Skip to content

พลิกปฐพี 259

ตอนที่ 259

มุ่งหน้าสู่สถานที่จัดงานล่าสัตว์

“คุณหนูซาง นี่เป็นโอสถจักรพรรดิของท่าน คุณหนูซาง?”

ผู้ดูแลหอสรรพสิ่งภายในเมืองอูอิ๋นนำกล่องยากล่องหนึ่ง ยื่นออกมา เดินไปถึงตรงหน้าของซางเสวี่ยอู่แล้วเอ่ยเรียกขึ้น แต่กลับไม่เห็นนางตอบรับ

เขามองไปยังสาวงามอันดับหนึ่งแห่งภาคตะวันตกอย่างแปลกใจ เห็นนางมีท่าทางดูเหม่อลอย ดูเหมือนว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ทั้งยังดูเหมือนว่าจิตใจไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัว ดูเหมือนมีเรื่องในใจ

เขาทำได้เพียงร้องเรียกออกไปอีกครั้งอย่างหมดทางเลือก “คุณหนูซาง โอสถจักรพรรดินี่เป็นสิ่งที่ผู้ประมูลแผนที่ภาคตะวันตกไปส่งมาให้ทางหอสรรพสิ่งของพวก เราได้ตรวจสอบแล้วเป็นโอสถจักรพรรดิของจริง”

เขายื่นกล่องยาส่งไปตรงหน้าของซางเสวี่ยอู่

ในที่สุด ซางเสวี่ยอู่ก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง นางยื่นมือออกไปรับโอสถจักรพรรดิตรงหน้าของตนเอง มองครู่หนึ่งแล้วก็เก็บเข้าไปในกำไลข้อมือจัดเก็บของตนเอง แล้วก็เอ่ยว่า “ขอบคุณ”

ผู้ดูแลหอสรรพสิ่งเอ่ยเตือนอย่างแปลกใจว่า “คุณหนูซางไม่ตรวจดูหน่อยหรือ?”

ซางเสวี่ยอู่ยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า”ข้าเชื่อใจหอสรรพสิ่ง”

ผู้ดูแลพยักหน้ายิ้มกว้าง เอ่ยว่า “คุณหนูซางวางใจเถอะ โอสถจักรพรรดิเม็ดนี้เป็นของหาได้ยาก เป็นถึงโอสถในขอบเขตขั้นสมบูรณ์ ไม่มีตำหนิเลยแม้แต่น้อย”

“ระดับสมบูรณ์!” ซางเสวี่ยอู่ลอบตกตะลึงภายในใจ

ถึงแม้ว่านางจะไม่เข้าใจเรื่องโอสถ แต่ก็รู้ว่าโอสถระดับสมบูรณ์นั้นหาได้ยากยิ่ง

ผู้ดูแลพยักหน้า เอ่ยถามว่า “คุณหนูซางยังต้องการอะไรอีกหรือไม่?”

ซางเสวี่ยอู่คิดครู่หนึ่งแล้วก็ใช้พลังจิตวาดเป็นอักษรขึ้นตรงหน้าของผู้ดูแล “รบกวนสอบถามว่าหอสรรพสิ่งมีวัตถุดิบยาเหล่านี้หรือไม่?”

ผู้ดูแลดูอย่างละเอียด หลังจากที่ตัวอักษรหายไปแล้ว ก็ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “วัตถุดิบยาเหล่านี้ล้วนแต่เกี่ยวกับการยื้อชีวิต”

เขามองดูซางเสวี่ยอู่ แต่ซางเสวี่ยอู่ก็ไม่ได้อธิบาย

เงียบไปครู่หนึ่ง เขาถึงเอ่ยว่า “วัตถุดิบยาที่คุณหนูซางต้องการเหล่านี้ หอสรรพสิ่งมีส่วนหนึ่ง มีอีกส่วนที่ไม่มี ถ้าหากว่าคุณหนูซางต้องการด่วน ไม่สู้ไปกลุ่มของเหล่าหลิวเค่อสักครั้ง”

“ขอบคุณมาก เช่นนั้นรบกวนเตรียมวัตถุดิบยาที่ทางหอสรรพสิ่งมีให้ข้าด้วยสองชุด” ซางเสวี่ยอู่เอ่ย

ผู้ดูแลเอ่ยด้วยความรู้สึกลำบากใจว่า “คุณหนูซาง วัตถุดิบยาเหล่านี้มีค่าไม่ธรรมดา ทั้งท่านยังต้องการสองชุด นี่…”

ความกังวลของผู้ดูแล ทำให้ซางเสวี่ยอู่ขบริมฝีปาก เอ่ยในทันทีว่า “ผู้ดูแลไม่ต้องเป็นกังวล ตระกูลซางของข้าร่วมมือกับหอสรรพสิ่งมาช้านาน หากว่าข้าเอาศิลา วิญญาณออกมาให้ไม่พอ ผู้ดูแลก็สามารถหักค่านายหน้าจากตระกูลซางได้เลย”

ผู้ดูแลหอสรรพสิ่งยิ้มๆ เอ่ยอย่างเห็นด้วยว่า “ใช่ ใช่”

แต่เขาก็เอ่ยขึ้นอย่างลังเลในทันใดว่า “คุณหนูซาง เพียงแต่ว่าท่านสามารถใช้ทรัพย์สินของตระกูลซางได้อย่างนั้นหรือ?”

สีหน้าของซางเสวี่ยอู่มืดทะมึนลง “ท่านวางใจเถอะ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นข้าจะรับผิดชอบเอง”

เห็นนางพูดเช่นนี้ ผู้ดูแลหอสรรพสิ่งก็ไม่ได้พูดมากอีก ซางเสวี่ยอู่เอ่ยกับเขาว่า “หากว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว เช่นนั้นขอให้ผู้ดูแลช่วยเตรียมวัตถุดิบยาที่ข้าต้องการให้ด้วย”

“คุณหนูซางรอสักครู่’’ ผู้ดูแลถอยออกไป ทิ้งซางเสวี่ยอู่ไว้คนเดียว

ขณะอยู่คนเดียว ท่าทีของซางเสวี่ยอู่ก็กลับไปสู่อารมณ์ใจลอยอีกครั้ง เรื่องในใจยังคงหาทางแก้ไม่ได้

ออกมาจากหอสรรพสิ่ง ซางเสวี่ยอู่เดินมุ่งตรงไปที่กลุ่มของเหล่าหลิวเค่อ

ระหว่างทาง สายตาของนางมองค้นหาไปในหมู่คนไม่หยุด แต่ก็ไม่ได้ ‘บังเอิญ’ มองเห็นคนที่คิดอยู่ในใจอีก

‘มู่ชิงเกอ เจ้าใช่มู่ชิงเกอที่ข้าคิดคนนั้นหรือไม่?’ ซางเสวี่ยอู่เอ่ยถามตัวเองไม่หยุด แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบเสียที

ซางเสวี่ยอู่เข้าไปสู่ห้องโถงใหญ่ของเหล่าหลิวเค่อ แต่ที่นี่กลับมีคนน้อยอย่างคาดไม่ถึง

นางเดินไปถึงด้านหน้าของช่องบริการ เอ่ยปากถามว่า “เหตุใดจึงไม่มีคนเลย?”

ผู้ต้อนรับกลุ่มของหลิวเค่อเงยหน้ามองขึ้นมา ในตอนที่มองเห็นซางเสวี่ยอู่นั้น ก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นถึงได้เอ่ยถามว่า “แม่นางต้องการประกาศ ภารกิจหรือว่าอะไร?”

