ตอนที่ 255
ไม่มีตัวเปรียบเทียบก็จะไม่รู้ว่าอะไรดีไม่ดี
“ช้าก่อน เจ้ามีสิทธิ์อะไรที่จะตัดสินใจเลือกตอนนี้เลย?”
มู่ลั่วฟงได้สติจากอาการตะลึงในความงาม เอ่ยถามเสียงดังด้วยความสงสัย ส่วนลึกในดวงตาเขาแอบซ่อนความหื่นกระหาย เวลานี้เขาไม่เพียงต้องการครอบครองเซวี่ยนหย่าเท่านั้น ยังคิดที่จะช่วงชิงเสวี่ยหยามาจากมู่ชิงเกออีกด้วย
มู่ลั่วฟงที่ปรายตามองมู่ชิงเกอแววตาแฝงความเกลียดชังขั้นรุนแรง ‘พวกนางล้วนเป็นของข้า เป็นของข้าชัดๆ! เจ้าคนบ้านนอกจากหลินชวนคนหนึ่งคิดจะมาแย่งชิงกับข้ารึ?’
ความหื่นกระหายที่อยู่ใต้ก้นบึ้งภายในใจนั้น ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความอิจฉาริษยาและความแค้น
ภายในใจของมู่ลั่วฟงในเวลานี้ มู่ชิงเกอก็คือคนถ่อยที่แย่งทุกอย่างไปจากเขา!
แววตาของมู่ลั่วฟงเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
มู่ชิงเกอไม่เก็บมาใส่ใจเลยสักนิด พ่นเสียง “หึ” ขึ้นในจมูก ครั้งนี้นางไม่เคยคิดจะใช้กลยุทธ์หรือเแผนการแต่อย่างใดเลยจริงๆ
การเลือกของเซวี่ยนหย่า เป็นการเลือกด้วยตัวนางอย่างแท้จริง เกินความคาดหมายของมู่ชิงเกออยู่บ้าง
ทว่า ในเมื่อเซวี่ยนหย่าเลือกนางแล้ว เช่นนั้นก็ลดความกังวลเรื่องแผนที่อีกครึ่งหนึ่งของนางหลังจากนี้ไป
เมื่อเผชิญหน้ากับข้อสงสัยของมู่ลั่วฟง เซวี่ยนหย่าก็เงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วเอ่ยเสียงนิ่งๆ ว่า “เซวี่ยนหย่าคิดว่านายน้อยชิงเกอเหมาะสมที่จะเป็นนายท่านของเซวี่ยนหย่ามากกว่า”
เหตุผล? ต้องการเหตุผลใดอีก ผู้ที่มีแววตาคมชัดล้วนเห็นความต่างได้อย่างชัดเจน ยังต้องให้บอกอีกรึ?
คำตอบของเซวี่ยนหย่า ทำเอามู่ลั่วฟงมีสีหน้าเคร่งขรึม สีหน้าท่าทางของมู่เฉินและมู่เผิงก็ไม่ได้น่าดูไปกว่ากัน
“แม่นางเซวี่ยนหย่าตัดสินใจออกมาเช่นนี้ไม่ดูใจร้อนไปหน่อยหรือ? ควรรู้ว่ามีหลายครั้งที่คนรู้หน้าก็ไม่รู้ใจ นายน้อยของเราแม้ว่าจะเป็นหนุ่มมุทะลุ แต่ก็เปิดเผยจริงใจตรงไปตรงมา ขอให้เจ้าทบทวนดูอีกสักครั้งเถอะ” มู่เผิงลุกขึ้นยืน ภาษาที่ใช้ก็แฝงความนัยอื่น
ได้ยินสิ่งที่เขากล่าวออกมาแล้ว มู่ชิงเกอก็ยิ้มมุมปากเย้ยหยัน ‘สิ่งใดเรียกว่า คนรู้หน้าไม่รู้ใจ นี่กำลังพูดถึงข้าหรือ?’
“เพ้ย เจ้าว่าอะไรคือคนรู้หน้าไม่รู้ใจ?” แม่ทัพมังกรกระโดดออกมา ตั้งคำถามใส่มู่เผิง
มู่เผิงในเวลานี้ไม่มีท่าทีนอบน้อมเช่นก่อนหน้านี้แล้ว ไม่ต้องการให้มู่ลั่วฟงถูกละทิ้งเช่นนี้ เขาทำได้เพียงไปไขว่คว้าโอกาส “ข้าไม่ได้เอ่ยชื่อใคร เพียงแค่ไม่หวังให้แม่นางเซวี่ยนหย่าต้องเสียใจภายหลังในวันข้างหน้า”
มู่ลั่วฟงเห็นมู่เผิงเปิดช่องให้ก็รีบกล่าวเสริมอย่างลำพองใจ “ถูกต้อง”
เขาหันไปมองเซวี่ยนหย่า เผยรอยยิ้มที่เจ้าตัวคิดว่าหล่อเหลาที่สุด เอ่ยด้วยนํ้าเสียงจริงใจ “ แม่นา เซวี่ยนหย่า ข้าสิถึงจะเป็นมังกรแท้จริงที่ชะตาชีวิตได้กำหนดไว้ เจ้าย่าได้ถูกมังกรปลอมบางพวกพาไขว้เขวโดยเด็ดขาด”
“พวกเจ้าว่าใครเป็นมังกรปลอม? นายน้อยตระกูลเราต่างหากที่เป็นมังกรที่แท้จริง มังกรปลอมที่ว่าเป็นพวกเจ้าเสียมากกว่า?” แม่ทัพมังกรเอ่ยอย่างมีโทสะ
เขามีหน้าที่สำคัญต้องอาศัยอยู่ในทะเลแห่งทุกข์เป็นเวลาเนิ่นนาน วาทศิลป์ย่อมสู้คนเหล่านี้ไม่ได้อยู่แล้ว เวลานี้ทำได้แค่เพียงใช้แววตาเชือดเฉือนดุดันและการ กระเพื่อมขึ้นลงของหน้าอก แสดงถึงความโกรธเคืองของตนเอง
“ช่างเป็นเรื่องสนุกที่ครึกครื้นจริงๆ” ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็ส่งเสียงเย้าแหย่ออกมา วาจาเสียดสีในนํ้าเสียงไม่มีปิดบังเลยแม้แต่น้อย
พอนางเปล่งวาจา ภายในลานก็ตกอยู่ในความเงียบทันที
สายตาของทุกคนมองไปที่เขาโดยพร้อมเพรียงกันในทันที ราวกับว่าอยากจะรู้ว่าเขาจะทำเช่นไรต่อไป
ใครเล่าจะรู้ว่ามู่ชิงเกอไม่ได้สนใจการทะเลาะวิวาทเช่นนี้เลยแม้แต่น้อย อารมณ์นั้นขาดแค่เพียงไม่ได้เขียนแปะไว้ว่า ‘น่าเบื่อ’ สองพยางค์เท่านั้น
นางเอ่ยกับแม่ทัพมังกรว่า “เหตุใดต้องลดฐานะตนเองไปทะเลาะกับพวกเขาด้วยเล่า?”
แม่ทัพมังกรชะงักงันไม่เข้าใจความหมายของมู่ชิงเกออยู่บ้าง เวลานี้เองเสวี่ยหยาก็เดินไปอยู่ข้างกายแม่ทัพมังกร เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ท่านอาหลงเจียง พวกเราเพิ่งจะเร่งเดินทางมา ออกจะเหนื่อยล้าและท้องหิวอยู่บ้าง ท่านมาถึงเมืองอันม๋อเฉิงได้หลายวันแล้ว ไม่สู้พาพวกเราไปทานอะไรเสียหน่อย”
“นี่…นี่…” แม่ท่พมังกรมองเสวี่ยหยาด้วยท่าทีตื่นตกใจ ก่อนจะมองไปที่มู่ชิงเกอ เขาไม่เข้าใจเลยว่าในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้จะเดินจากไปได้เช่นไร?
เสวี่ยหยากลับกระตุกชายเสื้อของแม่ทัพมังกรเบาๆ ขัดขวางการเอ่ยปากของเขา
แม่ทัพมังกรมีสีหน้ามึนงงเดินตามเสวี่ยหยาไปอยู่ด้านหลังมู่ชิงเกอ ไม่คิดว่ามู่ลั่วฟงจะเอ่ยปากขึ้นว่า “ช้าก่อน เจ้าเป็นบ่าวรับใช้ของทะเลแห่งทุกข์ใช่หรือไม่? เจ้าจะไปที่ใด? เจ้าต้องรั้งอยู่ที่นี่ ข้าสิที่เป็นเจ้านายของเจ้า!”
เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ออกมา มู่เฉินและมู่เผิงต่างมีสีหน้าเปลี่ยนไป
แม้แต่มู่ชิงเกอเองยังส่งสายตาเย็นชาปานนํ้าแข็งมายังมู่ลั่วฟง ชิงคน ชิงมาถึงหัวนางแล้วหรือ?
“ทำไม? เจ้านายจอมปลอมผู้หนึ่ง ยังทำเอาเจ้าตัดใจไม่ลงหรือ?” มู่ลั่วฟงพูดแขวะ
ดวงตากระจ่างใสของเสวี่ยหยามองไปที่มู่ลั่วฟง เอ่ยขึ้นด้วยนํ้าเสียงติดจะเย็นชาว่า “เจ้านายของเสวี่ยหยามีเพียงนายน้อยชิงเกอผู้เดียว คุณชายท่านนี้ได้โปรดรักษากิริยาด้วย”
“เจ้าชื่อเสวี่ยหยาหรือ? ชื่อเพราะทีเดียว” คล้ายกับว่ามู่ลั่วฟงจะละเลยคำพูดของเสวี่ยหยา จำได้แค่เพียงชื่อของนาง
สีหน้าหื่นกระหายนั่นทำเอาสายตาของมู่ชิงเกอเย็นชายิ่งขึ้น นางเดินไปอยู่หน้าเสวี่ยหยา ขวางสายตาหยดเยิ้มของมู่ลั่วฟงเอาไว้ “ดูท่า เจ้าคงไม่ได้นำคำที่ข้ากล่าวไปเมื่อครู่นี้มาใส่ใจ”
ดวงตาของมู่ลั่วฟงเผยความเบื่อหน่าย ทว่าครั้งนี้ยังไม่ทันรอให้เขาได้เอ่ยปาก ก็มีเงาร่างคนผู้หนึ่งมาขวางหน้าเขาไว้
เป็นมู่เฉินนั่นเอง
“คุณชายชิงเกอ นายน้อยของเราล่วงเกินแล้ว ในเมื่อแม่นางเสวี่ยหยารับท่านเป็นนาย ย่อมเป็นบ่าวรับใช้ของท่าน ในจุดนี้ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้ แต่ว่าสำหรับแม่นางเซวี่ยนหย่าแล้ว พวกเราทั้งสองฝ่ายยังต้องหารือกันอีก” มู่เฉินกล่าว
คำพูดนี้ไม่ได้โน้มน้าวเปลี่ยนใจมู่ชิงเกอแต่อย่างใด เขายังคงมีท่าทีเย็นชา ในสายตาสุกสกาวนั่นดูอารมณ์ไม่ออก
ในทางกลับกัน คิดไม่ถึงว่ามู่เฉินจะสัมผัสได้ถึงพลังความกดดันอย่างหนึ่ง พลังนี้กลับปรากฏอยู่ในตัวชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งมีพละกำลังไม่สู้เขา มันทำให้เขาตกใจ อย่างมาก
มู่ชิงเกอกวาดวายตามองพวกเขาทั้งสี่คนด้วยสายตาดูแคลน สุดท้ายก็ไปตกอยู่ที่มู่เฉิน เอ่ยขึ้นนิ่งๆ “น่าเสียดายไข่มุกคนเก่งกาจกลับต้องมาจมปลักอยู่กับโคลนตม”
พูดจบนางก็หันไปบอกกับเสวี่ยหยาว่า “ครั้งหน้าหากมีผู้ใดกล้ามาหยามหมิ่นเจ้า ฆ่าได้เลย มีข้าอยู่ ฟ้าไม่ถล่มลงมา”
คำพูดสองประโยค สั่นสะเทือนบุคคลสองกลุ่ม
ประโยคแรก กดดันมู่เฉิน
ประโยคที่ว่า ‘ไข่มุกคนเก่งกาจกลับต้องมาจมปลักอยู่กับโคลนตม’ ทำเอาจิตใจของเขาสั่นไหวเป็นระลอกคลื่น ราวกับถูกสะกิดเรื่องราวที่ตนเองไม่กล้าไปแตะ ต้องอย่างไรอย่างนั้น มู่เผิงและองครักษ์เงาต่างก็ส่งสายตามองไปที่มู่ลั่วฟงอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ส่วนประโยคสุดท้าย สั่นสะเทือนเสวี่ยหยากับแม่ทัพมังกร หรือ แม้กระทั่งเซวี่ยนหย่า และเซวี่ยนขุยสองพี่น้อง
ในดวงตาของเสวี่ยหยาปรากฏความตื้นตันทว่ากลับถูกนางควบคุมเอาไว้ได้เป็นอย่างดี เพียงแค่โน้มตัวโค้งให้มู่ชิงเกอ “เจ้าค่ะ เสวี่ยหยาทราบแล้ว”
มู่ชิงเกอพยักหน้าลงเล็กน้อยแทบไม่ทันสังเกต ก้าวเท้ามุ่งไปทางประตูลานด้านนอก
เสวี่ยหยา ฮวาเยวี่ยเองก็เดิมตามไปติดๆ แม่ทัพมังกรชะงักเล็กน้อย ก่อนจะทำได้เพียงสะบัดแขนเสื้อแล้วตามไป
มู่ชิงเกอจะจากไปแล้ว ในใจมู่ลั่วฟงย่อมบังเกิดความดีใจ แม้ว่าจะเสียดายที่เสวี่ยหยาเดินจากไปด้วย ถึงมู่ชิงเกอเองจะมีท่าทีเช่นนั้นต่อเขา แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังรั้งเซวี่ยนหย่าไว้ได้
‘ไม่รีบ ไม่รีบ ค่อยเป็นค่อยไป ต้องมีสักวันหนึ่งที่พวกนางจะรู้ว่าใครที่เป็นเจ้านายของพวกนาง’ มู่ลั่วฟงเอ่ยกับตนเองในใจ
เขาหันไปมองเซวี่ยนหย่า กำลังคิดว่าจะเข้าไปเอ่ยประโยคเอาใจใส่สักหลายประโยค สร้างคะแนนความชอบ
ทว่าเซวี่ยนหย่ากับลุกขึ้นมา เอ่ยกับเซวี่ยนขุยว่า “เซวี่ยนขุย พวกเราไปกันเถอะ”
พูดจบ พวกนางสองคนพี่น้องก็เดินลงจากบันได ไม่สนใจการมีอยู่ของมู่ลั่วฟง เดินตรงไปทางพวกมู่ชิงเกอ ตามพวกเขาเดินอออกประตูเรือน หายไปจากสายตา ของพวกเขาทั้งสี่คน
มู่ลั่วฟงตะลึงอยู่กับที่ ผ่านไปเนิ่นนานก็ยังไม่ได้สติ
กระทั่งสายลมโชยมาถึงทำให้เขาตื่นจากภวังค์ ร้องตะโกนอย่างสูญเสียการควบคุม “บังอาจนัก! บ่าวรับใช้ตัวเล็กๆ ผู้หนึ่งยังกล้าทำเช่นนี้กับข้า! ท่านลุง ท่านส่งคนไปจับตัวพวกเขากลับมา พวกนางเป็นของข้า! ของข้า! ยังมีเจ้าบ้านนอกที่มาจากหลินชวนนั้นด้วย คิดไม่ถึงว่าจะกล้าชิงคนของข้า ข้าต้องการให้มันตาย! ข้าจะฆ่ามัน!”
