ตอนที่ 257
คุ้นเคยหน้าทำเนียบฉูเฟิง!
เงาร่างคนพุ่งลงมาในชั่วพริบตาเดียว เมื่อถึงพื้น พลังแกร่งกล้าก็พัดพาฝุ่นละอองสีเทาพุ่งตลบอบอวล กดดันบ่าวรับใช้ตระกูลซูที่อยู่ใกล้ๆ จนต้องถอยร่นออกไป
หลังจากที่ลงถึงพื้นแล้วก็มีหนึ่งในนั้นยื่นมือออกมา นิ้วทั้งห้าเป็นกรงเล็บแหลมคมพุ่งเข้าใส่มู่ชิงเกออย่างรวดเร็ว ราวกับว่าต้องการอาศัยความเร็วราวอัสนีบาต ชิงตัวเหยียนฉีชวนกลับไป
ดวงตาคู่นั้นของเซวี่ยนขุยนิ่งขรึมราวเหยี่ยวล่าเหยื่อ ยกดาบยาวของเหยียนฉีชวนแทงใส่มือข้างนั้นอย่างไม่ลังเล
“ไสหัวไป!” ทว่าไม่ทันรอให้เขาได้เข้าใกล้พลังจิตแสนอุกอาจก็ฟาดมาทางเขา ทำเอาเซวี่ยนขุยทั้งคนทั้งอาวุธ ลอยถลาออกไปก่อนจะตกกระแทกพื้นที่ห่างออกไปอย่างแรง
ระหว่างที่สายลมเคลื่อนไหว มือคู่นั้นที่บุกหน้าเหมือนผ่าลำไผ่ก็มาถึงด้านหน้ามู่ชิงเกอเสียแล้ว
มู่ชิงเกอกลับไม่มีทำทีลนลาน คว้าตัวเหยียนฉีชวนที่อยู่ในมือเปลี่ยนทิศทางมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย กระชับมีดสั้นที่กำอยู่ในมือกดไปที่เส้นเลือดบริเวณลำคอของเขา
คนผู้นั้นตกตะลึง แสงเย็นๆ ของคมมีดสะท้อนเข้าตาเขา
เขาห่วงว่าเมื่อมู่ชิงเกออยู่ในสภาวะจนตรอกไร้หนทาง แล้วจะพลั้งมือสังหารเหยียนฉีชวน เมื่อมือของเขาใกล้จะสัมผัสโดนตัวเหยียนฉีชวน เขาก็ชักกระบวนท่ากลับเอาเสียดื้อๆ ย้อนกลับมาทางเดิม
ในขณะที่เดี๋ยวเข้าเดี๋ยวออกนี้ เกิดขึ้นเพียงชั่วเวลาสั้นๆ เท่านั้น
ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ส่วนใหญ่ต่างก็มองไม่ชัด
เห็นแค่เพียงว่าผู้อาวุโสตระกูลเหยียนกระโดดออกไป
แล้วก็กระโดดกลับมา
เหยียนฉีชวนที่ยืนอยู่ระหว่างกลางกลับมีสีหน้าซีดขาว ความเย็นของคมมีดที่จ่ออยู่ที่ลำคอ รวมถึงพลังกรงเล็บที่แข็งแกร่งของผู้อาวุโสตระกูลตนเมื่อครู่นี้ ล้วนแต่ทำให้เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าตนเองยืนอยู่ระหว่างกลาง รู้สึกราวกับชีวิตอยู่บนเส้นด้าย
ว่าที่เจ้าสาวของเขาโดนรังแกหยามเกียรติ ต้องการที่จะแก้แค้นก็ไม่ผิด แต่ก็ไม่มีความจำเป็นถึงขั้นที่ว่าตนเองจะต้องสังเวยชีวิต!
ขณะที่ครุ่นคิดอยู่ในใจอยู่หลายครั้ง เหยียนฉีชวนก็เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “เจ้าต้องการหาตระกูลซู ก็คือที่นี่นี่แหละยังไม่ปล่อยข้าไปอีก!”
มู่ชิงเกอมุมปากกระตุกยิ้มเย็นชา หัวเราะในความไร้เดียงสาของเขา “พวกเจ้าเหล่านี้ดูคล้ายสุนัขกัดมั่วไปหมดเช่นนี้หากว่าข้าไม่มีโล่กันธนูสักอัน ไม่ใช่ว่าจะไม่มีแม้แต่โอกาสในการเอ่ยพูดสักประโยคอย่างนั้นหรอกรึ?”
เหยียนฉีชวนในใจนิ่งงัน กัดฟันเอ่ยขึ้นว่า “พูดตามหลัก แล้วนี่เป็นบุญคุณความแค้นของเจ้ากับตระกูลซู ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลเหยียนของข้า หากว่าเจ้ายอมปล่อยข้าไป ข้ารับประกันกับเจ้าได้เลยว่าจะรีบพาคนตระกูลเหยียนจากไปในทันที จะไม่สอดมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้เด็ดขาด”
คำพูดประโยคนี้ทำให้ดวงตาสุกสกาวของมู่ชิงเกอเกิดอารมณ์ขบขันลึกๆ
นางมองหน้าเหยียนฉีชวนด้วยความดูแคลนอยู่บ้าง พูดฉีกหน้าว่า “ก่อนหน้านี้ยังพูดอย่างขึงขังหนักแน่นอยู่เลยว่าจะตามแก้แค้นข้า ไม่สังหารข้าจะไม่สามารถดับความโกรธแค้นในใจลงได้ เหตุใดตอนนี้ถึงต้องการจะลอยตัวเหนือปัญหาไม่ขอเกี่ยวข้องกันล่ะ?”
เหยียนฉีชวนถูกแย้งจนพูดไม่ออก สีหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวแดง
เวลานี้เอง เซวี่ยนขุยก็พยุงตัวขึ้นมาจากพื้น เดินมาอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอ
ผู้อาวุโสอีกท่านหนึ่งของตระกูลเหยียนสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของเซวี่ยนขุย ในใจกระตุก แอบรวมพลังไว้ในมือ คิดจะพุ่งไปจับตัวเซวี่ยนขุยอย่างรวดเร็ว “เจ้ามานี่!”
ดูท่าทางของเขาราวกับว่าต้องจับตัวเซวี่ยนขุยมาข่มขู่มู่ชิงเกอ
แววตามู่ชิงเกอเป็นประกาย สะบัดฝ่ามือขึ้นคราหนึ่งเกิดเป็นพลังสายหนึ่ง พุ่งสกัดการโจมตีของอีกฝ่ายอยู่ครึ่งทาง ส่วนเซวี่ยนขุยเองก็ถอยไปอยู่ข้างมู่ชิงเกออย่างรวดเร็ว มองไปรอบๆ ตั้งท่าเตรียมรับมือกับศัตรู
เมื่อครู่นี้อีกเพียงนิดเดียวเขาก็จะเป็นภาระให้นายน้อยเสียแล้ว!
“ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” มู่ชิงเกอเอ่ยถามเสียงขรึม ดวงตาสุกสกาวฉายแววเย็นชา กวาดตามองผู้อาวุโสทั้งสองคนของตระกูลเหยียน
เซวี่ยนขุยส่ายหน้า เอ่ยด้วยความรู้สึกผิด “นายน้อย ข้าอ่อนแอเกินไป”
“รู้ว่าตนเองอ่อนแอก็ต้องขยันเป็นเท่าตัว” มู่ชิงเกอตอบกลับนิ่งๆ หนึ่งประโยค
เซวี่ยนขุยชะงัก เม้มริมฝีปากแน่น ออกแรงพยักหน้า ราวกับกำลังรับประกันกับมู่ชิงเกอ!
ดวงตามู่ชิงเกอกวาดตามองเล็กน้อย เอ่ยเตือนด้วยนํ้าเสียงเย็นชา “อย่าได้ทำเรื่องที่ไร้ค่าไม่มีความหมายขึ้นมาอีก เพิ่มความเร็วในการตายของนายน้อยพวกเจ้า”
นางหันไปทางประมุขตระกูลซูเอ่ยถามขึ้นว่า “คุณหนูซูอยู่ที่ใด?”
ในเมื่อผู้ได้รับความเสียหายคือคุณหนูซู เช่นนั้นนางย่อมต้องเผชิญหน้ากับนางถึงจะรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น คนเหล่านี้เอะอะก็ว่าสัตว์เดรัจฉาน เอะอะก็ว่าจอมราคะ คิดว่านางอารมณ์ดีนักหรือไง?
