิดอะไรขึ้น?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม
ฮวาเยวี่ยก็ไม่ได้ออกไป แต่ยืนหลบอยู่ด้านหนึ่งเพื่อรอคำสั่งสุดท้ายจากมู่ชิงเกอ
“เกิดปัญหานิดหน่อย” บนหน้าผากของเสวี่ยหยามีความหนักใจอยู่บ้าง นางเอ่ยชี้แจงกับมู่ชิงเกอว่า “แม่ทัพมังกรมุ่งหน้าไปยังทะเลทรายท่องวิญญาณตามที่ ท่านพ่อข้าแนะนำให้ทำตาม ได้พบกับเผ่าอี๋ของที่นั่น และแสดงเจตจำนงที่เดินทางไปด้วยดี ทว่าเผ่าอี๋ของที่นั่นกลับอึกอักไม่เอ่ยวาจา ภายหลังแม่ทัพมังกรถึงได้รู้ ว่าที่แท้ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งเดินทางไปหาพวกเขาก่อนแล้ว และก็ไปเพื่อรับตัวบ่าวรับใช้ของที่นั่นเช่นกัน”
“คนอีกกลุ่มหนึ่ง? มันเกิดเรื่องอะไรกันแน่?” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วมุ่น
เผ่าอี๋มีเรื่องปิดบังนาง เรื่องนี้นางเดาได้ตั้งนานแล้ว แต่มาตอนนี้ราวกับว่าเรื่องราวคล้ายกับว่าจะยุ่งยากกว่าที่นางจินตนาการไว้เสียอีก นางต้องการเพียงเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลาง ไม่ได้คิดจะเข้าไปร่วมสู้รบแย่งชิงอำนาจอะไร
เสวี่ยหยาเม้มปาก ลำบากใจอยู่หลายส่วนก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “มีบางเรื่องที่เดิมทีข้าไม่ควรกล่าวออกมาในเวลานี้ แต่ข้าเองก็รู้ว่าหากปิดบังต่อไป ข้าเองก็ไม่คู่ควรที่จะอยู่ข้างกายนายน้อยอีกต่อไป”
นางนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “เมื่อครั้งตระกูลมู่เดินทางออกจากแผ่นดินเกิดนั้น เป็นเพียงสายหนึ่ง ยังมีคนอื่นๆ กระจายไปอยู่ในที่ต่างๆ ผู้นำตระกูลมู่ในตอนนั้น กำหนดกฎเกณฑ์ขึ้นมาว่าผู้สืบทอดในแต่ละสายล้วนเป็นนายน้อยที่รอการถูกเลือก สุดท้ายแล้วใครจะได้ครอบครองเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลาง และเป็นนายน้อยตัวจริงสามารถปกครองคนตระกูลมู่ กลับแผ่นดินเกิด ล้างเลือดแค้น หวนกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง เท่าที่ข้ารู้มาในโลกแห่งยุคกลางก็มีสายเลือดของตระกูลมู่อยู่อีกกลุ่มหนึ่ง ที่แม่ทัพมังกรพบเจอในทะเลทรายท่องวิญญาณ
ตามจดหมายก็น่าจะเป็นพวกเขา”
มู่ชิงเกอหรี่ตาทั้งสองข้างลง
เรื่องราวดูว่าจะไม่ง่ายดายจริงๆ ด้วย!
ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าเคล็ดวิชาเทวะยังเกี่ยวกันกับสงครามแย่งชิงอำนาจ
สิ่งนี้ทำให้มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น ราวกับไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง
นางต้องการเคล็ดวิชาเทวะ แต่ไม่ได้ต้องการเข้าไปยุ่ เกี่ยวกับสงครามที่ไม่ชัดเจนนี้ แต่ว่าพอนางได้ครอบครองเคล็ดวิชาเทวะ ก็คล้ายกับว่าไม่มีวิธีจะหลีกออก จากการต่อสู้นี้ ละทิ้งเคล็ดวิชาเทวะ?
ไม่!
มู่ชิงเกอปฏิเสธออกมาในทันที แม้ว่าตอนนี้นางจะยังไม่เข้าใจพลังยุทธ์ของเคล็ดวิชาเทวะ แต่ว่าในเมื่อให้นางได้ครอบครองเคล็ดวิชาเทวะส่วนบนแล้ว ก็อธิบายได้ว่า ของสิ่งนี้เป็นของนาง นางไม่มีทางละทิ้งอย่างเด็ดขาด!