“พอได้แล้ว!” มู่เฉินหันหลังกลับมาแทบจะทันที ใบหน้าเย็นชาเคร่งขรึมหยุดการอาละวาดของมู่ลั่วฟงไว้ได้
มู่ลั่วฟงไม่เคยเห็นมู่เฉินมีสีหน้าดูย่ำแย่เช่นนี้มาก่อน เวลานั้นก็ตกใจจนไม่มีเสียง สีหน้าซีดขาว ราวกับว่าในช่วงเวลานี้ เขาก็กลับไปมีท่าทางไม่มีปากเสียง รับปาก ลูกเดียวเหมือนตอนก่อนที่ไม่ได้พบกับพวกมู่เฉิน
มู่เฉินมองดูเขาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ อยากจะสั่งสอนสักหลายประโยค ทว่ากลับไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากเช่นไรดี ความเหนื่อยล้าที่ไม่เคยมีมาก่อนจู่โจมเข้ามา ทำเอาเขาอ่อนเพลีย
“เจ้าอยากคิดจะฆ่าเขา เจ้าฆ่าเขาได้ไหม?” ผ่านไปครู่หนึ่ง มู่เฉินจึงได้เอ่ยสั่งสอนออกมาหนึ่งประโยค
เขาเห็นได้ชัดเจนว่าหากมู่ชิงเกอต้องการสังหารมู่ลั่วฟงแล้วล่ะก็ เมื่อครู่นี้มีโอกาสอยู่ในมือมากมายหลายครั้ง
“ผู้อาวุโส เช่นนั้นตอนนี้พวกเราควรทำเช่นไรดี?” มู่เผิงเดินไปอยู่ข้างกายมู่เฉิน เอ่ยถามเบาๆ
มู่เฉินถอนหายใจ เบนสายตามองไปบนท้องฟ้า เอ่ยขึ้นนิ่งๆ “ทำเช่นไรน่ะหรือ? ยังจะทำเช่นไรได้อีก กลับไปก่อน พวกเขาไม่มีทางออกเดินทางจากเมืองอันม๋อเฉิงในทันทีอย่างแน่นอน ไว้ค่อยหาโอกาสคุยกันอีกครั้ง ชิงบ่าวรับใช้เพื่อเบาะแสของเคล็ดวิชาเทวะ ในเมื่อรับตัวคนไม่สำเร็จ แต่พวกเราก็ยังสามารถร่วมมือกันได้”
“ร่วมมือ?” มู่เผิงเอ่ยด้วความประหลาดใจระคนสงสัย
มู่เฉินเลิกคิ้วพยักหน้าช้าๆ เขามองสีหน้าราวกับผู้ถูกรังแก ไม่รู้ว่าตนเองผิดตรงไหนเลยสักนิดของมู่ลั่วฟง แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจและสั่นหัวอีกครั้ง
เมื่อออกมาจากเรือนรับรอง จู่ๆ มู่ชิงเกอก็ยืนอยู่นิ่งๆ หันหลังกลับมามอง เซวี่ยนหย่ากับเซวี่ยนขุยที่ตามพวกนางมา
เมื่อเห็นสายตาเขามองมา เซวี่ยนหย่าก็นำเซวี่ยนขุย เดินมาอยู่ตรงหน้ามู่ชิงเกอ โค้งคำนับ “นายน้อย”
มู่ชิงเกอมองนาง ในแววตาแยกอารมณ์ไม่ออก เพียงแค่เอ่ยออกมานิ่งๆ “เจ้าไตร่ตรองดีแล้ว?”
เซวี่ยนหย่าพยักหน้าเล็กน้อย “นายน้อยเป็นทางเลือกของเซวี่ยนหย่า และก็เป็นทางเลือกของเผ่าอี๋ที่อยู่ในทะเลทรายท่องวิญญาณด้วย”
นี่ยังต้องเลือกอีกหรือ?
ระหว่างมู่ชิงเกอกับมู่ลั่วฟง ผู้ที่มีสติปัญญาอยู่บ้างล้วนแต่เลือกมู่ชิงเกอกันทั้งนั้น ไม่ใช่มู่ลั่วฟงที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะทางอารมณ์ แต่กลับชอบอวดเบ่งวางโตผู้นั้น มู่ชิงเกอละสายตากลับมา หันหลังเดินหน้าต่อไป “เช่นนั้นก็ตามมาเถอะ”
นางยอมรับเซวี่ยนหย่าและเซวี่ยนขุย
แผนที่สองฉบับซึ่งเป็นเบาะแสเกี่ยวกับเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลาง ในที่สุดก็อยู่ในมือนาง เหลือเพียงเรื่องสำคัญเพียงเรื่องเดียว นั่นก็คือจะได้แผนที่มาได้ยังไง นี่เป็นปัญหาที่ชวนให้คนปวดหัว
มู่ชิงเกอมีเรื่องในใจ เลยไม่ได้สนใจความคึกคักบนถนนในเมืองอันม๋อเฉิงแต่อย่างใด
แม่ทัพมังกรพาพวกเขาเข้ามายังโรงเตี๊ยมที่ค่อนข้างมีระดับแห่งหนึ่ง เหมาทั้งโรงเตี๊ยมให้พวกเขาได้พักผ่อนชั่วคราว
หลังจากทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ฮวาเยวี่ยก็ไปเตรียมอาหาร เซวี่ยนหย่าก็ให้เซวี่ยนขุยน้องชายตนเองตามไปด้วย บอกว่าไปช่วยฮวาเยวี่ยถือของ
ในห้องมู่ชิงเกอ มีเพียงเซวี่ยนหย่า เสวี่ยหยาและแม่ทัพมังกรสามคนเท่านั้น
มู่ชิงเกอนั่งบนเก้าอี้ในห้อง ชี้ไปที่เก้าอี้ซึ่งว่างอยู่แล้วเอ่ยขึ้นว่า “นั่งลง”
แม่ทัพมังกรนั่งลงตามคำบอก
เสวี่ยหยาเดิมทีก็อยากจะนั่งลง แต่เห็นว่าเซวี่ยนหย่าไม่ขยับ จึงยกเลิกความคิดนั้นทิ้ง
เซวี่ยนหยายืนนิ่งไม่ไหวติง ทำเอามู่ชิงเกอเลิกคิ้วน้อยๆ
เซวี่ยนหย่าเอ่ยตอบว่า “นายน้อยเป็นนาย พวกเราเป็นบ่าว มีเหตุผลให้บ่าวนั่งร่วมโต๊ะกับนายที่ไหนกัน?”
นางและเสวี่ยหยาเป็นบ่าวที่ถูกอบรมสั่งสอนมาอย่างดี ย่อมไม่เกิดข้อผิดพลาดกับปัญหาเหล่านี้
คำตอบของนาง ทำให้มู่ชิงเกอกระตุกรอยยิ้มมุมปากสื่อความหมายไม่ชัดเจนออกมา
รอจนเซวี่ยนหย่ากล่าวจบ มู่ชิงเกอจึงได้เอ่ยขึ้นว่า “อยู่กับข้า ก่อนอื่นพวกเจ้าต้องรักษากฎหนึ่งข้อ นั่นก็คือเชื่อฟังคำสั่งของข้า นั่งลง”
“เจ้าค่ะ นายน้อย” เสวี่ยหยาติดตามมู่ชิงเกอมานานเพียงนี้ ก็เข้าใจอุปนิสัยของนางตั้งนานแล้ว
ไม่ได้อิดออด นางเดินไปนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ แม่ทัพมังกร
เมื่อเห็นว่าเซวี่ยนหย่ายังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม นางก็ส่งเสียงเรียกเบาๆ “พี่สาวก็มานั่งทางนี้เถอะ อย่ายั่วให้นายน้อยมีโทสะเลย”
เซวี่ยนหย่าพยักหน้าด้วยความมึนงง เดินมานั่งบนเก้าอี้ที่ว่างอยู่ นางไม่เข้าใจอยู่บ้าง หรือว่าการติดตามมู่ชิงเกอต้องลืมกฎระเบียบของผู้อาวุโสที่นางเคยเรียนมาก่อนหน้านี้?
ทั้งสามคนต่างนั่งลงแล้ว มู่ชิงเกอก็มองไปที่แม่ทัพมังกร “จะเดินทางกลับเกาะตูเล่อเมื่อใด?”
“นี่นายน้อยจะไล่ข้ากลับแล้วหรือ!” แม่ทัพมังกรหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ
มู่ชิงเกอยิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้นนิ่งๆ “การที่ลูกนกอินทรีจะเติบโตได้ จำเป็นต้องฟันฝ่าลมฝนด้วยตนเอง การมีพญาอินทรีอยู่ด้วยยามเผชิญอันตราย อย่างไรเสียก็ต้องเกิดการพึ่งพิง”
คำพูดของนางทำให้แม่ทัพมังกรเห็นด้วย เขาพยักหน้า เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ภารกิจของข้าคือการพาตัวเซวี่ยนหย่ามาอยู่ข้างกายนายน้อย ตอนนี้ภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว รอให้นายน้อยเดินทางออกจากเมืองอันม๋อเฉิงเสียก่อนข้าก็จะกลับไป”
มู่ชิงเกอพยักหน้ารับ บอกกับเขาว่า “หลังจากกลับไปแล้ว พบท่านราชครูนำความข้าฝากแจ้งแก่เขาหนึ่งประโยค”
“เชิญนายน้อยพูดมาเถอะ” แม่ทัพมังกรเมื่อได้ยินว่ามีภารกิจ ก็มีท่าทีจริงจังขึ้นมาทันที
มู่ชิงเกอกล่าวว่า “ขอให้เขาเดินทางมารวมตัวกับข้าที่โลกแห่งยุคกลางเมื่อมีเวลาว่าง”
นางมีข้อสงสัยมากมาย ที่ต้องการคำตอบและราชครูเผ่าอี๋ก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
ผู้อาวุโสท่านนั้นราวกับว่าใช้ชีวิตอยู่มานาน อีกทั้งยังรับรู้เรื่องราวความลับที่ผู้คนไม่รู้อีกมากมาย
แม่ทัพมังกรตัวแข็งทื่อ แววตาเปล่งประกายสั่นระริก พยักหน้ารับ
“เจ้าออกไปก่อน ข้ามีเรื่องที่ต้องพูดคุยกับพวกนางสองคนเพียงลำพัง” มู่ชิงเกอเอ่ยกับแม่ทัพมังกร
แม่ทัพมังกรลุกขึ้นยืน ถอยออกไป
หลังจากที่ห้องนั้นเหลือเพียงพวกนางสามคน มู่ชิงเกอก็มองหน้าเซวี่ยนหย่าและเอ่ยว่า “เบาะแสอีกครึ่งหนึ่งของเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางอยู่บนตัวเจ้า?”