“จอมราคะสมควรตาย!” ทันใดนั้นเสียงอ่อนหวานแต่เปี่ยมด้วยความโกรธแค้นก็ดังขึ้นมา จากนั้นมู่ชิงเกอก็มองเห็นเงาร่างอรชรบอบบางของสตรีนางหนึ่ง ถือกระบี่พลิ้วอยู่ในมือ เดินฝ่าฝูงคนตรงเข้ามาหามู่ชิงเกอ พลังนั่นของนางคล้ายกับว่าไม่สนใจความเป็นความตายของเหยียนฉีชวนแม้แต่น้อย คิดแค่เพียงต้องการชีวิตของมู่ชิงเกอ นางไม่สนใจชีวิตของเหยียนฉีชวนได้ แต่ประมุขตระกูลซู ทำไม่ได้ เขาตะโกนออกมาอย่างร้อนรน “หนวนหน่วนหยุดมือ!”
ลงมือขวางเงาที่พุ่งออกมา ทั้งยังเผยฐานะของผู้ที่มาใหม่ด้วย
“ที่แท้ก็คุณหนูซูนี่เอง” แววตามู่ชิงเกอนิ่งขรึม จับจ้องไปยังผู้ที่ถูกประมุขตระกูลซูดึงตัวเอาไว้ เรือนร่างอรชร ใบหน้างดงาม เป็นสาวงามนางหนึ่งโดยแท้ทว่าความโหดเหี้ยมที่ปรากฎบนหว่างคิ้วทำลายความงามของตนไปบ้าง
ซูหนวนหน่วนมองมู่ชิงเกอด้วยอารมณ์โกรธแค้น ยิ่งเห็นท่าทีลอยชายของนางก็ยิ่งอารมณ์ขึ้น
“ท่านพ่อ ฆ่าเขาเสีย!” ซูหนวนหน่วนยกกระบี่ยาวในมือขึ้นชี้ใส่หน้ามู่ชิงเกอ ร้องขอต่อบิดา นางละทิ้งผ้าแพรสีแดงในมือ มิใช้เพียงเพราะว่าผ้าแพรสีแดงนั่นเป็นหลักฐานถึงช่วงเวลาที่นางถูกหยามเกียรติที่สุด และเป็นเพราะนางต้องการใช้กระบี่ในมือกรีดเนื้อมู่ชิงเกอเป็นชิ้นๆ!
“หนวนหน่วนอย่าวู่วาม หลานชายของเหยียนชื่อยังอยู่ในมือของเจ้าคนไร้ยางอายนี่ วางใจเถอะ อย่างไรวันนี้เขาก็หนีไม่พ้น!” ประมุขตระกูลซูเอ่ยปลอบประโลมบุตรสาวของตน
ในใจของซูหนวนหน่วนเจ็บปวดราวเลือดหยด อยากกระชวกผู้ที่ข่มเหงนางใจจะขาด
“พวกเจ้าพอได้แล้ว ใครบอกข้าได้บ้างว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์เข้าใจหรือไม่?” มู่ชิงเกอเอ่ยเสียงกรุ่นโกรธขึ้น
“เจ้ายังคิดว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อีกรึ?”ประมุขตระกูลซูเอ่ยด้วยความโกรธ
ความโกรธแค้นที่เขามีต่อมู่ชิงเกอไม่ได้น้อยไปกว่าซูหนวนหน่วนเลย
ใกล้ถึงงานมงคลเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างตระกูลซูและเหยียนอยู่แล้ว กลับเกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้น แล้วเขาจะไปตอบกลับตระกูลเหยียนได้อย่างไร?
มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างท่าทางจริงจังมีเหตุมีผล “ข้าย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์! ไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง กลับถูกพวกเจ้าติดประกาศไปทั่วเมือง ตอนนี้เองข้าก็ยังไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องอะไร”
“ได้! เมื่อเจ้าไม่รู้ข้าก็จะยํ้าเตือนเจ้าเอง เจ้ายังจำดงหญ้าริมทะเลสาบได้หรือไม่?” ซูหนวนหน่วนกัดฟัน เอ่ยด้วยความแค้นเต็มเปี่ยม
เมื่อต้องเอ่ยเรื่องอัปยศขึ้นมาอีกครั้ง ใจของนางก็ราวกับถูกกรีดเป็นชิ้นอย่างนั้น
ทว่า นางต้องการให้เจ้าสุนัขขี้ขโมยผู้นี้ยอมรับความตายแต่โดยดี!
นางจ้องมองมู่ชิงเกอ ไม่ปรารถนาที่จะพลาดความรู้สึกที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้าสักเสี้ยววินาที นางจะต้องกระชากความเสแสร้ง กระชากหน้ากากผู้บริสุทธิ์ของเขาด้ายมือตนเอง
แต่ว่า มู่ชิงเกอกลับเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้านขึ้นว่า “จำไม่ได้ ไม่รู้จัก และก็ไม่เคยไปมาก่อน”
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะไร้ยางอายเพียงนี้!” เห็นว่ามู่ชิงเกอไม่ยอมรับ ซูหนวนหน่วนก็โกรธจนมือสั่น
มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว “ข้าไร้ยางอายตรงไหน? ข้าเพิ่งมาถึงเมืองอันม๋อเฉิงเมื่อวานนี้ ก็อาศัยอยู่ในโรงเตี๊ยมมาตลอดไม่ได้ออกไปไหน อย่างน้อยมีคนมากกว่าสามคนที่สามารถเป็นพยานให้ได้ จากนั้นก็ถูกติดประกาศอย่างน่าประหลาดใจ ข้าเองก็แปลกใจมากถึงได้มาถามด้วยตนเองอย่างไรเล่า ว่าตัวข้ามู่ชิงเกอไปทำอะไรให้คุณหนูซู ถึงได้เป็นเช่นนี้?”
“เจ้า!” ซูหนวนหน่วนถูกคำพูดของมู่ชิงเกอทำเอาโกรธจนดวงตาแดงระเรื่อ นางอยากที่จะกระชากใบหน้างดงามจนผู้หญิงต่างพากันอิจฉาของมู่ชิงเกอแทบใจจะ
ขาด
นางคิดไม่ออกเลยว่า บุรุษที่มีรูปโฉมเช่นนี้ ต้องการหญิงสาวแบบไหนจะไม่มีหรือ? เหตุใดถึงเลือกนาง? ทำให้นางต้องรับความอัปยศที่ขจัดไม่ออกไปตลอดชีวิต?
ยิ่งคิดไม่ตก นางก็ยิ่งแค้น!
“ขออภัยที่ข้าขอถามสักหนึ่งประโยค คุณหนูซูเจ้าแน่ใจหรือว่าผู้ที่ทำร้ายเจ้าเป็นข้า?” มู่ชิงเกอโพล่งออกมา(ประโยคหนึ่ง
คำพูดประโยคนี้ทำเอาซูหนวนหน่วนนิ่งชะงักไป
แต่มู่ชิงเกอยังคงเอ่ยต่อไปว่า “ตามที่ข้ารู้มา คนที่ตระกูลซูและเหยียนที่ส่งออกไปตามหาข้า เพียงแค่ถามชื่อ ไม่ได้เอ่ยถามถึงลักษณะพิเศษอะไร นี่ก็เห็นชัดแล้วว่า แม้แต่ตัวของคุณหนูซูเองยังดูไม่ชัดเลยว่าผู้ที่ทำร้ายเจ้ามีรูปร่างหน้าตาเช่นไร?” ตูม!
คำพูดประโยคนี้จู่โจมเข้าสู่หัวใจของซูหนวนหน่วนทำให้นางหน้าถอดสี
ภาพเหตุการณ์ที่นางไม่ปรารถนาจะกลับไปนึกถึง ลอยขึ้นมาเบื้องหน้านางอีกครั้ง นางจำได้ว่าเงาร่างที่กดนางอยู่เบื้องล่างข่มเหงนาง เป็นดังเช่นที่มู่ชิงเกอกล่า วจริงๆ นางไม่ได้เห็นหน้า ไม่ได้เห็นลักษณะท่าทางของฝ่ายตรงข้าม
ตั้งแต่ต้นจนจบ เพียงแค่จำประโยคนั้นของเขาได้
ดวงตาซูหนวนหน่วนเป็นประกายขึงขัง เอ่ยย้อนขึ้นว่า “เขาบอกว่าตนเองชื่อมู่ชิงเกอ หรือว่ายังหลอกลวงได้อีก?”
มู่ชิงเกอหัวเราะเย้ยหยัน “เขาบอกว่าตนเองคือมู่ชิงเกอก็คือมู่ชิงเกองั้นหรือ? หากข้าบอกว่าข้าเป็นประมุขตระกูลซูก็เป็นประมุขตระกูลซูได้ใช่หรือไม่?”
การหยอกเย้าของมู่ชิงเกอทำให้คนตระกูลซูและเหยียนรู้สึกมีอารมณ์คุกรุ่น แต่ว่าอารมณ์ที่เกิดจากความโกรธนั้นก็ค่อยๆ กลับมามีสติ
“เจ้าอาจจะต้องการสร้างความสับสนก็ได้!” ประมุขตระกูลซูตวาดใส่
ในแววตามู่ชิงเกอฉายแววประชด “หากเป็นข้าทำจริง ยังต้องกระตือรือร้นที่จะทิ้งชื่อตัวเองไว้หรือ? นี่ไม่ใช่เรื่องจรรโลง ใบหน้าไม่ยอมให้เห็นกลับทิ้งชื่อเอาไว้ การโยนความผิดง่ายๆ เช่นนี้คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะดูกันไม่ออก”
โง่หรือเปล่าเนี่ย
นั่นสินะ!
