Skip to content

พลิกปฐพี 254

ตอนที่ 254

นายน้อยตระกูลมู่ VS นายน้อยตระกูลมู่

เมืองอันม๋อเฉิง เป็นเมืองเล็กๆ ของภาคตะวันตกในโลกแห่งยุคกลาง

ถึงแม้ว่าเมืองจะเล็ก แต่ก็สำคัญมาก

เพราะว่าที่นี่มีประตูมิติซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญดังนั้นภายในเมืองจึงคึกคักเป็นอย่างยิ่ง

ภายในเมืองอันม๋อเฉิงมีเพียงสองตระกูลที่มีอำนาจพอสูสีกัน นั่นก็คือตระกูลเหยียนและตระกูลซู ตระกูลเหยียนมีบุตรชายส่วนตระกูลซูมีบุตรสาว และก็ไม่รู้ว่าไปทำอย่างไรเข้า ทั้งสองตระกูลกลับเกี่ยวดองหมั้นหมายกัน ทั้งสองตระกูลตกลงที่จะจัดการปกครองเมืองอันม๋อเฉิงด้วยกัน แบ่งปันผลประโยชน์

ไม่กี่วันมานี้ภายในเมืองอันม๋อเฉิงเต็มไปด้วยสีสันคึกคัก ตระกูลเหยียนและตระกูลซูต่างเปิดคลังเสบียงแจกจ่าย บริจาคเสบียงอาหาร ไม่เพื่ออะไรอื่น เพียงเพราะว่าคุณชายและคุณหนูในตระกูลของพวกเขากำลังจะแต่งงานกันในอีกห้าวันที่จะมาถึงนี้

ขอเพียงเรื่องราวสำเร็จ ตระกูลเหยียนและตระกูลซูก็จะจับมือกันอย่างเปิดเผย นับจากนี้ต่อไปเมืองอันม๋อเฉิงก็จะกลายเป็นป้อมปราการที่ฐานกำลังอื่นๆ ยากที่จะเข้ามาสอดมือได้

ภายในโรงเตี๊ยมในเมืองแห่งหนึ่ง หนุ่มน้อยที่มีใบหน้าราวกับภาพวาด ผลักหน้าต่างเปิดออกมาเผยรอยยิ้มที่ดูโอ้อวดตรงมุมปาก มองไปยังความคึกคักบนถนนจาก นั้นก็เอ่ยกับชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างกายว่า “ท่านลุง การสานสัมพันธ์โดยอาศัยการแต่งงานของบุตรสาวและบุตรชายก็มีคนชื่นชมมากมายขนาดนี้เชียวหรือ”

ถึงคำพูดของเขาจะแสดงความดูแคลนแต่ภายในดวงตาคู่นั้นของเขา ส่วนลึกลงไปกลับซ่อนไว้ด้วยความอิจฉาริษยา

“ลั่วฟง ในโลกนี้มีคนมากมายที่แต่งงานเพื่อผลประโยชน์’ ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขา หลุบตาลงด้วยท่าทีที่สงบนิ่ง

สายตาที่มองไปทางมู่ลั่วฟงมีทั้งความคาดหวังและกลิ่นอายของความผิดหวัง

มู่ลั่วฟงก็พลันเบ้ปาก หันกายไปหามู่เฉิน “ท่านลุง แต่ก่อนตระกูลมู่ของเรานั้นเก่งกาจมากใช่หรือไม่?”

“ใช่” มู่เฉินเอ่ยตอบ

นัยน์ตาของมู่ลั่วฟงฉายแววภาคภูมิใจ หันมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง เอ่ยในใจว่า ‘ก็ไม่รู้ว่าคุณหนูตระกูลซูงดงามหรือไม่ หากว่างดงามดุจนางฟ้า ได้แต่งก็คุ้มค่าแล้ว แต่หากว่าน่าเกลียดแล้วแต่งเข้าบ้านก็ไม่ใช่ว่าเป็นการทำให้ตัวเองรังเกียจอึดอัดใจเองจนตายรึ?’

เมื่อความคิดในใจจบลง มู่ลั่วฟงก็หันมามองมู่เฉิน เผยท่าทางที่ดูไม่ค่อยพอใจออกมา “ท่านลุง คนเหล่านั้นของทะเลทรายท่องวิญญาณไม่ใช่ว่าเป็นเพียงแค่บ่าวของพวกเราตระกูลมู่ในกาลก่อนหรอกรึ มาตอนนี้กลับมาตั้งท่าอวดดี ให้บ่าวรับใช้คนหนึ่งมาเลือกเจ้านาย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน? ยังมีอีกอย่าง ไม่ใช่ว่าข้าเป็นนายน้อยแห่งตระกูลมู่มิใช่หรือ? เมื่อไหร่กันที่พื้นที่ห่างไกลความเจริญอย่างหลินชวนมีนายน้อยโผล่ขึ้นมาอีกคน?”

ในที่สุดมู่เฉินก็เงยหน้าขึ้น มองไปยังชายหนุ่มหน้าตาคมคายเบื้องหน้าของตนเอง

ภายใต้รูปลักษณ์ภายนอกที่ดูสดใสอ่อนวัย แต่มันก็ไม่สามารถซ่อนความโอ้อวดเย่อหยิ่งได้แม้แต่น้อย ยังจำได้ว่าในตอนที่เขาพบเจอกับเขาครั้งแรกนั้น เขายังคงเป็นเด็กที่อยู่ในตระกูลตกตํ่าคนหนึ่งอยู่เลย

ขี้กลัว ขี้ขลาด ขี้ประจบประแจง นี่เป็นภาพและความรู้สึกแรกที่มู่เฉินมีให้แก่มู่ลั่วฟง

แต่ว่า ในตอนที่เขารู้ความลับของสถานะตนเองแล้ว เขา ก็ดูเหมือนว่าเปลี่ยนไปเป็นคนอีกคน เปลี่ยนเป็นคนโอ้อวดถือตน เปลี่ยนเป็นทำให้คนรู้สึกอึดอัด…

มู่เฉินเคยถามตัวเองว่าการเลือกเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่? ชายหนุ่มตรงหน้าเป็นความหวังของตระกูลมู่จริงหรือ?

“ลี่วฟง เจ้าต้องรู้ว่าผู้สืบทอดของตระกูลมู่ไม่ได้มีเพียงแต่เจ้าคนเดียว ทั้งหมดล้วนแต่เป็นบรรพชนของตระกูลมู่จัดวางไว้ตั้งแต่แรก การทดสอบที่โหดร้ายครั้งนี้หากไม่ผ่านไป เจ้าก็จะถูกขับออก เจ้าไม่ต้องไปสนใจคู่แข่งที่มาจากหลินชวนคนนั้นก็ได้ แต่อย่าลืมว่าภายในโลกแห่งยุคกลางก็ยังมีตระกูลมู่อีกตระกูลอยู่ ในนั้นก็ยังมีผู้สืบทอดอีกคน” มู่เฉินเอ่ยอย่างเคร่งขรึม

“ข้ารู้แล้ว มู่เฟิงใช่หรือไม่? พวกท่านพูดกับข้ามากี่รอบแล้ว” มู่ลั่วฟงบ่นออกมาอย่างรำคาญ “เขาร้ายกาจขนาดนั้นเชียวหรอ?”

ประโยคนี้กลับลอยเข้าไปในหูของมู่เฉิน

นัยน์ตาของเขาดูลึกลํ้าขึ้นในหัวมีภาพของชายหนุ่มที่มีจิตใจมุ่งมั่นโผล่ออกมา “บางที พรสวรรค์ของเขาอาจจะไม่สู้เจ้า แต่ความมุ่งมั่นตั้งใจของเขานั้นข้าไม่เคยพบเห็นมาก่อน”

ใช่แล้ว! พรสวรรค์!