“ข้าต้องการหาวัตถุดิบยา แต่เหตุใดวันนี้ถึงไม่มีคนเลย?” ซางเสวี่ยอู่เอ่ยอย่างประหลาดใจ

“อา กองกำลังส่วนมากล้วนแต่ไปร่วมงานล่าสัตว์ แม่นางต้องการหาวัตถุดิบยาอะไร? ถ้าหากว่าท่านรีบแล้วละก็ ไม่สู้ไปงานล่าสัตว์ใหญ่เผื่อโชคดี” ผู้มารับรองเอ่ยแนะนำ

“งานล่าสัตว์จะเริ่มแล้วหรือ? ในความทรงจำของข้า ดูเหมือนว่างานล่าสัตว์ครั้งก่อนของหลิวเค่อที่เพิ่งจบไปไม่นานเท่าไหร่” ซางเสวี่ยอู่เอ่ยขึ้นอย่างสงสัย

ผู้ต้อนรับอธิบายว่า “อา งานล่าสัตว์ครั้งนี้ที่จัดก่อน เพราะว่าภายในกลุ่มของพวกเราเหล่าหลิวเค่อ มีม้ามืดที่ร้ายกาจปรากฏกายออกมา เพียงเวลาสั้นๆ แค่ครึ่งปีก็ พัฒนาจากไม่มีระดับขึ้นมาสู่ระดับนภาได้ งานล่าสัตว์ในครั้งนี้ก็จัดขึ้นเพื่อพวกเขา และก็เป็นศึกแรกของพวกเขาหลังจากที่เข้าสู่ระดับนภา ดังนั้นจึงดึงดูดผู้คนมากมายให้ไปดู”

“กองกำลังหลิวเค่อระดับนภากลุ่มใหม่งั้นหรือ? เช่นนั้นก็แปลว่าตอนนี้กองกำลังหลิวเค่อระดับนภานั้นมีสี่กลุ่มแล้ว?” ซางเสวี่ยอู่เอ่ยอย่างแปลกใจ ถึงแม้ว่านาง จะไม่ใช่หลิวเค่อ แต่ก็เข้าใจดีว่าการเลื่อนระดับของหลิวเค่อนั้นยากมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาจากไม่มีระดับขึ้นมาสู่ระดับนภาภายในเวลาครึ่งปี

ผู้ต้อนรับกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “ใช่แล้ว ตอนนี้กองกำลังหลิวเค่อระดับนภานั้นมีสี่กลุ่ม แบ่งเป็นกลืนจันทร์ ร้อยอัคคี ยักษ์วิถี แล้วก็ยังมีกองกำลังที่ถูกจับตาจ้อง มองมากที่สุด สร้างตำนานในโลกของหลิวเค่อมานับครั้งไม่ถ้วน ทำลายสถิติที่มีมาทั้งหมดอย่างเขี้ยวมังกร”

“เขี้ยวมังกร!” ซางเสวี่ยอู่ทวนชื่อนี้ออกมาอีกครั้ง

ผู้ต้อนรับก็เหมือนกับว่าได้เปิดแผ่นเสียงขึ้นมา เอ่ยเล่าให้นางฟังต่อว่า “พูดถึงเขี้ยวมังกรนั้น ตอนนี้ภายในโลกของหลิวเค่อก็ไม่มีใครไม่รู้จัก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีเพียงห้าร้อยคน แต่ก็มีความพร้อมเพรียงกันมาก อัตราความสำเร็จของภารกิจก็เต็มร้อย มีระเบียบวินัยและเที่ยงตรง แม่นางไม่รู้ว่าตอนนี้มีคนมากมายแค่ไหนที่ส่งใบสมัครไปที่เขี้ยวมังกร แต่ก็ล้วนต้องผิดหวังกลับมา แล้วก็มีคนมากมายที่เสนอเงินทองจำนวนมากหวังจะจ้างงานให้เขี้ยวมังกรทำงานให้ แต่ก็ล้วนแต่ไม่อาจสมปรารถนา”

“เพราะเหตุใดกัน?” ซางเสวี่ยอู่ค่อยๆ แปลกใจขึ้นมา

ผู้ต้อนรับสั่นศีรษะแล้วเอ่ยอย่างได้ใจว่า”นั่นเป็นเพราะว่าเขี้ยวมังกรไม่รับคนนอก แม้ว่าจะแค่ร่วมงานเฉยๆ ก็ไม่เอา พูดกันว่า เคยมียอดฝีมือระดับสีเทาชั้นสอง ชั้นสามไปสมัคร แต่ก็ถูกพวกเขาไล่ออกมา เหอะ เหอะ ภายในโลกของหลิวเค่อ เกรงว่าคงมีแต่เขี้ยวมังกรเท่านั้นที่มีความกล้าเช่นนี้ เขี้ยวมังกรรับภารกิจก็เลือก ถ้าหากพวกเขาคิดว่าไม่เหมาะสม พวกเขาก็จะไม่ยอมเอาเงินและก็จะไม่ทำ”

“หากเป็นเช่นที่กล่าวมานี้ พวกเขาเพียงแต่เลือกเฉพาะภารกิจที่พวกเขาสามารถทำได้เท่านั้น แน่นอนว่าอัตราความสำเร็จต้องเป็นเต็มร้อยอยู่แล้ว” ซางเสวี่ยอู่ขมวด คิ้วเอ่ย

“แม่นางเข้าใจผิดแล้ว” ผู้ต้อนรับดูเหมือนว่าจะเป็น แฟนคลับของเขี้ยวมังกร เมื่อได้ยินว่าซางเสวี่ยอู่สงสัยก็อธิบายในทันที “เขี้ยวมังกรรับภารกิจไม่ได้มองว่าง่าย ดาย แต่ดูจากอารมณ์ของพวกเขา ภารกิจมากมายที่พวกเขาปฏิเสธล้วนแต่ง่ายดายมาก ส่วนภารกิจส่วนมากที่พวกเขารับก็ล้วนแต่เป็นภารกิจที่มีความยากสูง หรือที่ไม่มีใครทำสำเร็จมาหลายปี”

“หากเป็นตามที่เจ้าพูดมา การกระทำเรื่องราวของเขี้ยวมังกรนั้นก็ไม่เหมือนกับผู้อื่น เช่นนี้ก็ไม่ง่ายดายที่จะถูกโดดเดี่ยวหรอกรึ?” ซางเสวี่ยอู่เอ่ย

ผู้ต้อนรับพยักหน้าเห็นด้วย ถอนหายใจเอ่ยว่า “ใช่แล้ว! ถึงแม้ว่าเขี้ยวมังกรจะหยิ่งทะนง ข้าต้องการจะทำก็ทำ จะหยุดก็หยุด แต่ก็มีความสามารถจริงๆ แต่ว่าที่ถูกคนมองอย่างไม่พอใจนั้นก็มาก มีคนจำนวนไม่น้อยที่ลอบพูดคุยกันว่าจะสั่งสอนเขี้ยวมังกรในงานล่าสัตว์ครั้งนี้ ดังนั้นงานล่าสัตว์ครั้งนี้ เกรงว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ ที่น่าตื่นเต้นครั้งหนึ่งทีเดียว หากไม่ใช่ว่าข้าต้องเฝ้าอยู่ที่นี่แล้วละก็ ข้าก็จะไปดูความคึกคักนี้ตั้งนานแล้ว”

ฟังคำพูดของเขาจบแล้ว ซางเสวี่ยอู่ก็เอ่ย “ขอบคุณ”

จากนั้นก็หันกายจากไป

ผู้ต้อนรับของกลุ่มเหล่าหลิวเค่อไม่คิดว่านางพูดว่าไป แล้วก็จะไปเลยเช่นนี้รีบร้องว่า “อา ภารกิจของท่านจะประกาศหรือไม่?”

“ไม่ต้องแล้ว” เสียงของซางเสวี่ยอู่ลอยพลิ้วมาจากด้านนอก

นางเดินออกจากกลุ่มของเหล่าหลิวเค่อ ยืนอยู่บนถนน กวาดสายตามองไปในกลุ่มคนรอบกาย นางไม่มีเวลาที่จะอยู่ในเมืองอู๋อิ๋นต่อ ต้องรีบหาสถานที่จัดงานล่าสัตว์ รีบรักษาเวลารวบรวบวัตถุดิบยาที่ต้องการทั้งหมดให้ได้

หลังจากกวาดตามองไปหลายรอบแล้วก็รู้สึกผิดหวัง ในที่สุดนัยน์ตาของซางเสวี่ยอู่ก็มืดมนลง เอ่ยอย่างเสียใจขึ้นในใจว่า “หากว่าเจ้าเป็นคนที่ข้าคิดจริงๆ พวก

เราจะต้องได้พบกันอีกอย่างแน่นอน!