คนตระกูลซูและเหยียนต่างก็ส่งสายตาหากันเงียบๆ
พวกเขาคิดตามที่มู่ชิงเกอกล่าวโดยละเอียด ในนั้นมีช่องโหว่มากมายอยู่จริงด้วย ทำเรื่องเช่นนี้แล้วยังทิ้งชื่อเสียงเรียงนามไว้นี่ไม่ใช่แสดงให้เห็นว่าให้สองตระกูลซูและเหยียนไปหาเขาหรือ?
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันนี้หาตัวพบแล้ว เหตุใดถึงได้ไม่ยอมรับ?
ที่สำคัญก็คือพวกเขาล้วนเป็นบุรุษใครบ้างที่ทำเรื่องเช่นนี้แล้วยังจะกระตือรือร้นทิ้งชื่อตนเองไว้?
“โยนความผิดให้ผู้อื่น? เจ้ามีสิทธิ์อะไรพูดว่าเป็นการโยนความผิดให้ผู้อื่น? มีหลักฐานอะไรที่แสดงให้เห็นว่าเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์?” ประมุขตระกูลซูเอ่ยขึ้นอย่างไม่ถอดใจ
มู่ชิงเกอมุมปากกระตุกรอยยิ้มเย็นชา หันไปมองชูหนวนหน่วน เอ่ยถามขึ้นว่า “คุณหนูชู เจ้าได้ประมือกับคนผู้นั้นหรือไม่? ได้เห็นหรือไม่ว่าพลังจิตของเขาเป็นสีอะไร?”
สายตาชูหนวนหน่วนฉายความรู้สึกสับสนเป็นระลอก
ไม่ต้องยอมรับว่าที่มู่ชิงเกอพูดมานั้นมีเหตุผล แต่ว่าเบาะแสเพียงหนึ่งเดียวที่นางมีก็คือชื่อมู่ชิงเกอ หากเรื่องที่เกิดขึ้นคนตรงหน้าไม่ได้เป็นผู้กระทำ แล้วนางจะแก้แค้นได้อย่างไร จะไปแก้แค้นกับใคร?
คำพูดของมู่ชิงเกอทำให้นางเข้าสู่ห้วงความทรงจำอีกครั้ง
นางหวนคิดแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ย่อมมีการประมืออยู่แล้ว แต่ว่าระดับพลังยุทธ์ของข้าสู้ไม่ได้ คนผู้นั้นน่าจะอยู่ประมาณระดับพลังชั้นสีเทาชั้นสี่หรือชั้นห้า”
ในใจของนางสั่นคลอนไม่เอ่ยว่ามู่ชิงเกอแต่เป็นคนผู้นั้น
เมื่อได้คำตอบ มู่ชิงเกอก็ยกมือขึ้นเอ่ยเสียงดังกังวานกับคนที่อยู่โดยรอบนั้นว่า “ดูให้ดีล่ะ”
พอนางพูดจบ กลางฝ่ามือก็ปรากฏลำแสงสีเงินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ราวกับ
เถาวัลย์คดเคี้ยวเกี่ยวเกาะขึ้นไป
เฮือก!
ทุกคนต่างก็สูดลมหายใจยะเยือกเข้าไป
“เป็นระดับพลังชั้นสีเงิน!”
“คิดไม่ถึงว่าจะเป็นระดับพลังชั้นสีเงิน!”
“กลิ่นอายสามารถเก็บงำกันได้ แต่ว่าระดับพลังยุทธ์ปลอมแปลงกันไม่ได้!”
“เช่นนั้นก็หมายความว่าผู้ที่รังแกคุณหนู ไม่ใช่คนตรงหน้านี้หรือ?”
เมื่อมู่ชิงเกอปล่อยพลังจิตออกมา ก็เป็นหลักฐานชั้นดีที่ยากจะแย้งได้
ซูหนวนหน่วนเบิกตากว้าง มองดูลำแสงสีเงินนั่นในอาการตกตะลึง นางไม่อยากจะเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ
“ระดับพลังชั้นสีเงิน!” เหยียนฉีชวนสีหน้าทึมทื่อเอ่ย พลางมองหน้ามู่ชิงเกอในอาการตื่นตระหนก คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะประมือกับผู้ที่อยู่ในระดับพลังชั้นสีเงิน หากว่าอีกฝ่ายต้องการที่จะฆ่าเขา ตนเองยังจะสามารถมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้หรือไม่?
มู่ชิงเกอแสดงระดับพลังยุทธ์ของตนเองออกมา ทำให้ผู้อาวุโสทั้งสองของตระกูลเหยียน ผู้อาวุโสตระกูลซู ยังมีประมุขตระกูลซูต่างพากันตกอยู่ในความเงียบ พวกเขาต่างก็เป็นผู้มีระดับพลังชั้นสีเงิน รับรู้ได้ดีกว่าผู้มีระดับพลังชั้นสีเทาหรือสีม่วง คิดไม่ถึงว่าคุณชายในอาภรณ์สีแดงผู้มีใบหน้างดงามตรงหน้านี้ อายุยังน้อยทว่ากลับเป็นยอดฝีมือระดับพลังชั้นสีเงินชั้นสอง คุณสมบัติเช่นนี้เพียงพอที่จะเบียดเข้าทำเนียบชิงอิงได้แน่นอน!
ไม่สนใจสายตาตกใจของผู้คนโดยรอบ มู่ชิงเกอสะบัดมือเก็บคืนพลังจิตที่ปล่อยออกไป
เวลานั้น สายตาของประมุบตระกูลซูก็เปลี่ยนไปยากที่จะคาดเดา ไม่รู้ว่ากำลังวางแผนเรื่องอะไรอยู่
ผู้อาวุโสทั้งสองของตระกูลเหยียนสบตากันรีบเปลี่ยนท่าทีในทันใด
พวกเขาประสานมือให้มู่ชิงเกออย่างเกรงใจ ผู้ที่ลงมือก่อนผู้นั้นเอ่ยขึ้นว่า “ดูแล้วเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน มีคนแอบอ้างชื่อคุณชายมู่ทำเรื่องไร้ยางอาย ใน เมื่อเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันเช่นนั้นก็ขอให้คุณชายมู่ปล่อยตัวนายน้อยของเรา เรื่องทั้งหมดค่อยๆ ปรึกษาหารือกัน”
ตระกูลเหยียนต้องการที่จะคลี่คลายสถานการณ์ตึงเครียดนี้ ถึงอย่างไรเข็มก็ไม่ได้ปักที่พวกเขา เรื่องของซูหนวนหน่วนก็แค่ทำให้ตระกูลเหยียนเสียหน้าก็เท่านั้น ไม่ควร ทำผิดโดยไปล่วงเกินผู้มีพรสวรรค์ของทำเนียบชิงอิงเข้า!
“ช้าก่อน!” แต่ว่าพวกเขาต้องการที่จะบรรเทาความสัมพันธ์นี้ ประมุขตระกูลซูกลับไม่เห็นด้วย ใบหน้าเขาเย็นชาเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าเล่น ตุกติกอะไรเปลี่ยนสีของพลังจิตหรือเปล่า? อีกอย่างแม้ว่าเรื่องนี้เจ้าจะไม่ได้เป็นคนทำ แต่ก็เกี่ยวกับเจ้าอยู่ดี มิเช่นนั้นเหตุใดคนผู้นั้นจึงมิทิ้งชื่อของผู้อื่น แต่กลับทิ้งชื่อเจ้าไว้กัน?”
มู่ชิงเกอยิ้มเย็นเอ่ยว่า “ทำไมหรือ? ตระกูลซูคิดจะปรักปรำข้าหรือ?”
ประมุขตระกูลซูเองก็แค่นหัวเราะ นัยน์ตาฉายแผนการเด่นชัด “ผู้ที่ได้รับความเสียหายคือบุตรสาวของข้า วันนี้เจ้าพูดออกมาประโยคเดียวว่าไม่ใช่เจ้า ก็คิดที่จะลอยตัวเหนือปัญหา ทำเช่นนี้ไม่ได้ ถ้าไม่ส่งตัวผู้ร้ายตัวจริงออกมาตอนนี้ ก็ต้องรับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิดขึ้น!”
