Skip to content

พลิกปฐพี 260

ตอนที่ 260

ผู้ที่ได้อันดับที่สี่ในทำเนียบชิงอิง อิ๋งเจ๋อ!

“อี้เฉิน ข้าเป็นพี่สาวของเจ้า” ซางเสวี่ยอู่ทำหน้าเคร่ง เอ่ยขึ้นพลางมองหน้าชายหนุ่มผู้นั้นอย่างเอือมระอา เมื่อพิศมองดูดีๆ แล้วถึงจะรู้สึกว่าโครงหน้าของนางกับชายหนุ่มผู้นั้นมีความคล้ายคลึงกันอยู่ถึงเจ็ดแปดส่วนเลยทีเดียว เพียงแต่โครงหน้าของซางเสวี่ยอู่จะดูอ่อนโยนกว่า ส่วนชายหนุ่มที่นางเรียกว่าอี้เฉินนั้นจะมีโครงหน้าที่คมคายกว่ามาก

“คำถามนี้แม้แต่ท่านแม่ยังไม่พูดออกมาชัดเจน เหตุใดเจ้าจะต้องแสดงตัวว่าเป็นพี่สาวของข้าอยู่ตลอด?” ซางอี้เฉินส่ายหน้า เดินไปอยู่ข้างซางเสวี่ยอู่ ยื่นมือไปจิ้มหัวไหล่นางไปมา

“ท่านแม่เคยบอกว่า ข้าเกิดก่อน” ซางเสวี่ยอู่เอ่ยอย่างปวดเศียรเวียนเกล้า

“ถึงอย่างนั้นข้าก็ไม่เรียกเจ้าว่าพี่สาว” ซางอี้เฉินเชิด หน้ากล่าวอย่างไม่ยอมแพ้

ท่าทางแบบเด็กๆ ของเขานั่น ยังไงก็คล้ายน้องชาย ซางเสวี่ยอู่ถอนหายใจอย่างจนปัญญา เอ่ยขึ้นอีกประโยคว่า “เจ้าปิดบังท่านแม่แอบหนีออกมาใช่หรือไม่?”

ซางอี้เฉินกลับเงยหน้าขึ้นปฏิเสธ “ข้าติดตามท่านอาวุโสสามออกมาต่างหาก ท่านแม่เองก็พยักหน้ารับแล้วด้วย”

“พวกเจ้าสองคนพี่น้องนี่เจอหน้ากันก็เป็นเช่นนี้ เสวี่ยอู่ เจ้าไปทำธุระที่เมืองอู๋อิ๋นมิใช่หรือ? เหตุใดจึงมาอยู่ที่ เมืองหลิวหั่วเฉิงได้?” บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากขบวนตระกูลซาง เอ่ยถามซางเสวี่ยอู่ด้วยรอยยิ้มเอ็นดู

“ผู้อาวุโสสาม” ซางเสวี่ยอู่ทำความเคารพบุรุษผู้นั้น กวาดสายตามองคนตระกูลซางราวเจ็ดแปดคนที่ติดตามเขามา ค่อยๆ ละสายตากลับมาช้าๆ เอ่ยขึ้นว่า “ข้าทำธุระที่เมืองอูอิ๋นเสร็จแล้ว ได้ยินว่างานล่าสัตว์ครั้งนี้เริ่มเร็วขึ้น จึงผ่านมาดู”

“เช่นนี้นี่เอง พวกเราเองก็มาด้วยเรื่องนี้ เจ้าก็ตามพวกเราไปเถอะ ตอนนี้จากเมืองหลิวหั่วเฉิงไปทุ่งหญ้าอัสดง ล้วนมีแต่กลุ่มอำนาจต่างๆ อย่าเที่ยวเดินทางเพียง ลำพัง” ผู้อาวุโสสามเอ่ยขึ้นด้วยความห่วงใย

“เหอะ ผู้อาวุโส มิใช่ว่านางเป็นที่หนึ่งของรุ่นคนหนุ่มสาวของตระกูลซางเราหรืออย่างไร? ผู้อื่นมีความสามารถที่จะดูแลตนเอง จำเป็นต้องไปกับพวกเราหรือ?” จู่ๆ ก็มีเสียงยียวนลอยออกมาจากในกลุ่มคนตระกูลซาง

ซางเสวี่ยอู่เงยหน้าขึ้น สายตาเย็นชามองไปยังสตรีที่เอ่ยออกมาด้วยนํ้าเสียงริษยา

“นี่! ซางจื่อหลัน เจ้าลดอาการชอบส่อเสียดลงเสียบ้าง” ซางเสวี่ยอู่ยังไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใด ซางอี้เฉินก็โวยวายขึ้นมาเสียก่อน

บุรุษที่ยืนอยู่ข้างๆ ซางจื่อหลันก็เอ่ยออกมาด้วยท่าทีไม่พอใจ “ซางอี้เฉิน พี่สาวของเจ้าเป็นผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งของตระกูลซางไม่ผิด แต่เจ้าไม่ใช่ เจ้ามีสิทธิ์อะไรที่มาโวยวายตรงนี้”

“หุบปากเดี๋ยวนี้! ออกมาข้างนอกยังจะโหวกเหวกโวยวาย คนอื่นมาเห็นเข้าจะว่ายังไง!” ผู้อาวุโสสามกล่าวขึ้นเพื่อหยุดข้อพิพาทที่ไม่มีความหมาย

สายตาเฉียบขาดของเขากวาดตามองหนึ่งหญิงหนึ่งชาย ที่หาเรื่อง ก่อนเอ่ยสั่งสอน “ซางเหย่ ซางจื่อหลัน หากพวกเจ้าทั้งสองคนไม่อยากอยู่ที่เมืองหลิวหั่วเฉิง ข้าจะให้คนส่งพวกเจ้ากลับไปเมืองฝูซา”

“ผู้อาวุโสสาม พวกเราผิดไปแล้ว”

“ขอผู้อาวุโสสามโปรดอภัย”

ซางเหย่และซางจื่อหลันก้มหน้ารับผิดทันที ดูออกว่าผู้อาวุโสสามตระกูลซางผู้นี้มีนํ้าหนักในใจของพวกเขาไม่น้อย

“รู้ว่าผิดก็ดี ต่อไปอย่าเอาแต่จ้องหาเรื่องเสวี่ยอู่กับอี้เฉิน พวกเจ้าต่างก็เป็นคนของตระกูลซาง ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ได้ยินหรือไม่? พวกเจ้าเองก็ด้วย” ผู้อาวุโส สามตำหนิซางเหย่และซางจื่อหลัน รวมทั้งกวาดสายตามองคนตระกูลซางสามคนที่เหลือที่ไม่ได้เอ่ยปาก

ส่วนอีกสองคนเป็นคนดูแลตระกูลซาง พวกเขาต่างอยู่เงียบๆ ไม่ส่งเสียง

ผู้อาวุโสสามพูดกับทางนี้จบแล้ว ก็หันไปที่ซางเสวี่ยอู่ และซางอี้เฉิน เอ่ยด้วยความปรารถนาดีว่า “พวกเจ้าเองก็เหมือนกัน โดยเฉพาะอี้เฉิน ท่านแม่ของเจ้าลำบากมากแล้ว อย่าได้ทำให้นางต้องกลุ้มใจกับเจ้า ดูเสวี่ยอู่เป็นตัวอย่าง”

“พวกเขาสองคนถือเป็นคนตระกูลซางบ้านไหนกัน?”

ขณะที่ผู้อาวุโสสามตักเตือนอยู่นั้น ซางจื่อหลันก็พึมพำออกมาอย่างไม่พอใจ

ประโยคนี้ลอยเข้าหูซางเสวี่ยอู่และซางอี้เฉิน ฝ่ายหลังจะระเบิดอารมณ์โมโหขึ้นมาอีกครั้งที่ตรงนั้น แต่ก็ถูกซางเสวี่ยอู่ดึงรั้งเอาไว้ สายตาเย็นชากวาดตามองไปตรงหน้า

ผู้อาวุโสสามเองก็หันหลังกลับมาส่งสายตาเตือนซางจื่อหลันทันควัน

ซางจื่อหลันรีบปิดปากสนิท ก้มหน้าลง ไม่พูดมากอีก

“เสวี่ยอู่ ไม่ต้องไปสนใจ จิตใจของพวกเขาไม่ได้เลวร้าย เพียงแต่มีอุปนิสัยชอบเอาชนะตามประสา ความดีเลิศเพียบพร้อมของเจ้าทำให้พวกเขาต้องการหาจุดบอด ต่อไปข้าจะสั่งสอนพวกเขาให้ดี” ผู้อาวุโสสามเดินเข้าไปข้างๆ ซางเสวี่ยอู่เอ่ยปลอบให้คลายทุกข์เบาๆ

ซางเสวี่ยอู่พยักหน้าแสดงให้เห็นว่าตนไม่ได้สนใจ

เวลานี้เอง ผู้อาวุโสสามก็เอ่ยอย่างยิ้มแย้มแจ่มใสว่า “ได้ข่าวแว่วมาจากเมืองอูอิ๋น ว่าเจ้าได้เลื่อนอันดับขึ้นหน้าในทำเนียบชิงอิง? ตอนนี้อยู่อันดับที่เท่าไร?”