มู่ชิงเกอเอ่ยปากเข้าประเด็นสำคัญ ทำเอาแววตาเซวี่ยนหย่าค่อยๆ เคร่งขรึม
แต่นางยังคงลุกขึ้นมาพยักหน้าให้มู่ชิงเกอ “ใช่เจ้าค่ะนายน้อย”
มุมปากมู่ชิงเกอกระตุกเบาๆ ทำหน้าหนาเอ่ยถามขึ้นมาหนึ่งประโยค “อืม…และยังต้องใช้วิธีการพิเศษถึงจะได้มา?”
เมื่อนางเอ่ยประโยคนี้ออกมา คนแรกที่หน้าแดงคือเสวี่ยหยา
ราวกับว่านางได้หวนนึกถึงคํ่าคืนที่นางจะมอบตัวแต่ กลับถูกมู่ชิงเกอปฏิเสธ
“ใช่เจ้าค่ะ” เซวียนหย่าตอบเสียงดังฟังชัด ทำให้มู่ชิงเกอประหลาดใจขึ้นอีกหลายส่วน
นางกลอกสายตา กวาดสายตามองไปมองมาระหว่างเซวี่ยนหย่ากับเสวี่ยหยา ราวกับรู้สึกว่าเด็กสาวสองคนนี้ ตอนเด็กได้รับการอบรมสั่งสอนมาเช่นไร?
“แค่กแค่ก เรื่องนั้นมีวิธีอื่นที่สามารถได้มาซึ่งแผนที่อีกหรือไม่?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม
ตอนนี้ทั้งสองคนมารวมอยู่ด้วยกัน นางไม่ไตร่ตรองปัญหาเรื่องแผนที่ไม่ได้แล้ว
เซวี่ยนหย่าประหลาดใจระคนสงสัย นางหันไปมองเสวี่ยหยาเอ่ยด้วยความตื่นตกใจ “หรือว่าน้องสาวยังไม่ได้รับใช้?”
มู่ชิงเกอมีสีหน้ากระดากอาย
เสวี่ยหยาเองก็มีสีหน้าลำบากใจ เอ่ยเสียงขรึม “นายน้อยปฏิเสธ”
จุดนี้ เซวี่ยนหย่ายิ่งตกใจเข้าไปใหญ่ นางมองหน้ามู่ชิงเกอ ในดวงตาราวกับสะเก็ดดาวส่องประกายแวบวับ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“ข้าย่อมต้องการแผนที่ของเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางแน่นอน แต่เงื่อนไขแรกคือจะไม่ทำร้ายทำไม่ดีกับพวกเจ้า” มู่ชิงเกอเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
“นี่ไม่ถือเป็นการทำร้าย พวกเราเดิมทีก็เป็นคนของนายน้อย” เซวี่ยนหย่าเอ่ยด้วยความฉงนงงงวย “เซวี่ยนหย่า ไม่เข้าใจเพียงนายน้อยได้ร่างกายพวกเราไป ก็สามารถครอบครองแผนที่ได้โดยง่าย เหตุใดนายน้อยกลับทิ้งเรื่องง่ายไปทำเรื่องยาก?”
เรื่องที่เซวี่ยนหย่าไม่เข้าใจ ก็เป็นจุดที่เสวี่ยหยาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
หากบอกว่ามู่ชิงเกอไม่ยอมรับการมอบกายของคนแปลกหน้าแล้วละก็ เช่นนั้นแล้วคนที่อยู่ด้วยกันมาปีกว่า เขาก็ยังไม่สามารถยอมรับได้หรือไง?
ดวงตาของเสวี่ยหยาเผยความมืดครื้มขึ้นมาจางๆ
ก็จริงที่นางเคยรู้สึกขัดแย้งต่อชะตาชีวิตของตนเอง และก็รู้สึกขอบคุณประโยคที่มู่ชิงเกอกล่าวว่า ‘ไม่มีทางพรากพรหมจรรย์ของนางตลอดไป’ นั้น
แต่ว่า ตลอดระยะเวลาที่อยู่ร่วมกัน นางค้นพบว่าจิตใจของนางเปลี่ยนแปลงไปเสียแล้ว
สำหรับเรื่องการมอบกายให้มู่ชิงเกอนั้น ไม่ได้เกิดความขัดแย้งทั้งยังเกิดการรอคอย
ถึงอย่างนั้นนับแต่คืนนั้นมา มู่ชิงเกอกลับไม่ได้เอ่ยถึงหัวข้อนี้ขึ้นมาอีก
ที่รั้งนางไว้ข้างกาย ราวกับเพื่อรอคอยวันนี้ เวลาที่บ่าวรับใช้ทั้งสองจะมายืนอยู่ด้วยกัน รอคอยเวลาที่แผนที่จะรวมเป็นหนึ่งเดียว
หากมีวิธีอื่นที่สามารถได้มาซึ่งแผนที่ เช่นนั้นแล้วสำหรับมู่ชิงเกอ นางก็ไม่มีประโยชน์ใช่หรือไม่?
ทันใดนั้น ส่วนลึกในใจเสวี่ยหยาก็หวาดกลัวขึ้นมา กลัวว่าจะถูกมู่ชิงเกอขับไล่ไสส่ง นางเงยหน้าขึ้น ดวงตากระจ่างใสคู่นั้นจับจ้องไปที่มู่ชิงเกอด้วยสายตาที่สามารถมองทะลุถึงหัวใจ ราวกับต้องการรู้ว่าในใจของเขาคิดอะไรอยู่กันแน่
“อย่างไรก็ตาม ข้าจะไม่แตะต้องเจ้ากับเสวี่ยหยา พวกเจ้าจะติดตามข้าก็ไม่จำเป็นต้องไปคิดถึงเรื่องของการมอบกายอะไรพวกนั้น ทำเรื่องที่ข้ามอบหมายให้ก็พอแล้ว ถ้าหากพวกเจ้าเองก็ไม่รู้วิธีอื่น เช่นนั้นเรื่องนี้ก็เอาไว้หารือกันทีหลังเถอะ” มู่ชิงเกอกล่าว
เวลานี้นางรู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมาบ้างแล้ว ตอนที่ได้พบซือมั่วควรจะถามเขาว่ามีวิธีใดที่ได้มาซึ่งแผนที่ทั้งสองฉบับจากสาวงามตรงหน้านี้
แผนที่บนแผ่นหลังของเสวี่ยหยา จะปรากฏออกมาภายใต้สภาพแวดล้อมที่อบอุ่น
แต่ว่า นางเคยลองแล้ว สามารถมองเห็นได้แต่กลับจำไม่ได้
‘หรือว่าให้พวกนางแช่อยู่ในนํ้าพุร้อน จากนั้นใช้หมึกกับพู่กันลอกออกมา?’ มู่ชิงเกอคิดอยู่ในใจ
“นายน้อย…” เซวี่ยนหย่าไม่เข้าใจในการตัดสินใจของมู่ชิงเกอ
“พี่สาว นายน้อยเหนื่อยแล้ว พวกเราออกไปกันก่อนเถอะ” เสวี่ยหยาลุกขึ้นมา ดึงตัวเซวี่ยนหย่าที่มีสีหน้าสงสัยออกไปจากห้องมู่ชิงเกอ
ปิดประตูห้องแล้ว พอเสวี่ยหยาหันกลับมาก็เผชิญหน้ากับสายตาสืบหาความจริงของเซวี่ยนหย่า
“พี่สาวมีคำถามอยากจะถาม พวกเราไปหาที่อื่นคุยกัน” เสวี่ยหยาเอ่ยเสียงราบเรียบ
เซวี่ยนหย่าพยักหน้า เดินตามเสวี่ยหยาไปอีกห้องหนึ่ง
เสวี่ยหยาเทนํ้าชาให้นาง “พี่สาวน่าจะอายุมากกว่าข้า ท่านกับข้าต่างก็เป็นบ่าวรับใช้ของนายน้อย ต่อไปพวกเราก็เรียกกันว่าพี่สาวน้องสาวเถอะ”
“เห็นควรเป็นเช่นนั้น” เซวี่ยนหย่าพยักหน้า ยกถ้วยนํ้าชา ขึ้นเอ่ยกับเสวี่ยหยาว่า “น้องสาวอยู่ข้างกายนายน้อยมาสักระยะหนึ่งแล้ว ต่อไปหากว่าพี่สาวมีตรงไหนที่ไม่รู้กฎระเบียบ ยังหวังให้น้องสาวอย่าลังเลที่จะสั่งสอน”
“พี่สาวเกรงใจเกินไปแล้ว พวกเราควรจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน” เสวี่ยหยาก้มหน้าลง
ทั้งสองพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับไปสักพัก เสวี่ยหยาก็เอ่ยออกมาว่า “พี่สาวมีสิ่งใดต้องการถาม ก็ถามมาเถอะ”
เซวี่ยนหย่าพยักหน้า “ข้ามีหลายเรื่องที่อยากถามจริงๆ นั่นแหละ ต้องรบกวนน้องสาวแล้ว”
นางเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามออกมาว่า “นายน้อยไม่เคยแตะต้องน้องสาวเลยจริงหรือ?”