“ข้าเองก็อยากที่จะส่งตัวผู้ร้ายตัวจริงออกมา แต่ว่าพวกเจ้าก่อกวนข้าไม่หยุดเช่นนี้ เกรงว่าผู้ร้ายตัวจริงคงเผ่นหนีไปไกลแล้ว จากที่ประมุขตระกูลซูพูดมา ข้าเข้าใจได้หรือไม่ว่าพวกท่านเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือผู้ร้ายตัวจริง ปล่อยให้เขาหนีไป ทำให้ข้าตามหาคนที่ใส่ร้ายข้าไม่พบ?” มู่ชิงเกอยิ้มเย็นไม่หยุด นางมองเห็นแผนการในตาของประมุขตระกูลซู
พูดจบนางก็นิ่งไปครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้นอีกว่า “เรื่องความรับผิดชอบ? ข้าเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับความเสียหาย จะรับผิดชอบอย่างไร?”
“เจ้า! เจ้ากำลังเถียงข้างๆ คูๆ?” ประมุขตระกูลซูเอ่ยด้วยอารมณ์โกรธ
ถึงอย่างไรตระกูลเหยียนก็ไม่มีทางแต่งสตรีที่มีมลทินไปเป็นภรรยาแน่นนอน เดิมเขาคิดว่าผิดแล้วก็ผิดเลย ให้บุตรสาวแต่งให้มู่ชิงเกอ แบบนี้แม้ว่าจะเสียตระกูลเหยียนไปก็ได้อีกด้านหนึ่งมาชดเชย
แต่ว่า คนตรงหน้าราวกับอ่านจิตใจเขาได้ทะลุปรุโปร่ง ไม่ได้เดินตามในสิ่งที่เขาพูดทำให้เขาไม่สามารถเสนอวิธีแก้ปัญหาโดยแต่งบุตรสาวออกไปได้เลย
“เถียงข้างๆ คูๆ? ประมุขตระกูลซูไม่ใช่ว่ากำลังบีบบังคับฝืนใจผู้อื่นอยู่หรือ?”
“พอได้แล้ว!” ซูหนวนหน่วนโพล่งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ขัดจังหวะการโต้เถียงระหว่างมู่ชิงเกอกับประมุขตระกูลตนเอง
นางเดินลงบันไดมา ทีละก้าว…ทีละก้าว เดินมาอยู่ตรงหน้ามู่ชิงเกอ “ข้ารู้แล้วว่าท่านไม่ใช่คนผู้นั้น ท่านปล่อยนายน้อยตระกูลเหยียนเถอะ ข้ารับประกันได้ว่าจะไม่มีผู้ ใดลงมือกับท่านแน่นอน”
มู่ชิงเกอมองหน้านาง ในดวงตาสุกสกาวนั้นมองไม่ออกถึงความเคลื่อนไหวเลยสักนิด
นางเก็บมีดสั้นที่จ่อบริเวณลำคอของเหยียนฉีชวนลงไป ในที่สุดก็คืนสู่อิสระ เหยียนฉีชวนมองดูซูหนวนหน่วน แวบหนึ่งไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
ซูหนวนหน่วนกลับมีอาการสงบนึ่ง นางเอ่ยกับเหยียนฉีชวนว่า “ข้าเข้าใจดี นับแต่วันนี้เป็นต้นไป งานมงคลระหว่างตระกูลซูและเหยียนเป็นอันยกเลิก”
เหยียนฉีชวนอ้าปากพะงาบๆ คล้ายต้องการเอ่ยสิ่งใด แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้พูดมันออกมา หันหลังเดินไปยังผู้อาวุโสตระกูลตนเอง
หลังจากที่เหยียนฉีชวนเดินจากไปแล้ว ซูหนวนหน่วนก็หันมาเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ข้าเพียงจะถามท่านประโยคเดียว ท่านรู้จักคนผู้นั้นใช่หรือไม่?”
มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว พยักหน้ารับ
นางไม่มีความจำเป็นต้องไปรับผลที่ก่อแทนมู่ลั่วฟง ยิ่งไม่ต้องไปปิดบังให้เขา
“ใคร!” ซูหนวนหน่วนดวงตาวาวโรจน์เอ่ยเสียงเคียดแค้น
มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นนิ่งๆ “เป็นคนนั้นหรือเปล่า ข้าเองก็เพียงสงสัย หลังจากที่ข้าฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้วรู้สึกว่าเขาน่าสงสัยที่สุด ที่ว่าเป็นใครนั้น คล้ายกับว่าเขาเพิ่งจะจากไปก่อนหน้าที่เจ้าจะปิดเมือง แต่จะไปที่ใดนั้นข้าเองก็ไม่รู้”
“บอกข้ามาว่าเขาชื่ออะไร!” ซูหนวนหน่วนเอ่ยด้วยดวงตาแดงกํ่า
“มู่ลั่วฟง” มู่ชิงเกอเอ่ยชื่อนี้อย่างสงบนิ่ง
ดวงตาซูหนวนหน่วนเกิดเปลวเพลิงแห่งความแค้น นางจ้องหน้ามู่ชิงเกออยู่สักพัก ก็เอ่ยบอกแก่เขาว่า “ท่านไปได้แล้ว!”
มู่ชิงเกอพยักหน้าลงเล็กน้อยแทบไม่ทันได้สังเกต หันหลังพาเซวี่ยนขุยเดินจากไป ตอนที่เซวี่ยนขุยจากไปก็ทิ้งอาวุธเล่มยาวของเหยียนฉีชวนไว้กับพื้น
“หนวนหน่วนนี่เจ้ากำลังทำอะไร? ปล่อยพวกเขาไปได้อย่างไร?” ประมุขตระกูลซูรีบรุดมาอยู่ข้างๆ ซูหนวนหน่วน เอ่ยขึ้นพลางมองภาพมู่ชิงเกอกับเซวี่ยนขุยเดินจากไป
ซูหนวนหน่วนเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “พวกเขาไม่ใช่คนที่ข้าตามหา รั้งไว้จะมีประโยชน์อันใด?”
ประมุขตระกูลซูทิ้งโกรธทิ้งโมโห “อย่างน้อยก็สามารถหาเบาะแสจากพวกเขาได้อีกอย่างไม่แน่ว่าเจ้าติดร่างแหร่วมไปกับเขา บิดาจะต้องให้เขารับผิดชอบเจ้าให้จงได้!”
“ท่านพ่อ!” ทันใดนั้นซูหนวนหน่วนก็เอ่ยขวางคำพูด ประโยคหลังของประมุขตระกูลซู
ประมุขตระกูลซูชะงักไป มองนางด้วยอาการแปลกใจ
ชูหนวนหน่วนมองหน้าเขาด้วยความปวดใจ “ท่านพ่อ ท่านจะรักใคร่ข้าจริงๆ สักครั้งเมื่อไรกัน? บุตรสาวถูกทำลายไปแล้ว ต่อไปไม่ต้องคิดอาศัยบุตรสาวทำสิ่งใดเพื่อท่านแล้ว”
พูดจบ นางก็หันหลังจากไป เดินเข้าไปในจวนโอ่อ่าของตระกูลซู
กลับเข้าสู่ถนนสายหลัก บนทางเดินก็ไม่มีบรรยากาศตึงเครียดเช่นก่อนหน้านี้แล้ว ชาวบ้านก็เริ่มกลับสู่สภาวะกิจวัตรประจำวัน
คนตระกูลซูและตระกูลเหยียนต่างมองไม่เห็น ราวกับว่าเรื่องทั้งหมดหยุดชะงักลงแล้ว
“นายน้อย คิดไม่ถึงเลยว่ามู่ลั่วฟงจะเป็นคนเช่นนี้!’’ บนทางเดิน เซวี่ยนขุยเอ่ยขึ้นอย่างมีโทสะ ทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ เขาเองยังรู้สึกว่าไร้ยางอาย ในใจของเขารู้สึกสงสารเห็นใจคุณหนูซู
สำหรับเรื่องมู่ลั่วฟง มู่ชิงเกอไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์ นางรู้แค่เพียงว่าบัญชีที่มู่ลั่วฟงคิดใส่ร้ายนาง นางจดไว้แล้ว ช้าเร็วก็ต้องเอาคืน
เมื่อกลับถึงโรงเตี๊ยม ทั้งสี่คนที่รออยู่ที่นี่ก็ปรี่เข้ามาล้อมในทันที สอบถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
เซวี่ยนขุยเล่าเรื่องที่เล่าไปแล้วรอบหนึ่ง เล่าเรื่องมู่ลั่วฟงใส่ร้ายมู่ชิงเกออย่างสมจริงสมจัง ทำเอาทุกคนมีอาการโมโหขึ้นมาทันที
แม่ทัพมังกรตบโต๊ะ เอ่ยอย่างโกรธแค้น “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! เจ้างั่งนี่เหมาะที่จะเป็นนายน้อยตระกูลมู่หรือ? ดวงตามู่เฉินกับมู่เผิงมืดบอดหรืออย่างไร?”