“อันดับที่ 97 เสวี่ยอู่ยังต้องขยันอีกมาก” ซางเสวี่ยอู่เอ่ยตอบเสียงเรียบ ไม่มีร่องรอยของความภาคภูมิใจ ถึงขั้นว่านางไม่พอใจกับคะแนนของตนเองด้วยซํ้า นางไม่พอใจ แต่ผู้อาวุโสสามกลับตื่นเต้นยินดี เอ่ยปากว่า ‘ดี’ สามครั้ง ยังเอ่ยชมอีกว่า “เด็กดี คะแนนนี้ก็ดีมากแล้ว ไม่ต้องไปกดดันตนเองเกินไป”

ซางอี้เฉินเองก็รู้สึกยินดี อารมณ์ภาคภูมิใจนั้นเหมือนว่าผู้ที่ติดอันดับที่ 97 เป็นตัวเขาเองอย่างนั้นแหละ และยังยักคิ้วให้ซางจื่อหลันและซางเหย่ด้วยความพึงพอใจ

เมื่อได้ยินคะแนนใหม่ของซางเสวี่ยอู่ ซางจื่อหลันกับซางเหย่ก็ลอบส่งสายตาให้กัน แม้ว่าจะไม่ยอมอย่างไรก็ทำได้เพียงอดกลั้นสะกดอารมณ์เอาไว้

ใครใช้ให้พวกเขาสู้ซางเสวี่ยอู่ไม่ได้กันล่ะ?

“ไปกันเถอะ พวกเราไปพักในเมืองหลิวหั่วเฉิงกันก่อน รอให้ตระเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วค่อยเข้าไปที่ทุ่งหญ้าอัสดง” ผู้อาวุโสสามเอ่ยขึ้นมาหนึ่งประโยคเรียกให้ทุกคนเดินมุ่งไปทางโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง

โรงเตี๊ยมเป็นห้องที่จองเอาไว้ล่วงหน้า ไม่ได้เป็นโรงเตี้ยมที่ดีอะไรมาก หากแต่สะอาดและเย็นสบาย นี่ก็หลีกเลี่ยงการทะเลาะแย่งชิงที่ไม่มีความหมายไปได้บ้าง เมื่อเก็บของเข้าที่เข้าทางแล้ว ซางเสวี่ยอู่ก็ทิ้งซางอี้เฉินที่เอาแต่ถามเรื่องสถานการณ์ที่เมืองอูอิ๋นจนนางรำคาญ

เดินมาที่ด้านหน้าห้องของผู้อาวุโสสามเพียงลำพัง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายซางเสวี่ยอู่ก็ตัดสินใจเคาะประตูห้องผู้อาวุโสสาม

“ใคร?” แว่วเสียงผู้อาวุโสสามเอ่ยถามออกมาจากในห้อง

ซางเสวี่ยอู่ตอบรับกลับไป “ผู้อาวุโสสาม เป็นข้าเองเจ้าค่ะ เสวี่ยอู่”

“อ่อ เสวี่ยอู่หรือ เข้ามาสิ” พอได้ยินว่าเป็นเสวี่ยอู่ นํ้าเสียงของผู้อาวุโสสามก็เปลี่ยนไปสนิทสนมขึ้นมาบ้าง เสวี่ยอู่ผลักบานประตูเดินเข้ามาในห้อง ในจังหวะที่นางกำลังจะปิดประตูห้องบังเอิญถูกซางจื่อหลันเห็นเข้า ภายใต้ความสงสัยนางคิดที่จะแอบฟังแต่ก็กลัวว่าจะถูกจับได้ จึงเดินจากไปอย่างหงุดหงิด

“เสวี่ยอู่ มาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือ?” ผู้อาวุโสสามนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง รางกับกำลังเข้าฌาน

เสวี่ยอู่หลุบตาลง เอ่ยกับผู้อาวุโสสามว่า “รบกวนเวลาผู้อาวุโสสามฝึกยุทธ์เสียแล้ว”

ผู้อาวุโสสามโบกมือเอ่ยว่า “ไม่เป็นอะไร ข้าแค่นั่งสมาธิ ปรับสมดุลพลังเท่านั้น พูดมาเถอะมีเรื่องอะไร วันนี้ตอนที่พบเจ้า ข้าก็รู้สึกว่าเจ้ามีเรื่องในใจ”

ซางเสวี่ยอู่เม้มปาก เอ่ยกับผู้อาวุโสสามว่า “ผู้อาวุโสสาม ข้าพบอิ๋งชวนที่เมืองอูอิ๋น”

“อะไรนะ!” ดวงตาผู้อาวุโสสามกระตุก สะดุ้งพรวดจากเตียงด้วยความตกใจถลามาอยู่ตรงหน้าซางเสวี่ยอู่ เพียงแค่สองสามก้าว มองพิจารณานาง เอ่ยด้วยท่าที เปลี่ยนไปว่า “เขาไม่ได้ทำอะไรเจ้าใช่หรือไม่?”

อิ๋งชวนชื่นชอบซางเสวี่ยอู่ ไม่ใช่ความลับอะไรในตระกูลซางนานแล้ว

แต่ว่า ซางเสวียอู่เป็นความหวังของตระกูลซาง จะไปแต่งให้กับชายเจ้าสำราญได้อย่างไร?

“เปล่า แต่ว่าข้าตัดลิ้นของเขา ทำร้ายเขาไปครั้งหนึ่ง” ซางเสวี่ยอู่แบกรับความผิดไว้กับตนเอง

“เจ้าดัดลิ้นของเขา?” ผู้อาวุโสสามสีหน้าเปลี่ยนสี “เหตุใดเจ้าวู่วามเช่นนั้น?”

เขาเดินไปเดินมาในห้อง ด้วยความกระวนกระวาย รู้สึกวิตกแทนซางเสวี่ยอู่

อิ๋งชวนพบซางเสวี่ยอู่ เรื่องที่เขากังวลเป็นเรื่องแรกคือ ซางเสวี่ยอู่ถูกทำร้าย

เมื่อรู้ว่านางปลอดภัยดีไม่เป็นอะไร ทว่าตัดลิ้นของอิ๋งชวนและทำร้ายร่างกายไปอีก ทำให้เขาปวดหัวขึ้นมาทันที

เรื่องนี้หากว่าจัดการไม่รอบคอบ ก็เป็นไปได้ที่จะกระทบกับตระกูลซางทั้งตระกูล

ซางเสวี่ยอู่เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ “เขาวางยาข้า คิดจะล่วงเกิน ข้าไม่มีทางเลือกทำได้เพียงเอาตัวรอดเท่านั้น”

“เขาวางยาเจ้าเลยหรือนี่? เจ้าคนชั่วช้าตํ่าทราม!” พอผู้อาวุโสสามได้ยินว่าเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น สีหน้าก็ถมึงทึงลงมาหลายส่วน เข้าใจในทันทีว่าเหตุใดซางเสวี่ยอู่ที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมาโดยตลอด ครั้งนี้ถึงได้ลงมือโหดเหี้ยมเช่นนี้

ซางเสวี่ยอู่ดวงตาเป็นประกาย เอ่ยขึ้นเสียงเบา “ข้าเองก็รู้ว่าเรื่องนี้ข้ามุทะลุอยู่บ้าง ดังนั้นจึงได้มาหาผู้อาวุโสสามคิดหาวิธีชดใช้”

ผู้อาวุโสสามถอนหายใจเฮือกใหญ่ เอ่ยออกมาด้วยความเจ็บปวดอยู่บ้าง “นึกถึงความรุ่งโรจน์ของตระกูลซางในตอนแรกเริ่มอยู่ระดับใด? หากตอนนี้อำนาจของ ตระกูลซางยังมีอยู่ พบเจอเหตุการณ์เช่นนี้ แม้ว่าเจ้าจะแทงบุรุษเจ้าสำราญสมควรตายผู้นั้นลงในดาบเดียว ตระกูลซางของพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องต้องรับผิดชอบ ใดๆ แต่ว่าตอนนี้…”

เขาส่ายหน้ามีสีหน้าขมขื่น ดวงตาที่มองซางเสวี่ยอู่เต็มไปด้วยความรู้สึกเสียใจ “ลำบากเจ้าแล้ว เด็กน้อย” คำพูดประโยคนี้แอบซ่อนความผิดหวังและเจ็บปวด เท่าไร เกรงว่าจะมีเพียงคนตระกูลซางเท่านั้นที่รู้อยู่แก่ใจ สู้คนเขาไม่ได้ ทำได้เพียงก้มหัว!