ทุกอย่างล้วนแต่เพียงเพราะพรสวรรค์

ตระกูลมู่ในโลกแห่งยุคกลางนั้นถ่อมตัวและเก็บงำความสามารถ มู่เฟิงเป็นนายน้อยของตระกูลมู่ในยุคนี้ แต่กลับมีพรสวรรค์เหนือกว่าคนธรรมดาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น คิดอยากจะเป็นประมุขแห่งตระกูลมู่ นำพาตระกูลกลับสู่แผ่นดินเดิม พรสวรรค์เช่นนั้นไม่เพียงพอเลยแม้แต่น้อย

และก็เป็นเพราะเหตุผลนี้ เขาจึงได้นำคนกลุ่มหนึ่งออกมาจากตระกูลมู่เพื่อตามหาตระกูลสาขาที่แยกออกจากตระกูลมู่ไปเมื่อหลายร้อยปีก่อนและก็ได้พบกับมู่ลั่วฟง

มู่ลั่วฟงก่อนที่จะได้พบตนนั้น เป็นเพียงแค่เด็กจากตระกูลธรรมดาๆ ตระกูลหนึ่งเท่านั้น แม้กระทั่งคนรุ่นก่อนของพวกเขาก็ยังลืมไปแล้วถึงเรื่องการคงอยู่ของ ตระกูลมู่ และก็ไม่รู้ว่าคำว่ามู่นั้นหมายถึงอะไร

ในรุ่นบิดาของเขา ยิ่งลืมไปนานแล้วว่าภารกิจของตระกูลมู่คืออะไร และก็ไม่ได้ฝึกปรือพลัง แต่ที่ทำให้พวกเขายินดีก็คือ ถึงแม้ว่าจะไม่เคยฝึกปรือพลังแต่มู่ลั่วฟงกลับมีพรสวรรค์มากกว่ามู่เฟิงมาก

เริ่มต้นช้าแต่มีพรสวรรค์สูง เพียงแค่มู่ลั่วฟงขยันฝึกปรือพลัง ร่วมกับที่พวกเขาคอยสนับสนุน คิดจะก้าวข้ามมู่เฟิงนั้นไม่ยากเลย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาค้นพบร่องรอยของเผ่าอี๋ในทะเลทรายท่องวิญญาณได้ก่อน ขอเพียงสามารถครอบครองเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลาง พลังของมู่ลั่วฟงก็จะ สามารถพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดได้เป็นแน่

ตอนที่มู่ลั่วฟงเอาชนะมู่เฟิงได้ ก็จะสามารถพิสูจน์ได้แล้วว่าในตอนนั้นพวกเขาเลือกถูกแล้ว!

นี่เป็นปมในใจของพวกเขาทุกคน

เพียงแต่ มู่ลั่วฟงกลับ…

“ท่านลุง ตอนนี้มู่เฟิงมีพลังอยู่ระดับไหนกัน? แล้วก็ยังมีเจ้าคนที่มาจากหลินชวนผู้นั้นอีก มีพลังอยู่ระดับไหนกัน? ร้ายกาจเท่าข้าหรือไม่? ที่สำคัญก็คือบ่าวรับใช้จากทะเลทรายท่องวิญญาณนั้นงดงามไหม?” มู่ลั่วฟงพูดถึงประโยคสุดท้าย นัยน์ตาก็เปลี่ยนเป็นเปล่งประกายขึ้นมา

ดื่มเหล้าเคล้านารีถึงจะเป็นชีวิตที่เขาปรารถนา

ได้รับความเคารพจากทุกคน ถูกผู้คนเกรงกลัวก็ยิ่งเป็นความมุ่งมั่นในใจของเขา

เพียงแต่ว่า หลังจากถูกพวกมู่เฉินพบตัวแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ยากจนอดอยากอีก แต่ก็ถูกคุมอย่างเข้มงวด ทุกๆ วันต้องฝึกปรือพลัง

อย่าพูดถึงผู้หญิงเลย แม้แต่มือของผู้หญิงเขาก็ไม่เคยได้สัมผัส

โอกาสครั้งหนึ่งที่ยากจะได้มา พวกเขาส่งผู้หญิงมาให้ตัวเองเอง หากว่าเป็นผู้หญิงที่น่าเกลียด ก็คงเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังใช่หรือไม่?

มู่ลั่วฟงมองไปยังมู่เฉินอย่างคาดหวัง รอคำตอบจากเขา

นัยน์ตาของมู่เฉินฉายแววลึกลํ้าขึ้น ส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “งดงามหรือไม่นั้นไม่สำคัญ นางเป็นเพียงแค่บ่าวของนายน้อยที่มีเบาะแสของเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางก็เท่านั้น”

ในที่นี้เขาใช้คำว่า ‘นายน้อย’ ไม่ใช่ ‘เจ้า’ ก็ได้ทำการลอบตักเตือนมู่ลั่วฟงแล้ว แต่ว่า มู่ลั่วฟงกลับไม่ได้สนใจมัน

คำตอบของมู่เฉิน ทำให้เขารู้สึกผิดหวัง อดไม่ได้ที่จะรู้สึกคันยุบยิบในใจ เขาเอ่ยว่า “ท่านลุง ไม่สู้พวกเราไปดูกันดีกว่า ไม่ใช่ว่านางอยู่ในเมืองอันม๋อเฉิงแล้วมิใช่หรือ?”

“ไม่ได้” มู่เฉินปฏิเสธอย่างไม่ต้องคิด “พวกเรากับทางนั้นได้คุยกันไว้ดีแล้ว จะต้องรอนายน้อยที่พวกเขาเลือกมาถึงแล้วถึงจะสามารถพบได้”

มู่ลั่วฟงขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “เหตุใดจึงต้องรอเจ้าคนจากพื้นที่ห่างไกลความเจริญอย่างหลินชวนด้วยเล่า? ใครจะไปรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่มาจนถึงที่นี่ได้หรือไม่?”

“เขาสามารถเดินทางจากหลินชวนมาถึงโลกแห่งยุคกลางได้ก็พิสูจน์แล้วว่าเขาไม่ธรรมดา” มู่เฉินจงใจยั่วยุมู่ลั่วฟง หวังว่าเขาจะรู้สึกร้อนใจ จากนั้นก็จะเร่งรีบฝึกฝนด้วยตนเอง

ในความเป็นจริง ในใจของเขานั้นไม่ได้สนใจมู่ชิงเกอเลย เพราะว่าจากที่เขาดู คนที่มีสายเลือดตระกูลมู่ ถ้าหากว่าไม่สามารถออกจากหลินชวนแล้ว ก็ไม่คู่ควรให้เขาเสียเวลามองดูแม้แต่เพียงแวบเดียว

ถึงแม้ว่ามู่ชิงเกอได้เข้ามาสู่โลกแห่งยุคกลางแล้ว ก็ยังไม่อาจดึงดูดความสนใจจากมู่เฉินได้

ทุกๆ คนล้วนแต่รู้ดีว่าจุดเริ่มต้นของหลินชวนก็คือระดับพลังชั้นสีแดง จุดสูงสุดก็คือระดับพลังชั้นสีม่วง ส่วนในโลกแห่งยุคกลางล่ะ? ระดับพลังชั้นสีม่วงเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น ทุกๆ คนแค่เกิดมาก็มีพลังฝึกปรือชั้นสีม่วงกันหมด

ความแตกต่างเช่นนี้เป็นฟ้ากำหนดมา ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

ฝั่งนั้นส่งข่าวมาว่า ผู้สืบทอดที่มาจากหลินชวนคนนั้นเพิ่งจะเข้ามาสู่โลกแห่งยุคกลางยังไม่ถึงปี…ถึงแม้ว่าเขาจะมีพรสวรรค์อย่างมากก็คงมีพลังแค่ระดับพลังชั้นสีเทา ชั้นสามหรือชั้นสี่

ส่วนมู่ลั่วฟงล่ะ?

มู่เฉินทอดสายตาไปยังมู่ลั่วฟง ในสายตาของเขาในที่สุดก็ฉายแววโล่งอก มู่ลั่วฟงเพิ่งจะฝึกเพียงห้าปีสั้นๆ แต่กลับถึงระดับสีเทาชั้นห้าแล้ว พรสวรรค์เช่นนี้เพียงพอให้เขาโอ้อวดคนได้แล้ว

เพียงแต่ตระกูลมู่ต้องเก็บงำตัวตน ไม่อาจให้เขาทิ้งชื่อไว้ในทำเทียบฉูเฟิ่งก็เท่านั้น

คิดถึงมู่เฟิงที่ฝึกปรือตั้งแต่สี่ขวบ ตอนที่เขาจากมา เขาเพิ่งจะฝึกถึงระดับพลังสีเทาชั้นสามเท่านั้น ผ่านมาห้าปีไม่แน่ยังไม่อาจสู้มู่ลั่วฟงได้

“ท่านลุง ท่านอย่าได้เพิ่มขวัญกำลังใจให้ผู้อื่นแล้วดับไฟของตัวเอง!” มู่ลั่วฟงฟังไม่ออกเลยว่ามู่เฉิงจงใจกระตุ้น เพีย แต่ไม่พอใจที่เขาไปยกย่องมู่ชิงเกอ

มู่เฉินมองเขาแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไรอีก

“ท่านลุง พวกเราไปดูกันเถอะ ลอบมองสักนิดก็ยังดี” มู่ลั่วฟงเอ่ยอย่างนึกสนุก

มู่เฉินส่ายหน้า

“แค่ก แค่ก เอาเถอะๆ” ทันใดนั้นมู่ลั่วฟงก็ยอมแพ้ เขาแกล้งไอออกมา พุ่งไปยังข้างประตู “ท่านลุง ด้านนอกคึกคักมาก ข้าขอไปดูหน่อยแล้วจะรีบกลับมา”

พูดจบแล้ว ประตูก็ถูกเปิดออก มู่ลั่วฟงวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