เซวี่ยนหยาก็เอ่ยออกมาเยือกเย็นว่า “โชคดีที่เมื่อวานไม่ได้เลือกเจ้าเดรัจฉานนี่ มิฉะนั้นข้าคงไม่มีหน้าพบกับคนของเผ่าทะเลทรายท่องวิญญาณแล้ว”
“นายน้อย พวกเราปล่อยเขาไปเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด” เสวี่ยหยาเดินมาอยู่ข้างมู่ชิงเกอ ในนํ้าเลียงแฝงความโหดเหี้ยมที่ไม่เคยมีมาก่อน
ฮวาเยวี่ยเองก็เอ่ยอย่างมีโทสะว่า “คุณชายมู่ลั่วฟงอะไร นี่ไม่ใช่คนแล้ว ทำเรื่องเลวทรามแล้วยังใส่ร้ายท่าน จับตัวเขาได้แล้วต้องสับเป็นพันเป็นหมื่นชิ้นระบายโทสะ”
เผชิญหน้ากับโทสะของแต่ละคนแล้ว มู่ชิงเกอกับมีท่าทีสงบนิ่ง นางเอ่ยออกมาช้าๆ “แม่ทัพมังกร ท่านเข้าใจสถานการณ์ของทางมู่ลั่วฟงแค่ไหน?”
แม่ทัพมังกรชะงัก หวนคิดอย่างละเอียดแล้วเอ่ยว่า “ข้าติดต่อกับมู่ลั่วฟงไม่มาก แต่ว่าเดินทางมาจากทะเลทรายท่องวิญญาณมาด้วยกันกับมู่เผิง ดังนั้นก็ได้ยิน อะไรมาบ้าง ตามที่มู่เผิงบอก มู่ลั่วฟงไม่ใช่ตระกูลมู่สายหลักที่โลกแห่งยุคกลาง เขาน่าจะเป็นผู้สืบทอดสายเลือดของตระกูลมู่ที่แยกตัวออกมาเมื่อหลายร้อยปีก่อน นายน้อยตระกูลมู่ที่โลกแห่งยุคกลางรุ่นนี้ เนื่องจากพรสวรรค์อ่อนแอ ดังนั้นมู่เฉินจึงได้พาพวกเขาจากมา พร้อมกับสมบัติครึ่งหนึ่งของตระกูลมู่ พอพบตัวมู่ลั่วฟงจึงได้สนับสนุนเต็มที่”
มู่ชิงเกอหรี่ตาลงทั้งสองข้าง “พูดแบบนี้ นอกจากมู่ลั่วฟงแล้วยังมีผู้รอคัดเลือกอีกหนึ่งคน?”
แม่ทัพมังกรพยักหน้า “น่าจะเป็นเช่นนี้ พวกเขาแบ่งทรัพย์สมบัติออกมาครึ่งหนึ่ง แต่ไม่ได้พาตัวมู่ลั่วฟงกลับตระกูลมู่ นั่นก็แสดงว่าผู้สืบทอดแต่เดิมของพวกเขาก็ยังไม่ยอมถอนตัว”
พูดจบเขาก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้นต่ออีกว่า “ตำแหน่งนายน้อยระกูลมู่ เกิดขึ้นท่ามกลางการแย่งชิงแข่งขัน ทางต่อจากนี้ท่านต้องรับมืออย่างระมัดระวัง แล้ว”
มู่ชิงเกอนิ่งเงียบไปไม่ตอบ
นางเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้ไม่ได้เพื่อตำแหน่งนายน้อยตระกูลมู่อะไรนั่นอยู่แล้ว นางทำเพื่อเคล็ดวิชาเทวะ ดังนั้นแม้ว่าจะไม่มีผู้คัดเลือกคนอื่น นางคิดจะทำเช่นไรก็ยังคงจะทำเช่นนั้น มีบรรดาผู้รอคัดเลือกพวกนี้นางเองก็เดินตามจังหวะของตนเอง
ครั้งนี้ไม่เห็นผู้คัดเลือกอีกหนึ่งคน ก็หมายความว่าพวกเขาไม่ได้เบาะแสจากเผ่าอี๋
“เช่นนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าถิ่นฐานของมู่ลั่วฟงอยู่ที่ไหน?” มู ชิงเกอเอ่ยถาม
แม่ทัพมังกรส่ายหน้า “ข้าย่อมไม่รู้ รู้แค่ว่าเพื่อฝึกสอนมู่ลั่วฟง พวกเขาเลือกสภาพแวดล้อมที่ดีมาก ให้เขาฝึกพลังยุทธ์อยู่ในนั้นต่อเนื่อง
“นั่นไม่เท่ากับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาร่องรอยของพวกเขา?” เซวี่ยนขุยขมวดคิ้วกล่าว
มู่ชิงเกอกลับยิ้มขึ้นนิ่งๆ “ไม่รีบร้อน เสวี่ยหยากับเซวี่ยนหย่าอยู่กับข้า ขอเพียงพวกเขานึกถึงเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลาง ก็จะปรากฏตัวออกมาเอง ไม่ต้องเปลืองเวลาและแรงกายไปตามหาเขา เขาย่อมมาหาเราเอง”
ทุกคนได้ฟังดังนั้นก็พากันพยักหน้า
“นายน้อย พวกเรายังคงเดินตามแผนเดิมไหม?” เสวี่ยหยาเอ่ยถาม
มู่ชิงเกอพยักหน้า “คาดว่าวันนี้คงไปไม่ได้แล้ว เช้าวันพรุ่งนี้พวกเราก็ค่อยออกเดินทาง”
วันที่สอง ขณะที่มู่ชิงเกอรับอาหารเช้าเสร็จแล้ว เสวี่ยหยาก็กลับมาบอกว่า ประตูเมืองและประตูมิติเปิดใช้งานได้ตามปกติ นางเลือกประตูมิติที่มุ่งหน้าไปยังเมืองอูอิ๋น เมืองหลักของเขตภาคตะวันตก
เก็บของเสร็จแล้ว มู่ชิงเกอก็พาทั้งหมดเดินทางออกจากโรงเตี๊ยม มุ่งหน้าไปทางประตูมิติเมืองอูอิ๋น
ทว่าบนทางที่ไปประตูมิติ พวกเขากกลับได้พบคนผู้หนึ่งโดยไม่คาดฝัน
“คุณหนูซู” มู่ชิงเกอมองดูหญิงสาวตรงหน้าอย่างประหลาดใจเล็กน้อย ราวกับว่านางรออยู่ตรงนี้มาสักระยะหนึ่งแล้ว
“คุณชายมู่” ซูหนวนหน่วนก้มศีรษะให้เล็กน้อย นางกวาดสายตามองผู้ที่ยืนอยู่ข้างหลังมู่ชิงเกอ เมื่อเห็นเสวี่ยหยา เซวี่ยนหย่าและฮวาเยวี่ยแล้วสายตาของนางก็ เปลี่ยนไป
ราวกับว่านางคิดไม่ถึงว่าข้างกายมู่ชิงเกอจะมีสาวงามสามนางนี้เคียงข้าง
รูปโฉมของนางเมื่อมาอยู่ต่อหน้าสามคนนี้แล้ว ก็ไม่มีค่าให้เอ่ยถึง
ซูหนวนหน่วนสมเพชตนเองอยู่ในใจ ‘มีสาวงามเช่นนี้เคียงข้าง มู่ชิงเกอจะรังแกตนเองได้อย่างไร? หัวขโมยตัวจริงนั่นเรียกได้ว่ามีเจตนาชั่วร้าย’
“คุณชายมู่กำลังจะเดินทางออกจากเมืองอันม๋อเฉิงใช่ไหม?” ซูหนวนหน่วนเอ่ยถาม
มู่ชิงเกอพยักหน้า “ข้ากำลังไปจากเมืองอันอันม๋อเฉิง คุณหนูซูมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ หรือว่าข้ายังอธิบายเรื่องราวไม่ชัดเจน ไม่สามารถจากไปได้?”
“ไม่ใช่เช่นนั้น ท่านอธิบายได้ชัดเจนแล้ว” ซูหนวนหน่วนส่ายหน้าพลางเอ่ยขึ้น
นางกัดริมฝีปาก มองหน้ามูชิงเกอแล้วเอ่ยว่า “เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ข้าไม่อาจอยู่ที่เมืองอันม๋อเฉิงได้อีก คนที่ใส่ร้ายคุณชายมู่คิดว่าคุณชายมู่เองคงไม่ปล่อยเขาแน่ๆ ข้าเลยอยากไปพร้อมกับคุณชายมู่ ตามหาคนผู้นั้น สังหารเขาด้วยมือตนเอง!”