“ผู้อาวุโสสามไม่ต้องรู้สึกผิด ตระกูลซางเลี้ยงดูข้าอบรมสั่งสอนข้ามา เป็นข้าที่ไม่ควรหาเรื่องเดือดร้อนมาให้ เป็นความผิดของเสวี่ยอู่เอง” เสวี่ยอู่เอ่ยขอโทษ

“ไม่ นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เจ้าทำถูกแล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้นรักษาความบริสุทธิ์ของตัวเจ้าเองถึงจะสำคัญที่สุด เพียงแต่ว่าตอนนี้เราต้องมาหาวิธีแก้ไข” ผู้อาวุโสสามยับยั้งความรู้สึกผิดของซางเสวี่ยอู่

เขาสงบนิ่งลงใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยกับซางเสวี่ยอู่ว่า “การล่าสัตว์ในครั้งนี้ เป็นเพราะกองกำลังหลิวเค่อหน้าใหม่กองหนึ่งปรากฎตัวขึ้น กองกำลังนี้แข็งแกร่ง มีหลายตระกูลที่เข้าหาพวกเขา คิดจะตีสนิทดูว่าสามารถดึงเข้ามาเป็นพวกได้หรือไม่ ตระกูลอิ๋งเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เมื่อพวกเราถึงทุ่งหญ้าอัสดงแล้วเกรงว่าคงได้เจอกับคนตระกูลอิ๋ง ก่อนที่จะมาข้าได้ยินว่าผู้นำตระกูลอิ๋งในครั้งนี้คืออิ๋งเจ๋อ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเรื่องที่อิ๋งชวนได้รับบาดเจ็บจะลอยเข้าหูเขาไปหรือยัง”

“อิงเจ๋อ?” ซางเสวี่ยอู่มีสีหน้าเปลี่ยนไป แววตาฉายความกังวลหนักขึ้น

หากผู้นำตระกูลอิ๋งในครั้งนี้เป็นผู้อื่น บางทียังมีหนทางอื่นให้เดิน แต่ถ้าเป็นอิ๋งเจ๋อ…

“อิ๋งเจ๋อเป็นคนถือตนในรุ่นเยาว์ด้วยกันเป็นคนที่มีคู่มือน้อยมาก แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีการประนีประนอม หากเขามาจัดการเรื่องนี้ เกรงว่าจะเป็นเรื่องร้าย มากกว่าเรื่องดี” ซางเสวี่ยอู่เอ่ยเสียงแผ่ว

ผู้อาวุโสสามพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “แน่นอนอยู่แล้ว หากผู้ที่มาเป็นผู้อาวุโสท่านอื่นของตระกูลอิ๋งแล้วล่ะก็ ข้าแบกหน้าพร้อมด้วยพกอาวุธไปนิดหน่อย ไม่แน่ว่า เรื่องนี้ก็ผ่านไปได้ แต่ว่าอิ๋งเจ๋อ…เฮ้อ ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ต้องลองดูสักตั้ง ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นน้องชายเขาทำผิดก่อน แม้ว่าอิ๋งเจ๋อจะหยิ่งทะนงไปบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นผู้ที่คุยกันด้วยเหตุผล”

“…” ซางเสวี่ยอู่เงียบไปไม่เอ่ยวาจา ในใจลอบเอ่ยขึ้นว่า ‘อิ๋งเจ๋อคุยกันด้วยเหตุผลเป็นเรื่องจริง แต่เหตุผลที่ว่านั้นเป็นเหตุผลของเขาเอง’

จำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง มีกองกำลังหลิวเค่อกองหนึ่ง ปะทะกับคนของตระกูลอิ๋ง อิ๋งเจ๋อผ่านมาเห็นเข้าเลยช่วยไกล่เกลี่ย เนื่องจากว่าเป็นบ่าวรับใช้ตระกูลอิ๋งหาเรื่องก่อน เขาจึงสะบั้นคอบ่าวรับใช้ผู้นั้น จากนั้นก็ท้ากองกำลังหลิวเค่อนั้นต่อสู้ทันที สังหารกองกำลังหลิวเค่อนั้นในหนึ่งกระบวนท่า

“เสวี่ยอู่อย่าได้กังวลใจไป บางทีเรื่องราวอาจไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เราคาดคิดก็ได้” ผู้อาวุโสสามเห็นซางเสวี่ยอู่ เงียบไปไม่พูดอะไรออกมาก็เอ่ยปลอบใจ

ซางเสวี่ยอู่ยิ้มให้ผู้อาวุโสสามน้อยๆ “เรื่องนี้ หลังจากที่เสวี่ยอู่กลับไปที่ตระกูล แล้ว จะไปรายงานกับท่านประมุข เรื่องที่ควรต้องรับผิดชอบจะไม่ปัดภาระโดยเด็ดขาด”

“เจ้าเด็กคนนี้ จริงจังขนาดนี้ทำไม?” ผู้อาวุโสสามแสร้งเอ่ยด้วยความไม่พอใจ

ซางเสวี่ยอู่ยิ้มอ่อน ไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก ผู้อาวุโสสามเอ่ยกับนางว่า “คืนนี้พักผ่อนให้ดี รอให้ผ่านไปสักหลายวันพวกเราถึงที่ทุ่งหญ้าอัสดงดีแล้ว ข้าก็จะไปพบคนตระกูลอิ๋ง แก้ไขเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด ขจัดเรื่องกังวลใจให้เจ้า”

เขาคิดว่า ซางเสวี่ยอู่อารมณ์ไม่ดีเพราะเรื่องนี้ ส่วนซางเสวี่ยอู่เองก็ไม่ได้อธิบาย เพียงแค่เอ่ยขอบคุณ แล้วก็เดินออกจากห้องผู้อาวุโสสามกลับห้องตนเอง

เมื่อนางกลับไปถึงห้อง สองมือของซางอี้เฉินก็หมอบอยู่บนโต๊ะด้วยท่าทีเบื่อหน่าย ใช้ปลายนิ้วหมุนคลึงถ้วยชาไปมา

พอเห็นนางกลับมาก็กระโดดรุดมาตรงหน้านางในทันที เอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าไปไหนมา? ทำลับๆ ล่อๆ แล้วก็ไม่ให้ข้าตามไปอีก”

“ข้าเพียงแค่ไปคุยธุระกับผู้อาวุโสสามมาก็เท่านั้น” ซางเสวี่ยอู่เอ่ยตอบให้ดูไม่มีอะไร

ซางอี้เฉินกลับเอ่ยขึ้นอย่างไม่ยอมปล่อยผ่าน “มีเรื่องอะไรที่ข้าฟังไม่ได้?”

ซางเสวี่ยอู่ถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง “ก็คือเรื่องที่ให้เจ้ารู้ไม่ได้”

ซางอี้เฉินชะงัก เดินมานั่งบนตำแหน่งที่นั่งก่อนหน้านี้ นั่งลงอย่างปึงปัง เขาเก็บสีหน้าไร้เดียงสา เอ่ยขึ้นอย่างเป็นการเป็นงาน “ซางเสวี่ยอู่ เจ้าต้องรู้ว่า ข้าเป็นบุรุษ เพียงคนเดียวในบ้าน ควรจะเป็นข้าที่ปกป้องเจ้าและท่านแม่ ไม่ใช่ให้เจ้าและท่านแม่มาปกป้องข้า”

“เจ้าเพียงแค่ฝึกพลังยุทธ์ สร้างเรื่องยุ่งให้ข้าและท่านแม่ลดลงหน่อยก็พอแล้ว” ซางเสวี่ยอู่เอ่ยอย่างเอือมระอา

“ข้าก็พยายามแล้ว! แต่ว่าข้าไม่มีพรสวรรค์ในการหลอมศาสตรา จะให้ข้าทำอย่างไร?” ซางอี้เฉินตะโกนออกมาเสียงดัง

ซางเสวี่ยอู่มองหน้าเขาสีหน้ายุ่งเหยิง รอให้เขาระบายความอัดอั้นในใจออกมาแล้ว นางจึงได้เอ่ยด้วยนํ้าเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าหลอมศาสตราไม่ได้ก็ยังมีข้า เจ้าก็รู้ว่าข้าและท่านแม่คาดหวังว่าเจ้าจะทุ่มเทในการฝึกพลังยุทธ์ให้มาก ที่จริงพรสวรรค์ในการฝึกพลังของเจ้าดีกว่าข้ามาก แต่กลับไม่แน่วแน่จริงจัง”

ซางอี้เฉินสีหน้าเคร่งขรึม ค่อยๆ กำหมัด “พวกเราเกิดในตระกูลซาง การที่จะได้รับการเคารพยกย่องจากคนทั้งหมดได้ ไม่สามารถอาศัยแค่เพียงระดับพลังยุทธ์ ที่สำคัญที่สุดยังเป็นเรื่องของพรสวรรค์ในการหลอมศาสตรา ไม่เช่นนั้นแล้วต่อให้ระดับพลังยุทธ์ของข้าดีแค่ไหนสำหรับตระกูลซางแล้วก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ ข้าเองก็อยากทุ่มเทเป็นเรี่ยวแรงหนึ่งของตระกุลซาง!”