“นายน้อย รอข้าด้วย” เสียงผู้ติดตามคนหนึ่งไล่ตามออกไป

มู่เฉินส่ายหน้า ร้องออกไปด้วยเสียงที่เข้มงวดว่า “ตามไป คุ้มครองความปลอดภัยของนายน้อย”

“ขอรับ ผู้อาวุโส” เสียงสายหนึ่งดังขึ้นมา

พอภายในห้องกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง มู่เฉินจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา

บนถนนใหญ่เมืองอันม๋อเฉิงมีผู้คนมากมายหลั่งไหล

“นายน้อย พวกเราจะไปไหน?” ผู้ติดตามของมู่ลั่วฟงเบียดมาอยู่ข้างกายของเขา โค้งร่างกายมองไปยังเจ้านายของตนเองที่เดินไปมาบนถนนอย่างถือตัวท่าทาง เย่อหยิ่ง

“แน่นอนว่าไปดูบ่าวรับใช้ของข้าน่ะสิว่ารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร หากว่าน่าเกลียดมาก ข้าก็ขอไม่เอาดีกว่า ปล่อยนางให้กับเจ้าบ้านนอกที่มาจากหลินชวนไปเสีย ผู้หญิงไม่สวยคู่กับคนบ้านนอก!” มู่ลั่วฟงเอ่ยอย่างหยิ่งผยอง

คืนเมื่อวานลอบได้ยินมาแล้วถึงเรื่องการมาของบ่าวรับใช้จากทะเลทรายท่องวิญญาณว่าตอนนี้ถูกรับรองไว้ที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง นอกจากคนของทะเลทรายท่องวิญญาณก็มีคนของทั้งสองฝ่ายคอยเฝ้า

“นายน้อย ไม่ใช่ว่าพรุ่งนี้ก็จะได้เห็นแล้วมิใช่หรือ เหตุใดจึงต้องรีบร้อนไปหาด้วย? ท่านเป็นเจ้านายนะ” ผู้ ติดตามโยกหัว เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

พรุ่งนี้ก็เป็นวันนัดพบแต่มู่ลั่วฟงกลับอดใจรอไม่ไหวแล้ว

หรือบางทีเป็นเพราะการหมั้นหมายกันของตระกูลเหยียนและตระกูลซู รบกวนจนทำให้จิตใจเขาคันยุบยิบ คิดถึงว่าตนเองอายุยี่สิบเอ็ดปีแล้วแต่กลับยังไม่เคยได้แตะแม้แต่มือของผู้หญิงเลย ช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก!

“บอกให้เจ้าไป ก็ไป พูดมากมายไร้สาระทำไม?” มู่ลั่วฟงเอ่ยอย่างรำคาญ

สายตาที่เขามองไปยังผู้ติดตามคือสายตาของคนที่สูงส่งกว่ามากมายนัก

เขาลืมไปนานแล้วว่าก่อนที่พวกมู่เฉินจะพบเจอเขา สถานการณ์ของเขาก็ไม่ได้ต่างไปจากผู้ติดตามข้างกายในตอนนี้สักเท่าใด

สิ่งที่มู่ลั่วฟงจดจำได้ดีนั้นก็คือตอนที่พวกมู่เฉินพบเจอตนเองแล้ว โลกของเขาก็พลิกกลับ เขารู้สึกได้ว่าตัวเองนั้นมีชะตาชีวิตกำหนดให้เป็นผู้แข็งแกร่ง เป็นมังกรที่แท้จริง

เป็นเสือซ่อนเล็บที่เพียงขยับก็ทำให้คนเกรงกลัวได้!

ทุกคนที่ขัดขวางเขาล้วนแต่ต้องมีจุดจบที่น่าอนาถ!

“หลีกไป หลีกไป!”

“หลีกไปให้หมด รถของตระกูลซูมาแล้ว คนไม่เกี่ยวหลบไป!”

ทันใดนั้น บนถนนที่แออัด ก็มีเสียงที่ดูอหังการดังออกมา ผู้คนที่อยู่ข้างหน้าล้วนแต่พากันหลบ ถอยออกไปจากถนนเป็นสองฝั่ง

เดิมทีมู่ลั่วฟงก็ไม่ยินยอมที่จะหลบ แต่กลับได้ยินคำว่า ‘ตระกูลซู’ ทำให้ในใจเกิดหวั่นไหวไปชั่วขณะ ถอยตามกลุ่มคนไปขอบถนนอีกทาง

ในตอนนี้ รถสัตว์อสูรวิญญาณคันหนึ่งก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวมา ตามขอบของห้องโดยสารยังมีกระพรวนติดอยู่ ส่งเสียงก้องกังวานไปตามการเคลื่อนไหว ทำให้จิตใจของคนล่องลอย

มีคนจำนวนไม่น้อยที่พยายามยืดคอออกไปมอง รอบด้านก็เกิดเสียงพูดคุยขึ้นมา “รีบดู นั่นเป็นรถม้าของคุณหนูตระกูลซู”

“ได้ยินมาว่าคุณหนูซูเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองอันม๋อเฉิง ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าจะงดงามแค่ไหนกัน”

“โธ่เอ๊ย งดงามไม่งดงามก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า คนเขาเป็นสะใภ้ของตระกูลเหยียนแล้ว”

“ชิ ไม่ใช่ว่ายังไม่ได้แต่งงานมิใช่หรือ? หากว่าเป็นสาวงามจริงๆ ก็คุ้มค่าที่จะลองเสี่ยง ข้าก็อยากจะแย่งนางมาแล้ว!” มีคนพูดจาล้อเล่นขึ้นมา

แต่ที่ตามมา ก็มีคนพุ่งเข้าไปในกลุ่มคนทันที ลากตัวคนที่พูดจาเหลวไหลคนนั้นออกมาทิ้งที่ด้านหน้ารถลากสัตว์อสูรวิญญาณ

รถลากสัตว์อสูรวิญญาณหยุดลง องครักษ์ของตระกูลซู ชักอาวุธออกมา กดลงไปที่คอของคนผู้นั้น

มู่ลั่วฟงยืนอยู่ขอบถนนข้างหน้าต่างรถสัตว์อสูรวิญญาณพอดี ภายในผ้าม่านสีชมพูในหน้าต่างห้องโดยสารรถนั้น มองเห็นเงาร่างด้านข้างของสาวงามคนหนึ่งอยู่รางๆ

สายลมพัดมา พัดมุมๆ หนึ่งของผ้าม่านลอยเปิดขึ้น ทำให้โฉมหน้าของคนที่นั่งอยู่ข้างในถูกเผยออกมา และก็เพียงพริบตานั้น ก็ปิดกั้นโฉมงามลงไปอีกครั้ง

แค่เพียงแวบตาเดียว มู่ลั่วฟงก็รู้สึกได้ว่าหัวใจของตนเองเกิดเสียง ‘ปัง’ ดังขึ้น ดูเหมือนว่าถูกโจมตีเข้าจังๆ สติหลุดลอยไปกับม่านสีชมพูนั้น

“คุณหนู คนผู้นี้พูดจาไม่ให้เกียรติท่าน” องครักษ์ของตระกูลซูเอ่ยขึ้นมา

“ฆ่า” ภายในห้องโดยสารรถ มีเสียงของผู้หญิงดังออกมา

คำพูดที่ดูง่ายดาย แต่กลับเย็นชาดังนํ้าแข็ง ทำเอาคนรอบด้านตื่นตัวขึ้นมา

องครักษ์ของตระกูลซูยกดาบขึ้น ไม่ได้ให้โอกาสคนๆ นั้นได้แก้ตัวเลยแม้แต่น้อย ตัดคอของเขาเลยในทันที เลือดสดๆ สาดกระจายเต็มไปบนท้องถนน

“กรี๊ด!”

ในกลุ่มคนมีทั้งเด็กสตรีและคนชรา ฉากเลือดสาดกระจายนี้ทำให้คนจำนวนไม่น้อยร้องออกมาอย่างตกใจ

“โหดร้ายเกินไปแล้ว” ผู้ติดตามของมู่ลั่วฟงเอ่ยเสียง เบาๆ ออกมาประโยคหนึ่ง หันสายตาออก ไม่กล้ามองคนตายบนถนน

แต่ว่า มู่ลั่วฟงกลับไม่ได้สนใจฉากนี้ เพียงแต่พึมพำออกมาว่า “น้ำเสียงช่างไพเราะยิ่งนัก”

รถเทียมสัตว์อสูรวิญญาณของตระกูลซู ค่อยๆ เคลื่อนหายไปจากสายตาของกลุ่มคน เมื่อได้สติกลับมามู่ลั่วฟงกลับรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก ในใจรู้สึกห่อเหี่ยว ดูเหมือนว่าวิญญาณก็จะตามจากไปกับรถสัตว์อสูรวิญญาณของตระกูลซูแล้ว ความสนใจที่มีต่อบ่าวรับใช้เมื่อก่อนก็พลอยหมดความกระตือรือร้นไป

“นายน้อย นายน้อย?” อย่างยาวนาน เสียงของผู้ติดตามถึงได้เปลี่ยนเป็นชัดเจนขึ้นในหัวของเขา

มู่ลั่วฟงหันไปมองเขา

ผู้ติดตามถูกสายตาของเขาทำให้ตกใจ ถามออกไปอย่างกลัวๆ “พวกเรายังจะไปดูบ่าวรับใช้หรือไม่?”