ซูหนวนหน่วนพูดจบ ในแววตาก็ปรากฏรังสีสังหารเยือกเย็นลอยขึ้นมา
“เจ้าจะเดินทางไปกับข้า?” มู่ชิงเกอเอ่ยด้วยความแปลก ใจ
ซูหนวนหน่วนพยักหน้า
นางหยิบม้วนภาพวาดว่างเปล่าออกมาม้วนหนึ่ง ยื่นไปตรงหน้ามู่ชิงเกอ เอ่ยขอร้องขึ้นว่า “รบกวนคุณชายมู่ ช่วยวาดรูปร่างหน้าตาของหัวขโมยผู้นั้นออกมาให้ข้า ข้าจะนำไปประกาศในกองกำลังหลิวเค่อ ตามหาร่องรอยของเขา”
มู่ชิงเกอรับม้วนภาพวาดมา ส่งต่อให้กับเสวี่ยหยา
เสวี่ยหยาเข้าใจ เดินไปอีกด้านหนึ่งทันที หยิบพู่กันขึ้นมา วาดภาพลงไป
มู่ชิงเกอเอ่ยกับซูหนวนหน่วนว่า “คุณหนูซู จิตใจของเจ้า ข้าเข้าใจดี แต่ว่าการที่เจ้าไปกับข้าออกจะไม่ค่อยสะดวก”
“ข้าไม่ไปรบกวนเจ้า เจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องมาดูแลข้า ขอเพียงให้ข้าไปด้วยก็พอ” ซูหนวนหน่วนยืนกรานหนักแน่น
มู่ชิงเกอยิ้มอย่างจนปัญญา เอ่ยว่า “ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น บางครั้งข้างกายข้าอาจมีอันตรายบางอย่างที่เกิดขึ้นโดยยากที่จะคาดเดา เจ้าตามพวกเราไปบางที อาจติดร่างแหไปด้วย อีกอย่างการที่เจ้าจะตามหาตัวมู่ลั่วฟงไม่จำเป็นต้องติดตามข้า ตอนนี้ข้าเองก็ไม่มีเวลาว่างที่จะไปตามหาเขา”
ซูหนวนหน่วนเงยหน้าขึ้น มองจ้องหน้ามู่ชิงเกอ
ความดื้อรั้นในแววตาทำเอาคนยากที่จะประนีประนอม
มู่ชิงเกอถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้ารับปากเจ้าว่ารอให้ข้าจับตัวมู่ลั่วฟงได้จะพาเขามาอยู่ต่อหน้าเจ้าอย่างแน่นอน ให้เจ้าลงมือจัดการเอง เช่น นี้เป็นอย่างไร?”
ซูหนวนหน่วนเงียบลงไปครู่หนึ่ง
เมื่อเสวี่ยหยาเดินนำภาพเหมือนของมู่ลั่วฟงที่วาดบนม้วนภาพวาดมา ซูหนวนหน่วนมองม้วนภาพวาดในมือของนางแล้วเอ่ยขึ้นนิ่งๆ “ในเมื่อคุณชายมู่ลำบากใจ ข้าก็ไม่ไปบังคับ”
นางรับม้วนภาพวาดจากเสวี่ยหยามากางดู
เมื่อภาพวาดใบหน้าของมู่ลั่วฟงปรากฏสู่สายตานาง ส่วนลึกในตาของนางก็ถูกความเคียดแค้นบดบัง ต้องยอมรับเลยว่าภาพวาดของเสวี่ยหยานั้นเสมือนจริง มาก จับองค์ประกอบเค้าโครงของมู่ลั่วฟงได้ครบล้วน ความเหลาะแหละบริเวณหว่างคิ้วนั้นแทบจะทำให้ซูหนวนหน่วนยืนยันได้ในครั้งแรกที่เห็นเลยว่า คนๆ นี้ถึงจะเป็นผู้ที่ข่มเหงรังแกนาง!
นางสูดลมหายใจเข้าลึก เก็บม้วนภาพวาดไว้เป็นอย่างดี แล้วจึงเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ขอบคุณมาก”
“คุณหนูซูต้องขออภัยที่ข้าต้องเอ่ยตรงๆ ว่าเจ้าไม่ใช่คู่ต่อผู้ของเขา และข้างกายเขาก็มียอดฝีมือผู้เยี่ยมยุทธ์ คอยคุ้มกันอยู่มากมาย หากไม่ได้วางแผนให้ครอบคลุม รอบคอบ อย่าได้เสี่ยงดำเนินการ” มู่ชิงเกอเอ่ยเตือนหนึ่งประโยค
ซูหนวนหน่วนพยักหน้า “ขอบคุณคุณชายมู่ที่กล่าวเตือน หลังจากนี้ข้าจะไปทิ้งช่องทางการติดต่อไว้ที่กองกำลังหลิวเค่อ หากท่านตามหาร่องรอยของเขาได้ก่อนขอได้โปรดแจ้งข้า เช่นเดียวกันหากว่าข้าพบเขาก่อนก็จะแจ้งให้คุณชายมู่ทราบทันที”
พูดจบนางก็หันหลังจากไปเดินเข้าไปในประตูมิติ
“นายน้อย ประตูมิติทางนั้นมุ่งหน้าไปเขตภาคเหนือ” เสวี่ยหยาเอ่ยเบาๆ ข้างกายมู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย พาทุกคนเดินตรงไปที่ประตูมิติเมืองอู๋อิ๋น
เมืองอู๋อิ๋น เมืองหลักเขตภาคตะวันตก ตั้งอยู่บนพื้นที่เวิ้งว้างกึ่งกลางของเขตภาคตะวันตก
มู่ชิงเกอรู้จักที่จะฉลาดขึ้นมาบ้างแล้ว เมื่อถึงแต่ละทวีป ก็ไปที่เมืองหลักเสียก่อน เข้าใจสถานการณ์ชัดเจนแล้ว ค่อยดำเนินการขั้นต่อไป หลีกเลี่ยงการปะทะกันวุ่นวาย เช่นแมลงวันไรหัว
“ทำเนียบชิงอิงแก้ไขข้อมูลใหม่แล้ว”
“ทำเนียบชิงอิงแก้ไขข้อมูลใหม่แล้ว!”
“มีชื่อคนใหม่ติดทำเนียบ!”
ขณะที่มู่ชิงเกอพาเซวี่ยนขุย เสวี่ยหยาและฮวาเยวี่ยเดินออกมาจากประตูมิติมาอยู่บนทางเดินในเมืองอู๋อิ๋น ก็ได้ยินเสียงป่าวประกาศแว่วมาไม่รู้เสียงใครต่อเสียงใคร ส่วนแม่ทัพมังกรหลังจากที่ส่งพวกเขาแล้ว ก็เข้าไปในประตูมิติกลับไปที่เขตภาคใต้ เข้าทะเลแห่งทุกข์ผ่านเขตภาคใต้ กลับไปที่เกาะตูเล่อ
“ทำเนียบชิงอิงแก้ไขข้อมูลใหม่แล้ว?” ข่าวนี้ทำเอามู่ชิงเกอเลิกคิ้ว
นางจำได้ว่าหานฉายไฉ่เคยบอกไว้ว่าทำเนียบชิงอิงแก้ไขข้อมูลใหม่ในครั้งนี้ เขาติดอันดับอย่างแน่นอน ตอนนี้ทำเนียบชิงอิงได้แก้ไขข้อมูลใหม่แล้ว ก็ไม่รู้ว่าเจ้านั่นติดอันดับแล้วหรือยัง?
“ไปเถอะ ไปตำหนักเทพก่อน” มู่ชิงเกอเปลี่ยนใจกะทันหัน
คนอื่นย่อมไม่มีความคิดเห็นอะไรในการตัดสินใจของมู่ชิงเกอ พวกเขาล้วนเคารพและปฏิบัติตาม พวกเขาทั้งหลายเดินบนถนนในเมืองอู๋อิ๋น ย่อมเป็นภูมิ ทัศน์ที่สวยงาม
ยังไม่ต้องกล่าวถึงรูปลักษณ์หล่อเหลาทรงภูมิของมู่ชิงเกอ แค่เสวี่ยหยาและเซวี่ยนหย่าที่ยืนขนาบซ้ายขวา ไหนจะฮวาเยวี่ยที่ติดตาม ล้วนทำให้บุรุษจำนวนไม่น้อยส่งสายตาอิจฉาริษยามาให้
ส่วนสตรีที่อยู่บนถนน ก็ส่งสายตามองมู่ชิงเกอเป็นระยะๆ บ้างก็ส่งสายตาลอบมองไปยังใบหน้าสมชายชาตรีของเซวี่ยนขุย
‘ชิงเกอ ข้าอยากออกไป’
‘ลูกพี่ท่านแม่ ข้าก็อยากออกไป’
‘ในเมื่อทุกคนต่างก็อยากออกไป เช่นนั้นก็ให้ข้าออกไปด้วยแล้วกัน’
‘เพ้ย มนุษย์…นายท่าน ข้าเองก็จะออกไปสูดอากาศ’
เมื่อเสียงสุดท้ายเอ่ยออกมา หยินเฉินและไป๋สี่ก็สง เงียบทันที
มีเพียงหยวนหยวนที่ไม่หยุดส่งเสียงร้อง “คุณชายน้อย เบื่อจะแย่อยู่แล้ว ให้คุณชายน้อยออกไป!”