เมื่อในใจได้ตัดสินใจแล้ว ซางเสวี่ยอู่ก็เดินไปทางประตูมิติภายในเมือง

นางเพิ่งจะจากไปไม่ถึงหนึ่งเค่อ มู่ชิงเกอตัวคนเดียวก็เดินมาถึงกลุ่มของเหล่าหลิวเค่อ เดินเข้าไปในห้องโถง

ผู้ต้อนรับที่ต้อนรับซางเสวี่ยอู่ เมื่อมองเห็นมู่ชิงเกอเดินเข้ามา ก็ชะงักไปอีกครั้ง สติหลุดไปอย่างยาวนาน เขาไม่คิดว่า ภายในวันเดียว เขากลับได้เห็นคนที่มีรูปโฉมโดดเด่นงดงามดุจมาจากสวรรค์ถึงสองคน เมื่อครู่นางฟ้าชุดขาวผู้นั้นก็ทำให้เขาเพียงได้เห็นก็ไม่อาจลืมแล้ว ตอนนี้ก็มีคุณชายชุดแดงเดินเข้ามาอีก ทำให้ต้องสะดุดกับความงามของเขาอีกครั้ง และก็ยิ่งทำให้เขาลืมการคงอยู่ของตัวเองไป

“เหตุใดคนถึงน้อยขนาดนี้?” มู่ชิงเกอเข้ามาในห้องโถงของเหล่าหลิวเค่อ และก็ถามคำถามที่ซางเสวี่ยอู่เคยถามไปก่อนหน้า

มู่ชิงเกอกวาดสายตามองไปรอบด้านรอบหนึ่ง จากนั้นก็มาตกอยู่ที่ร่างของผู้ต้อนรับที่ยังแข็งค้างอยู่กับที่ นางเดินไปเคาะๆ บนโต๊ะสูง

เสียงเคาะดังขึ้นทำให้ผู้ต้อนรับตื่นขึ้นมาจากอาการตกตะลึง

เขาได้สติกลับคืน เอ่ยถามอย่างติดอ่างว่า “คุณ…คุณ ชายมีอะ…มีอะไรจะสั่ง?”

“เหตุใดคนจึงน้อยขนาดนี้?” มู่ชิงเกอมาที่นี่ก็คิดจะดูสถานการณ์ของเขี้ยวมังกรเสียหน่อย แต่ว่าสถานการณ์กลับทำให้นางสับสน

มีที่ไหนที่กลุ่มของเหล่าหลิวเค่อจะไม่มีคนแน่นขนัดบ้าง? ความเงียบของที่นี่ทำให้คนมีความรู้สึกเหมือนว่ากลุ่มของเหล่าหลิวเค่อกำลังจะปิดตัวลง และก็ปัญหาเดียวกัน ถ้าหากว่าเป็นคนอื่นหรือเป็นผู้ต้อนรับที่เพิ่งจะสูญเสียพลังงานในการบรรยายไปเมื่อครู่ ตอนนี้แน่นอนว่าจะไม่มีความอดทนจะอธิบายซํ้าอีกรอบ แต่ว่า ‘คุณชาย’ ชุดสีแดงที่อยู่ตรงหน้านั้น ดูน่าชมมาก ผู้ต้อนรับอดไม่ได้ที่จะพูดยาวขึ้นเล็กน้อย เพื่อจะได้ชมดูได้นานขึ้นหน่อย

ดังนั้นเขาจึงอธิบายคำที่เคยอธิบายให้แก่ซางเสวี่ยอู่ซํ้าออกมาอีกครั้งให้มู่ชิงเกอฟัง

ในนํ้าเสียง ยังคงดูชื่นชมบูชาเขี้ยวมังกรเช่นเดิม

มู่ชิงเกอคาดไม่ถึงเลยว่าสภาพตอนนี้กลุ่มของเหล่าหลิวเค่อจะเกี่ยวข้องกับองครักษ์เขี้ยวมังกร จึงอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นสูงยามฟังผู้ต้อนรับ พอพูดจบแล้ว นางถึงเอ่ยขึ้นว่า “งานล่าสัตว์ คืออะไร?”

อา…

ผู้ต้อนรับของเหล่าหลิวเค่อชะงัก เขามองมู่ชิงเกออย่างตะลึง ดูเหมือนว่าจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงมีคำถามโง่เง่าเช่นนี้ออกมาจากปากเขา

นัยน์ตาที่ดูดูแคลนนั้นทำให้มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุกเอ่ยถามว่า “อย่างไรกัน? ข้าจำเป็นต้องรู้เองงั้นหรือ?”

“ไม่ ไม่ ไม่…” ผู้ต้อนรับได้สติกลับมา รีบปฏิเสธไป ในใจรีบยกยอ ‘ท่านดูหล่อเหลาขนาดนี้ ทำอะไรก็ไม่ผิดหรอก!’

“คุณชายไม่รู้ก็ไม่ต้องตกใจไป ข้าจะอธิบายให้ท่านเข้าใจเอง” ผู้ต้อนรับอธิบายกับมู่ชิงเกอ “งานล่าสัตว์เป็นพิธีการสำคัญของหลิวเค่อ ตามธรรมดาแล้วจะจัดทุกๆ ห้าปี แต่ว่าในครั้งนี้เพราะว่าการปรากฏตัวของเขี้ยวมังกร จึงจัดก่อนเวลาสองปี สถานที่จัดงานล่าสัตว์ในทุกๆ ครั้งนั้นเหมือนเดิม ล้วนแต่เป็นพื้นที่เชื่อมต่อ ระหว่างภาคตะวันตก ภาคเหนือและภาคกลางบริเวณทุ่งหญ้าอัสดงและเทือกเขาซางหลาน ระยะเวลาในการจัดงานล่าสัตว์ครั้งใหญ่ทุกครั้งก็คือหนึ่งเดือน ภายในหนึ่งเดือนนี้ กองกำลังหลิวเค่อทุกกองล้วนแต่แข่งขันกัน ทุกคนสามารถไปเก็บวัตถุดิบยา ขุดแร่ หรือว่าล่าสัตว์อสูรวิญญาณในทุ่งหญ้าอัสดงและเทือกเขาซางหลานได้ สรุปแล้วก็ดือสามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ทุกอย่าง สุดท้ายจะเอาของที่ได้มาจัดลำดับหนึ่งสองสาม กองกำลังที่สามารถเข้าสู่ลำดับที่หนึ่งสองสามได้ จะได้รับเหรียญตราแห่งเกียรติยศจากกลุ่มของเหล่าหลิวเค่อ ได้รับ ความนับถือภายในโลกของหลิวเค่อ”

มู่ชิงเกอฟังเข้าใจแล้ว งานล่าสัตว์ในครั้งนี้สามารถเข้าใจได้ว่าเป็นการสร้างชื่อในการเข้าร่วมโลกของหลิวเค่ออย่างแท้จริงของเขี้ยวมังกร

ผลลัพธ์จะออกมาดีหรือไม่ดีก็จะส่งผลกระทบต่อพวกเขาในโลกของหลิวเค่อ

โอกาสที่หายากเช่นนี้ดูเหมือนว่านางไม่ควรพลาด!

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหรี่เล็กลง วางแผนการในใจ

ผู้ต้อนรับยังคงพูดต่ออย่างได้อารมณ์ “อีกอย่าง ทุกครั้งที่มีงานล่าสัตว์ครั้งใหญ่ ล้วนแต่จะมีตระกูลใหญ่ๆ จำนวนมากไปชมดู พวกเขาจะลงนามความร่วมมือ ระยะยาวกับกองกำลังที่เข้าตา ขอเพียงได้ลงนามร่วมมือก็สามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเหล่านั้นกับกองกำลังหลิวเค่อ อีกทั้งในระยะยาวก็ไม่ต้องกังวล เรื่องปัญหาการเงินในกองกำลัง”

ภายใต้การอธิบายของผู้ต้อนรับ มู่ชิงเกอก็ได้เข้าใจสถานการณ์คร่าวๆ ของงานล่าสัตว์ครั้งใหญ่แล้ว

นัยน์ตาของนางหวั่นไหว เอ่ยกับผู้ต้อนรับว่า “ขอบคุณที่บอก แต่ว่า ข้ายังอยากรู้ว่า ถ้าหากว่าจะไปสถานที่จัดงานล่าสัตว์ครั้งใหญ่นั้นจะไปได้อย่างไร?”