หัวข้อนี้ ทำให้แก้มของเสวี่ยหยามีสีแดงระเรื่อ
ทว่านางยังคงพยักหน้ารับอย่างนิ่งๆ นางเอ่ยกับเซวี่ยนหย่าว่า “นายน้อยไม่ใช่ผู้ที่กล่าวคำเท็จ เขาบอกว่าไม่แตะต้องพวกเรา ก็คือไม่แตะต้องอย่างแน่นอน ความ จริงแล้วข้าอยู่ข้างกายเขามานานขนาดนี้ ยังไม่เคยเห็นนายน้อยแตะต้องสตรีนางไหนเลยสักคน นายน้อย…นายน้อยเป็นสุภาพบุรุษตัวจริง”
“นายน้อยรูปโฉมไม่ธรรมดา คุณสมบัติก็โดดเด่น ต้องการสตรีแบบไหน เกรงว่าจะง่ายดายอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่าเขาจะไม่หวั่นไหวไปกับสตรี?” เซวี่ยนหย่าเอ่ยด้วย ความตกใจ
ในใจบังเกิดความเลื่อมใสขึ้นมาบางเบา
ชายหนุ่มเจ้าชู้นางได้ยินมาเยอะ และก็เห็นด้วยตาตัวเองมาก็มาก บนโลกนี้จะมีบุรุษที่ไม่หวั่นไหวไปกับโฉมงามอยู่จริงหรือ?
“น้องสาวรูปโฉมงดงาม กริยาดุจเทพเซียน คิดไม่ถึงว่าจะไม่สามารถโน้มน้าวนายน้อยได้?” เซวี่ยนหย่ามองหน้าเสวี่ยหยาแล้วเอ่ยเสริมขึ้นหนึ่งประโยค
เสวี่ยหยาหัวเราะหยันๆ ทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง เอ่ยขึ้นเสียงอ่อน “แน่นอนว่ามีหญิงงามล่มเมืองจำนวนไม่น้อยมอบใจให้นายน้อย แต่นายน้อย กลับไม่เคยมีการกระทำฉาบฉวยใดๆ ข้าคิดว่า…นายน้อยน่าจะกำลังรอคอยคนที่ชอบจริงๆ ปรากฏตัวอยู่”
พูดจบ นางก็หันไปมองเซวี่ยนหย่า ส่งยิ้มอ่อนๆ ให้นาง “พอนานวันเข้า พี่สาวจะเข้าใจตัวตนของนายน้อยไปเอง นายน้อยเป็นเจ้านายที่ดีที่สุดในโลกใบนี้”
เซวี่ยนหย่ามองดูเสวี่ยหยาอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะเอ่ยมาหนึ่งประโยคว่า “น้องสาวรักนายน้อยเข้าแล้ว ใช่หรือไม่?”
เสวี่ยหยาตัวแข็งทื่อ ไม่ได้เอ่ยปฏิเสธ
แต่พูดเปิดอกออกมาว่า “เสวี่ยหยาอยู่เป็นบ่าวของนายน้อย ตายก็เป็นบ่าวของนายน้อย ในจุดนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล สามารถอยู่เคียงนายน้อย ร่วมสร้างความสำเร็จก็เป็นโชคดีของข้าแล้ว เรื่องอื่นนั้นเสวี่ยหยาไม่ไปคาดหวัง”
เซวี่ยนหย่ามองดูนาง ราวกับกำลังครุ่นคิด
สุดท้ายแล้วนางเองก็พยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้นยิ้มๆ “ความหมายของน้องสาวข้าเข้าใจแล้ว ในเมื่อนายน้อยไม่มีใจให้พวกเรา พวกเราก็ต้องทำหน้าที่บ่าวรับใช้ให้ดี ข้าจะส่งจดหมายกลับไปที่เผ่าของข้า เสาะหาวิธีอื่นที่จะคัดลอกแผนที่ออกมา ส่วนของน้องสาวก็ลองดูแล้วกัน พวกเราร่วมแรงกันช่วยแบ่งเบาภาระของนายน้อย”
“ตกลง” เสวี่ยหยาพยักหน้า
เซวี่ยนหย่ายื่นมือออกมา เสวี่ยหยาเองก็ยื่นมือออกมา ทั้งสองคนจับมือกัน
ความมืดมิดยามราตรีมาเยือน เมืองอันม๋อเฉิงกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง สามวันให้หลังก็เป็นงานหมั้นหมายระหว่างตระกูลเหยียนกับตระกูลซู ชมความคึกคักจบ แล้ว ผู้ที่ควรจากไปก็จากไป ผู้ที่ไม่อยากจากไปก็ต้องจากไป
ในโรงเตี๊ยม มู่เฉินจับจ้องมองดวงดาราโค้งมนบนท้องฟ้า ไม่พูดไม่จา
มู่เผิงเดินมาหยุดอยู่ข้างหลังเขา มองดูภาพแผ่นหลังที่โน้มพิงไปข้างหน้าเล็กน้อย เอ่ยเสียงทุ้มขึ้นว่า “นายน้อยนอนหลับไปแล้ว”
มู่เฉินมุมปากกระตุกยิ้มเหนื่อยหน่ายขึ้นแวบหนึ่ง “กว่าจะนอนได้ คงต้องกล่าวโทษคนอื่นไม่หยุดเป็นแน่”
มู่เผิงหัวเราะ คำตอบนี้ชัดเจนมากไม่พูดออกมาก็เข้าใจได้
ทั้งสองคนอยู่ในความเงียบสงบ นํ้าค้างยามราตรีทำให้ทั่วร่างของพวกเขาถูกห่อหุ้มด้วยไอความเย็น
เนิ่นนานกว่าที่มู่เผิงจะมองไปยังมู่เฉิน เอ่ยด้วยท่าทางลังเล “ผู้อาวุโส ท่านว่า…ตัวเลือกของเราผิดหรือไม่?”
ผิดหรือไม่?