‘เจ้าหยวนหยวนหน้าเหม็นพูดว่าอะไรนะ? เจ้ากล้าพูดว่าพื้นที่ครอบครองของเหมีงเหมิงน้อยผู้นี้น่าเบื่ออย่างนั้นหรือ?’
“ไอหยา! บุรุษที่ดีไม่ทะเลาะกับสตรี หากเจ้าลงมืออีกก็อย่าหาว่าข้ารังแกผู้อ่อนแอกว่าก็แล้วกัน!”
ในห้วงความคิดของมู่ชิงเกอเหมือนว่าวุ่นวายเละเทะ ส่งเสียงดังโหวกเหวก ในดวงตามู่ชิงเกอเป็นประกายดุดัน ส่งเสียงไปว่า “พอได้แล้ว หยุดกันได้แล้ว เมื่อถึงเวลาให้พวกเจ้าออกมาย่อมต้องให้พวกเจ้าออกมา”
“มนุษย์เจ้าเชื่อไหมว่าข้าจะฆ่าเจ้า” เสียงของโห่วแว่วมา
มู่ชิงเกอกลับยิ้มเย็นแล้วเอ่ยว่า “เจ้าอยากฆ่าตัวตาย ข้าก็ไม่ห้าม”
ในที่สุดโห่วก็เงียบไป
“นายน้อย ท่านไม่เป็นอะไรหรือ?” เซวี่ยนหย่าเห็นสีหน้ามู่ชิงเกอไม่สู้ดีจึงเอ่ยถาม
เซวี่ยนขุยเองก็มองมาอย่างประหลาดใจ
“ไม่มีอะไร” มู่ชิงเกอตอบไปส่งๆ
‘ชิงเกอ ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากปรึกษาหารือกับเจ้า’ ทันใดนั้น เสียงของไป๋สี่ก็ดังขึ้นมา
มู่ชิงเกอไม่ได้ขัดขวาง
นางเอ่ยว่า ‘ให้ข้าไปช่วยเจ้าดูองครักษ์เขี้ยวมังกรเถอะ ข้าไม่อยากอยู่ห้องเดียวกับผู้ยิ่งใหญ่นี่จริงๆ!’
ปฏิกิริยาของไป๋สี่ทำเอามู่ชิงเกอแปลกใจขึ้นมาครามครัน “แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน ทำไมวันนี้ถึงได้ขี้ขลาดเช่นนี้ล่ะ? หรือว่าพวกเจ้าเคยมีอะไรไม่ลงรอยกัน?”
‘ใครจะกล้าไม่ลงรอยกับเขา? หาที่ตายหรือ? เขาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ของเหล่าอสูรร้าย ที่มาแข็งแกร่งเกินไป อยู่กับเขาแล้วแม้ว่าจะห่างไกลสักแค่ไหนก็ยังรู้สึกกดดัน มากอยู่ดี เจ้าปล่อยข้าออกไปให้ข้าไปช่วยเจ้าดูแลองครักษ์เขี้ยวมังกรเถอะ’ ไป๋สี่เอ่ยอย่างลำบากใจ
ความกดดันของสายเลือดนั่น ทำเอานางรู้สึกอึดอัด
มู่ชิงเกอเอ่ยดูแคลนขึ้นว่า “เจ้าดูอย่างหยินเฉินสิ สงบนิ่งเช่นนั้น เจ้ากลับกลัวจนมีอาการเช่นนี้”
‘เจ้าไม่รู้ว่าสุนัขจิ้งจอกนั้นกำลังแสร้งทำเป็นสงบนิ่งหรือ? ที่จริงมีผู้ยิ่งใหญ่อยู่ข้างกายเจ้า เรื่องความปลอดภัยของเจ้าก็ไม่มีอะไรต้องกังวล’ ไป๋สี่พยายามพูดโน้มน้าวมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอทบทวนแล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้เขาก็เหมือนกับพวกเจ้านั้นแหละ ต่างก็เป็นสัตว์พันธสัญญาของข้า คงไม่ใช่ว่าพวกเจ้าจะไม่ไปมาหาสู่กันไปตลอดหรอกนะ?”
‘จะไปมาหาสู่ อย่างน้อยก็ต้องรอให้ความโหดเหี้ยมของเขาเบาบางลงเสียหน่อย รอให้พละกำลังข้าขี้นคืนกลับมาแล้วค่อยว่ากัน’ ไป๋สี่พึมพำ
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะตัดสินใจแล้ว” มู่ชิงเกอเอ่ย
มู่ชิงเกอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พยักหน้าตอบตกลง “เอาเถอะ ทางองครักษ์เขี้ยวมังกรต้องการคนช่วยจริงๆ น่ะแหละเจ้าและหยินเฉินพาฮวาเยวี่ยไปด้วยก็แล้วกัน”
“อะไรนะ! ข้าไปพร้อมกับเจ้าสุนัขจิ้งจอกหน้าเหม็นนั่น?” ไป๋สี่ร้องเสียงหลง
มู่ชิงเกอพยักหน้า “เจ้าบอกเองว่าหยินเฉินแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง ในเมื่อพวกเจ้าอยู่ไปต่างก็อึดอัด ก็ไปเสียพร้อมกันไปฝึกฝนองครักษ์เขี้ยวมังกร”
“พาฮวาเยวี่ยไปด้วย แล้วใครจะปรนนิบัติเจ้า?” ไป๋สี่เอ่ย
มู่ชิงเกอไม่มีอะไรจะพูด “ข้าต้องมีคนดูแลมากมายหลายคนหรือ? อีกอย่างความสามารถของฮวาเยวี่ยไม่ใช่มีแค่ด้านการปรนนิบัติดูแล ต่อไปทั้งฮวาเยวี่ยและโย่วเหอข้าจะให้พวกนางสลับกันมาอยู่ข้างกายข้าโดยไม่มีกำหนดเวลาแน่นอน พวกนางสามารถเป็นผู้หาข่าวของข้า”
“เอาเถอะ เจ้าเป็นลูกพี่ ว่าอย่างไรก็ว่าตามกัน” ไป๋สี่เอ่ยประนีประนอม
ที่จริงมู่ชิงเกอเองก็อยากส่งตัวเซวี่ยนขุยไปที่องครักษ์เขี้ยวมังกร ด้วยพรสวรรค์ของเขาแล้วสามารถส่งไปในสถานการณ์ใหญ่ได้แน่นอน แต่ว่านางยังต้องลงมือสั่งสอนอีกสักระยะหนึ่ง รอให้เขาเป็นมือปืนที่มีคุณภาพเสียก่อนค่อยส่งไปรายงานตัวที่องครักษ์เขี้ยวมังกร องครักษ์เขี้ยวมังกรถึงจะเป็นขุมพลังในโลกแห่งยุคกลางของนางอย่างแท้จริง!
ส่วนเสวี่ยหยากับเซวี่ยนหย่านั้นรั้งพวกนางอยู่ข้างกายตนเองก็เพราะว่าแผนที่บนแผ่นหลังของพวกนาง
หลังจากจบการสนทนากับไป๋สี่ในห้วงความคิดแล้ว พวกมู่ชิงเกอก็เดินมาถึงด้านนอกประตูตำหนักเทพเมืองอูอิ๋น ขนาดและลักษณะของตำหนักเทพเมืองอูอิ๋นแทบจะเหมือนกับตำหนักเทพเมืองจินไห่เขตภาคใต้
สิ่งที่เหมือนกันยังมีพลทหารที่ยืนเรียงแถวยาวอยู่แต่ละหน้าประตูใหญ่ของตำหนักเทพ ครั้งนี้มู่ชิงเกอมุ่งตรงไปยังบริเวณทำเนียบชิงอิงและทำเนียบฉูเฟิ่งอย่างคุ้นทาง ไม่นานพวกเขาก็มาถึงลานที่ตั้งป้ายหินทั้งสองไว้ แต่ว่า เวลานี้ด้านบนก็แออัดเต็มไปด้วยฝูงชน ราวกับว่าต่างก็ให้ความสนใจกับการแก้ไขทำเนียบชิงอิง
คนมากมายขนาดนั้น แทรกตัวขึ้นไปไม่ได้แน่
พวกมู่ชิงเกอก็ยืนอยู่ด้านล่างเวที ทำได้เพียงเฝ้ารอ
ตึง! ตึง! ตึง!