ผู้ต้อนรับเอ่ยอย่างชัดเจนว่า “ใช้ประตูมิติไปเมืองหลิวหั่วเฉิง จากนั้นเดินทางไม่ถึงพันลี้ก็สามารถไปถึงทุ่งหญ้าอัสดงได้แล้ว อีกไม่ถึงสิบวันงานล่าสัตวครั้งใหญ่ก็จะเริ่มขึ้นแล้ว ตอนนี้มีคนมากมายไปรวมตัวกันอยู่ที่นั่น หากว่าคุณชายอยากจะไปดูความคึกคักก็ต้องรีบไป ไม่กี่วันมานี้เส้นทางไปเมืองหลิวหั่วเฉิงนั้นคึกคักมาก หากไม่มีเวลาสักสองวันก็ยากมากที่จะได้รับสิทธิ์ในการเข้าประตูได้”

มู่ชิงเกอยิ้มๆ หยิบเงินออกมาวางไว้บนโต๊ะสูงของผู้ต้อนรับ หันกายออกจากกลุ่มของเหล่าหลิวเค่อ

“ว้าว ว้าว รูปงามแล้วยังใจกว้างอีก ช่างหายากจริงๆ!” หลังจากมู่ชิงเกอไปแล้ว ผู้ต้อนรับก็หยิบเงินขึ้นมา พิจารณาเล็กน้อยแล้วก็เอ่ยชม

ออกมาจากกลุ่มของเหล่าหลิวเค่อแล้วมู่ชิงเกอก็มุ่งไปยังตำหนักเทพ

นางมาเมืองอูอิ๋นก็เพื่อสืบเรื่องราวเกี่ยวกับตระกูลซาง จากข้อมูลของตำหนักเทพ แต่ว่ากลับได้พบซางเสวี่ยอู่ผู้ที่เป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของตระกูลซางโดยบังเอิญ

ยิ่งได้รู้ว่าตระกูลซางอยู่ในเมืองฝูซา ก็ถือว่าได้ทำภารกิจสำเร็จแล้ว

แต่ก่อนตอนที่อยู่กับซางเสวี่ยอู่ตามลำพัง นางมีโอกาสมากมายที่จะเอ่ยถามหาข่าวคราวของมารดาจากนาง แต่ว่าทุกๆ ครั้งที่คำพูดมาถึงริมฝีปาก นางก็ปล่อยทิ้ง ไปทุกครั้ง

คำตอบที่อยากได้รับมานาน มาตอนนี้ใกล้อยู่แค่ตรงหน้า มู่ชิงเกอกลับรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รีบร้อนสักเท่าไหร่ ถอนสายตากลับแล้วมู่ชิงเกอก็มุ่งหน้าไปยังจุดมุ่งหมาย ทันใดนั้น ข้างกายของนางก็มีแสงไฟวาบขึ้นมา หยวน

หยวนปรากฏตัวอยู่ด้านข้างของนาง

“เจ้าจัดการคนทั้งสามอย่างไรบ้าง?” มู่ชิงเกอไม่ได้รู้สึกเหนือความคาดหมายที่หยวนหยวนปรากฏตัวขึ้น แต่กลับถามออกไปตรงๆ

“ข้าตีพวกเขาไปรอบหนึ่ง แล้วก็ทิ้งไว้ในจุดไม่สะดุดตา รับรองว่าภายในสามวันนี้พวกเขาจะไม่ตื่นขึ้นมา” หยวนหยวนยิ้มหวาน ใบหน้าอันงดงามดูเปล่งประกายเป็นอย่างมาก จุดแดงชาดหว่างคิ้วก็ยิ่งสว่างจ้า

ท่าทางที่ดูร้ายกาจนั้นของเขาทำให้มู่ชิงเกออดยิ้มออกมาไม่ได้

หยวนหยวนถอนรอยยิ้มกลับ ขมวดคิ้วแล้วถามออกไปว่า “ลูกพี่ ถ้าหากว่าไม่คิดจะก่อเรื่องวุ่นวาย เหตุใดจึงไม่ให้พี่หยินเฉินเปลี่ยนความทรงจำของพวกเขาละ?”

เขาจำได้เมื่อครั้งอยู่ที่เมืองหลานอูเฉิง เขาตีนายน้อยไม่เอาไหนของตระกูลมู่แล้ว แล้วหยินเฉินก็จัดการเรื่องให้เขาจนเรียบร้อย

มู่ชิงเกอกลับส่ายหน้าเอ่ยว่า “แม้ว่าจะเปลี่ยนแปลงความทรงจำ ลิ้นของอิ๋งชวนก็ไม่กลับคืนมาแล้ว ตระกูลอิ๋งก็จะยังคงสืบหาเรื่องนี้เช่นเดิม อาศัยสถานะของ ตระกูลอิ๋ง เกรงว่าความสามารถของหยินเฉินอาจจะถูกเปิดโปงได้ ในเมื่อรู้บทสรุปแล้ว ยังจะซ่อนอีกทำไม?”

“เช่นนั้น…ถ้าเกิดว่าคนของตระกูลอิ๋งตามมาละจะทำอย่างไร?” หยวนหยวนเอ่ยอย่างเป็นกังวล ฟังจากคำพูดของมู่ชิงเกอ ก็รู้สึกเหมือนว่าตระกูลอิ๋งนั้นไม่ค่อยน่า ล่วงเกินสักเท่าไหร่

จากนั้นนัยน์ตาของเขาก็ดูเหี้ยมโหดขึ้นมา เอ่ยอย่างแค้นเคืองว่า “ข้าควรจะฆ่าสามคนนั้นเพื่อปิดปาก จะได้ไม่มีพยาน!”

มู่ชิงเกอมองหยวนหยวนด้วยความแปลกใจ อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเอ่ยว่า “มีพัฒนาการแล้วจริงๆ!”

ถูกมู่ชิงเกอชมเชยเช่นนี้ก็ทำให้หยวนหยวนได้ใจขึ้นมาในทันที

แต่ว่ามู่ชิงเกอก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “หากว่าฆ่าอิ๋งชวน เกรงว่าจะทำให้เกิดความแค้นไม่ตายไม่เลิกรากับตระกูลอิ๋งได้ อาศัยกำลังของพวกเราในตอนนี้ ยังไม่เพียงพอที่จะต้านทานตระกูลอิ๋งทั้งตระกูลได้”

นางเองก็คิดจะลงดาบรีบจัดการความแค้นเช่นกัน แต่ก็ไม่สามารถจัดการเด็ดขาดในเวลานี้ได้ เพราะอาจจะทำให้คนที่อยู่รอบข้างของนางตกอยู่ในอันตราย

มู่ชิงเกอถอนหายใจในใจ นางคิดถึงช่วงเวลาที่สบายอยู่เฉยๆ เสียจริง แต่วันเวลาเช่นนั้น นางไม่เคยมีมาก่อนจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นในชีวิตก่อนหรือว่าในชีวิตนี้ ชีวิตของนางก็ต้องอยู่ในภาวะที่ต้องตัดสินใจในการได้รับหรือสูญเสียอยู่ตลอด

ยิ่งเข้าใกล้กับตระกูลซางมากเท่าไหร่ ในใจของนางก็ยิ่งนึกไปถึงแต่ก่อนตอนที่ตระกูลมู่ต้องหดมือหดเท้า ในตอนแรกที่นางอดทนนั้นเป็นการกดขี่จากราชวงศ์ตระกูลฉิน ส่วนในตอนนี้ ทางเลือกของนาง การตัดสินใจของนาง ก็เช่นเดียวกันต้องอดทนจากการถูกกดดันเพราะไม่อยากจะบีบตัวเองให้จนมุม

นางสามารถฆ่าอิ๋งชวน จากนั้นก็เริ่มชีวิตการถูกไล่ฆ่า หนีตาย

แต่ผลลัพธ์เช่นนั้นไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ

บางที อิ๋งชวนคนเดียวยังไม่มีค่าพอให้นางต้องทุ่มเทแลกเปลี่ยนเช่นนั้น

‘มนุษย์ คิดไม่ถึงว่าเจ้ายังไม่โง่’ เสียงที่ดูหยิ่งยโสสายหนึ่งดังขึ้นมาในหัวของมู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอแยกออกในทันที คนที่พูดก็คือโห่วที่ดูเหมือนกระต่ายตัวนั้น

อืม เขาบอกว่าเขาชื่อว่าข่งเซวียน

ชื่อที่ฟังแล้วก็ดูออกเลยว่าหลงตัวเอง!