“อี้เฉิน ความคิดของเจ้าข้าเข้าใจดี แต่ว่ามีบางเรื่องฝืนไปก็ไม่ได้มา อย่างไรซะเราทำเรื่องที่เราสามารถทำได้จะดีกว่า” ซางเสวี่ยอู่ปลอบ

ซางอี้เฉินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สุดท้ายก็พยักหน้า เขาแย้มยิ้มขึ้นมาเอ่ยกับซางเสวี่ยอู่ด้วยความตื่นเต้นยินดี “ข้าทะลวงถึงถึงระดับพลังชั้นสีเทาขั้นหกแล้ว ยังไม่ได้บอกใคร”

แววตาซางเสวี่ยอู่เป็นประกาย เอ่ยชื่นชมยินดี “จริงหรือ?”

นางบอกแล้วว่าพรสวรรค์ของซางอี้เฉินสูงกว่านาง

ซางอี้เฉินพยักหน้า “ย่อมเป็นเรื่องจริง”

ซางเสวี่ยอู่ยิ้มชื่นใจ

ซางอี้เฉินเห็นรอยยิ้มของนาง ก็เอ่ยขึ้นอย่างเก้ๆ กังๆ ว่า ”ข้าเข้าใจความหมายของเจ้ากับท่านแม่ว่าต้องการปกป้องข้า เพื่อให้ข้ามีสภาพแวดล้อมในการฝึกพลัง ยุทธ์ที่ไม่ต้องถูกรบกวน แต่ว่าไม่ผ่านการลับให้แหลมคมแล้วจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่จริงๆ ได้อย่างไร?”

ความเอาใจใส่ทั้งหมดถูกซางเสวี่ยอู่รับเอาไว้คนเดียว เขาซางอี้เฉินคนนี้ถูกละเลย แต่กลับไม่มีผู้ใดรู้ว่าแม้เขาจะไม่สามารถหลอมศาสตราได้ แต่ว่าพรสวรรค์เรื่องการฝึกพลังยุทธ์กลับไม่ด้อยไปกว่าซางเสวี่ยอู่เลยแม้แต่น้อย

“ท่านแม่เคยบอกว่า ตระกูลซางแสดงตัวผู้มีความสามารถเพียงผู้เดียวก็เพียงพอ” ซางเสวี่ยอู่เอ่ยพลาง มองหน้าซางอี้เฉินอย่างจริงจัง

เงียบไปครู่หนึ่ง นางก็เอ่ยขึ้นมาอีกว่า “อี้เฉิน เจ้าอยากออกไปผจญภัย ข้าและท่านแม่ต่างเข้าใจดี แต่ว่าพวกเราเสียท่านพ่อไปแล้ว เสียเจ้าไปอีกไม่ได้”

“ข้ารู้แล้ว” ซางอี้เฉินทอดถอนใจไร้เสียง ประนีประนอมขึ้นใหม่

“ใช่แล้ว เจ้าไปเมืองอูอิ๋นได้โอสถจักพรรดิมาหรือไม่?” เมื่อนึกขึ้นได้ถึงจุดประสงค์ที่ซางเสวี่ยอู่เดินทางไปเมืองอู๋อิ๋น ซางอี้เฉินก็เอ่ยถามขึ้นเบาๆ

เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในครอบครัวของเขา ตระกูลซางคนอื่นๆ ล้วนไม่รู้เรื่อง

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ รอยยิ้มของซางเสวี่ยอู่ก็กดลึก พยักหน้า

“ดีมากเลย! นี่เท่ากับว่าไม่ต้องเห็นท่านแม่นอนไม่หลับเพราะความเป็นกังวลแล้ว มีโอสถจักพรรดิ เวลาของพวกเราก็มีเพิ่มขึ้นไม่น้อย” ซางอี้เฉินเองก็ตื่นเต้นขึ้นมา

“ไม่เพียงเท่านี้ ครั้งนี้ที่ข้าไปเมืองอู๋อิ๋นยังได้พบกับคนผู้หนึ่ง เขา…” อารมณ์ตื่นเต้นของซางเสวี่ยอู่ชะงักลงทันควัน กลืนคำพูดข้างหลังลงไป

“ใครกัน? เจ้าพบใครมา?” ซางอี้เฉินกลอกสายตาเอ่ยถามด้วยความสงสัย

ทว่าซางเสวี่ยอู่กลับส่ายหน้า รอยยิ้มค่อยๆ เลือนหาย แววตาสับสนเอ่ยขึ้นว่า “ยังไม่แน่ใจ ยังไม่บอกเจ้าก่อนแล้วกัน”

“อะไรที่เรียกว่ายังไม่แน่ใจเลยยังไม่บอกข้า? เพ่ย ซางเสวี่ยอู่ มายั่วให้ผู้อื่นอยากรู้แล้วก็จากไป ข้าไม่สนใจเจ้าแล้ว!” ซางอี้เฉินเอ่ยด้วยความไม่พอใจ

ซางเสวี่ยอู่กลับเดินไปข้างเตียงอย่างหงุดหงิด เอ่ยอย่างไม่เกรงใจเขาว่า “ไสหัวกลับห้องเจ้าไป ข้าจะพักผ่อนแล้ว”

“เจ้าจะรังแกกันเกินไปแล้ว!” ซางอี้เฉินกำถ้วยชาในมือ กระแทกลงบนโต๊ะอย่างแรงแสดงให้เห็นว่าตนเองไม่พอใจ

ทันใดนั้นซางเสวี่ยอู่ก็หยุดเท้า หันกลับมามองซางอี้เฉิน แล้วเอ่ยถามว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนั้นที่ท่านแม่หลอมยุทธภัณฑ์…” พอพูดออกมาครึ่งหนึ่ง นางก็ชะงักไปอีก ส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ช่างมันเถอะ เรื่องที่ข้าเองก็ไม่รู้ เจ้าเองก็น่าจะไม่รู้ เจ้าไปพักผ่อนเถอะ”

ถูก ‘แกล้ง’ ติดต่อกันสองครั้ง ซางอี้เฉินโกรธจนแทบจะกระอกเลือด

แต่ว่า ภายใต้สายตาเฉียบขาดของซางเสวี่ยอู่ เขาก็จำต้องออกจากห้องนางอย่างเสียมิได้

ตระกูลซางพักอยู่ที่เมืองหลิวหั่วเฉิงสามวัน

สามวันนี้ พวกเขาตระเตรียมสิ่งของที่ต้องใช้ที่ทุ่งหญ้าอัสดงและเทือกเขาซางหลานไว้อย่างเพียบพร้อม

หลังจากนั้น พวกเขาก็ออกเดินทางภายใต้การนำของผู้อาวุโสสาม มุ่งหน้าไปทุ่งหญ้าอัสดงที่อยู่ห่างไกลนับพันลี้ ในขณะที่ตระกูลซางมุ่งหน้าไปทุ่งหญ้าอัสดง มู่ชิงเกอก็พาคนไปถึงทุ่งหญ้าอัสดงก่อนแล้วก้าวหนึ่ง

ทุ่งหญ้าอัสดง กว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา

ยืนอยู่ในนั้นมองไม่เห็นอีกฟากหนึ่ง มีคนกล่าวว่าหากต้องการข้ามผ่านทุ่งหญ้าอัสดง เกรงว่าจะต้องเดินทางโดยไม่หยุดพักเป็นสิบวัน ห่างไกลออกไปภาพขุนเขารางๆ ราวกับมังกรร้อยรัด ที่แห่งนั้นคือเทือกเขาซางหลานที่ไกลสุดลุกหูลูกตายิ่งกว่าทุ่งหญ้าอัสดง