มู่ลั่วฟงส่ายหน้า ถอนหายใจเอ่ยว่า “วันนี้มองเห็นคุณหนูซูแล้ว ข้าก็รู้สึกอิจฉาเจ้าคนตระกูลเหยียนคนนั้นจริงๆ” ทันใดนั้น เขาก็โพล่งออกมาประโยคหนึ่ง “เจ้าว่า หากข้าไปสู่ขอนางกับตระกูลซูจะเป็นอย่างไร?”

ผู้ติดตามตกใจรีบโบกมือเอ่ยว่า “นายน้อย นี่ไม่ได้! ตระกูลซูเป็นตระกูลใหญ่ในเมืองอันม๋อเฉิง ขุมอำนาจกล้า แกร่งมาก ตระกูลเหยียนก็เช่นเดียวกัน”

สีหน้าของมู่ลั่วฟงเคร่งขรึมขึ้น “เจ้าว่าข้าไม่คู่ควรกับคุณหนูตระกูลซูงั้นหรือ?”

“ไม่ ไม่ ไม่ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” ร่างของผู้ติดตามแข็งทื่อรีบเอ่ยในทันทีว่า “ความหมายของข้าก็ คือคุณหนูตระกูลซูไหนเลยจะคู่ควรกับนายน้อยท่าน ได้?”

ประโยคนี้ทำให้ใบหน้าที่ดูดำทะมึนของมู่ลั่วฟงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นตัวลอย เขาพูดออกมาอย่างได้ใจว่า “เช่นนั้น เจ้าลองพูดมาว่าผู้หญิงอย่างไรถึงจะคู่ควรกับข้า?” ในใจของผู้ติดตามรู้สึกขมขื่น ครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็นึกไปถึงข่าวลือที่ตนเองเคยได้ยินมาก่อนจึงรีบ ประจบสอพลอออกมาในทันทีว่า “เมื่อก่อนข้าเคยได้ยิน คนพูดว่าผู้หญิงที่งดงามที่สุดในภาคตะวันตกนั้นก็คือ คุณหนูตระกูลซาง คุณหนูเสวี่ยอู่แห่งเมืองฝูซา คุณหนูเสวี่ยอู่ไม่เพียงแต่มีรูปโฉมที่งดงามเหนือคนทั่วไป แต่ยังเป็นคนที่อยู่บนทำเนียบฉูเฟิงของภาคตะวันตกอีกด้วย อย่างน้อยที่สุดคนเช่นนั้นถึงได้คู่ควรกับนายน้อย”

“ซางเสวี่ยอู่?” นัยน์ตาของมู่ลั่วฟงหวั่นไหวขึ้นมา

ที่เขาสนใจมากที่สุดก็คือผู้หญิงที่งดงามที่สุดของภาคตะวันตกประโยคนี้ ถ้าหากว่าซางเสวี่ยอู่งดงามเช่นนั้นจริงๆ แล้วละก็ คุณหนูตระกูลซูก็ดูต้อยไปเลย

มู่ลั่วฟงส่ายหน้าอย่างเสียดาย เอ่ยกับผู้ติดตามว่า “เจ้าพูดถูก คุณหนูตระกูลซูไม่คู่ควรกับข้า หากมีโอกาส พวกเราไปเมืองฝูซากันสักครั้ง ดูๆ ว่าสาวงามอันดับหนึ่งแห่งภาคตะวันตกที่เจ้าพูดถึงผู้นั้นงดงามขนาดไหน”

เมื่อเห็นว่าในที่สุดมู่ลั่วฟงก็ได้ระงับความคิดที่จะ ‘แย่งภรรยา’ ของผู้อื่นแล้ว ในใจของผู้ติดตามก็ลอบถอนหายใจออกมา

หลังจากที่เขาเช็ดเหงื่อที่อยู่บนหน้าผากของตนเองออกแล้ว ก็เอ่ยกับมู่ลั่วฟงว่า “นายน้อย ในเมื่อพวกเราไม่ไปดูบ่าวรับใช้คนนั้นแล้ว จะกลับไปเลยไหม?”

“รีบร้อนอะไรกัน? หาโอกาสได้ยากที่จะไม่ได้ฝึกพลัง ข้าอยากจะเดินเล่นให้ทั่ว” มู่ลั่วฟงเอ่ยด้วยท่าทีที่ดูมีชีวิตชีวา

ทันใดนั้น เขาก็หันไปกระดิกนิ้วเรียกผู้ติดตาม ผู้ติดตามไม่เข้าใจดังนั้นจึงยื่นหูเข้าไปฟัง มู่ลั่วฟงเอ่ยว่า “ภายในเมืองอันม๋อเฉิงมีสถานที่ที่มีการแสดงร้องรำทำเพลงอะไรพวกนี้หรือไม่?”

ผู้ติดตามเงยหน้ามองเขาอย่างสงสัย จากเปลวไฟในตาของเขาทั้งยังมีท่าทางที่คลุมเครือ ก็เข้าใจในทันใด เพียงแต่เขาเอ่ยอย่างลังเลว่า “แต่ว่า ผู้อาวุโสไม่ใช่ว่าไม่อนุญาตให้ท่านไปสถานที่เช่นนั้นมิใช่หรือ?”

มู่ลั่วฟงเอ่ยอย่างรำคาญว่า “ข้าสิถึงเป็นนายน้อย ตอนนี้ข้าสั่งให้เจ้าพาข้าไป!”

ผู้ติดตามหดคอลง พยักหน้าอย่างกล้าๆ กลัวๆ พามู่ลั่วฟงเข้าไปในถนนสายหนึ่ง

ยามคํ่าคืนมาถึง มู่ลั่วฟงก็ยังไม่ได้กลับมา

มู่เฉินมองไปยังสีท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่าง ทั้งยังมีบรรยากาศที่ค่อยๆ เงียบลงของเมืองอันม๋อเฉิง อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น

ทันใดนั้น ประตูที่ปิดสนิทก็ถูกผลักเปิดออก ผู้ติดตามพยุงเอามู่ลั่วฟงที่เมาสะลึมสะลือเดินเข้ามา

พอมองเห็นมู่เฉินอยู่ด้านใน ผู้ติดตามตกใจจนเกือบทำมู่ลั่วฟงตกพื้น

มู่เฉินยืนขึ้นมา เดินไปถึงด้านข้างของมู่ลั่วฟง กลิ่นเหล้าและกลิ่นนํ้าหอมผู้หญิงโชยหึ่งออกมา ทำให้เขารู้สึกไม่ชอบนัก เขามองทั้งสองคนนิ่งๆ เงียบไปครู่หนึ่งถึงได้สั่งการด้วยเสียงที่เย็นชาออกมาว่า “พานายน้อยไปพักผ่อนดีแล้ว ตัวเองกลับมารับโทษโบยยี่สิบไม้”

“ขอรับ…ขอรับ…” ผู้ติดตามเอ่ยออกมา

มู่เฉินเดินออกจากห้องของมู่ลั่วฟง เดินไปที่ระเบียงด้านนอก คนที่เขาส่งไปลอบคุ้มครองมู่ลั่วฟงกำลังยืนอยู่หน้า

มู่เฉินมองเขาแวบหนึ่ง ส่งสัญญาณให้เขาจากไปด้วยกัน

“เดิมนายน้อยคิดจะไปดูบ่าวรับใช้คนนั้น แต่ว่าสุดท้ายไปพบเข้ากับรถม้าของคุณหนูตระกูลซู จึงได้เปลี่ยนจุดมุ่งหมาย สุดท้ายแล้วก็ไปถนนบุปผา” คนที่คอยตามไปอย่างลับๆ รายงานความเคลื่อนไหวแก่มู่เฉิน

มู่เฉินได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้ว แต่สุดท้ายแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง

เดินไปไกลแล้ว เขาถึงได้พูดว่า “นายน้อยก็โตแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องมีผู้หญิงคอยดูแลอยู่ข้างกายแล้ว”

“บ่าวรับใช้ที่มาจากทะเลทรายท่องวิญญาณเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด” คนๆ นั้นเอ่ย

มู่เฉินพยักหน้าเห็นด้วย แต่กลับเอ่ยออกมาอย่างกังวล ใจว่า “เพียงแต่ไม่รู้ว่าบ่าวคนนั้นจะเลือกนายน้อยหรือไม่”

