ตอนที่ 263
ข้าคิดถึงเจ้าจึงมาหา!
มู่ชิงเกอตกเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของชายผู้หนึ่งอย่างไม่ทันตั้งตัว
“เหตุใดจึงเป็นเจ้า?”
ในตอนที่มองเห็นโครงหน้าของคนผู้นั้นถนัดตา พร้อมกันกับความรู้สึกที่คุ้นเคยที่แผ่พุ่งเข้ามา นางก็นิ่งชะงักไป
ซือมั่วเหลือบมองใบหน้าจิ้มลิ้มที่สายตาเต็มไปด้วยความตะลึงนั้นแล้ว นัยน์ตาสีอำพันก็ฉายแววขบขัน ดูเหมือนดั่งดวงดาวระยิบระยับยามราตรี ทำให้คน หลงใหล
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ไม่อยากพบข้าอย่างนั้นหรือ?” ซือมั่วขมวดคิ้ว นํ้าเสียงดูเหมือนกำลังรู้สึกเจ็บปวด
“ไม่ใช่!” มู่ชิงเกอดีดตัวขึ้นมาจากอ้อมอกของซือมั่ว นัยน์ตากระจ่างฉายแวววาววาบ “เจ้าไม่ใช่ว่าไปแล้วมิใช่หรือ? เหตุใดถึงได้ปรากฎตัวขึ้นอีกได้?”
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ยังคงไม่ดีใจที่ได้พบข้า” ความเจ็บปวดในดวงตายิ่งเข้มข้นขึ้น
มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก มองชายคนนี้ทำตัวน่าสงสาร ยื่นมือออกไปดึงๆ แก้มของเขา ดูเหมือนกับปลอบโยนเด็กน้อย “เอาละ เอาละ ข้าไหนเลยจะไม่คิดถึงเจ้า?”
“เช่นนั้นเสี่ยวเกอเอ๋อร์ก็หมายความว่าคิดถึงข้าแล้วใช่ไหม” นัยน์ตาของซือมั่วฉายแววยินดี
อา…
มู่ชิงเกอมองใบหน้าที่อยู่ใกล้ไม่ถึงคืบนั้นแล้วก็ยิ้ม
“หรือว่าเสี่ยวเกอเอ๋อร์ไม่คิดถึงข้า?” นํ้าเสียงของซือมั่วฉายแววอันตราย โอบมู่ชิงเกอแน่นขึ้น
“เจ้ามาเพราะอะไรกันแน่?” มู่ชิงเกอขบฟันเอ่ยออกมา
ซือมั่วไม่ใช่คนที่ไม่มีธุระจะทำ ถ้าหากไม่มีเรื่องสำคัญจะมาปรากฎตัวข้างกายนางได้อย่างไร?
“ข้ามามอบของให้แก่เสี่ยวเกอเอ๋อร์ ซือมั่วยิ้มบางๆ ในที่สุดก็เอ่ยจุดประสงค์ที่ตนเองมา
“มอบของ?” มู่ชิงเกอมองเขาอย่างสงสัย
ซือมั่วพยักหน้า ปล่อยนาง มือใหญ่คลี่ออกตรงหน้าของนาง บนมือมีแหวนทองสองวง
มู่ชิงเกอจ้องมองแหวนทองสองวงนั้นในหัวเริ่มคิดว่า ‘หรือว่าผู้ชายคนนี้ยังคิดจะขอแต่งงานอีกครั้ง? โลกใหม่ใบนี้ก็มีแหวนหมั้นด้วยงั้นหรือ?’
“เจ้าเอาสิ่งนี้ให้โห่วใส่”
หา?