คำถามนี้ ต่อให้ไม่มีการปรากฎตัวของมู่ชิงเกอ มู่เฉินก็ไม่กล้าที่จะไปคิด แต่มาตอนนี้มีตัวเปรียบเทียบที่เด่นชัด เขาก็ยิ่งไม่กล้าไปคิด
“มู่เผิง เจ้ายังจำได้ไหมว่าเพราะเหตุใดพวกเราต้องออกมาจากตระกูลตนเอง?” จู่ๆ มู่เฉินก็เอ่ยถามขึ้นมา
มู่เผิงชะงักไป พยักหน้าและกล่าวว่า “ย่อมต้องจำได้ แม้ว่าคุณชายมู่เฟิงจะมีความบากบั่นพากเพียรกว่าผู้อื่น แต่พรสวรรค์กลับไม่พอ ปัจจุบันโลกแห่งยุคกลางมีผู้ที่สติปัญญาเป็นเลิศมากมาย ด้วยพรสวรรค์ของคุณชายมู่เฟิงยากที่จะปรากฎตัวโดดเด่น ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องนำพาตระกูลมู่หวนคืนสู่แผ่นดินเกิดอีกครั้ง หลังจากที่ ท่านผู้อาวุโสหารือกับประมุขตระกูล เพื่อการใหญ่ของตระกูลมู่ ถึงได้พาพวกเราจากมาไปตามหาสายเลือดตระกูลมู่ที่กระจัดกระจายอยู่ข้างนอก ในที่สุดก็พบนายน้อยลั่วฟง”
มู่เฉินพยักหน้าช้าๆ คำพูดที่มู่เผิงกล่าวออกมาราวกับภาพเหตุการณ์เมื่อวาน ค่อยๆ ปรากฎชัดเจนขึ้นมา
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าการจากมาของเขานั้นเพื่ออนาคตของตระกูลมู่ เพิ่มความหวังขึ้นมาส่วนน้อยๆ ช่วงหนึ่ง บางทีก็ไม่มีใครเข้าใจว่าเขาจากตระกูลมู่มาด้วยความหวังดี เพื่อความหวังนี้ เขาถึงขั้นยอมแบ่งทรัพยากรที่ตระกูลมู่สะสมไว้อย่างลับๆ ครึ่งหนึ่ง
มู่ลั่วฟง ได้รับการทุ่มเทใส่ใจด้วยเลือดเนื้อและจิตใจของเขามาห้าปี
พอมาวันนี้…
“เผิง เจ้าคิดว่าลั่วฟงเป็นอย่างไร?” จู่ๆ มู่เฉินก็เอ่ยถาม เขาหันกลับมามองตาของมู่เผิง “ข้าต้องการฟังความจริง! ”
มู่เผิงมองหน้าเขา
มู่เฉินในคํ่าคืนนี้แลดูไม่ได้ดังใจอย่างเห็นได้ชัด ราวกับถูกอะไรตีเข้าอย่างแรง
เมื่อถูกมู่เฉินจ้องมอง มู่เผิงทำได้เพียงเอ่ยว่า “นายน้อยลั่วฟงพรสวรรค์ยอดเยี่ยม นี่คือสิ่งที่คุณชายมู่เฟิงไม่สามารถเทียบได้ แต่เรื่องอารมณ์และความบากบั่นพาก เพียร นายน้อยลั่วฟงเทียบคุณชายมู่เฟิงไม่ได้เลย อีกอย่าง…”
มู่เผิงลังเล
“อีกอย่างทำไม?” มู่เฉินรีบเอ่ยถาม
มู่เผิงกัดริมฝีปาก เอ่ยตามตรงว่า “อีกอย่างนายน้อยลั่วฟงราวกับว่าไม่ได้มีคุณสมบัติอื่นๆ ของผู้แข็งแกร่ง พูดได้ว่านอกจากเรื่องของพรสวรรค์แล้ว ไม่มีสิ่งอื่นใดเลย ผู้นำตระกูลมู่นอกจากมีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์สามารถ ยกระดับพลังยุทธ์ได้อย่างรวดเร็วแล้ว ยังต้องมีสติปัญญามากพอ สามารถวางแผนรับมือได้หมื่นพัน คอยอยู่เบื้องหลังคิดอุบายวางแผนการรบ ยิ่งไปกว่านั้น คือมีพลังที่ทำให้ผู้คนยอมศิโรราบอยู่ใต้อำนาจ ยังมีเรื่องของการตัดสินใจที่เด็ดขาด!”
มู่เฉินได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้าช้าๆ “นั้นสินะ! ทั้งหมดที่พวกเราทำลงไปก็เพื่ออนาคตของตระกูลมู่ แต่ว่าสวรรค์กลับเล่นตลกกับเรา”
มู่เผิงตะลึง เอ่ยด้วยความกระจ่างอยู่แก่ใจ “ผู้อาวุโสพูด ถึงนายน้อยชิงเกออยู่หรือ?”
มู่เฉินมองหน้าเขา พยักหน้าลงเล็กน้อยแทบไม่ทันได้สังเกต
เขากล่าวว่า “มู่เฟิงพรสวรรค์ไม่ถึง มู่ลั่วฟงเองก็มีเพียงพรสวรรค์ทั้งสองคนต่างมีส่วนที่ขาด ข้ามักจะคิดอยู่เสมอว่าหากทั้งสองคนสามารถรวมกันได้จะดีเพียงใด? คิดไม่ถึงว่าความคิดที่ไม่มีทางเป็นจริงได้ของข้ามาวันนี้ กลับมีปรากฎอยู่ในตัวของคนผู้หนึ่ง”
มู่เผิงตะลึงอยู่ในใจ
เขาย่อมสัมผัสได้ว่ามู่ชิงเกอไม่ธรรมดา แต่คิดไม่ถึงว่ามู่เฉินจะประเมินเขาสูงเช่นนี้!
“เรื่องอื่น ข้าไม่อาจตัดสินใจชี้ชัดลงไป แต่พูดในเรื่องของพรสวรรค์ เขาไม่ด้อยกว่าลั่วฟง ถึงขั้นว่าพรสวรรค์ของเขาสูงกว่าลั่วฟงด้วยซํ้าไป เจ้ารู้หรือไม่? ตอนที่ข้ารับการโจมตีนั้นสัมผัสได้ถึงพลังระดับขั้นสีเงิน เขาเดินทางมาจากหลินชวน เข้าสู่โลกแห่งยุคกลางยังไม่ทันครบปี อย่าว่าแต่คำพูดคำจา การวางตัวของเขา ยังมีท่าทีที่พวกแม่ทัพมังกรมีต่อเขาอีก แข็งแกร่งกว่าลั่วฟงอยู่มาก” มู่เฉินเอ่ยเสียงเคร่ง
“ระดับพลังขั้นสีเงิน! นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไร?” มู่เผิงเอ่ยด้วยความตระหนกตกใจ
มู่เฉินฝืนยิ้ม “ข้าเองก็หวังให้เป็นเรื่องเท็จ แต่ว่าพลังขุมนั้นไม่ใช่เรื่องเท็จอย่าง แน่นอน”
“หากเป็นเช่นนี้จริงๆ เช่นนั้นพรสวรรค์ของเขา… พรสวรรค์ของเขา…” มู่เผิงตระหนกจนพูดไม่เป็นคำ
“พรสวรรค์ของเขา เกรงว่าไม่ด้อยไปกว่ารายชื่ออันดับต้นๆ บนทำเนียบชิงอิงเหล่านั้น” มู่เฉินพูดประโยคหลังออกมาแทนมู่เผิง
มู่เผิงตัวแข็งเป็นหิน
พรสวรรค์ของมู่ลั่วฟงจัดว่าดี แต่นั้นเพียงเทียบกับมู่เฟิงเท่านั้นหากให้เทียบกับเหล่าผู้กล้าของผู้กล้าในโลกแห่งยุคกลาง ย่อมไม่อาจเทียบได้เลย
แต่ว่ามู่ชิงเกอล่ะ?
ทันใดนั้นข้อสันนิษฐานหนึ่งก็ปรากภในตัวเขา ทำให้ทุกคนรอคอย
“ผู้อาวุโส หากเป็นเช่นนี้จริง เกรงว่าพวกเราจะผิดจริงๆ เสียแล้ว” มู่เผิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ฝืนยิ้มออกมาและส่ายหน้า
รอยยิ้มของมู่เฉินมืดหม่นไม่สดใส “เลือกผิดแล้วเป็นเช่นไร? ตอนแรกพวกเราก็ไม่รู้นี่นา ว่ามีมู่ชิงเกอตัวเก็งหมายเลขหนึ่งผู้นี้อยู่ อีกอย่างหลินชวน…ไกลเกินไป”
“หลินชวน ตอนนั้นมีตระกูลสายหนึ่งไปที่หลินชวนจริงหรือ?” มู่เผิงเอ่ยถาม
มู่เฉินพยักหน้า “ในบันทึกที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ มีเขียนอธิบายไว้ชัดเจน ว่ามีสายหนึ่งมุ่งหน้าไปหลินชวน อีกอย่าง…” จู่ๆ มู่เฉินก็ชะงักไป เม้มริมฝีปากแน่น ขมวดคิ้วมุ่น
“อีกอย่างทำไมหรือ?” มู่เผิงเร่งถาม
มู่เฉินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยออกมาว่า “บอกเจ้าไปคงไม่เป็นไร ข้าและท่านประมุขเคยคาดเดาว่าสายตระกูลที่มุ่งหน้าไปหลินชวนนั้น เป็นสายหลักของตระกูลมู่ในตอนนั้น เพียงแต่ว่าบันทึกก็เนิ่นนานมาแล้ว มีหลายสิ่งหลายอย่างเลือนรางไม่ชัดเจน ไม่มีใครกล้ายืนยัน”
มู่เผิงสูดลมหายใจ เอ่ยด้วยความตื่นตระหนก “เช่นนี้ก็หมายความว่า ความเป็นไปได้ที่นายน้อยชิงเกออาจจะเป็นสายเลือดหลักของตระกูลมู่นั้นมีสูงมาก!?”