‘ขอบคุณที่ชม แต่ถ้าหากว่าเจ้าเปลี่ยนจากมนุษย์เป็นนายหญิง ข้าคิดว่าข้าจะยิ่งพอใจจะฟังคำพูดของเจ้า’ มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นไปประโยคหนึ่ง

‘เหอะ’ ประโยคนี้แลกกลับมาด้วยเสียงประชดอันหยิ่งผยองของโห่ว

‘ตระกูลอิ๋งไม่ธรรมดา สำหรับเจ้าในตอนนี้แล้ว มันก็เป็นเหมือนสัตว์ร้าย เจ้าไม่สร้างความแค้นกับมัน นี่เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว’ โห่วนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วก็เอ่ยขึ้นมาอีก

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ เอ่ยถามไปว่า ‘คิด ไม่ถึงว่าเจ้าจะเข้าใจเรื่องราวของตระกูลต่างๆ ภายในโลกแห่งยุคกลางเป็นอย่างดี’

‘ข้าเข้าใจอะไรกัน! รู้จักตระกูลอิ๋งนั่นก็เพราะข้ารู้ประวัติของพวกเขา เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรเรียกว่าตระกูลบรรพกาล?’ โห่วคำรามออกไปอย่างไม่เกรงใจประโยค หนึ่ง

‘ไม่รู้’ มู่ชิงเกอเอ่ยตอบตามจริง

ตระกูลบรรพกาลสำหรับนางแล้วก็ดูเหมือนเป็นตระกูลที่เก่าแก่และก็มีความสามารถพิเศษทางสายเลือด

‘เหอะ หากไม่ใช่ว่ารับปากคนๆ นั้นว่าจะปกป้องเจ้า ข้าก็คงขี้เกียจที่จะสนใจความเป็นตายของเจ้า!’ โห่วสบถออกมาอย่างไม่พอใจประโยคหนึ่ง

‘คนๆ นั้น’ ในคำพูดของเขาก็คือซือมั่ว

มู่ชิงเกอกลับยิ้มขึ้นมา พูดแทงใจดำไปอย่างไม่เกรงใจ ‘ดูเหมือนจะไม่ใช่เพราะว่าเจ้ารับปากอะไร แต่เป็นเพราะถ้าข้าตายเจ้าก็ต้องตาย เจ้าจึงไม่อาจไม่ทำเพื่อชีวิตของตนเองต่างหาก’

โห่วไร้คำพูด

มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างเย็นชาว่า ‘อย่ามาทำหน้าใหญ่ใจโตอีก ข้าไม่อยากตาย เจ้าก็ไม่อยากตาย ดังนั้นมีเรื่องอะไรก็พูดมาตรงๆ อย่าพูดอะไรที่สิ้นเปลืองพลังสมอง เหล่านี้ออกมา’

หยวนหยวนกะพริบตา มองเห็นท่าทางของมู่ชิงเกอเปลี่ยนไป ก็รู้แล้วว่านางกำลังสื่อสารกับคนอื่น จึงนิ่งเงียบลง เพียงแต่ตามนางไป พร้อมมองไปรอบด้านอย่างสนใจ

‘ตระกูลบรรพกาล ที่สามารถถูกเรียกว่าเป็นตระกูลบรรพกาลได้ นั้นก็เป็นเพราะในร่างของพวกเขามีสายเลือดที่พิเศษที่เป็นของเทพและมารอยู่’ โห่วเอ่ยประโยค ที่ดูน่าตกตะลึงเป็นอย่างมากขึ้นมาประโยคหนึ่ง นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหดตัวลง นางไม่เคยคิดมาก่อนว่า ตระกูลบรรพกาลของโลกแห่งยุคกลางจะมีความเกี่ยว ข้องกับเทพและมาร

โห่วพูดต่อว่า ‘สามารถพูดได้ว่า ตระกูลบรรพกาลนั้นสืบทอดสายเลือดมาจากเทพและมาร ดำรงอยู่ท่ามกลางเผ่ามนุษย์ สืบทอดต่อๆ กันมา ใครก็ไม่รู้ว่าพลัง จะตื่นขึ้นเต็มที่เมื่อไหร่’

‘ข้าไม่ค่อยเข้าใจ ถ้าหากว่าตระกูลบรรพกาลมีประวัติยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เหตุใดตระกูลบรรพกาลในโลกแห่งยุคกลางจึงมีความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอไม่เหมือนกัน? อีกอย่างบางตระกูลก็ยังดูตกตํ่าลงเรื่อยๆ?’ มู่ชิงเกอขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

‘ระหว่างเทพและมารก็มีแข็งแกร่งมีอ่อนแอ สายเลือดของพวกเขาสืบทอดต่อกันมาตั้งนานก็แน่นอนว่าต้องมีแข็งแกร่งบ้างอ่อนแอบ้างเป็นธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากว่าเทพหรือมารที่เป็นเจ้าของสายเลือดนั้นได้ดับสูญไปแล้ว สายเลือดที่พวกเขาสืบทอดต่อมาก็จะยิ่งอ่อนแอ ความแข็งแกร่งและอ่อนแอแน่นอนว่าจะต้องยิ่งชัดเจนขึ้น’ โห่วอธิบาย

มู่ชิงเกอหรี่ตาเล็กลง ดูเหมือนจะจับจุดสำคัญได้ ‘ถ้าหากว่าตระกูลบรรพกาลตระกูลหนึ่งเริ่มตกตํ่า ความสามารถของคนในตระกูลเริ่มไม่ชัดเจน ก็หมายถึงว่า

เทพหรือมารที่ทิ้งสายเลือดเอาไว้ได้ตายแล้วอย่างนั้นหรือ?’

‘ยังไม่ถือว่าโง่สักเท่าไหร่ เทพหรือมารที่ตายแล้ว สายเลือดที่พวกเขาทิ้งเอาไว้จะไม่ได้หายไปในทันที แต่จะเบาบางเป็นรุ่นๆ ไป หากว่าโชคดี ไม่แน่ว่าจะเกิด อัจฉริยะขึ้นในบางรุ่น ปลุกสายเลือดให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งได้ เข้าไปสู่แผ่นดินแห่งเทพมาร บางทีก็จะสามารถปลุกสายเลือดของตระกูลขึ้นใหม่ได้ ส่วนอีกทางถ้าหากว่าตระกูลบรรพกาลยังคงแข็งแกร่งรุ่งเรือง นั่นก็แสดงว่า…’

‘นั่นก็แสดงว่า เทพหรือมารที่ทิ้งสายเลือดเอาไว้ยังไม่ตาย’ นํ้าเสียงของมู่ชิงเกอดูเคร่งขรึมเมื่อพูดประโยคนี้ออกไป นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด

‘ไม่ผิด ผู้ที่ทิ้งสายเลือดตระกูลอิ๋งเอาไว้ผู้นั้น ตอนนี้ยังอยู่ดีในแผ่นดินแห่งเทพมาร ดังนั้นลูกหลานของเขาในทุกๆ รุ่นล้วนแต่มีอัจฉริยะปรากฏออกมา อีกอย่างตาม ที่ข้ารู้มา โดยทั่วไปแล้วตระกูลเช่นนั้น พวกเขาล้วนแต่มีวิธีสื่อสารกับบรรพบุรุษของพวกเขาอยู่ ถ้าหากว่าเจ้าได้สร้างความแค้นเป็นตายกับตระกูลอิ๋งแล้วละก็…’โห่วหัวเราะเยาะออกมา สุดท้ายก็เสริมมาอีกประโยค ‘ข้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้’

มู่ชิงเกอสูดหายใจเข้าลึกๆ

ที่ผ่านมานางยังคงคิดง่ายดายเกินไปสำหรับโลกแห่งยุคกลาง

ที่สำคัญก็คือ นางรู้สึกคลุมเครือเกี่ยวกับเรื่องของเทพ มาร และก็ยังไม่รู้ว่าตระกูลบรรพกาลกับเทพมารนั้นมีความสัมพันธ์กันเช่นนี้ คำพูดของโห่วก็คือคิดที่จะบอกนางว่าถึงแม้นางจะมีกำลังที่จะต่อกรกับทั้งตระกูลอิ๋งในโลกแห่งยุคกลาง แต่ ก็ไม่สามารถจะเป็นคู่มือกับเทพและมารได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจจะต้องประสบกับการแก้แค้นจากแผ่นดินแห่งเทพมารด้วยแล้ว

บทสรุปสุดท้ายสำหรับนางในตอนนี้ก็คือถูกทำลายเพื่ออิ๋งชวนแค่คนเดียว ไปท้าทายเทพมารงั้นหรือ? การค้าขายครั้งนี้ไม่คุ้มค่าเลยแม้แต่น้อย! มูชิงเกอค่อยๆ ส่ายหน้า

‘ตอนนี้เจ้าตัดลิ้นลูกหลานไม่เอาไหนคนเดียวของตระกูลอิ๋ง ยังไม่ถือว่าผูกความแค้นอะไร ข้าดูแล้วเจ้าไม่สู้ไปยอมรับผิด จากนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาสั่งสอนเจ้าเล็กน้อย แล้วก็ค่อยส่งยาไปให้ จัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย’ โห่วเสนอความคิดเห็นออกมา

แต่ว่า ข้อเสนอของเขากลับทำให้นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววเยียบเย็น ปฏิเสธไปตรงๆ ‘ข้ายังไม่ได้ตกตํ่าถึงจุดนั้น เรื่องนี้ความผิดแต่เดิมก็เป็นของอิ๋งชวน ถ้าหากว่าตระกูลอิ๋งไม่ยอมก็มาหาข้า ตอนนี้ข้าไม่มีวิธีจัดการกับตระกูลอิ๋ง แต่เจ้าเคยได้ยินคำที่ว่าแก้แค้นสิบปีไม่สายหรือไม่?’