คำพูดของซือมั่วทำลายความคิดเหลวไหลของมู่ชิงเกอ นางเงยหน้าขึ้น มองไปหาซือมั่วด้วยความมึนงง
ซือมั่วรู้สึกสงสัยเล็กน้อยในท่าทางที่ดูมึนงงของนาง แต่เขาก็ไม่ได้ซักไซ้ แต่กลับหยิบขึ้นมาอันหนึ่ง แล้วก็คว้ามือของมู่ชิงเกอขึ้นมา สัมผัสกับแหวนทอง
แหวนทองเกิดแสงขึ้น อักษรลึกลับวาบออกมาบนแหวนทอง หมุนล้อมรอบแหวนทอง ก่อนที่แหวนทองจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นใหญ่ขึ้นต่อหน้าของมู่ชิงเกอ จากแหวนกลายเป็นกำไล
ซือมั่วเอากำไลใส่บนข้อมือ ในตอนที่สัมผัสถึงผิวของนางนั้น อักษรลึกลับก็เปล่งแสงอีกครั้งลอยเข้าไปภายในกำไล กลายเป็นลายดอกไม้ที่ดูลึกลับและสวยงาม
มู่ชิงเกอยกมือขึ้นมา เขย่าข้อมือ มองดูกำไลทองอย่างสนใจ ส่งสายตาสงสัยไปหาซือมั่ว
ซือมั่ววางอีกอันที่เหลือไว้บนมือของมู่ชิงเกอ อธิบายกับนางว่า “นี่เรียกว่าแหวนแม่ลูก กำไลบนมือของเจ้าคือ แหวนวงแม่ ส่วนอีกอันก็คือแหวนวงลูก แหวนแม่ สามารถควบคุมแหวนลูกได้ เจ้าเอาแหวนอีกอันใส่ไว้บนตัวของโห่ว หากว่าเขาไม่ทำตามคำสั่งเจ้า ก็สามารถใช้แหวนแม่ควบคุม”
ที่แท้ก็เป็นสมบัติเช่นนี้!
มู่ชิงเกอเข้าใจในพริบตา นัยน์ตาเผยความยินดีมองกำไลทองบนข้อมือของตนเอง
ครู่หนึ่งนางถึงกันมองไปยังซือมั่วเอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “มีวิธีควบคุมอย่างไร?”
“ถ้าหากโห่วไม่เชื่อฟัง เจ้าก็เพียงเขย่าแหวนแม่ แหวนลูกก็จะทำให้โห่วเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด บีบให้เขายอม” ซือมั่วอธิบาย
ในขณะที่มู่ชิงเกอกำลังอ้าปากค้างเขาก็เสริมเพิ่มอีกหนึ่งประโยคว่า “หลังจากใส่แหวนลูกแล้ว นอกจากคนที่มีแหวนแม่แล้ว ใครก็เอาออกไม่ได้โห่วก็ไม่สามารถเอาออกเช่นเดียวกัน”
ร้ายกาจ!
มู่ชิงเกอเอ่ยในใจ ‘นี่ก็เป็นเหมือนห่วงที่คล้องหัวซุนหงอคงเลย!’
มู่ชิงเกอเก็บแหวนอย่างระมัดระวัง ทั้งพยายามดึงกำไลทองที่อยู่บนข้อมือ แล้วเอ่ยกับซือมั่วว่า “ปัญหาก็คือ โห่วก็คงไม่ยอมใส่แหวนเอง”
“ไม่ต้องให้เขายินยอม เจ้าเพียงแต่โยนไปที่เขา แหวนลูกก็จะล้อมเขาเอง ไม่มีทางหลุดได้” ซือมั่วเอ่ย
ในใจของมู่ชิงเกอรู้สึกอบอุ่นขึ้น สายตาที่มองชายตรงหน้ามีแต่ความสุข ที่แท้ชายคนนี้กังวลว่านางจะไม่สามารถควบคุมโห่วได้ ดังนั้นจึงได้เดินทางไกลมามอบสมบัติเช่นนี้ให้นาง
เพียงแต่ว่า…
“แหวนแม่ลูกนี้เจ้าสามารถให้กู่หยาหรือไม่ก็กู่เย่คนใดคนหนึ่งส่งมาก็ได้ เหตุใดจึงต้องมาเอง?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามอย่างขบขัน