“ข้าไม่สามารถยืนยันได้ แต่ว่ามีความเป็นไปได้สูง” มู่เฉินเอ่ยเสียงทุ้มตํ่า
“แล้วพวกเราจะทำอย่างไรกันต่อไป?” มู่เผิงมีอาการลนลานอยู่บ้าง
มู่เฉินกล่าวว่า “เมื่อครั้งที่ประมุขตระกูลมู่กำหนดกฎเกณฑ์เช่นนี้ ก็บอกไว้ว่าตำแหน่งประมุขตระกูลมู่ เป็นของผู้มีความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นสายหลักหรือสายรอง ขอเพียงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลมู่ล้วนเข้าร่วมได้ เพียงแค่คิดไม่ถึงว่าหมื่นปีผ่านไป สายเลือดของสายหลักจะยังคงแข็งแกร่งที่สุด”
หลังจากทอดถอนใจ มู่เฉินก็บอกแก่มู่เผิงว่า “พรุ่งนี้ข้าจะลองไปขอพบนายน้อยชิงเกอดู พูดคุยกับเขาเรื่องการร่วมมือ ในเมื่อเราเลือกมู่ลั่วฟงแล้ว ก่อนที่จะรู้ผลแพ้ชนะก็ต้องภักดีต่อเขา เรื่องต่อจากนี้ค่อยคุยกัน ไว้ค่อยว่ากันอีกที”
มู่เผิงพยักหน้า ราวกับว่านี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว มีบางคนมีบางเรื่อง ใครให้พวกเขาพลาดกันล่ะ?
บทสนาทนาระหว่างมู่เฉินและมู่เผิงในคํ่าคืนนี้ไม่มีผู้ใดรับรู้ มู่ลั่วฟงที่เข้าสู่ห้วงนิทรายังคงอยู่ในฝันอันแสนหวาน รู้สึกว่าตนเองเป็นผู้กุมโชคชะตา ต้องมีสักวันหนึ่งที่จะทะยานเหยียบปุยเมฆ ถือครองยุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ ควบมังกรโบยบิน มีสาวงามในอ้อมกอด
เช้าตรู่ หลังจากที่มู่ชิงเกอทานอาหารเช้าเสร็จ เซวี่ยนหย่าก็รายงานอยู่หน้าประตู “นายน้อย ผู้อาวุโสมู่เฉินมาเยี่ยมเยียนเจ้าค่ะ”
มู่ชิงเกอเช็ดมุมปาก พยักหน้าและเอ่ยตอบ “ให้เขาเข้ามา”
เซวี่ยนหย่าโค้งกายถอยออกไป ไม่นานมู่เฉินก็มาปรากฎตัวอยู่ตรงหน้ามู่ชิงเกอเพียงลำพัง
มู่ชิงเกอยกมือขึ้นแสดงท่าทีให้เขานั่งลง เอ่ยอย่างมีอารมณ์ขัน “ผู้อาวุโสมู่มาเยือนกระทันหัน หรือว่ายังต้องการหารือกับข้าว่าเซวี่ยนหย่าเป็นของใคร?”
พอเอ่ยปากก็แสดงท่าทางบีบคั้นคน แต่กลับควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด
มู่เฉินดวงตาเคร่งขรึม คะแนนการประเมินที่มีต่อมู่ชิงเกอเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคะแนน
“นายน้อยชิงเกอล้อเล่นแล้ว ในเมื่อแม่นางเซวี่ยนหย่าเลือกนายน้อยชิงเกอแล้ว พวกเราย่อมต้องยอมถอย” มู่เฉินว่ายิ้มๆ
มู่ชิงเกอยิ้มนิ่งๆ “เช่นนั้นไม่ทราบว่าที่ผู้อาวุโสมู่มาในวันนี้ มีธุระสิ่งใดหรือ? หากข้าไม่ได้เข้าใจผิดละก็ ระหว่างพวกเรายังถือว่าเป็นคู่ต่อสู้กันอยู่กระมัง?”
มู่เฉินมีสีหน้ากระดากอาย
วาจาของคุณชายในชุดอาภรณ์สีแดงที่อยู่ตรงหน้านี้พูดด้วยนํ้าเสียงอ่อนโยน ท่าทางสบายๆ แท้ๆ ทว่ากลับทำให้คนฟังยากที่จะจับได้ ไร้หนทางหลบหลีก
หลังจากปรับอารมณ์ได้แล้ว มู่เฉินถึงได้เอ่ยวัตถุประสงค์ในการมา “ข้ามา เพราะอยากมาคุยเรื่องการร่วมมือกับนายน้อยชิงเกอ”
“ร่วมมือ?” ดวงตาขี้เล่นของมู่ชิงเกอยิ่งขับเน้นมากขึ้น นางนั่งอยู่บนเก้าอี้ เอนหลังพิงพนักพิง ปลายนิ้วเคาะลงบนที่วางแขนเบาๆ ภายในห้องเกิดเสียงเคาะดัง ‘ก๊อก ก๊อก’
จังหวะหัวใจเต้นของมู่เฉินเต้นตามจังหวะการเคาะนิ้วของมู่ชิงเกอ
เขามองดูมู่ชิงเกอ กลับพบดวงตาหรี่ลงครึ่งหนึ่ง มุมปากยกโค้งดูคล้ายจะยิ้มก็ไม่ยิ้มของเขา เดาไม่ออกเลยว่าตอนนี้ในใจเขาคิดอะไรอยู่
เขาเสนอการร่วมมือ แต่ว่าท่าทางของเขากลับมองไม่ออกว่าเป็นปฏิกิริยาตอบสนองใด…รอคอยหรือว่าปฏิเสธ?
ไม่มีสักอย่าง!
มู่เฉินถามตัวเองดูก็นับว่าอ่านคนมาไม่น้อย แต่ว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ตนพบว่าอ่านความคิดของคนหนุ่มสาวไม่ออก
“ร่วมมือ…การร่วมมือที่ผู้อาวุโสมู่กล่าว หมายถึงเรื่องเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางใช่หรือไม่? ได้ยินว่าผู้ที่ครอบครองเคล็ดวิชาเทวะครบทั้งสามส่วน ผู้นั้นก็จะได้เป็น นายน้อยตระกูลมู่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ผู้อาวุโสมู่คิดว่า ข้าจะนำเบาะแสที่มีอยู่ในมือตัวเองไปแบ่งกับคนอื่นหรือ?” มู่ชิงเกอมองเขาด้วยสายตาขบขัน
วิธีการพูดแบบเปิดอกทำให้มู่เฉินไม่สามารถที่จะอ้อมค้อม
เขาทำได้เพียงกล่าวตามตรง “นายน้อยชิงเกออย่างเพิ่งรีบปฏิเสธ แม้ตอนนี้กล่าวได้ว่านายน้อยชิงเกอมีบ่าวรับใช้สำคัญสองคน ครอบครองเบาะแสของเคล็ดวิชาเทวะไว้ในมือ แต่ว่าบรรพบุรุษเองก็เคยมีการบันทึกว่าเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางซ่อนอยู่ในโลกแห่งยุคกลาง ถึงอย่างไรนายน้อยชิงเกอก็เป็นคนต่างถิ่น ไม่คุ้นเคยกับโลกแห่งยุคกลาง แม้ว่าจะมีแผนที่แล้ว แต่ก็ต้องยืนยันว่าเป็นแผนที่บริเวณไหน และการที่จะไปเสาะหาอย่างไรนั้นก็เกรงว่ายังต้องสิ้นเปลืองเวลาอีก หากว่าเราทั้งสองฝ่ายร่วมมือกัน จากความเข้าใจที่พวกเรามีต่อโลกแห่งยุคกลาง สามารถหาตำแหน่งที่อยู่บนแผนที่ได้อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นค่อยไปตามหาเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางร่วมกัน สมบัติลํ้าค่าจะตกเป็นของใคร ก็ให้ผู้มีความสามารถ เป็นผู้ครอบครอง แบบนี้มิใช่ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายหรือ?”