ทุ่งหญ้าอัสดงเป็นเพียงเขตตั้งค่ายของการล่าสัตว์

สนามแข่งขันที่แท้จริงคือเทือกเขาซางหลาน

“โอ่อ่ายิ่งใหญ่จริงๆ!” สายตากระจ่างใสของหยวนหยวนทอดมองทุ่งหญ้าที่ไกลสุดลูกหูลูกตา เอ่ยขึ้นด้วยความตระหนก

เขานับเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่ม และก็เป็นผู้ที่ร่าเริงแจ่มใสที่สุด ด้านหลังของเขาคือมู่ชิงเกอในชุดอาภรณ์สีแดงยืนอยู่ และด้านหลังของมู่ชิงเกอเป็นหยินเฉิน ไป๋สี่ เสวี่ยหยา เซวี่ยนหย่า ฮวาเยวี่ย และเซวี่ยนขุยยืนตามลำดับ

ในมือของมู่ชิงเกออุ้มกระต่ายน้อยลักษณะพิเศษตัวหนึ่งเอาไว้ กระต่ายตัวนั้นที่ใบหูแหลมคม ที่ไม่เหมือนกับขนขาวหิมะของมันก็คือขนที่หูของมันที่เป็นสีดำ นอกจากนี้ แล้วมันยังมีดวงตาสีแดงราวเปลวเพลิงแผดเผาอยู่คู่หนึ่ง

“นายท่าน ปล่อยข้าลงไป ข้าจะไปหาอะไรเข้าท้องในหุบเขาข้างหน้านี้ กินอิ่มแล้วข้าจะกลับมาเอง” โห่วเอ่ยบอกมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอลูบขนหลังคอมันเบาๆ หรี่ตาลงระบายยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ได้คิดหนี?”

โห่วแค่นเสียงขึ้นจมูก “โง่เง่า ข้ามีพันธสัญญากับเจ้า ไม่สามารถอยู่ห่างเจ้าได้ไกล พอเจ้าเรียกข้าก็ต้องกลับมา จะหนีไปไหนได้? อีกอย่าง ข้ายังไม่อยากตาย ดังนั้นทำได้เพียงเฝ้าเจ้าไว้ไม่ปล่อยให้เจ้าตาย”

มู่ชิงเกอพยักหน้า “พูดมีเหตุผล”

พูดจบนางก็คลายมือออก โห่วตกลงบนพื้นหญ้าอย่างไม่ทันได้เตรียมตัว

มันกลิ้งไปหนึ่งตลบก่อนจะลุกขึ้นมาถลึงตาใส่มู่ชิงเกออย่างมีโทสะ แต่นางกลับยิ้มให้และบอกมันว่า “ไปสิ รีบไปรีบกลับ”

โห่วโมโหกัดฟันกรอด แต่ก็ไม่มีปัญญาทำอะไรได้ ทำได้เพียงส่งเสียงคำราม ก่อนจะผลุบเข้าไปในทุ่งหญ้าอย่างรวดเร็ว

ครืน ครืน!

“เหตุใดฟ้าร้องกลางวันแสกๆ?”

“นั่นสิ เสียงอะไรน่ะดังขนาดนี้?”

เสียงร้องของโห่ว ดังจนผู้คนที่อยู่บริเวณโดยรอบสะดุ้งตกใจ

มู่ชิงเกอหัวเราะเบาๆ กวักมือเรียกทุกคน “ไปเถอะ”

พูดจบ นางก็ก้าวเท้าเดินนำเข้าไปในทุ่งหญ้าอัสดง คนอื่นๆ ก็ตามไปติดๆ

ในทุ่งหญ้าอัสดงมีกระโจมตั้งเรียงรายกันเป็นทิวแถว แบ่งแยกกันอย่างชัดเจน ล้วนเป็นพื้นที่ของกองกำลังหลิวเค่อกลุ่มต่างๆ เป็นเขตค่ายชั่วคราว

กลุ่มมู่ชิงเกอเดินผ่านกระโจมต่างๆ ลึกเข้าไปในทุ่งหญ้าอัสดงอย่างต่อเนื่อง

กลุ่มมั่วหยางมาถึงที่นี่ตั้งนานแล้ว รู้ว่ากลุ่มมู่ชิงเกอจะมา ก็ทำสัญลักษณ์ระบุตำแหน่งบอกนาง

“เซวียนซุย” มู่ชิงเกอเดินไป จู่ๆ ก็ตะโกนเรียก

เซวี่ยนซุยก้าวเท้ายาวๆ สองก้าวเดินไปอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอทันที

มู่ชิงเกอยกมุมปากเอ่ยถามขึ้นหนึ่งประโยคว่า “เจ้า ตัดสินใจดีแล้ว ไม่เสียใจทีหลังแน่นะ?”

เซวี่ยนซุยย่อมรู้ดีว่านางพูดถึงเรื่องไหน รีบเอ่ยว่า “นายน้อยโปรดวางใจ เซวี่ยนซุยไม่มีทางเสียใจภายหลังแน่นอน จากนี้เป็นต้นไป นายท่านของเซวี่ยนซุยมีเพียงมู่ชิงเกอ ไม่ใช่นายน้อยตระกูลมู่!”

ท่าทีที่เขาแสดงออกมาอีกครั้ง ยิ่งทำให้รอยยิ้มมุมปากมู่ชิงเกอกลายเป็นขี้เล่นขึ้นมา “ข้าแปลกใจมาก อะไรทำให้เจ้าตัดสินใจ”

เซวี่ยนขุยหัวเราะเหนียมอาย เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “พี่สาวบอกว่า ท่านไม่มีทางแพ้”

มู่ชิงเกอชะงัก เงยหน้าขึ้นหัวเราะออกมาทันที เสียงหัวเราะของนางกังวานแบบที่สตรีทั่วไปไม่มี ทว่ากลับมีเสน่ห์ดึงดูดใจผู้คน

เสียงหัวเราะของนางไม่เพียงแต่เป็นจุดสนใจในกลุ่มตนเอง ยังเป็นจุดสนใจของกองกำลังหลิวเค่อโดยรอบอีกด้วย

พวกเขาเห็นแค่เพียงคุณชายรูปงามในชุดอาภรณ์สีแดงสด เดินผ่านไปช้าๆ ด้วยความสง่าผ่าเผย บุคลิกองอาจ นั่นแทบจะไม่มีผู้ใดสามารถเทียบได้ อดไม่ได้ที่จะ เหลือบมองอยู่บ่อยๆ พากันคาดเดาว่าเป็นคุณชายบ้านไหน

“นายน้อย ข้าพูดอะไรน่าขำหรือ?” เซวี่ยนขุยเกาหัวอย่างไม่เข้าใจ

มู่ชิงเกอหยุดเสียงหัวเราะ หันกลับมามองเซวี่ยนหย่าแวบหนึ่ง ก่อนจะกลับไปมองเซวี่ยนขุย รอยยิ้มไม่ลดลง เอ่ยขึ้นว่า “แม้ว่าสายตาของเจ้าจะดี แต่แววตายังสู้พี่สาวไม่ได้ นางพูดถูกว่าข้าไม่มีทางแพ้!”

แต่ชนะแล้ว ข้าจะรับตำแหน่งนายน้อยตระกูลมู่อะไรนั้นหรือไม่ก็ยังไม่แน่นอน

มู่ชิงเกอเสริมทับอยู่ในใจหนึ่งประโยค

คำพูดของเซวี่ยนหย่านางเข้าใจดี ความหมายก็คือนางไม่มีทางแพ้ ดังนั้นทางเลือกที่ให้เซวี่ยนขุยไม่มีทางเกิดขึ้น นางจะเป็นนายน้อยของพวกเขาตลอดไป

แต่ว่าเซวี่ยนหย่ากลับไม่เข้าใจ ว่าตัวนางไม่ได้เดินตามทางที่บรรพบุรุษตระกูลมู่วางไว้

สิ่งที่นางต้องการมีเพียงเคล็ดวิชาเทวะ!