“ไม่เลือกนายน้อย หรือว่านางยังจะสามารถไปเลือกคนที่มาจากหลินชวนงั้นหรือ?” สำหรับหลินชวน คนของโลกแห่งยุคกลางมักจะมีความรู้สึกที่อยู่เหนือกว่า

มู่เฉินมองเขาแวบหนึ่ง ไม่ว่าอะไร เพียงแต่เอ่ยว่า “ทุกอย่างเอาไว้ดูพรุ่งนี้”

เมืองอันม๋อเฉิง ภายในอาคารรับรอง ในเรือนที่ถูกเหมาไว้แห่งหนึ่ง นอกประตูที่ถูกปิดสนิท มีชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาดูหล่อเหลาผิวสีทองแดงคนหนึ่งยืนอยู่

เขายืนอยู่นอกประตู ดูเหมือนกำลังเฝ้าระวังไม่ให้ใครบุกเข้ามา

ส่วนด้านหน้าของเรือนพักน้อยๆ ของเขา นับจากที่ฟ้าสว่างก็ปรากฏว่ามีคนสองคนยืนอย่างระแวดระวังกันปรากฏตัวขึ้น

หนึ่งคนในนั้นก็คือแม่ทัพมังกรที่มู่ชิงเกอเคยพบ ส่วนอีกคนชื่อว่ามู่เผิง เป็นคนที่มู่เฉินส่งไปหาคนที่ทะเลทรายท่องวิญญาณ

คนที่อยู่ภายในห้องที่ประตูปิดสนิทนั้นก็คือผู้หญิงที่มาจากทะเลทรายท่องวิญญาณ บ่าวรับใช้อีกคน

ห่างจากเวลาที่นัดกันเอาไว้ยังเหลืออีกครึ่งชั่วยาม มู่เฉิน นำมู่ลั่วฟงที่สร่างเมาแล้วมาที่อาคารรับรองแห่งนี้ เดินเข้าไปในเรือนเล็ก

อาการเมาค้างทำให้ศีรษะของมู่ลั่วฟงดูมึนๆ สีหน้าไม่น่าดูเป็นอย่างมาก

นอกจากพวกเขาสองคนแล้ว ที่ตามมาด้วยก็ยังมีองครักษ์เงาที่ตามมู่ลั่วฟงไปเมื่อวาน ส่านผู้ติดตามของมู่ลั่วฟงนั้นหลังจากรับโทษแล้วก็รออยู่ในโรงเตี๊ยมที่พวก เขาพัก อยู่กับองครักษ์ที่เหลืออีกสามคน

เมื่อพวกเขาเข้ามาแล้ว มู่เผิงก็รีบประสานมือแสดงความเคารพต่อมู่ลั่วฟงในทันที “นายน้อย”

จากนั้นก็หันไปทางมู่เฉินแล้วเอ่ยทักทายว่า “ผู้อาวุโสใหญ่”

ในเวลานี้สายตาของแม่ทัพมังกรก็มองพิจารณาไปที่ร่างกายของมู่ลั่วฟงอย่างละเอียด

‘นี่เป็นผู้สืบทอดที่ตระกูลมู่ของโลกแห่งยุคกลางคัดเลือกออกมางั้นหรือ?’ พอเห็นมู่ลั่วฟงที่ยังไม่สร่างเมาดี ส่วนลึกในดวงตาของแม่ทัพมังกรก็ฉายแววดูแคลนออกมา คิดไปถึงครั้งแรกที่ตนเองได้พบกับมู่ชิงเกอ ลักษณะท่าทางก็ดูดีเสียยิ่งกว่ามู่ลั่วฟงคนนี้ตั้งมากมายนัก

“ท่านนี้คงเป็นแม่ทัพมังกรของเผ่าอี๋ที่มาจากทะเลแห่งทุกข์ใช่หรือไม่?” มู่เฉินเดินไปทางแม่ทัพมังกร ทักทายขึ้นมาก่อน

แม่ทัพมังกรกำลังดูถูกสายตาในการเลือกคนของพวกมู่เฉิน มู่เฉินก็โผล่ขึ้นมาในทันใด ทำให้เขารีบเก็บความคิดในใจไปในทันที เขาหันไปมองมู่เฉิน

มู่เฉินเอ่ยว่า “ข้ามู่เฉินเป็นผู้อาวุโสของตระกูลมู่ในโลกแห่งยุคกลาง”

แม่ทัพมังกรพยักหน้า และก็ตอบตามมารยาทไป “เจ้าเรียกข้าว่าแม่ทัพมังกรก็ได้”

ท่าทีของเขา ไม่ถ่อมตัว ไม่หยิ่งผยอง ตามที่เขา มู่เฉิน มู่เผิงมองดู ล้วนแต่ไม่ใช่ปัญหา

แต่ว่ามู่ลั่วฟงกลับเงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่พอใจ มองเขาอย่างหยิ่งผยอง เชิดคางขึ้นแล้วเอ่ยว่า “เพ้ย เห็นข้าแล้วทำไมเจ้าไม่เคารพ? เจ้าไม่ใช่ว่าเป็นแค่เพียงบ่าวคนหนึ่งของตระกูลมู่หรอกรึ ถึงกลับกล้าทำเป็นมองไม่เห็นข้า”

“ลั่วฟง!” มู่เฉินหันกายส่งเสียงเข้มงวดห้ามปราม

นัยน์ตาของแม่ทัพมังกรเยียบเย็นขึ้น เอ่ยท้าทายว่า “ดูท่า คนผู้นี้คงยังไม่ค่อยเข้าใจในกฎเกณฑ์สักเท่าไหร่ พวกเราเผ่าอี๋ของทะเลแห่งทุกข์ยอมรับมู่ชิงเกอเป็นนาย น้อย คนอื่นสำหรับพวกเราแล้วไม่ถือว่าเป็นอันใด คิดจะให้พวกเราเผ่าอี๋ยอมรับ ก็รอให้เอาชนะผู้สืบทอดคนอื่นได้แล้วค่อยว่ากันเถอะ”

“เจ้าพูดว่าอะไรนะ!” ดวงตาของมู่ลั่วฟงดูอำมหิต มองแม่ทัพมังกรอย่างดุร้าย

แต่น่าเสียดาย แม่ทัพมังกรกลับเพียงแค่ทำเสียง “เฮอะ!” ในจมูก ไม่ได้เห็นมู่ลั่วฟงอยู่ในสายตา

“ลั่วฟงหุบปาก” มู่เฉินตำหนิ นํ้าเสียงของเขาดูเหมือนผู้อาวุโสที่สั่งสอนผู้น้อย

มู่ลั่วฟงกัดฟัน เก็บความไม่พอใจในใจกลืนลงท้องไป แต่ยังคงจ้องมองไปยังแม่ทัพมังกรอย่างแค้นเคืองอยู่

“แม่ทัพมังกร ลั่วฟงยังเด็ก อย่าถือสาอะไรกับเขาเลย” มู่เฉินกล่าวขออภัย

แม่ทัพมังกรยิ้มเยาะเอ่ยว่า “สายตาที่เจ้าเลือกคน ข้าไม่กล้าเห็นตามเลยจริงๆ”

มู่เฉินยิ้มอย่างกระดากใจออกมา สีหน้าของมู่เผิงก็ดูไม่น่าดูเช่นกัน

พวกเขาอยู่กับมู่ลั่วฟงทุกวัน แน่นอนว่าพวกเขาเห็นอย่างชัดเจน หากว่ามีทางเลือกที่ดีกว่านี้แล้ว พวกเขายังจะมาเลือกมู่ลั่วฟงได้อย่างไร?

พูดให้ชัดๆ ก็คือ สิ่งเดียวที่พวกเขาสนใจในตัวของมู่ลั่วฟงก็คือพรสวรรค์ของเขา!

พูดได้ว่าหากมู่เฟิงแห่งตระกูลมู่ที่พวกเขาหนีจากมามีพรสวรรค์ของมู่ลั่วฟง พวกเขาก็คงจะไม่ออกมา ยังไม่รู้เลยว่าบนโลกนี้ยังมีคนอย่างมู่ลั่วฟงด้วย

บางทีเมื่อรู้แล้วก็คงจะปล่อยเขาใช้ชีวิตไปตามยถากรรม

การปะทะกันเล็กๆ นี้ ล้วนอยู่ในสายตาของชายหนุ่มที่อยู่นอกประตู แต่เขาก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ดูเหมือนกับรูปปั้น มีเพียงแต่สายตาคมกล้าดุจดั่งนกอินทรีเท่านั้นที่ ลอบบันทึกเรื่องราวทั้งหมด

‘คนที่ดูวางมาดคนนี้จะมาเป็นเจ้านายของพี่สาวงั้นหรือ? เป็นทางเลือกของพวกเขาเผ่าอี๋แห่งทะเลทรายท่องวิญญาณทั้งเผ่าอย่างนั้นหรือ?’ เขาลอบเอ่ยในใจ

ส่วนด้านหลังของเขา ภายในประตูห้องที่ปิดสนิดก็มีสายตาที่เรียบนิ่งลํ้าลึกคู่หนึ่ง มองผ่านกระดาษโปร่งแสงบนประตูไม้ฉลุลาย มองสิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอกทั้งหมด

ในตอนที่แม่ทัพมังกรอารมณ์ไม่ดี ในใจของมู่ลั่วฟงยิ่งเลวร้ายกว่า

เขาเดินไปถึงบันไดหน้าประตู ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เจ้าเป็นใครกัน มายืนอยู่ที่นี่ทำไม? ข้ามาถึงแล้ว เป็นแค่บ่าวรับใช้ตํ่าต้อยยังจะวางท่าอีกหรือไง?”