‘เช่นนั้นเจ้าเคยได้ยินหรือไม่ว่า อดทนชั่วเวลาหนึ่งลมฟ้าสงบ ถอยก้าวหนึ่งท้องฟ้าไร้ขอบเขต?’ โห่วตอบกลับไปประโยคหนึ่ง

มู่ชิงเกอตอบว่า ‘ข้าเคยได้ยินเพียงว่าอดไม่ได้ก็ไม่ต้องอด ยังมีอีกว่าเมื่อไร้ทางถอยก็ต้องกล้าบุกลุยไป’

โห่วนิ่งเงียบลงไป ผ่านไปนาน เขาถึงได้สบถอย่างไม่พอใจออกมา ‘ปากกล้า’ จากนั้นก็เงียบลง

มู่ชิงเกอถอนหายใจออกมา

คำพูดของโห่ว ทำให้ในใจของนางรู้สึกหนักอึ้ง กำลังของตระกูลอึ้งใหญ่กว่าที่นางคาดเอาไว้มาก นางไม่ห่วงเรื่องความปลอดภัยของตัวเอง แต่เป็นห่วงซางเสวี่ยอู่ที่ถูกอิ๋งชวนหมายตา นางก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดในใจของนางถึงได้ไม่หวังให้ ผู้หญิงคนนี้ได้รับอันตรายใดๆ

เห็นได้ชัดว่าพวกนางเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก!

ความรู้สึกที่แปลกประหลาดเช่นนี้ อยู่เหนือการควบคุมของมู่ชิงเกอ ทำให้นางรู้สึกอึดอัดมาก

หลังจากที่นางกับหยวนหยวนไปรวมตัวกับพวกฮวาเยวี่ยแล้ว มู่ชิงเกอก็ประกาศว่าจะเปลี่ยนเส้นทางไปเมืองหลิวหั่วเฉิง ภายใต้ความแปลกใจของทุกคนแต่ก็ไม่ได้ทำให้เกิดข้อโต้เถียงใดๆ ขึ้นมา

“เสวี่ยหยา เจ้าไปรวบรวมข่าวคราวเกี่ยวกับตระกูลซางแลตระกูลอิ๋งมา ยิ่งละเอียดก็ยิ่งดี” มู่ชิงเกอเอ่ยสั่งการ จากนั้นก็เอ่ยกับเซวี่ยนหย่าว่า “เจ้าไปรวบรวบ ข้อมูลเกี่ยวกับตระกูลบรรพกาลอื่นๆ ในภาคตะวันตกมา ไม่ต้องละเอียดมาก เอาเพียงคร่าวๆ พอ ที่ต้องสืบให้ละเอียดก็คือตอนนี้ตระกูลบรรพกาลเหล่านั้นรุ่งเรือง หรือว่าตกต่ำ” มู่ชิงเกอกำชับขึ้นเป็นพิเศษ

เสวี่ยหยาและเซวี่ยนหย่ารับคำสั่งออกไป

มู่ชิงเกอถึงได้เอ่ยกับฮวาเยวี่ยว่า “ไปจัดเตรียมตั๋วที่จะไปเมืองหลิวหั่วเฉิง”

ฮวาเยวี่ยพยักหน้าถอยออกไป

ภายในห้องเหลือเพียงนางกับหยวนหยวนและเซวี่ยนขุย มู่ชิงเกอมองไปทางเซวี่ยนขุย จ้องมองอย่างพิจารณารอบหนึ่ง มองจนทำให้เซวี่ยนขุยรู้สึกแปลกๆ ครู่หนึ่งนางถึงได้เอ่ยกับเซวี่ยนขุยว่า “ข้าคิดจะสอนวิชาหนึ่งแก่เจ้า แต่ว่าเงื่อนไขก็คือเจ้าจะต้องซื่อสัตย์ต่อข้าตลอดไป”

เซวี่ยนขุยชะงัก เอ่ยขึ้นอย่างไม่เข้าใจว่า “นายน้อย เซวี่ยนขุยแต่เดิมก็จงรักภักดีต่อท่านตลอดไป”

มู่ชิงเกอกลับส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ไม่ใช่ ที่ข้าพูดนั้น หมายถึงจงรักภักดีต่อมู่ชิงเกอ ไม่ใช่นายน้อยของตระกูลมู่” นัยน์ตาของนางจับจ้องไปยังเซวี่ยนขุย ดูทุกการเปลี่ยนแปลงของเขา

เซวี่ยนขุยเข้าใจในคำพูดของมู่ชิงเกอแล้ว เขาเงียบลงด้วยท่าทางอํ้าๆ อึ้งๆ

มู่ชิงเกอไม่ได้เร่งรัดเขา เพียงแต่พยักหน้าเอ่ยว่า “เรื่องนี้สำหรับเจ้าแล้ว คงเป็นทางเลือกที่ยาก ข้าสามารถให้เวลาเจ้าคิดทบทวนได้ ก่อนที่พวกเราจะออกเดินทางไปเมืองหลิวหั่วเฉิงค่อยให้มาตอบข้า เจ้าสามารถไปคุยกับพี่สาวของเจ้าก่อนได้”

“ขอบคุณนายน้อย” ท่าทีผ่อนคลายของมู่ชิงเกอ ทำให้เซวี่ยนขุยลอบโล่งใจ

จงรักภักดีต่อมู่ชิงเกอตลอดไปกับจงรักภักดีต่อนายน้อยตระกูลมู่ตลอดไปนั้นมีความแตกต่างกัน นั้นก็หมายถึงให้เซวี่ยนขุยละทิ้งคำสาบานเริ่มแรก ละทิ้งตระกูลของตนเอง

สายตาที่มู่ชิงเกอมองเขา ก็คือไม่คิดจะพลาดยอดมือปืนระยะไกลคนหนึ่งไป

แต่ว่า ก็ไม่ยอมจะทำตัวเป็นคนดี ที่รอจนนางสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากแล้วอยู่ดีๆ กลับเปลี่ยนเป็นมือปืนของคนอื่น หากเป็นเช่นนั้นแล้วจะทำอย่างไร?

ถึงแม้ว่ามู่ชิงเกอจะไม่คิดว่าตัวเองจะแพ้ แต่สำหรับนายน้อยของตระกูลมู่นั่น นางไม่มีความสนใจสักนิดเลยจริงๆ

เซวี่ยนขุยก็ออกจากห้องไป

หยวนหยวนคลานมาบนโต๊ะ เงยหน้ามองมู่ชิงเกอ เอ่ยถามว่า “ลูกพี่ท่านแม่ ท่านไม่สบายใจงั้นหรือ?”

มู่ชิงเกอยิ้มๆ ส่ายหน้าเบาๆ

แม้แต่หยวนหยวนก็ยังดูออกว่านางไม่สบายใจ ดูแล้วใบหน้าของนางในตอนนี้คงไม่น่าดูมาก

‘ชิงเกอ เจ้าก็อย่าได้ถูกลูกพี่ผู้นั้นทำให้หวาดกลัวไป หากไม่ไหวจริงๆ เจ้าก็สามารถไปหาผู้ชายของเจ้าได้!’ อยู่ดีๆ ไป๋สี่ก็เอ่ยขึ้นมาในหัวของมู่ชิงเกอ

หาซือมั่วงั้นหรือ?

มู่ชิงเกอส่ายๆ หน้า นางเอ่ยตอบข้อเสนอของไป๋สี่ว่า ‘ตัวเขาเองก็ยุ่งวุ่นวายมากพอแล้ว ข้าไม่อยากเพิ่มภาระให้แก่เขา’

ไป๋สี่ถอนหายใจเอ่ยว่า ‘มีบางเวลา เจ้าก็ไม่ต้องแข็งแกร่งเกินไปก็ได้ ที่จริงแล้ว ต่อหน้าชายที่ตนเองรัก อ่อนแอสักนิด ต้องการการปกป้องสักนิด ก็ไม่ได้เป็น

อะไรมากนักหรอก’

ร่างกายของมู่ชิงเกอแข็งทื่อ ไม่รู้จะพูดตอบอย่างไร

นางคุ้นเคยกับการรับเรื่องทุกอย่างเพียงคนเดียวมานานแล้ว ตัวเองจัดการเอง ลืมไปนานแล้วว่าความรู้สึกที่ต้องพึ่งพาคนอื่นเป็นอย่างไร ตอนที่นางเริ่มก้าวแรกนั้น ซือมั่วคอยสนับสนุนอยู่ลับๆ นางเพียงแต่คิดว่าเขามีจุดประสงค์อื่น ดังนั้นจึงไม่ได้ไปสนใจ และก็ไม่ได้คิดอะไร ในใจไม่เคยคิดว่าเป็นบุญคุณ