มู่ชิงเกอดวงตาเป็นประกายหรุบลง

จ้องมองภาพหลังตั้งตรงของมู่ชิงเกอแล้ว เซวี่ยนขุยยังคงมึนงง เวลานี้เองเซวี่ยนหย่าก็เดินมาอยู่ข้างๆ เขา เอ่ยบอกเขาว่า “เจ้าทึ่มนี่ นายน้อยหมายความว่าจะ อบรมเจ้า เจ้าอย่าได้ผิดต่อความคาดหวังของนายน้อย”

เซวี่ยนขุยพยักหน้าเอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่มีทางทำให้นายน้อยผิดหวังแน่นอน”

“ยังไม่รีบตามนายน้อยไปอีก?” เซวี่ยนหย่าเอ่ยส่งสัญญาณ

เซวี่ยนขุยรีบตามไปทันที

เสวี่ยหยาเดินมาอยู่ข้างๆ เซวี่ยนหย่า เอ่ยบอกนางเสียง เบาๆ ว่า “หากพี่สาวลดการวางแผนเพื่อตระกูลตนเองลงสักนิด ข้าคิดว่านายน้อยคงไม่เอ่ยถามคำถามเช่นนี้กับเซวี่ยนขุย”

พูดจบนางก็เดินตามหลังมู่ชิงเกอไป

เซวี่ยนหย่าชะงัก คิดทบทวนคำพูดของเสวี่ยหยาอยู่ในใจ ไป๋สี่เดินมาอยู่ข้างๆ นาง ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “แม่นางเซวี่ยนหย่า เจ้าวางแผนการเพื่อตระกูลของเจ้าไม่ใช่เรื่องผิด แต่ว่าเจ้าเองก็อย่าได้ละเลยสิ่งสำคัญ ต้องรู้ว่าชิงเกอเป็นนายน้อยของเจ้า เพียงแค่เจ้าทุ่มเทสุดความสามารถ รอให้ประสบความสำเร็จแล้ว ตระกูลของเจ้า ไม่มีทางถูกลืมแน่นอน หากเจ้ายังเอาแต่คิดเรื่องส่วนได้ส่วนเสียของคนในตระกูลอยู่ ไม่รับใช้อย่างเต็มที่ แล้วจะได้รับความไว้วางใจจากเขาได้อย่างไร?”

คำพูดของไป๋สี่ราวกับการดื่มเหล้าหมดจอกก็ไม่ปานพา ให้เซวี่ยนหย่าสะดุ้งตื่น

นางมองไป๋สี่ด้วยแววตาตื้นตัน เอ่ยขอบคุณแล้วจึงเดินหน้าไป

“เจ้าดูไม่เหมือนผู้ที่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่น” หยินเฉินเอ่ยกับไป๋สี่

ไป๋สี่กลับเอ่ยว่า “จู่ๆ ข้าก็ไม่อยากไปอยู่กับองครักษ์ เขี้ยวมังกรแล้ว ข้าไม่วางใจปล่อยให้ชิงเกออยู่คนเดียว”

ก่อนหน้านี้ที่คิดจะจากไปก็เพราะกลัวโห่ว แต่มาวันนี้ นางทำพันธสัญญากับมู่ชิงเกอแล้ว เป็นสัตว์อสูรพันธสัญญากับนางเช่นเดียวกับโห่ว ก็ไม่จำเป็นที่ต้องกังวล เรื่องความปลอดภัย

เห็นมู่ชิงเกอถูกเรื่องไม่เป็นเรื่องในแต่ละวันกวนใจ นางก็ไม่อยากจะจากไป

หยินเฉินมองหน้านางแวบหนึ่ง เอ่ยบอกนางว่า “เมื่อวานชิงเกอบอกกับข้าแล้วว่า ต่อไปให้ข้ากับเจ้าสลับกัน มาอยู่ข้างกายนางดังเช่นโย่วเหอ ฮวาเยวี่ย”

“จริงหรือ?” ไป๋สี่ดวงตาเป็นประกาย

หยินเฉินพยักหน้า “รอให้การล่าสัตว์จบลง ข้ากับฮวาเยวี่ยอยู่ต่อกับองครักษ์เขี้ยวมังกร เจ้ากับโย่วเหอดูแลนางต่อไป แน่นอนว่าเจ้าอยากจะอยู่ต่อก็ได้ ข้าไม่แย่ง กับเจ้า”

“ไม่ต้องหรอก ข้าคิดว่าการตัดสินใจของชิงเกอดีที่สุด” ไป๋สี่รีบตอบ

มู่ชิงเกอเดินทางคนเดียว แต่ละคนภายนอกโดดเด่น ไม่ว่าจะหญิงหรือชายล้วนมีบุคลิกสูงส่ง เดินทางในทุ่งหญ้าอัสดงกลายเป็นทัศนียภาพงดงามชวนมอง นำมา ซึ่งสายตาเหลือบมองจากใครหลายๆ คน

โดยเฉพาะมู่ชิงเกอที่เดินอยู่ด้านหน้า นางไม่เพียงมีรูปลักษณ์ที่โดดเด่น ที่สำคัญคือบุคลิกที่ทำให้ผู้คนยากที่จะมองผ่านไป

นางเดินทอดน่องก้าวเท้าด้วยความเชื่อมั่นไปบนทุ่งหญ้าอัสดง ราวกับกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนดอกไม้หลังบ้านตนเอง ท่าทีเกียจคร้าน สง่างดงามเป็นสิ่งที่ใครก็เลียนแบบไม่ได้

ไม่นาน นางก็ได้รับสายตาชื่นชมจากบรรดากองกำลังหลิวเค่อที่เป็นสตรี

“ลูกพี่ พวกนางกำลังแอบมองท่านอยู่” หยวนหยวนกระซิบกระซาบกับมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอยักคิ้วให้เขา เอ่ยกลั้วหัวเราะ “เจ้าก็เดินอยู่ด้วยกันกับข้า รู้ได้อย่างไรว่าพวกนางไม่ได้กำลังมองเจ้า?”

เอ๊ะ…

หยวนหยวนชะงักไป ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจทันที “ฮ่าฮ่าฮ่า เช่นนั้นก็กำลังมองคุณชายน้อย!”

พูดจบ เขาก็ยืดอกไม่ปฏิเสธสายตาชื่นชมที่ลอยไปลอยมาเหล่านั้น

ไม่นาน เขาก็กลายเป็นหัวข้อสนทนาของบรรดากองกำลังหลิวเค่อที่เป็นสตรี

“ดูเร็ว หนุ่มน้อยผู้นั้นหน้าตางดงาม อยากจะนำเขากลับบ้านไปเลี้ยงเป็นน้องชายจริงๆ เลย!”

“เลี้ยงเป็นน้องชาย? ข้ามองว่าเจ้าคิดจะเลี้ยงสามีให้ตนเองมากกว่า?”

“อย่าพูดส่งเดช เดี๋ยวไก่จะตื่นเอา”

เสียงหัวเราะอย่างมีจริตจะก้านแว่วมาจากรอบด้าน บทสนทนาเหล่านั้นลอยแว่วเข้าหูหยวนหยวน ทว่าเขากลับฟังแล้วรู้สึกอึดอัด พรวดมาถามต่อหน้ามู่ชิงเกอ “ลูกพี่ อะไรคือสามี? เหมือนท่านกับท่านพ่อแบบนั้นใช่หรือไม่?”

“แค่ก แค่ก” มู่ชิงเกอเกือบถูกความสงสัยของหยวนหยวนทำเอาแทบสำลักตาย นางแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง ตีหน้ากล่าวว่า “เด็กน้อย ไม่ต้องสงสัยไปเสียทุกเรื่อง”

“ข้าไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว!” หยวนหยวนเอ่ยขัดขึ้นอย่างไม่พอใจ

มู่ชิงเกอมุมปากกระตุก เอ่ยแค่ว่า “แค่คำพูดไร้สาระเท่านั้น เจ้าไม่ต้องสนใจ”

นางไม่ปรารถนาที่จะบอก หยวนหยวนก็ทำได้เพียงปล่อยไป แต่สายตาของเขาเหมือนจะคิดอะไรขึ้นได้ในทันทีว่า “ลูกพี่ไม่ปรารถนาจะเอ่ย ข้าไปถามคนอื่นดูก็ ได้”

เขาลอบยิ้ม พรวดไปอยู่ข้างกายหยินเฉินรวดเร็วปานหมอกควัน

และในเวลานี้เอง หัวข้อสนทนาบริเวณรอบๆ ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง

ครั้งนี้หมุนรอบตัวมู่ชิงเกอ “คุณชายอาภรณ์สีแดงหน้าตาหล่อเหลา เรียกได้ว่างาม จนสตรีเช่นเรายังริษยา หากสามารถร่วมคํ่าคืนวสันต์กับเขาสักครั้ง ให้ข้าไปตายก็ยินยอมพร้อมใจ”

“พอได้แล้ว สภาพเจ้าเช่นนี้? กลัวว่าคุณชายจะอาเจียนน่ะสิ!”

เสียงหัวเราะขบขันดังขึ้นมาทั้งสี่ด้าน วาจาและการกระทำของสตรีกองกำลังหลิวเค่อเมื่อเทียบกับสตรีในตระกูลทั่วไปแล้วจะใจกล้ามากกว่า แน่นอนว่าเกี่ยวกับ สภาพแวดล้อมที่พวกนางเติบโตมา

“พอแล้ว อย่าฝันไป ไม่เห็นปีศาจจิ้งจอกที่อยู่ข้างกายคุณชายหรือ แต่ละนางหน้าตาสะสวย มีเสน่ห์เย้ายวน งดงามสูงส่ง จะมามองเห็นพวกเราที่วันๆ เลือดอาบมีดดาบได้อย่างไร?”