ชายหนุ่มที่อยู่หน้าประตู หันสายตาที่ดูเย็นชามองไปที่เขา “ยังขาดอีกหนึ่งคน”

ความหมายในคำพูดก็คือจำเป็นต้องรอให้มู่ชิงเกอมาถึงแล้วประตูด้านหลังของเขาถึงจะเปิดออก

มู่เผิงเดินเข้ามา คว้าจับมู่ลั่วฟงลากเขากลับมา อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเสียงเบาว่า “นายน้อย วันนี้ท่านเป็นอะไรไป? สงบใจหน่อย”

คนยังไม่ทันได้พบ ก็ได้ล่วงเกินตัวแทนของเผ่าอี๋จากทะเลแห่งทุกข์และทะเลทรายท่องวิญญาณทั้งสองเสียแล้ว

สองฐานกำลังนี้ล้วนแต่เป็นกำลังสำคัญสำหรับผู้สืบทอดทุกๆ คน

มู่ลั่วฟงถูกตำหนิสั่งสอนอย่างต่อเนื่อง ทั้งปวดหัวเหมือนหัวจะแตก ทั้งไม่พอใจ เขาออกแรงสะบัดชายเสื้อของตนเอง เดินไปยังโต๊ะหินด้านข้างแล้วนั่งลง ตะโกนไปหาองครักษ์เงาว่า “ยังไม่รินชาให้ข้าอีก!”

องครักษ์เงามองเขาแวบหนึ่ง หันกายไปเงียบๆ ไม่นานก็นำกานํ้าชามาวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าของมู่ลั่วฟง

มู่ลั่วฟงหยิบชาร้อนขึ้นมาจิบคำหนึ่ง ในที่สุดก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง

แต่ทว่า เขายังคงเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “นี่มันเป็นเวลาอะไรแล้ว เหตุใดเจ้าบ้านนอกจากหลินชวนถึงยังไม่มาอีก? หรือว่าคิดจะสละสิทธิ์?”

ครั้งนี้มู่เฉินและมู่เผิงไม่ได้ห้ามเขา แต่กลับมองไปยังแม่ทัพมังกรพร้อมกัน

ในใจของพวกเขานั้น หวังอย่างยิ่งว่ามู่ชิงเกอจะมาไม่ทันเวลา สละสิทธิ์ไปเช่นนี้ มู่ลั่วฟงก็สามารถเอาชนะได้อย่างไม่ต้องเปลืองแรง มิเช่นนั้นเพียงอาศัยท่าทางของพวกเขาในวันนี้ใครชนะใครแพ้ช่างยากที่จะพูดจริงๆ

แม่ทัพมังกรไม่รีบไม่ร้อนเอ่ยว่า “ยังเหลืออีกหนึ่งเค่อ ก่อนเวลานัดหมายรีบร้อนอะไร? นายน้อยของข้าเป็นคนรักษาเวลาเสมอ”

หนึ่งเค่อ หนึ่งเค่อนั้นไม่นาน ผู้สืบทอดจากหลินชวนจะสามารถมาปรากฏตัวได้ทันเวลาจริงหรือ?

มู่เฉินกับมู่เผิงลอบสบสายตากัน พวกเขาคาดหวังให้มู่ชิงเกอทั้งไม่ปรากฏตัว ทั้งคาดหวังให้ปรากฏตัว เพื่อให้พวกเขาได้ดูว่าผู้สืบทอดของตระกูลมู่จากหลินชวนนั้นมีความสามารถขนาดไหน ถึงได้สามารถทำให้เผ่าอี๋แห่งทะเลแห่งทุกข์ยกย่องได้ขนาดนี้

เขาไม่ได้พลาดสายตาที่ดูแคลนและดูถูกของแม่ทัพมังกรยามมองไปยังมู่ลั่วฟง แต่ตอนที่เขาพูดถึงมู่ชิงเกอนั้น นัยน์ตากลับเผยความภูมิใจออกมา ถ้าหากว่าไม่ใช่พึงพอใจมากต่อผู้ที่ถูกเลือกคนนั้น ก็คงจะไม่ปรากฏท่าทางเช่นนี้ออกมาอย่างแน่นอน

ทุกคนนิ่งเงียบรออยู่ครู่หนึ่ง เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป ในตอนที่เวลามาถึงแล้ว ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านนอก ประตูก็เงยหน้าขึ้นไปมองบนฟ้า เอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “ถึงเวลาแล้ว”

ได้ยินคำนี้ มู่ลั่วฟงที่อดใจรอไม่ไหวแล้วก็กระโดดขึ้นมาจากตั่งหิน พุ่งไปยังประตู เขามองไปรอบๆ ครู่หนึ่ง แล้วหัวเราะขึ้นมา “ดูท่าเจ้าคนบ้านนอกจากหลินชวนนั้นจ ยอมแพ้ไปเองแล้วรีบเปิดประตู!”

แม่ทัพมังกรขมวดคิ้ว เม้มริมฝีปากแน่น มองไปยังประตูเรือน

นัยน์ตาของชายหนุ่มเผยร่องรอยดูแคลนขึ้นมาแวบหนึ่ง และก็รู้สึกหมดหนทาง ในตอนที่กำลังเตรียมตัวจะเปิดประตูด้านหลังนั้น ก็มีเสียงกังวานสายหนึ่งดังเข้ามา “ขอโทษด้วย ระหว่างทางมีเรื่องทำให้ล่าช้า มาช้าไปบ้าง”

ทุกคนมองกลับไป ชายหนุ่มที่ยืนอยู่นอกประตูห้องก็เงยหน้าขึ้น มองไปที่ประตูเรือน แม้แต่ดวงตาที่สงบนิ่งลึกลํ้าด้านหลังประตูก็มองไปยังที่ที่เสียงลอยมาเช่นเดียวกัน

แม่ทัพมังกรที่จำเสียงของมู่ชิงเกอได้ยินดีเป็นอย่างยิ่ง รีบก้าวยาวไปที่หน้าประตูเรือนเพื่อต้อนรับ

เขาเพิ่งจะเดินเข้ามา สายตาของทุกคนก็ปรากฏสีแดงสะดุดตาออกมาสายหนึ่ง ด้านหลังของเขามีสาวงามคนละแบบเดินตามมาด้วยสองนาง

เพียงแต่ว่า ในวินาทีนั้น ความสนใจของทุกคนล้วนแต่อยู่บนสีแดงเจิดจ้าสะท้อนสายตานั้นหมด

มู่เฉินกับมู่เผิง รวมถึงองครักษ์เงาที่พวกเขานำมา ในตอนที่มองเห็นมู่ชิงเกอเดินเข้ามานั้น ในใจก็ล้วนแต่เกิดอาการตกตะลึง กลิ่นไอองอาจที่แผ่พุ่งออกมาเองนั้น

ลักษณะเช่นนั้นทำให้ไม่สามารถเอามู่ลั่วฟงไปเทียบได้เลย

แต่เดิมรูปลักษณ์ภายนอกของมู่ลั่วฟงก็ถือว่าโดดเด่นแล้ว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเขากลับเปลี่ยนเป็นดูด้อยลงมา ไม่อาจเทียบได้

“นายน้อย!” แม่ทัพมังกรคำนับ

มู่ชิงเกอรับการคารวะจากเขาหลังเหยียดตรง นัยน์ตาฉายแววแย้มยิ้ม กวาดตามองไปยังบรรดาคนที่อยู่ในเรือน

สายตาของนางไม่ได้หยุดลงที่พวกมู่เฉิน มู่เผิง และก็ไม่ได้สนใจมู่ลั่วฟงมากเป็นพิเศษ แต่กลับไปหยุดอยู่ที่ชายหนุ่มที่อยู่นอกประตูครู่หนึ่ง