ส่วนในตอนนี้ นางได้ส่งตัวเองไปตอบแทนแล้วอย่างถูกต้องตามหลักการ แต่นางกลับไม่รู้ว่าจะพึ่งพาอย่างไร บางทีก็พูดได้ว่าในตอนที่นางยอมรับตำแหน่งของซือมั่วในใจของนางแล้ว นางก็ยิ่งคิดว่าจะช่วยเขาอย่างไร จะลดภาระให้เขาได้อย่างไรมากกว่า ไม่ใช่ว่าไปรบกวนให้เขาทำอะไรให้กับนาง

“ลูกพี่ท่านแม่!” อยู่ดีๆ หยวนหยวนก็มาอยู่ตรงหน้าของมู่ชิงเกอ โอบกอดนางไว้ เอ่ยกับนางว่า “อย่ากลัวไป ยังมีหยวนหยวนที่คอยปกป้องท่าน”

หนุ่มน้อยที่งดงามเอ่ยคำรับรองที่ดูจริงจังที่สุดของเขาออกมา ท่าทีที่เขามองมู่ชิงเกอก็ดูจริงจังอย่างไม่เคยมีมาก่อน

เขารู้สึกได้ว่ามู่ชิงเกอกำลังเป็นกังวล ส่วนสิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ก็คือปกป้องนาง อยู่กับนางตลอดไป

มู่ชิงเกอมองดูใบหน้าอันงดงามของหยวนหยวนแล้วในใจก็รู้สึกซาบซึ้ง

นางยกมือขึ้นแตะหน้าผากของหยวนหยวน ยิ้มๆ แล้ว เอ่ยว่า “ขอบคุณนายน้อยหยวนแล้ว”

“ไม่ต้องเกรงใจ! ข้าเกิดมาเพื่อลูกพี่ท่านแม่อยู่แล้ว!” หยวนหยวนเห็นว่ามู่ชิงเกอยิ้มแล้วก็กลับคืนสู่นิสัยเดิมทันที ได้ใจขึ้นมา

‘ชิงเกอ เจ้ายังมีข้า’

‘ยังมีข้า’

‘เจ้านาย อย่าลืมว่าท่านยังมีเหมิงเหมิงที่ร้ายกาจไร้เทียมทานอยู่!’ ภายในหัวของมู่ชิงเกอ มีเสียงส่งมาเรื่อยๆ ทำให้ในใจของนางอบอุ่นขึ้นมา

‘เหอะ’ เสียงสบถดูแคลนที่ไม่เข้าพวกดังออกมา แต่กลับทำให้มุมปากของมู่ชิงเกอฉีกยิ้มขึ้น

มู่ชิงเกอสูดหายใจเข้าลึกๆ เอ่ยตอบทุกคนในใจ “ที่จริงแล้ว ข้าไม่ได้กลัวและก็ไม่ได้เป็นกังวล ข้าเพียงแต่รู้สึกว่า ต่อไปข้างหน้า ทุกอย่างที่ต้องเผชิญก็เปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ผืนดินและแผ่นฟ้าที่จะปรากฏต่อหน้าข้าก็จะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ กำลังของข้ายังไม่พอ จำเป็นต้องพยายามให้มากยิ่งขึ้น”

‘ตึงมากเกินไปก็ขาดได้ง่าย ชิงเกอ เจ้าพยายามมากพอแล้ว มีเวลาก็ปล่อยตัวเองให้สบายเสียหน่อย’ หยินเฉินเอ่ยโน้มน้าวใจ

มู่ชิงเกอพยักหน้า เผยรอยยิ้มออกมา นางกางแขนออก เอ่ยกับท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่างว่า ‘ดังนั้น พวกเราถึงได้ไปพักผ่อนที่งานล่าสัตว์ครั้งใหญ่อย่างไรละ!’ ถือเอางานล่าสัตว์ครั้งใหญ่เป็นกิจกรรมผ่อนคลายงั้นหรือ?

ไป๋สี่กลอกตามอง หมดคำพูดจะเอ่ย

งานล่าสัตว์ครั้งใหญ่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ฐานกำลังมากมายก็จะปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน กลัวแต่ว่าจะยิ่งซับซ้อนมากขึ้นไปอีก ไหนเลยจะเป็นการไปผ่อนคลายได้?

“นางยิ่งยืนหยัดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้คนปวดใจมากขึ้นมิใช่หรือ?” ภายในช่องว่าง หยินเฉินมองไป๋สี่แล้วก็เอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง

ไป๋สี่ชะงัก มองไปทางหยินเฉิน “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมองดูได้อย่างลึกซึ้ง”

หยินเฉินเหลือบมองนางแวบหนึ่ง ไม่พูดไม่จา

“เพ้ย พวกเจ้าสองคน มาพูดคุยกับข้าที” ทันใดนั้น ภายในสักที่ของช่องว่างก็มีเสียงที่ไม่อาจขัดขืนดังออกมา เข้ามาในหูของไป๋สี่และหยินเฉินโดยตรง สีหน้าของไป๋สี่และหยินเฉินเปลี่ยนไปพร้อมกัน แต่ก็ไม่ได้ขัดขืน ทำได้เพียงไปปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าโห่ว

โห่วไม่ได้เปลี่ยนร่าง เพียงแต่ยังรักษาสภาพ ‘กระต่าย’ ของเขาไว้อยู่

เพียงแต่สิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่มีขนาดไม่ถึงสองนิ้วนี้ ไป๋สี่กับหยินเฉินกลับไม่กล้าล่วงเกิน ความแตกต่างของระดับในเผ่าสัตว์อสูรนั้นชัดเจนมาก ความกดดันทางสายเลือดนั้นไม่อาจจะฝ่าฝืนได้

โห่วมองไป๋สี่และหยินเฉินอย่างเกียจคร้านแวบหนึ่งเอ่ยว่า “ราชาจิ้งจอกมายาที่สายเลือดผ่าเหล่าตัวหนึ่ง ยังมีอสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบตัวหนึ่ง ข้าจำได้ว่าความสามารถพิเศษเก้าอย่างของอสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบก็คืออมตะ แหวกสายนํ้า พิษไร้ทางแก้ ไม่กลัวไฟ เก้าร่างแยก กลืนสวรรค์ ทลายพิภพ เหนือกาลเวลา ตบะคืนชีพ งูน้อยตอนนี้พลังของเจ้าตื่นขึ้นมากี่อย่างแล้ว?”

ไป๋สี่ถูกคำพูดของโห่วทำให้สีหน้าซีดขาว เมื่อไพ่ตายถูกพูดออกมาเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกถึงอันตราย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถพิเศษอย่างสุดท้าย นั่นก็คือขอเพียงแต่ร่างไม่ถูกทำลาย ไม่ว่าจะตายไปนานแค่ไหน แต่หากได้ดูดกลืนเม็ดตบะของนางแล้วก็จะ ฟื้นขึ้นมาจากความตายได้ ประโยชน์เช่นนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้นางตกอยู่ใน อันตราย และก็สามารถทำให้มนุษย์บ้าคลั่ง

“ตื่นแค่เพียงอมตะ แหวกสายนํ้า พิษที่ไร้ทางแก้ ไม่ กลัวไฟสี่อย่าง” ไป๋สี่เอ่ยตอบเสียงเข้ม

โห่วเงยหน้ามองดูนางแวบหนึ่ง นัยน์ตาฉายแววแข็งกร้าว เขาเอ่ยเยาะเย้ยว่า “มีปัญหาหนึ่งที่ข้าสงสัยมาตั้งนาน ไม่สู้เจ้าตอบข้ามาสักหน่อย”

ไป๋สี่นิ่งเงียบ

หยินเฉินมองไปยังนางอย่างเป็นห่วง ในใจเรียกร้องมู่ชิงเกอ คาดหวังให้มู่ชิงเกอปรากฎตัวออกมายับยั้งไม่ให้โห่วกดดันพวกเขา แต่ว่า เขากลับแปลกใจว่า ไม่ว่าจะเรียกมู่ชิงเกออย่างไร มู่ชิงเกอก็ไม่ตอบกลับ ทันใดนั้น โห่วก็มองมายังเขา ทำให้เขารู้สึกเยียบเย็นไป ทังร่าง

จิ้งจอกน้อย อย่างมาเล่นลูกไม้ต่อหน้าข้า” โห่วเอ่ยเตือนอย่างเย็นชา

หยินเฉินหายใจเข้าออกอย่างกระชั้นชิด ท่าทีเปลี่ยนไปในทันที

นัยน์ตาของไป๋สี่วาววาบ เอ่ยปากว่า “ใต้เท้าอยากจะถามอะไร?”