“เฮ้อ แค่ฝันไหมล่ะ หากว่าแค่ฝันยังทำไม่ได้ คืนวันเหล่านี้ก็ยากที่จะผ่านไปได้แล้ว” พูดแล้วบรรยากาศก็เศร้าหดหู่ขึ้นมาบ้าง

สตรีเพศในกองกำลังหลิวเค่อมีจำนวนน้อยมาก สตรีเพศที่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในกลุ่มกองกำลังหลิวเค่อก็เป็นผู้ที่ใจแข็งเฉียบขาด สามารถทอดถอนใจออกมาเช่นนี้ได้ก็ทำให้ผู้อื่นสัมผัสความปรารถนาในใจพวกนางได้

แต่น่าเสียดายความปรารถนายังไงก็เป็นเพียงความปรารถนา พวกนางยังต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลกความเป็นจริง

หัวข้อสนทนาเหล่านี้ไม่เล็ดรอดผ่านหูมู่ชิงเกอไป นางได้ยินแต่ไม่ได้อธิบายอะไร เพราะว่าไม่มีความจำเป็น

เดินมาเป็นชั่วยาม กลุ่มมู่ชิงเกอก็มาถึงบริเวณใกล้เคียงกับที่มั่วหยางบอกเอาไว้

เซวี่ยนขุยกวาดตามองไปรอบๆ กระโจมฝั่งนี้น้อยลงมาก แต่ว่าก็ใหญ่กว่ามาก

“นายน้อย ให้ข้าไปถามว่าเขตค่ายขององครักษ์เขี้ยวมังกรอยู่ไหนเถอะ” เซวี่ยนขุยเอ่ยกับมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอกลับส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ต้อง ตามข้ามา”

พูดจบ นางก็เดินไปทางเนินเขาที่สูงขึ้นมา

เซวี่ยนขุยเอ่ยด้วยความสงสัยระคนประหลาดใจ “นายน้อย เหตุใดท่านถึงได้เดินไปทางเนินเขา?”

มู่ชิงเกอหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้นว่า “พวกเขาล้วนเกิดมาเป็นทหาร ทักษะเรื่องของการจัดค่ายทหารย่อมชำนาญกว่าคนอื่นๆ การตั้งค่ายทหารที่ปลอดภัยต้องหาภูมิประเทศที่สูง เฝ้าระวังง่ายยากต่อการถูกโจมตี มีแหล่งนํ้า มีทางหนีทีไล่ แม้ว่าตอนนี้ไม่ใช่การตั้งค่ายสู้รบ แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนฝังลึกเข้าไปถึงกระดูก ยากที่จะเปลี่ยนได้โดยง่าย”

ในขณะที่พูด มู่ชิงเกอก็พาทุกคนมาอยู่ด้านหน้าเนินเขา บนเนินเขามีค่ายขนาดใหญ่อยู่จริงด้วย อีกทั้งมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย มีกระทั่งแตรส่งสัญญาณ หอ สังเกตการณ์ คูนํ้าป้องกันศัตรู กรวดทรายป้องกันไฟไหม้ ตระเตรียมได้เพียบพร้อมครบครัน

เดินขึ้นไปบนเนินเขา ประตูไม้แข็งแรงทนทานบานหนึ่ง สูงสามจั้งปรากฏสู่สายตา ด้านข้างประตูไม้ทั้งสองข้างปักธงน่าเกรงขาม พื้นสีดำทมิฬปักลายหัวมังกรดิ้นทอง มังกรแยกเขี้ยวคำรามใส่ผืนฟ้า ดวงตาสีเลือดแฝงประกายสังหาร

นี่คือธงของ ‘องครักษ์เขี้ยวมังกร’ เคยปรากฏที่หลินชวน บัดนี้มาโบกสะบัดบนแผ่นดินของโลกแห่งยุคกลาง

ข้างๆ ธงเป็นหอสังเกตการณ์ สามารถมองเห็นสถานการณ์ของทุ่งหญ้าอัสดงได้ทั้งหมด

เวลานี้เองด้านนอกประตูไม้ที่ปิดสนิทก็เบียดเสียดไปด้วยผู้คนจำนวนหนึ่ง บนร่างของพวกเขาแฝงรังสีฆ่าฟัน ดูแล้วล้วนมีท่าทีโหดเหี้ยมราวกับข้ามกองซากศพ มานับไม่ถ้วน พวกเขาปรากฏตัวอยู่ด้านนอกค่ายขององครักษ์เขี้ยวมังกรทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกคาดไม่ถึงอยู่บ้าง ประตูใหญ่ปิดสนิทแต่พวกเขาก็ไม่ปรารถนาจะจากไป คล้ายกับรอเวลาประตูใหญ่เปิดออก

“คนพวกนี้มาออกันทำอะไรที่นี่?” ฮวาเยวี่ยขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น

เวลานี้องครักษ์เขี้ยวมังกรที่ยืนเวรอยู่บนหอสังเกตการณ์ สังเกตเห็นกลุ่มพวกมู่ชิงเกอ รีบหันหลังกลับเข้าไปแจ้งในค่ายด้วยความตื่นเต้น

ไม่นานประตูใหญ่ที่ปิดสนิทขององครักษ์เขี้ยวมังกรก็เปิดออกช้าๆ ท่ามกลางความแปลกใจระคนสงสัยของกองกำลังหลิวเค่อที่อยู่ด้านนอก องครักษ์เขี้ยวมังกรขบวนหนึ่งเดินออกมาอำนวยความสะดวกเส้นทางอย่างรวดเร็ว เอ่ยกับกองกำลังหลิวเค่อเหล่านั้นว่า “พวกเราองครักษ์เขี้ยวมังกรไม่รับแขก พวกเจ้ากลับกันไปเถอะ ไม่ต้องเสียเวลารอ”

พอเขาพูดจบ มั่วหยางก็ปรากฏตัวตรงเข้ามาหามู่ชิงเกอ

“นั่นคือหัวหน้าขององครักษ์เขี้ยวมังกร”

“อายุยังน้อยอยู่เลย!”

“อายุน้อยเพียงนี้ กลับสามารถสร้างองครักษ์เขี้ยวมังกรที่แข็งแกร่งขนาดนี้ได้ช่างร้ายกาจจริง!”

เสียงวิจารณ์ดังขึ้นตามการปรากฏตัวของมั่วหยาง ทว่า เขาเห็นแล้วแต่ไม่สนใจ ตรงไปต้อนรับมู่ชิงเกอ

“คุณชาย!” มั่วหยางเอ่ยด้วยความปิติยินดี

ตามด้วยส่งสายตากวาดตามองเพื่อนใหม่

เมื่อเขามองเห็นหยวนหยวนก็ตะลึงไปครู่หนึ่ง เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “เจ้าคือหยวนหยวน?” เขาจำหยวนหยวนได้ก็เพราะว่าโย่วเหอและจิงไห่ที่เดินทางมาถึงก่อนหน้านี้ได้บอกกับเขา

“มั่วหยาง ท่าทางคุณชายน้อยเป็นอย่างไรบ้าง? หล่อเหลาใช่ไหม!” หยวนหยวนกระโดดมาอยู่ตรงหน้ามั่วหยางด้วยความพึงพอใจ ยื่นมือมากุมไหล่ของเขา

มั่วหยางหลุบตาลง ตอบรับว่า “อืม งามมาก”

หยวนหยวนสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เอ่ยถามขึ้นว่า “อะไรเรียกว่างามมาก! ใช้คำว่างามมาบรรยายคุณชายน้อยอย่างนั้นหรือ?”

น่าเสียดายที่มั่วหยางไม่ได้สนใจหยวนหยวน เพียงแค่มองมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยว่า “คุณชาย ข้าได้เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว เข้าไปพักผ่อนในค่ายเถอะขอรับ”

มู่ชิงเกอพยักหน้า เดินเข้าไปในค่ายพร้อมกับมั่วหยาง ตอนที่นางเดินผ่านกองกำลังหลิวเค่อก็กวาดตามองและเอ่ยกับมั่วหยางว่า “จัดการให้ดี”

มั่วหยางพยักหน้าเข้าใจ

เมื่อพวกเขาเดินเข้ามาในค่ายเขี้ยวมังกร ประตูใหญ่ก็ปิดลงอีกครั้ง

บรรดากองกำลังหลิวเค่อเหล่านั้นเกิดความสงสัย อดไม่ได้ที่จะตะโกนถามองครักษ์เขี้ยวมังกรที่ยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์ “คนผู้นั้นเป็นใคร? เหตุใดจึงสามารถเข้าไปในค่ายเขี้ยวมังกร?”