มู่ชิงเกอให้เบาะแส พวกเขาออกแรงตามหา หลังจากที่ยืนยันสถานที่แล้ว ทั้งสองฝ่ายก็ร่วมทางกันออกตามหาเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลาง ใครจะได้ไปก็อาศัยที่ความ สามารถ
ความร่วมมือนี้ในความคิดของมู่เฉินแล้ว มู่ชิงเกอแทบจะไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ
แต่ว่า ในขณะที่เขามีความมั่นใจเต็มเปี่ยม มู่ชิงเกอกลับส่ายหน้าช้าๆ มุมปากยังคงมีรอยยิ้มประดับไว้ แฝงความเยาะเย้ยประชดประชันหลายส่วน
“ผู้อาวุโสมู่เลอะเลือนไปแล้วใช่หรือไม่? ข้าไม่เข้าใจโลกแห่งยุคกลางก็จริงอยู่ แต่ว่าผู้ที่เข้าใจโลกแห่งยุคกลางไม่ได้มีเพียงพวกท่านฝ่ายเดียว ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เหตุใดข้าจึงต้องร่วมมือกับพวกท่าน? ไม่ใช่หาผู้ที่ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนกันมาร่วมมือด้วย? อย่างน้อยก็เลี่ยงได้ว่าในระหว่างการหาสมบัติจะถูกคนเอามีดแทงข้าข้างหลัง ขออภัยด้วย เงื่อนไขที่ท่านเสนอมาข้ามองว่าไม่มีส่วนที่น่าดึงดูดแม้แต่น้อย”
มู่เฉินตะลึง
ที่มู่ชิงเกอกล่าวมาทั้งหมด คิดไม่ถึงว่าเขาจะไม่สามารถย้อนได้เลย
“หากผู้อาวุโสมู่มาด้วยเรื่องนี้ เช่นนั้นก็เชิญกลับไปเถอะ ข้าผู้นี้เห็นแก่ตัวมาก ไม่ค่อยรู้จักเรื่องการแบ่งปัน” มู่ชิงเกอยกยิ้มมุมปากลึกขึ้น เอ่ยขึ้นอย่างดูคล้ายจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม
มู่เฉินเดินกลับออกมาจากโรงเตี๊ยมที่มู่ชิงเกอพำนักอยู่ ด้วยอาการโง่เขลาเบาปัญญา จวบจนเดินมาถึงบนถนน ถูกแสงแดดแผดเผาเขาจึงได้สติขึ้นมา
แม้ว่าเขาจะตื่นจากภวังค์แต่ส่วนลึกในแววตาเขายังคงอยู่ในอาการตกตะลึง
เมื่อเขากลับถึงที่พักด้วยสีหน้าซีดขาว มู่เผิงเห็นเข้าก็ตกใจรีบเอ่ยถาม “ผู้อาวุโส เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
มู่เฉินโบกมือ นั่งลงบนเก้าอี้ด้วยอาการอ้างว้างโดดเดี่ยว
มู่เผิงดูอาการแล้วก็รีบรินนํ้าชาร้อนให้ถ้วยหนึ่ง ท่าทางของมู่เฉินในเวลานี้คล้ายกับได้รับความตกใจอะไรสักอย่างอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อนํ้าชาร้อนๆ ลงสู่กระเพาะ ในที่สุดสีหน้าของมู่เฉินก็ดีขึ้นมาหน่อย
มู่เผิงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้งว่า “ผู้อาวุโส เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? มิใช่ว่าท่านไปพบนายน้อยชิงเกอมาหรอกหรือ?”
มู่เฉินยิ้มซังกะตาย วางถ้วยนํ้าชาในมือลง มองหน้ามู่เผิงแล้วเอ่ยดูถูกตนเอง “มู่เผิงเอ๋ย เจ้าว่าข้าแก่แล้วจริงหรือไม่? มองเรื่องราว คิดไม่ถึงว่าจะมองทะลุปรุโปร่งสู้คนหนุ่มสาวไม่ได้”
จากนั้น มู่เฉินก็นำความที่ไปพบมู่ชิงเกอบอกเล่าให้มู่เผิงฟัง
เมื่อเขานำคำพูดประโยคสุดท้ายของมู่ชิงเกอเอ่ยมาอีกรอบ มู่เฉินก็รู้สึกว่าตนเองโง่เขลาจริงๆ
ที่นี่คือที่ไหน? คือโลกแห่งยุคกลาง!
มู่ชิงเกอเป็นคนต่างถิ่นไม่ผิด แต่ว่ารอบกายล้วนมีแต่คนที่เกิดและเติบโตที่นี่ พวกเขามีข้อได้เปรียบตรงไหน? มู่ชิงเกอหากลุ่มอำนาจหนึ่งมาร่วมมือด้วย ก็สามารถหาตำแหน่งของแผนที่เจอเช่นกัน
ส่วนเขา คิดไม่ถึงว่าจะพกความมั่นใจวิ่งไปเสนอเงื่อนไขความร่วมมือเช่นนี้กับมู่ชิงเกอ
มู่เผิงฟังจบแล้วก้มีสีหน้าตื่นตะลึงเช่นกัน เขาอดที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองบนโรงเตี้ยมอย่างเสียไม่ได้ เขากล้ายืนยันเลยว่าหากเรื่องเช่นนี้เกิดกับมู่ลั่วฟง ยังไม่ทันที่จะได้ใช้สมองก็ตอบตกลงแล้ว
แม้แต่ตอนที่มู่เฉินยังไม่ทันได้เอ่ยวาจาของมู่ชิงเกอออกมา ตัวเขาเองก็รู้สึกว่าความร่วมมือนี้เป็นไปได้
แน่นอนว่าไม่ใช่ว่าพวกเขาโง่เขลา พูดได้เพียงว่าพวกเขาอยู่ในสถานการณ์มองสกานการณไม่รอบด้าน ส่วนมู่ชิงเกอแม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์กลับยังคงสามารถมองสถานการณ์ได้รอบด้าน ไม่ได้ถูกข้อเสนอชวนให้ลุ่มหลงโดยง่าย
‘นายน้อยชิงเกอผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!’ มู่เผิงเอ่ยกับตนเองในใจเบาๆ
ยิ่งค้นพบความไม่ธรรมดาของมู่ชิงเกอ ในใจของเขายิ่งมองไม่เห็นมู่ลั่วฟง ถึงอย่างนั้นเสียใจภายหลังก็ไม่มีประโยชน์ มีเพียงมู่ลั่วฟงตายไป พ่ายแพ้ในการต่อสู้ มิฉะนั้นพวกเขาก็ทำได้เพียงติดตามเขาต่อไป
“เฮ้อ เก็บข้าวเก็บของ พวกเราเตรียมกลับไปกันได้แล้ว” สุดท้ายแล้วมู่เฉินก็ตัดสินใจท่ามกลางความสิ้นหวัง
“ขอรับ ผู้อาวุโส” การเจรจาร่วมมือล้มเหลว พวกเขาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะอยู่ต่อ มู่เผิงเข้าใจสภาพจิตใจของมู่เฉินในเวลานี้ดี ตัวเขาเองไม่ใช่ไม่เป็นเช่นนี้หรือ?
ระหว่างการสนทนาของพวกเขาทั้งสองกลับไม่ได้สังเกตเลยว่า บริเวณมุมอับตรงชั้นสองมีคนแอบฟังอยู่
ขณะที่กำลังคิดจะออกไปคิดบัญชีกับมู่ชิงเกอ พอมาได้ยินบทสนทนานี้เข้า สีหน้าก็พลันแปรเปลี่ยนไปไม่แน่นอน เขาไม่คิดเลยว่าคนที่เขาไว้ใจที่สุดจะไปพบมู่ชิงเกอลับหลังเขา ทั้งยังกระชิบกระซาบคุยเรื่องร่วมมือ!
ที่สำคัญคือคิดไม่ถึงว่าจะถูกปฏิเสธ!
มู่ลั่วฟงไม่ได้โง่ เพียงแค่คุยโม้โอ้อวดไปบ้าง เขาฟังออกถึงความชื่นชมที่มีต่อมู่ชิงเกอในนํ้าเสียงของมู่เฉิน นี่คือสิ่งที่ไม่เคยมีกับเขามาก่อน ความรู้สึกนั้นทำเอาส่วนลึกในดวงตามืดบอดของเขาอบอวลไปด้วยความริษยา
“นายน้อย พวกเราแอบฟังพวกผู้อาวุโสคุยกันตรงนี้ จะดีหรือ?” เด็กรับใช้ของมู่ลั่วฟงเอ่ยออกมาเบาๆ พลางใช้มือนวดสะโพกที่มีอาการเมื่อยจากการนั่งในท่าที่ไม่สบาย
มู่ลั่วฟงกลับตวัดสายตาเย็นชาดุร้ายมาให้ เขาตกใจกลัวจนไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
เมื่อมู่เฉินกับมู่เผิงสนทนากันจบแล้ว มู่ลั่วฟงก็แค่นเสียง ขึนจมูก พาเด็กรับใช้เดินออกจากโรงเตี๊ยมทางประตูหลัง
“นายน้อย นายน้อย รอข้าด้วยขอรับ!” เด็กรับใช้ตามอยู่ข้างหลังมู่ลั่วฟง ตะโกนเรียกไม่หยุด
กว่าที่เขาจะตามมู่ลั่วฟงทัน ไม่ง่ายเลย กลับถูกสายตาเหี้ยมเกรียมทำเอาเขาตกใจ เอ่ยด้วยความลนลาน “นายน้อย ท่านจะไปทำอะไรหรือขอรับ?”
“ฆ่าคน!” แววตามู่ลั่วฟงเย็นชาโหดเหี้ยมขณะเอ่ยประโยคนี้