“พวกเขาไปทะเลมั่วไห่แล้ว” ซือมั่วให้คำอธิบายท่าทางขึงขัง
เหตุผลนี้หากพูดให้เด็กสาวที่ใสซื่อบริสุทธิ์คงใช้ได้ แต่หากจะใช้หลอกมู่ชิงเกอ นั่นก็ดูไม่สมเหตุสมผลเกินไป ถึงแม้ว่านางจะรู้ว่าสองคนนั้นทำให้ซือมั่วโกรธ แล้วก็ถูกลงโทษให้ไปทะเลมั่วไห่ แต่ว่าพวกเขาก็ยังสามารถมาทำภารกิจส่งของได้ จะอย่างไรก็ไม่จำเป็นต้องให้นายท่านของพวกเขาต้องมาส่งเอง
เห็นได้ชัดว่าซือมั่วหาข้ออ้างมาหาตัวเอง ในใจของมู่ชิงเกอรู้สึกขบขัน แต่ก็ไม่ได้ทำลายเหตุผลของเขา
“เช่นนั้นของก็ส่งเสร็จแล้ว เจ้าก็สามารถไปได้แล้ว” นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววขบขันมองดูซือมั่ว
สีหน้าของซือมั่วดำทะมึน จากนั้นก็โอบนางเข้ามาในอ้อมอก เอ่ยอย่างงอนๆ ว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์อยากจะให้ข้าไปถึงขนาดนั้นเชียว?”
มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างดูไร้เดียงสาว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าพูดว่าตัวเองมาส่งของเท่านั้นมิใช่หรือ? ของก็ส่งแล้ว ข้าก็ขอบคุณไปแล้ว เจ้ายังไม่ไป จะรออยู่ที่นี่ทำไมอีก?”
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ขอบคุณข้าเมื่อไหร่กัน?” นัยน์ตาสีอำพันของซือมั่วหรี่เล็กลง
มู่ชิงเกอเงยหน้ามองเขา นัยน์ตากระจ่างเปล่งประกายวาววาบ ทันใดนั้นก็เผยรอยยิ้มหวาน เข้าไปใกล้ใบหน้าของเขา “นี่ไม่ใช่ว่ากำลังขอบคุณงั้นหรือ”
นางพูดที่ข้างริมฝีปากของเขาจบ ก็จูบปากของเขาขณะที่เขายังไม่ทันได้ตั้งตัว
ริบฝีปากสีแดงเหมือนดั่งดอกท้อบานที่เต็มไปด้วยความเย้ายวน
ร่างกายของซือมั่วแข็งค้าง ถูกการเคลื่อนไหวนี้ของมู่ชิงเกอทำให้ดีใจจนบ้าคลั่ง แขนยาวของเขาโอบเอวของมู่ชิงเกอแน่น ยกนางขึ้นมาเบาๆ ให้แนบชิดไปกับเขามากยิ่งขึ้น
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของข้า…” ซือมั่วพึมพำ จูบตอบมู่ชิงเกอ
ภายในกระโจมหลัก เสื้อสีแดงและสีดำพัวพันใกล้ชิดแนบแน่น แสงเทียนอ่อนๆ รัศมีสีส้มอันอบอุ่นปกคลุมพวกเขา ทิ้งภาพเงาของทั้งสองไว้บนผนังกระโจม
ทันใดนั้นซือมั่วก็กอดมู่ชิงเกอขึ้นมา
สองเท้าเบาหวิว ทำให้ในใจของมู่ชิงเกอกระตุกขึ้น สองมือโอบรอบคอของซือมั่ว นัยน์ตาสดใสดูเหมือนกับสัตว์ตัวเล็กๆ มองเขาอย่างสนใจ
ต่อหน้าชายคนนี้นางละทิ้งกำแพงและสิ่งป้องกันตนเองทั้งหมด เป็นตัวเองที่แท้จริง