เสียงกลองดังขึ้นสามครั้ง สร้างแรงดึงดูดให้ผู้คนสนใจ เวลานี้เองก็มีแสงสีเงินเปล่งออกมาจากแผ่นหิน ท่ามกลางอากาศก็ได้ปรากฏรายชื่อที่แกะสลักไว้บนแผ่นหินอย่างชัดเจน
“ออกมาแล้ว ออกมาแล้ว”
“เร็วเข้า เร็วเข้า เร็วเข้า ดูให้เต็มตา มีกี่รายชื่อที่เกิดการเปลี่ยนแปลง และมีคนใหม่สักกี่คนที่ติดอันดับ”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นรอบด้าน คนที่เบียดอยู่บนเวทีนั้นครางกระหึ่ม ต่างก็เงยหน้าขึ้นมองอักษรสีทองบนท้องฟ้า
พวกมู่ชิงเกอทั้งห้ายืนอยู่ท่ามกลางผู้คน เงยหน้าขึ้นมองด้านบนร่วมกับคนอื่นๆ
อักษรสีทองเรียงแถว แสดงถึงเกียรติยศของทั่วทั้งโลกแห่งยุคกลาง
“ผู้ที่ได้อับดับที่ 100 ในทำเนียบชิงอิงคือกู่เซียนชิว ตระกูลกู่เขตภาคใต้! ผู้ที่ได้อันดับที่ 99 บนทำเนียบชิงอิง…” เสียงแหบพร่าทว่าดุดันแฝงความน่า เกรงขามทะลุขึ้นกลางอากาศ ไล่อ่านรายชื่อบนทำเนียบชิงอิงตามลำดับเริ่มจากรายชื่อข้างท้าย เสียงนั้นก้องกังวานทะลุชั้นเมฆ คนเมืองอูอิ๋นต่างก็ได้ยินแทบจะทุกคน
ส่วนลึกในแววตามูชิงเกอตกใจเล็กน้อย
นางสงสัยอยู่บ้างว่าเป็นผู้ใดที่ป่าวประกาศทำเนียบชิงอิง
‘เป็นคนของตำหนักเทพหรือเปล่านะ’ มู่ชิงเกอลอบเอ่ยขึ้นอยู่ในใจ เพราะถึงอย่างไรสถิติการจัดอันดับบนทำเนียบชิงอิง ก็เป็นตำหนักเทพดำเนินการจนเสร็จสิ้น
“…ผู้ที่ได้อันดับที่ 87 คือหานฉายไฉ่ ตระกูลหานเขตภาคเหนือ! ผู้ที่ได้ลำดับที่ 86…”
ได้ยินรายชื่อที่คุ้นเคย ส่วนลึกในแววตานางก็เป็นประกาย มุมปากก็ยกยิ้มที่ดูเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม คิดไม่ถึงเลยว่าหานฉายไฉ่จะติดอันดับที่ 87 คาดว่าเวลานี้เขาคงไม่ได้เฉลิมฉลองด้วยความยินดีเบิกบานใจ แต่กลับโกรธจนแทบเต้นมากกว่า มู่ชิงเกอเข้าใจถึงคนเจ้าเล่ห์ผู้นั้นดี อันดับที่ 87 บนทำเนียบชิงอิงไม่ใช่เป้าหมายของเขา
มู่ชิงเกอเอ่ยหยอกล้ออยู่ในใจ อดไม่ได้ที่จะนำตนเองไปเทียบกับอันดับของหานฉายไฉ่
บัดนี้นางทะลวงถึงระดับพลังชั้นสีเงินแล้ว หากไปสู้กับหานฉายไฉ่ แพ้ชนะยากที่จะคาดเดา
แต่ว่า นางก็รู้สึกพลังของหานฉายไฉ่ไม่หยุดอยู่ที่อันดับที่ 87 อย่างแน่นอน ควรจะติดอันดับสูงกว่านี้ถึงจะถูก
แบบนี้ดูแล้ว…
สายตามู่ชิงเกอเป็นประกาย นางประเมินพลังของตนเอง ในตอนนี้หากติดอันดับทำเนียบชิงอิงคาดว่าคงอยู่ระดับกลางๆ ค่อนไปท้าย
การประเมินเช่นนี้ทำให้นางเข้าใจพลังของตนเองอย่างชัดเจน ไม่ได้ทะนงตน
“…ผู้ที่ได้อันดับที่ 30 ในทำเนียบชิงอิง จิงฟ่งอวี่ ตระกูลจิงเขตภาคกลาง…”
เสียงนั้นก็ขานรายชื่อที่มู่ชิงเกอคุ้นเคยขึ้นมาอีกหนึ่งคน
‘จิงฟ่งอวี่?’ มู่ชิงเกอรู้สึกคาดไม่ถึงอยู่บ้าง นางจำได้ว่าก่อนหน้านี้ไม่นานที่พบจิงฟ่งอวี่ที่เมืองจินไห่เขตภาคใต้ เขายังอยู่อันดับที่ยี่สิบกว่าบนทำเนียบชิงอิงอยู่เลย คิดไม่ถึงว่าวันนี้กลับตกลงมาอยู่ที่อันดับ 30?
ผู้ที่เบียดจิงฟ่งอวี่ลงมา มู่ชิงเกอไม่รู้จัก ดังนั้นถึงแม้ว่าได้ยินชื่อแต่นางก็ไม่มีความคิดอะไรมาก
“…ผู้ที่ได้อันดับที่ 5 ในทำเนียบชิงอิง ซีเซียนเสวี่ย ตระกูลซีเขตภาคกลาง! ผู้ที่ได้อันดับที่ 4 ในทำเนียบชิงอิง อิ๋งเจ๋อ ตระกูลอิ๋งเขตภาคตะวันตก! ผู้ที่ได้อันดับที่ 3 ในทำเนียบชิงอิง เหยาชิงไห่ ตระกูลเหยาเขตภาคตะวันออก! ผู้ที่ได้อันดับที่ 2 ในทำเนียบชิงอิง จีเหยาฮั่ว ตระกูลจีเขตภาคเหนือ! ผู้ที่ได้อันดับที่ 1 ในทำเนียบชิง อิงคือเว่ยมั่วลี่ ตระกูลเว่ยเขตภาคเหนือ!”
น้ำเสียงน่าเกรงขาม ค่อยๆ หายไป ท่ามกลางเสียงทอดถอนใจของใครหลายๆ คน มู่ชิงเกอก็ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับผู้ที่ติดห้าอันดับแรกไม่น้อย
รายชื่อห้าอันดับแรกบนทำเนียบชิงอิงในครั้งนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ยังคงเป็นห้าคนนี้ที่เกาะไว้เหนียวแน่น รายชื่อบนทำเนียบชิงอิงเปลี่ยนทุกสามปี พวกเขาครองตำแหน่งมาสองสมัยแล้ว ครั้งนี้เป็นสมัยที่สาม
หลังจากประกาศรายชื่อบนทำเนียบชิงอิงจบสิ้น ผู้คนที่เบียดเสียดกันบนเวทีก็ค่อยๆ สลายตัวแยกย้ายกันไป
มู่ชิงเกอไม่ได้เดินจากไป แต่เดินขึ้นไปบนเวทีมุ่งหน้าไป ที่ทำเนียบฉู่เฟิ่ง นางจำได้ที่หานฉายไฉ่เคยพูดว่าตระกูลซางมีบุตรสาวคนหนึ่ง เหมือนว่าจะติดอันดับในทำเนียบฉู่เฟิ่ง อยู่ที่อันดับ 126
มู่ชิงเกอยืนอยู่ด้านหน้าทำเนียบฉู่เฟิ่ง เสวี่ยหยาและคนอื่นๆ อยู่ห่างจากนางออกไปช่วงหนึ่ง พวกเขาไม่ได้เบียดมาอยู่ข้างมู่ชิงเกอ และข้างๆ มู่ชิงเกอก็มีสตรีรูปร่างผอมบางผู้หนึ่งยืนอยู่
นางสวมชุดอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ชายกระโปรงย้อมด้วยสีอ่อน ท่าทีสง่างามสูงส่ง เพียงแค่ด้านหลังก็ทำให้ผู้คนหลงใหล
ถึงอย่างนั้น มู่ชิงเกอก็ไม่ได้สังเกตข้างกาย ส่วนหญิงสาวผู้นั้นก็ไม่ได้สังเกตว่าข้างกายมีคนเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
พวกนางทั้งสองมองไปยังตำแหน่งหนึ่งบนทำเนียบชิงอิง พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
‘ลำดับที่ 126…’ มู่ชิงเกอหาอันดับที่ 126 ทว่า ตรงนั้นไม่ได้สลักแซ่ซางเอาไว้
มู่ชิงเกอใจสั่นน้อยๆ สายตาค่อยๆ เลื่อนหาข้างบนช้าๆ ในที่สุดตรงลำดับที่ 97 ก็เห็นชื่อแถวหนึ่ง ซางเสวี่ยอู่ ตระกูลซางเมืองฝูซา ระดับพลังชั้นสีเทาขั้นห้า
“เมืองฝูซา” มู่ชิงเกอสังเกตชื่อเมืองที่เป็นของหญิงสาวตระกูลซางนี้
เสียงพึมพำแผ่วเบาของนางราวกับเรียกความสนใจจากหญิงสาวข้างกายจนต้องส่งสายตามองมาที่นาง ราวกับรับรู้ใจกัน ประสานสายตาค้างอยู่กลางอากาศ ต่างก็มีท่าทีตะลึง…