“ดวงตาคู่นี้ไม่เลว” นางเอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง

ไม่มีใครสามารถฟังออก แต่ชายหนุ่มที่ยืนอยู่นอกประตูนั้น นัยน์ตากลับค่อยๆ หดตัวลง ประโยคนี้ดูเหมือนจะทำให้เขารู้สึกว่าคนผู้นี้มองทะลุดวงตาของเขา

ดวงตาของเขาไม่เหมือนกับคนทั่วไปจริงๆ เขาสามารถมองเห็นได้ไกลออกไป ขอเพียงแต่ไม่มีอะไรบังเอาไว้ เขาสามารถมองเห็นทุกอย่างในระยะร้อยลี้อย่างชัดเจนได้

มู่ชิงเกอพูดจบ ก็ยิ้มๆ หันกายไปมองแม่ทัพมังกร พยักหน้าเอ่ยว่า “ตลอดเส้นทางมาลำบากแล้ว”

นํ้าเสียงเช่นนี้ เป็นนํ้าเสียงที่หัวหน้าพูดกับลูกน้องไม่มีผิด

ในใจของมู่เฉินและมู่เผิงรู้สึกตะลึง นี่เป็นคนที่มาจากหลินชวนจริงๆ น่ะหรือ? อายุก็เห็นได้ชัดว่าไม่ต่างกับมู่ลั่วฟงมาก แต่กลับดูนิ่งสงบ ไม่อ่อนด้อย ไม่หยิ่งผยอง ไม่ได้มีปมด้อยหรือขี้ขลาดเพราะมาจากหลินชวนเลย

สำหรับเผ่าอี๋ก็ไม่ได้ประจบเอาใจเป็นพิเศษ แสดงให้เห็นชัดเจนถึงความเป็นนายเป็นบ่าว

“ลำบากเพื่อนายน้อย เป็นบุญของข้าน้อยแล้วขอรับ!” หลงเจียงเอ่ยอย่างเคารพเลื่อมใส รู้สึกได้ใจเป็นอย่างมาก เขาลอบเอ่ยในใจว่า ‘ดูเอาเถอะ นี่ก็คือความแตก ต่าง! คนที่พวกเจ้าเลือกจะมาเทียบกับท่านผู้นี้ของพวกเราได้อย่างไร?’

“ท่านอา” เสวี่ยหยาเดินเข้ามา เอ่ยกับแม่ทัพมังกรอย่างสนิทสนม

หลงเจียงเงยหน้าขึ้นมองนาง เผยรอยยิ้มของผู้อาวุโส “เสวี่ยหยา ตลอดเส้นทางที่มาได้ดูแลนายน้อยดีหรือไม่? ไม่ได้สร้างความลำบากให้นายน้อยใช่หรือไม่”

เสวี่ยหยาพยักหน้า มองไปยังมู่ชิงเกอแวบหนึ่ง เอ่ยตอบว่า “นายน้อยดีต่อข้ามาก ข้าติดตามนายน้อยก็ได้เรียนรู้เรื่องราวต่างๆ มากมาย”

ตอนนี้นางเข้าสู่ระดับพลังขั้นสีเทาขั้นห้าแล้ว เหลืออีกเพียงนิดเดียวก็จะถึงขั้นหก อีกไม่นานก็จะสามารถทะลวงสู่ระดับพลังขั้นสีเงินได้แล้ว

ระดับความเร็วเช่นนี้ ภายในรุ่นราวคราวเดียวกันในโลกแห่งยุคกลางก็ถือว่าเร็วมากแล้ว

ดูเหมือนว่าคนที่รวมตัวอยู่ข้างกายของมู่ชิงเกอล้วนแต่ไม่ใช่คนธรรมดา ความเร็วในการฝึกพลังของพวกเขานั้น รวดเร็วเป็นพิเศษ

เสวี่ยหยาออกปากขึ้นมาก็ทำให้คนสนใจไปที่นางในทันที

ความงดงามและสูงสง่าดุจดั่งนางฟ้าบนดวงจันทร์ของนาง ทำให้ความสนใจของมู่ลั่วฟงลอยออกไปจากตัวของมู่ชิงเกอในทันที

มู่เฉินกับมู่เผิงก็คาดเดาสถานะของนางจากการพูดคุยกับแม่ทัพมังกร นางก็คือบ่าวรับใช้จากทะเลแห่งทุกข์ซึ่งได้ติดตามข้างกายมู่ชิงเกอมาหนึ่งปีกว่าแล้ว

“ดูท่า คนจะครบกันแล้ว” มู่ชิงเกอเอ่ย

ประโยคนี้คือเอ่ยกับแม่ทัพมังกร

ในใจของนางรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างว่าแต่ก่อนตอนอยู่เกาะตูเล่อ แม่ทัพมังกรก็ไม่ได้แสดงความเคารพนางถึงขนาดนี้ไม่ได้เจอกันมาตั้งนาน เขากลับเปลี่ยนเป็น กระตือรือร้นขึ้นมางั้นหรือ?

ในความเป็นจริง มู่ชิงเกอไม่รู้ว่าในก่อนที่นางจะมาถึง แม่ทัพมังกรทนไม่ได้กับคำพูดของมู่ลั่วฟง แค้นจนแทบอยากจะให้มู่ชิงเกอปรากฏตัวออกมาไวๆ จะได้โจมตีพวกมู่เฉินไปให้หนักๆ

ดังนั้นในตอนที่นางปรากฏตัวออกมา ท่าทีของเขาจึงดูเคารพมากเป็นพิเศษ

“รายงานนายน้อย ครบกันแล้วขอรับ” แม่ทัพมังกรเอ่ยตอบ

มู่ชิงเกอพยักหน้า เดินไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว ไปยืนบริเวณที่ว่างภายในเรือนเล็ก

ในใจของนางนั้นรู้สึกขบขันนัก เดินทางนับพันลี้มาที่นี่ เพื่อให้ผู้หญิงแค่คนหนึ่งเลือกเจ้านาย ในใจของมู่ชิงเกอลอบถอนหายใจ หากไม่ใช่เพราะแผนที่อีกครึ่งหนึ่งนั่น นางก็จะไม่มาถึงที่นี่อย่างเด็ดขาด

ดวงตาทั้งคู่ของมู่ลั่วฟงจ้องมองเสวี่ยหยาตลอด ทั้งยังลอบมองไปยังร่างของฮวาเยวี่ยเป็นพักๆ เช่นกัน นัยน์ตาเต็มไปด้วยความอิจฉาในความ ‘โชคดี’ ของมู่ชิงเกอ ในขณะเดียวกันในใจของเขาก็คิดอย่างแค้นเคืองว่า ‘เป็นนายน้อยตระกูลมู่เหมือนกันเหตุใดจึงแตกต่างเช่นนี้? เขากลับไม่สามารถใกล้ชิดผู้หญิงได้ แต่เหตุใดเจ้าคนตรงหน้ากลับสามารถโอบซ้ายโอบขวา เพลิดเพลินไปกับความสุขที่มีคนรุมล้อม?’

ถูกสายตาที่ไร้มารยาทของเขาจ้องมองทำให้อึดอัดมาก เสวี่ยหยากับฮวาเยวี่ยล้วนหลบไปยืนอยู่ด้านหลังของมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมา สบถอย่างเย็นชาไปคำหนึ่ง พลังที่มองไม่เห็นสายหนึ่ง พุ่งไปทางมู่ลั่วฟง

มู่ลั่วฟงไม่ได้รู้สึกตัวเลย แต่พวกมู่เฉินไม่กี่คนกลับสัมผัสได้

ภายใต้ความตื่นตกใจ มู่เฉินยื่นมือออกมา ในตอนที่พลังเกือบจะถึงตัวของมู่ลั่วฟงนั้น ขวางไว้ได้ทันพอดี “เหตุใด คุณชายถึงได้ลงมือหนักเช่นนี้?”

มู่เฉินขวางการโจมตีของมู่ชิงเกอ ชายแขนเสื้อม้วนสะบัด ก่อนจะไพล่ไว้ด้านหลัง ในใจลอบตกตะลึง การโจมตีเมื่อครู่ อย่างน้อยก็เป็นพลังของระดับสีเงินชั้นหนึ่ง ไม่ใช่ว่าเขามาจากหลินชวนมิใช่หรือ? เหตุใดจึงสามารถเลื่อนระดับพลังได้เร็วถึงขนาดนี้?!

การโจมตีถูกขวางไว้ได้นั้นมู่ลั่วฟงไม่รู้เลย แต่หลังจากมู่เฉินเอ่ยปากขึ้น เขาถึงได้รู้ว่าตนเองนั้นเกือบจะถูกลอบโจมตีไปแล้ว ชั่วขณะนั้นจึงโมโหขึ้นเอ่ยว่า “เจ้าบ้านนอก เจ้ากล้าทำร้ายข้า!”