สายตาของโห่วเคลื่อนจากหยินเฉินมาที่ไป๋สี่ ยิ้มออกมาอย่างอำมหิต “หากเม็ดตบะของเจ้าถูกข้าควักออกมา แล้วยังสามารถเป็นอมตะได้หรือไม่?”

นัยน์ตาของไป๋สี่หดตัวลง นางแยกไม่ออกว่าโห่วกำลังล้อเล่นหรือพูดจริง

นางเอ่ยตอบอย่างเคร่งขรึมว่า “ความเป็นอมตะของอสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบ สร้างขึ้นมาจากพลังตบะที่ไม่ถูกทำลาย ถ้าหากว่าพลังตบะถูกทำลายแล้ว บนโลกนี้ก็จะไม่มีอสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบอีก”

นัยน์ตาของโห่วดุจดังเปลวเพลิง สว่างจ้าออกมา สายตาที่มองไป๋สี่เผยความโลภออกมา ในพริบตานั้น ไป๋สี่คิดว่าตัวเองคงจะตายแล้วอย่างแน่นอน โห่วจะต้อง ควักเม็ดตบะของนางออกมาแน่ๆ เพื่อฟื้นฟูพลังของตนเอง

แม้ว่าเม็ดตบะฟื้นคืนชีพของนางยังไม่ทันได้ตื่นขึ้นในตอนนี้ก็ตาม

“ถ้าหากเจ้าทำกับนางเช่นนั้น ข้าก็สามารถทำให้บนโลกนี้ไม่มีโห่วอีกต่อไป” ทันใดนั้น เสียงอันเยียบเย็นก็ดังเข้ามา

สัตว์อสูรทั้งสามตัวหันไปมอง ก็เห็นมู่ชิงเกอในชุดสีแดงดุจดงเลือด ท่าทางดูเย็นยะเยือก เดินออกมาจากมุมมืด ด้านหลังของนางยังมีหยวนหยวนกับเหมิงเหมิงตามมาด้วย

คำพูดของมู่ชิงเกอ ทำให้นัยน์ตาของโห่วหรี่เล็กลง พร้อมทั้งฉายแววอำมหิต แต่นี่กลับทำให้ไป๋สี่และหยินเฉินเกิดความรู้สึกซาบซึ้งขึ้นในใจ

“มนุษย์ เจ้าจะฆ่าตัวตายเพื่อพวกเขาอย่างนั้นหรือ?” โห่วหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง แน่นอนว่าเขาเข้าใจในคำพูดของมู่ชิงเกอ ‘ทำให้บนโลกไม่มีโห่วอีก’ ว่าหมายความว่าอย่างไร

มู่ชิงเกอฆ่าเขาไม่ได้ แต่กลับสามารถฆ่าตัวเองได้ เพียงแต่นางตายแล้ว เขาที่ถูกพลังแห่งคำสาปก็จะมีแต่ตายสถานเดียว!

คำสาปที่น่ารังเกียจ!

โห่วด่าว่าในใจ

มู่ชิงเกอยิ้มเย็น เอ่ยท้าว่า “เจ้าลองดูได้ ยังมีอีกอย่างขอพูดเป็นครั้งสุดท้าย เรียกข้าว่านายหญิง”

นัยน์ตาของนางเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว มองโห่วอย่างยั่วยุ

โห่วมองนางอย่างไม่ยอมแพ้ นัยน์ตาสีทองดุจดังมีเปลวไฟลุกโชน

“ถ้าหากว่าเจ้ายังคิดที่จะกินยาแล้วละก็ ทางที่ดีก็อย่าได้ขัดคำสั่งของข้า” มู่ชิงเกอหรี่ดวงตาเล็กลง เอ่ยออกไปอย่างเย็นชา

ประโยคนี้ กลับเป็นจุดอ่อนของโห่ว

เขายังต้องการยาของมู่ชิงเกอเพื่อฟื้นฟูพลัง จากนั้นก็ไปล้างแค้น!

ในขณะที่มู่ชิงเกอบีบคั้นไปเรื่อยๆ นั้น ในที่สุดเขาก็ยอมกัดฟันเอ่ยว่า “ขอรับ นายหญิง”

การยอมของโห่ว ทำให้มู่ชิงเกอยิ้มออกมาอย่างเย็นชา นางโยนขวดยาออกไปขวดหนึ่ง เอ่ยกับหยินเฉินและไป๋สี่ว่า “พวกเจ้าไปเถอะ”

ไป๋สี่กับหยินเฉินรีบจากไป

มู่ชิงเกอยังเอ่ยขึ้นมาอีกว่า “เหมิงเหมิง ดูแลที่นี่ให้ดี ไม่มีคำอนุญาตจากข้า คนอื่นห้ามเข้ามาใกล้ คนด้านในก็ห้ามออกไปไหน”

นางต้องการแยกโห่ว

“เจ้าค่ะ เจ้านาย เหมิงเหมิงรับรองจะทำภารกิจให้สำเร็จ!” เหมิงเหมิงตอบไปประโยคหนึ่ง

นัยน์ตาของโห่วฉายแววแข็งกร้าว จ้องมองแผ่นหลังของมู่ชิงเกอ จนกระทั่งนางหายไป

“ชิงเกอ เจ้าทำพันธสัญญากับข้าเดี๋ยวนี้เถอะ” เมื่อเดินออกไปจากที่ที่โห่วอยู่ ไป๋สี่ก็เอ่ยกับมู่ชิงเกอในทันที

มู่ชิงเกอมองนางอย่างแปลกใจ ไม่เข้าใจในการตัดสินใจอย่างกระทันหันนี้ของนาง

ไป๋สี่อาศัยเลือดของนางตื่นขึ้นมา ความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางนั้นใกล้ชิดมาก ในความเป็นจริงนั้นพันธสัญญาก็เพียงแค่ข้อตกลงอันหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นมู่ชิงเกอก็ไม่ได้คิดอะไร ไป๋สี่ก็ไม่เคยพูดมาก่อน แต่ตอนนี้ไป๋สี่กลับพูดออกมาเอง “ข้ากังวลเรื่องลูกพี่ผู้นั้น ว่าจะมีวันไหนที่จะควักเม็ดตบะของข้าออกมาจริงๆ ขอเพียงข้าเป็นสัตว์อสูรพันธสัญญาของเจ้าอย่างแท้จริงแล้ว เขาก็ไม่สามารถทำ อะไรข้าได้ตราบใดที่เขายังมีพันธสัญญากับเจ้าอยู่” ไป๋สี่ เอ่ยกับมู่ชิงเกออย่างเป็นกังวล นางต้องการการคุ้มครองจากมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอไม่ได้ปฏิเสธ เพียงแต่พยักหน้าเอ่ยว่า “ได้”

เมืองหลิวหั่วเฉิง ภาคตะวันตก นอกเมืองออกไปพันลี้ เป็นทุ่งหญ้าอัสดงที่กว้างใหญ่ หลังทุ่งหญ้าก็เป็นเทือกเขาซางหลานหมื่นลี้ ซางเสวี่ยอู่เดินอยู่ภายในเมืองหลิวหั่วเฉิง มองไปยังบรรยากาศที่ดูคึกคัก เพียงชั่วครู่ก็ยากที่จะคุ้นเคย เมือง เล็กๆ ที่ค่อนข้างห่างไกลนี้จะคึกคักขึ้นมาในทุกๆ ห้าปีที่จัดงานล่าสัตว์ครั้งใหญ่เท่านั้น ซางเสวี่ยอู่ก็มาเมืองเล็กๆ แห่งนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว ครั้งแรกนั้นเป็นตอนที่นางอายุได้สิบปี ตามผู้อาวุโสในตระกูลออกมาชมดูงานล่าสัตว์ครั้งใหญ่

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตา ก็ผ่านไปแปดปีแล้ว

“ซางเสวี่ยอู่! เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?” ทันใดนั้นก็มีเสียงแปลกใจของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นมาด้านหลังของนาง

ซางเสวี่ยอู่หันกลับไปมอง ก็มองเห็นคนของตระกูลซาง ยืนอยู่ภายในกลุ่มคน ส่วนภายในนั้น คนที่ร้องเรียกชื่อนางเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาดูคมคาย แต่กลับมีท่าทีไร้ เดียงสาเหมือนเด็กคนหนึ่ง

“อี้เฉิน ข้าเป็นพี่สาวของเจ้า” สีหน้าของซางเสวี่ยอู่เคร่งขรึมขึ้น เอ่ยกับชายผู้นั้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!