อยู่ในอ้อมแขนของเขา นางสามารถเพลิดเพลินไปกับความรู้สึกเกียจคร้าน ไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานสมอง เพื่อวิเคราะห์ทั้งยังสามารถวางเรื่องฝึกปรือพลังไปอีกทาง ไม่ต้องไปสนใจมัน
นัยน์ตาสีอำพันของซือมั่ว มองนางอย่างขบขัน โอบกอดนางอย่างทะนุถนอม ดุจดั่งสมบัติที่ลํ่าค่าที่สุด ก้าวเข้าไปใกล้เตียงมากขึ้น
ยามคํ่าคืนบนทุ่งหญ้าอัสดงนั้นเงียบสงบมาก งานเลี้ยงของเหล่าหลิวเค่อก็ได้จบไปแล้วในเวลานี้ รอบด้านจึงเปลี่ยนเป็นเงียบสงัด
ภายในกระโจมหลัก เหลือแค่เพียงเสียงลมหายใจของคนสองคน
มู่ชิงเกอเบิกตากว้างมองดูเขา ส่วนซือมั่วก็มองนางเช่นเดียวกัน
ภาพของเตียงค่อยๆ ชัดเจนขึ้นในสายตาของมู่ชิงเกอ ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าตัวเองใจเต้นแรงขึ้น
‘ผู้ชายคนนี้ คิดจะทำอะไร?’ นางถามตัวเองในใจ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกคาดหวัง และก็หวาดกลัวเล็กน้อย
ซือมั่ววางมู่ชิงเกอลง ในตอนที่ร่างของนางสัมผัสกับเตียงนั้น อยู่ดีๆ แผ่นหลังของนางก็แข็งทื่อขึ้นมา ใบหน้าก็ฉายแวววุ่นวายสับสน
มองเห็นใบหน้าที่ดูตกใจของนางแล้ว ซือมั่วก็อมยิ้ม วางนางลงแล้วตัวเองก็ตามลงไป นอนลงข้างกายนาง หันข้างมองนาง
ผมของซือมั่วตกลงบนหน้าอกของมู่ชิงเกอ เพียงแค่ผมเท่านั้น เพียงแค่การสัมผัสนี้ก็ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาได้แล้ว
นางอดไม่ได้ที่จะกลืนนํ้าลาย มองไปที่ซือมั่วไม่ขยับ ‘เขาคิดจะทำอะไร? หรือว่า…’
ความคิดของมู่ชิงเกอล่องลอยออกไป แตกต่างจากการยั่วยุไปมาครั้งก่อนๆ ครั้งนี้ชายคนนี้เหมือนจะเอาจริง!
จะทำอย่างไรดี? ยอมหรือว่าไม่ยอมดี?
ในตอนที่หัวของมู่ชิงเกอถูกคำว่า ‘ยอม’ กับ ‘ไม่ยอม’ ทำจนมึนงงนั้น มือของซือมั่วก็สัมผัสเบาๆ มาที่หูซ้ายของนาง เอ่ยถามเสียงตํ่าว่า “เครื่องมือมายาล่ะ?”
“ได้รับความเสียหาย อยู่ระหว่างการฟื้นฟู’’ มู่ชิงเกอเอ่ยตอบไป โดยไม่ได้ผ่านการกลั่นกรอง
ความจริงที่นางพูดออกมา ทำให้กลิ่นอายของซือมั่วดูเยือกเย็นขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาดูโหดเหี้ยม “เป็นใคร?”
อา!
เป็นใคร? แน่นอนว่าหมายถึงคนที่ทำร้ายนางนั้นเป็นใคร สามารถทำให้เครื่องมือมายาได้รับความเสียหายได้ เช่นนั้นมู่ชิงเกอก็ต้องได้รับการโจมตีที่หนักมาก ได้รับบาดเจ็บเป็นเรื่องแน่นอน
กลับมีคนกล้าทำร้ายเสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขาถึงขนาดนี้?!