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววเยาะเย้ย นํ้าเสียงที่ดูสบายๆ แฝงความอำมหิตเอาไว้ “หากไม่จัดการกับดวงตาคู่นั้นของเจ้าให้ดี ครั้งหน้าข้าจะควักมันออกมาให้สาวใช้ของข้าทำเป็นเครื่องประคับ”

“นายน้อยข้าไม่ได้ต้องการของเปื้อนเลือดเช่นนั้น หากท่านเอาให้ข้า ข้าก็จะทำลายมันเอง” ฮวาเยวี่ยเอ่ยอย่างแง่งอน

เสวี่ยหยาก็เอ่ยอย่างเฉยชาว่า “นายน้อย ข้าก็ไม่อยากได้ สกปรก”

ท่าทางเต็มไปด้วยความรังเกียจ ทำให้มุมปากของมู่ชิงเกอยิ้มออกมาอย่างขบขัน

สีหน้าของมู่ลั่วฟงมืดทะมึนลง เอ่ยด้วยนํ้าเสียงที่ดูอำมหิตว่า “ดีจริงๆ! สาวใช้ชั้นตํ่าสองคนกลับกล้ามาพูดกับข้าเช่นนี้งั้นหรือ? ท่านลุง…”

“สาวใช้ของข้า ใช่คนที่เจ้าจะสามารถมาพูดว่าชั้นต่ำได้งั้นหรือ?” สายตาของมู่ชิงเกอแข็งกร้าวขึ้น ตัดบทพูดของมู่ลั่วฟงในทันใด ใช้ท่าก้าวดาราก่อกำเนิด เงาร่างดุจดังภาพมายา ข้ามผ่านตัวมู่เฉินในพริบตามาถึงตรงหน้าของมู่ลั่วฟง

เพี๊ยะ!

เสียงหนึ่งดังกังวานขึ้นมา

พอทุกคนได้สติขึ้นมานั้น มู่ชิงเกอก็ได้กลับไปอยู่ที่เดิมแล้ว

ฮวาเยวี่ยรีบยื่นผ้าเช็ดมือสะอาดผืนหนึ่งไปให้ในทันที ในระหว่างที่ทุกคนกำลังตกอยู่ในภาวะตกตะลึงอยู่นั้น มู่ชิงเกอก็ค่อยๆ เช็ดมือของตนเอง ดูเหมือนว่าเมื่อครู่ได้ไปสัมผัสโดนของอะไรที่สกปรกก็ไม่ปาน

“เจ้าบ้านนอก เจ้ากล้าตีข้า! ข้าจะฆ่าเจ้า!” มู่ลั่วฟงพอได้สติกลับมา บนหน้าก็เกิดปวดแสบปวดร้อนขึ้น ทำเอาเขารู้สึกโมโหยิ่งนัก

มู่เผิงห้ามเขาได้ทันเวลาพอดี มองมู่ชิงเกอด้วยสีหน้าที่ดูตกตะลึง

คนที่อยู่ฝั่งของมู่ลั่วฟงนั้นตกตะลึงเป็นอย่างมาก ส่วนแม่ทัพมังกรกลับกะพริบตามองดูอย่างประหลาดใจครั้งแล้วครั้งเล่า ในตอนที่มู่ชิงเกออยู่ที่เกาะตูเล่อนั้น เขาเห็นได้ชัดว่าพลังฝึกปรือของมู่ชิงเกอนั้นอยู่ระดับไหน ผ่านไปสั้นๆ เพียงปีกว่าๆ กลับพัฒนามาถึงขั้นนี้ได้ ช่างทำให้เขาประหลาดใจได้จริงๆ!

“คุณชายก็เป็นผู้สืบทอดของตระกูลมู่เช่นเดียวกัน ท่านทำเช่นนี้ไม่เกินไปหน่อยหรือ?” มู่เฉินบังอยู่ข้างหน้าของมู่ลั่วฟง มองมู่ชิงเกอด้วยสีหน้าที่ดูมืดครื้ม

มู่ชิงเกอกลับเอ่ยเยาะเย้ยว่า “เป็นถึงผู้สืบทอดแต่กลับแอบซ่อนอยู่ข้างหลังของคนอื่น ช่างทำให้คนได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ”

คำพูดของนางทำเอาพวกมู่เฉินไม่กี่คนสั่นสะท้านไปทั้งใจ มู่ลั่วฟงก็หยุดขัดขืน เพียงแต่ใช้สองตาจ้องมองมู่ชิงเกออย่างอำมหิต

“เหตุใดคุณชายถึงได้ใช้คำพูดบีบคั้นผู้คนเช่นนี้?” มู่เผิงเอ่ยปาก

มู่ชิงเกอกลับหัวเราะเยาะ

หัวเราะแล้วนางก็มองไปทางพวกเขาอย่างยั่วยุ “ข้าปกป้องสาวใช้ของตนเอง กลับถูกพวกท่านพูดว่าใช้คำพูดบีบบังคับคนงั้นหรือ? การแยกแยะผิดชอบชั่วดีนี้ข้าก็ไม่อาจเทียบกับพวกท่านได้”

พูดจบแล้วนางก็ยิ้มเย็นส่ายหน้า เอ่ยกับประตูห้องที่ปิดอยู่ว่า “บ่าวที่อยู่ด้านในจงฟัง ข้ามีเวลาไม่มาก หากว่าเจ้าไม่สามารถตัดสินใจในทันทีได้ เช่นนั้นข้าก็คงต้องขอตัวแล้ว”

นางมองไปยังผู้สืบทอดของตระกูลมู่ในโลกแห่งยุคกลาง แล้วกลับทำให้นางผิดหวังมาก

เดิมทียังคิดจะพิจารณาสืบเรื่องความเกี่ยวโยงของตระกูลมู่ในโลกแห่งยุคกลางกับตระกูลมู่ของหลินชวนเสียหน่อย ตอนนี้ดูแล้วคงไม่จำเป็น ไม่สนว่าตระกูลมู่นี่จะมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับตระกูลมู่ที่นางอยู่หรือไม่ นางก็ล้วนแต่ไม่สนใจจะใกล้ชิดด้วยแล้ว

นางมาก็เพื่อแผนที่และเบาะแส หากว่ากลับไปมือเปล่า ก็ไม่กลัวเพราะว่านางยังมีแผนภาพอีกครึ่งหนึ่งอยู่ ถ้าหากว่าเหล่าคนของตระกูลมู่ที่อยู่ตรงหน้าอยากจะหา

เคล็ดวิชาเทวะส่วนกลาง ก็ต้องมาร่วมมือกันกับนาง

มู่ชิงเกอหันกายเตรียมจะจากไป

นางไม่ได้จงใจสร้างสถานการณ์ และก็ไม่ได้ทำท่าไปงั้นๆ แต่จะจากไปจริงๆ

การเคลื่อนไหวของนางทำให้แม่ทัพมังกรปรับตัวตามไม่ทัน และก็ทำให้ฝั่งทางมู่เฉินรวมถึงมู่ลั่วฟงชะงักอยู่กับที่

ทันใดนั้น ประตูที่ปิดสนิทก็ถูกเปิดออก ชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าประตูหันกายหลีกทาง

เป็นเรือนร่างที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ร่างหนึ่ง ผิวออกสีนํ้าตาลอ่อนเป็นประกาย รูปโฉมถือว่างดงามแปลกตา ค่อยๆ เดินออกมาจากห้อง นางเพิ่งจะออกมาก็ชันเข่า ข้างหนึ่งลงบนพื้น ตะโกนไปทางมู่ชิงเกอว่า “นายน้อย โปรดหยุดก่อน!”

คำพูดของนางเพิ่งจะหลุดออกไป ชายคนที่ยืนอยู่ข้างกายของนางก็ชันเข่าไปทางมู่ชิงเกอเช่นกัน

มู่ชิงเกอหยุดฝีเท้า หันกายกลับมามองนาง

ส่วนมู่เฉินและคนอื่นๆ ก็มองมาทางประตูห้องอย่างตกตะลึง

ไม่เหมือนกับพวกมู่เฉิน มู่ลั่วฟงกลับมองไปยังสาวงามเปี่ยมเสน่ห์คนนั้นอย่างหื่นกระหาย

“เซวี่ยนหย่าคำนับนายน้อยชิงเกอ! ข้ากับเผ่ายินยอมที่จะอยู่ใต้คำสั่งของนายน้อย ไม่ทรยศไปชั่วชีวิต!“ หญิงสาวเปี่ยมเสน่ห์เอ่ยคำสาบานต่อมู่ชิงเกอ

“เซวี่ยนขุยคำนับนายน้อยชิงเกอ!” ชายหนุ่มผิวสีทองแดงเข้มก็ขานชื่อตัวเองออกมา

มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น มุมปากเกิดรอยยิ้มบางๆ

“ช้าก่อน เจ้าอาศัยอะไรมาตัดสินใจเลือกในตอนนี้?” ในที่สุดมู่ลั่วฟงก็ได้สติขึ้นมา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!