“นั่นก็หมายความว่า พวกเจ้าเป็นเบาะแสที่ผู้นำตระกูลมู่ท่านนั้นทิ้งไว้ตั้งแต่แรก ในบรรดาผู้ถูกเลือก ใครสามารถชิงเบาะแสจากนั้นพบเคล็ดวิชากลเทวะสามส่วน ผู้นั้นก็คือผู้ชนะ” มู่ชิงเกอกล่าวสรุปความหมายของเสวี่ยหยา ออกมาในประโยคเดียว
เสวี่ยหยาพยักหน้า “แต่ว่า ในเมื่อพวกเราเลือกนายน้อยแล้ว ย่อมคำนึงถึงผลประโยชน์ของนายน้อย และก็ต่อสู้ทำสงครามเพื่อนายน้อย จวบจน…”
“จวบจนได้ผู้ชนะที่แท้จริงแล้ว พวกเจ้าจึงจะสวามิภักดิ์ ต่อผู้ที่ควรสวามิภักดิ์ ใช่หรือไม่?” มู่ชิงเกอเอ่ยขัดคำพูดของเสวี่ยหยา เอ่ยออกมาตรงๆ
เสวี่ยหยานิ่งไป ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีก
มู่ชิงเกอยิ้มเย็นในใจ ‘เดิมทีนี่เป็นบดทดสอบบทหนึ่ง ใครยิ้มได้ถึงสุดท้าย ผู้นั้นถึงจะเป็นผู้ชนะ’
“เกาะตูเล่อยังส่งข่าวอะไรมาอีก?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม
เสวี่ยหยาเงยดวงตากระจ่างขึ้นมองมู่ชิงเกอ แจ้งข่าวที่เกาะตูเล่อส่งมาบอกแก่นาง “เนื่องจากทั้งสองถึงทะเลทรายท่องวิญญาณไล่เสี่ยกัน อีกทั้งนายน้อยผู้ถูกเลือก ของทั้งสองฝ่ายต่างไม่อยู่ ดังนั้นหลังจากที่ฝ่ายที่สามประชุมหารือกันแล้ว พวกเขาตัดสินว่าให้แม่ทัพมังกรและคนของฝ่ายนั้นพาบ่าวรับใช้ของทะเลทรายท่อง วิญญาณมาที่โลกแห่งยุคกลางด้วยกัน นัดพบหน้ากันที่เมืองอันม๋อเฉิงที่เขตภาคตะวันตก หลังจากนั้นให้บ่าวรับใช้เป็นผู้เลือกว่าจะติดตามนายน้อยท่านไหน ดังนั้นพวก เราอาจต้องรีบมุ่งหน้าไปที่เมืองอันม๋อเฉิงเขตภาคตะวันตก หากไม่ไปแล้วก็เท่ากับว่าละทิ้งโอกาสไป”
มู่ชิงเกอได้ฟังแล้วก็ยิ้มเย็นชาไม่หยุด
นางสามารถเข้าใจเหตุผลที่ผู้นำตระกูลมู่ท่านนั้นเตรียมการเช่นนี้ได้ว่าเพื่อต้องการฝึกหัดคนรุ่นหลัง แต่ว่าเกรงว่าเขาเองก็ไม่คาดคิดว่าตอนนี้เหตุการณ์จะออกมาในรูปแบบนี้?
ให้บ่าวรับใช้เป็นผู้เลือกนาย ยังต้องให้นางไปเจรจากับบ่าวรับใช้ที่มาจากทะเลทรายท่องวิญญาณใช่หรือไม่?
สิ่งที่นางสนใจมีเพียงแผนที่อีกครึ่งหนึ่งที่อยู่บนหลังของนางเท่านั้น ยังมีก็คืออยากจะพบหน้าผู้สืบทอดที่ถูกเลือกมาอีกคน
คิดไม่ถึงเลยว่าที่โลกแห่งยุคกลางนี้ก็มีการดำรงอยู่ของตระกูลมู่?
แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ ตระกูลมู่ที่โลกแห่งยุคกลางนี้ชื่อเสียงไม่โดดเด่น ไม่เหมือนที่หลินชวน
นางพบเจอผู้คนมากมายเพียงนี้ไม่มีผู้ใดมีความทรงจำเรื่องของตระกูลมู่ที่โลกแห่งยุคกลางเลยแม้แต่น้อย ส่วนตระกูลมู่ตระกูลนั้น จะมีความเกี่ยวพันธ์ทางสายเลือดกับตระกูลมู่ของตนเองจริงๆหรือ? หรือเพียงแค่มีชื่อตระกูลคล้ายคลึงกันเท่านั้น?
คำถามเหล่านี้ ก่อให้เกิดความสงสัยในใจของมู่ชิงเกอ นางเงยหน้าขึ้นมองฮวาเยวี่ยฮวาเยวี่ยรีบนำแผนที่เขตภาคตะวันตกออกมากางตรงหน้ามู่ชิงเกอในทันที
“เมืองอันม๋อเฉิง อยู่ตรงเขตชายขอบระหว่างเขตภาคตะวันตกและเขตภาคใต้” มู่ชิงเกอมองดูสัญลักษณ์ที่ปรากฏบนแผนที่แล้วเอ่ยออกมานิ่งๆ
ฮวาเยวี่ยมองดูแผนที่แล้วเอ่ยว่า “คุณชาย พวกเราสามารถใช้ประตูมิติเมืองจินไห่ไปยังเมืองเฟิงฮุยเฉิงซึ่งอยู่บริเวณเขตชายขอบของเขตภาคตะวันตก จากนั้นใช้ ประตูมิติเมืองเฟิงฮุยเฉิง ไป ที่เมืองอันม๋อเฉิง จากเมืองจินไห่ไม่มีประตูมิติที่เดินทางไปเมืองอันม๋อเฉิงโดยตรง”
มู่ชิงเกอมองหน้าเสวี่ยหยา เอ่ยถามนิ่งๆ “เวลา”
“ภายในสามวัน” เสวี่ยหยาตอบ