ราวกับว่าในใจพวกเขา การเข้าไปในค่ายเขี้ยวมังกรเป็นเกียรติอย่างสูง

องครักษ์เขี้ยวมังกรที่ยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์ เอ่ยขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ “เขา? บนโลกนี้ไม่มีผู้ใดมีคุณสมบัติเข้ามาที่นี่ได้เท่าเขาอีกแล้ว”

คำตอบนี้ ทำให้บรรดากองกำลังหลิวเค่อคิดไปไกล

“ผู้อาวุโสสาม ราวกับว่าคนตระกูลอิ๋งอยู่ข้างหน้านี้เอง” ซางเสวี่ยอู่เอ่ยกับผู้อาวุโสสาม

พวกเขาเดินทางมาถึงทุ่งหญ้าอัสดงแล้ว ตอนแรกคิดว่าหลังจากที่ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วค่อยไปหาค่ายตระกูลอิ๋ง จัดการเรื่องอิ๋งชวน แต่ว่าด้านหน้าที่ไม่ไกลจากพวกเขาปรากฏธงของตระกูลอิ๋ง

เห็นได้ชัดว่า คนตระกูลอิ๋งเองก็เพิ่งเข้ามาถึงทุ่งหญ้าอัสดง ทว่าโชคไม่ดีกลับพบกับพวกเขาโดยบังเอิญ

ดวงตาผู้อาวุโสสามหม่นหมองอยู่บ้าง

เขาครุ่นคิดไปเพียงชั่วครู่ พยักหน้าให้ซางเสวี่ยอู่ “เจอก็ดีเหมือนกัน เราสองคนไปกันเถอะ จัดการเรื่องราวแล้ว วันอื่นที่เหลือก็สามารถจดจ่อกับเรื่องการล่าสัตว์”

“ผู้อาวุโสสามเองก็มาเรื่องเขี้ยวมังกรหรือ?” ซางเสวี่ยอู่เอ่ยถาม

ผู้อาวุโสสามพยักหน้า “กองกำลังเช่นนี้ ใครจะไม่นํ้าลายหก? ข้ากล้ารับประกันเลยว่า ตระกูลต่างๆ ที่เดินทางมาที่นี่มีมากกว่าครึ่งมาเพราะกองกำลังเขี้ยวมังกร”

พูดจบเขาก็ถอนหายใจ “อยากจะรู้จริงๆ ว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้นำกองกำลังที่ลึกลับนี้ สามารถใช้เวลาเพียงครึ่งปี ก็สามารถทำเรื่องที่คนจำนวนไม่น้อยทำไม่ได้!”

“ข้าเองก็แปลกใจ หากว่าครั้งนี้สามารถดึงกองกำลังเขี้ยวมังกรเข้ามาร่วมได้จริงๆ ให้พวกเขาร่วมมือกับตระกูลซางของเรา ย่อมมีส่วนช่วยต่อตระกูลซางอย่าง ไม่ต้องสงสัย” ซางเสวี่ยอู่กล่าว

ผู้อาวุโสสามพยักหน้ารับ “ไม่ผิด ข้ามาที่นี่ด้วยเรื่องนี้ หวังว่าทุกอย่างจะราบรื่น” พูดแล้ว เขาก็หันหลังกลับไปเอ่ยกับคนอื่นๆว่า “พวกเจ้าพักผ่อนอยู่ที่เดิมกันก่อน ข้ากับเสวี่ยอู่ไปจัดการธุระเสียหน่อย อีกสักพักก็กลับมา พวกเจ้าฟังไว้ให้ดีอย่าไป เที่ยวซุกซนล่ะ”

หลังจากมอบหมายงานแล้ว ผู้อาวุโสสามก็พาซางเสวี่ยอู่เดินไปข้างหน้า เตรียมไปหาคนตระกูลอิ๋ง

“เสวี่ยอู่ เจ้าจะไปไหน?” ซางอี้เฉินตะโกนถามจากในแถว

ทว่าซางเสวี่ยอู่เดินจากไปไกลแล้ว ไม่ได้ยินที่ถาม ซางจื่อหลันเดินมาอยู่ข้างๆ ซางอี้เฉิน เอ่ยบอกเขาว่า “สองวันก่อนข้าเห็นพี่สาวของเจ้าทำตัวลับๆ ล่อๆ ที่ ห้องผู้อาวุโสสาม ไม่รู้ว่าทำอะไร วันนี้ดูแล้วพวกเขาคงมีเรื่องปิดบังพวกเราอยู่’’

ซางอี้เฉินหันขวับมามองนาง ขมวดคิ้วด้วยความไม่ยินดี และกล่าวขึ้นว่า “เจ้าต้องการจะพูดอะไร?”

“ข้าไม่ได้ต้องการจะพูดอะไร ข้าแค่อยากบอกว่ากังวลอยู่ตรงนี้ไม่สู้ตามไปดู” ซางจื่อหลันเอ่ยกระตุ้น

ซางอี้เฉินยิ้มเย็น “เจ้าคิดจะฝ่าฝืนคำสั่งของผู้อาวุโสสาม? กลับจะใช้ข้าเป็นตัวต้นเรื่อง?”

ซางจื่อหลันกลอกตามองเขา แค่นเสียงเอ่ยว่า “ถึงอย่างไรคนที่ไปก็เป็นพี่สาวของเจ้าไม่ใช่พี่สาวของข้า ผู้ที่กังวลใจก็ไม่ใช่ข้า”

คำพูดของนางทำเอาซางอี้เฉินยิ่งกลุ้มใจมากขึ้น

เขากัดฟันอาศัยช่วงที่ผู้ดูแลไม่สังเกตปรี่เข้าไปในกลุ่มคนที่เดินไปทางที่ซางเสวี่ยอู่จากไป

ซางเหย่เอ่ยกับซางจือหลันว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร?”

ซางจื่อหลันกลอกสายตาเอ่ยบอกซางเหย่ว่า “ไปเถอะ พวกเราก็ตามไปดู”

พูดแล้ว นางก็ตะโกนบอกผู้ดูแลตระกูลซางว่า “ผู้ดูแล ซางอี้เฉินแอบหนีไปแล้ว พวกเราจะไปช่วยท่านตามกลับมานะ” พูดจบ นางก็ดึงมือซางเหย่วิ่งออกไป “กลับมานะ!” ผู้ดูแลตระกูลซางมองเด็กเจ้าเล่ห์พวกนี้อย่างไม่รู้จะพูดอย่างไรดี

“ทำอย่างไรดี?” ผู้ดูแลอีกคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นอย่างจนปัญญา ทั้งสองส่งสายตาให้กัน สุดท้ายก็ตัดสินใจพาคนที่เหลือตามไปด้วย ถึงอย่างไรรอที่ไหนก็เป็นการรอมิใช่หรือ?

ซางเสวี่ยอู่และผู้อาวุโสสามเดินมาถึงด้านหน้าขบวนของตระกูลอิ๋ง

ครั้งนี้ คนตระกูลอิ๋งมาเป็นร้อย สง่าผ่าเผย พอเข้าไปในกลุ่มคนก็โดดเด่นขึ้นมา

คนที่เป็นผู้นำย่อมเป็นอิ๋งเจ๋ออย่างไม่ต้องสงสัย

เขานั่งอยู่บนหลังสัตว์อสูรน่าเกรงขาม สายตาเย็นชา มองดูซางเสวี่ยอู่และผู้อาวุโสสามที่แทรกกลุ่มคนมายืนอยู่ตรงหน้าเขา

ขณะที่ผู้อาวุโสสามเตรียมจะเอ่ยปาก อิ๋งเจ๋อกลับยกอาวุธในมือขึ้นชี้ใส่หน้าซางเสวี่ยอู่ เอ่ยขึ้นด้วยนํ้าเสียงหยิ่งทะนงสุขุม “ส่งตัวผู้ที่ทำร้ายน้องชายข้าออกมา ไม่ งั้นเจ้าตาย”

คำพูดของเขา ทำเอาผู้อาวุโสสามมองซางเสวี่ยอู่ด้วยอาการตื่นตระหนก

เวลาเดียวกันนี้บนค่ายขององครักษ์เขี้ยวมังกร มู่ชิงเกอที่ยืนอยู่บนเนินสูงก็กำลังมองดูกระโจมนับพันที่ตั้งอยู่ บนทุ่งหญ้าอัสดง ทันใดนั้นสายตาของนางก็หยุดอยู่ที่ธงผืนหนึ่ง พึมพำว่า “ตระกูลอิ๋ง”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!