ไอสังหารแผ่ออกมาจากร่างกายของซือมั่ว ดูเหมือนเพียงแค่เขากะพริบตา ทั่วทั้งทุ่งหญ้าอัสดงนี้อาจจะกลายเป็นทะเลเลือด
เมื่อรับรู้ถึงไอสังหารจากร่างของผู้ชายคนนี้ มู่ชิงเกอก็รู้สึกผ่อนคลาย ยกมือขึ้นลูบบนหน้าอกของเขา “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ผ่านไปแล้ว อีกทั้งยังเป็นข้าตกลง เดิมพันเอง และตอนนี้ข้าก็ชนะแล้ว”
“เอาตัวเองไปเสี่ยงอีกแล้วหรือ?” นัยน์ตาของซือมั่วอ่อนลงเพราะการปลอบโยนของมู่ชิงเกอ
เมื่อได้ยินนํ้าเสียงตัดพ้อและตำหนิ ทั้งมีความรู้สึกจนใจ จากเขาแล้ว มู่ชิงเกอก็เอ่ยรับรองว่า “ข้ารับรองว่าครั้งหน้าจะระมัดระวัง ไม่เสี่ยงง่ายๆ อีกแล้ว”
ไม่สนว่าจะอย่างไรรีบปลอบโยนนายท่านให้ดีก่อน
“ยังจะมีครั้งหน้าอีกหรือ?” ซือมั่วทั้งโมโหทั้งขบขัน เอ่ยออกมาอีกประโยค สาวน้อยคนนี้หากไม่ทำให้ตนเองโมโหก็จะไม่ยอมอยู่ดีๆ เลยใช่หรือไม่!
มู่ชิงเกอกะพริบตาอย่างไร้เดียงสา ท่าทางเช่นนั้น ไหนเลยจะมีท่าทางอันองอาจของคุณชายมู่อีก?
“โมโหทำให้เสียสุขภาพ ข้าก็รับรองกับเจ้าแล้วไง เจ้ายังต้องการอะไรอีก?” มู่ชิงเกอยอมอ่อนให้ซือมั่ว นํ้าเสียงดูอดสู เป็นนางง่ายดายซะที่ไหน ได้รับบาดเจ็บหนักแล้ว ยังต้องมาปลอบใจผู้ชายอีก!
ยอมไปๆ จนมู่ชิงเกอรู้สึกว่าตนเองยอมมากเกินไปแล้ว
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ข้าจะทำอย่างไรกับเจ้าดี?” อยู่ดีๆ ซือมั่ว ก็โอบมู่ชิงเกอเข้ามาในอ้อมอก ทั้งสองคนกอดกัน ชุดคลุมปกคลุมลงบนเตียง
ซือมั่วกอดนางไว้แน่นมาก แต่กลับอบอุ่นเหลือเกิน
มู่ชิงเกอไม่ขยับปล่อยให้เขากอด นัยน์ตากระจ่างล่องลอยไป
“มีบางครั้ง ข้าอยากจะพาเจ้าไปเลยจริงๆ ไม่ให้เจ้าเสี่ยงอันตรายอีกแล้ว แต่ข้ากลับรู้ดีว่า เจ้าไม่ใช่ผู้หญิงเช่นนั้นเจ้ามีจุดมุ่งหมายของเจ้ามีความคิด ดังนั้นข้าจึงได้แต่ปล่อยเจ้าบินไปด้วยตัวเอง แต่ว่าทำไมเจ้ากลับชอบบินเข้าหาอันตรายอยู่ตลอด ทำให้ข้าปวดใจ?” นํ้าเสียงของซือมั่วแฝงความเว้าวอน
ผู้ชายที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ตอนนี้กลับมาอ้อนวอนตนเอง ว่าให้รู้จักรักตัวเอง!
เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้ร่างกายของมู่ชิงเกอรู้สึกคันยิบๆ ถูกความซาบซึ้งห้อมล้อม
มีผู้ชายที่โดดเด่นจำนวนไม่น้อยรอบกายนาง แต่ก็ไม่มีใครเป็นเหมือนดั่งซือมั่ว ที่ทำให้นางจิตใจสั่นไหวได้ นี่คือเป็นเพราะอะไรกัน? บางทีอาจจะเป็นเพราะเขาเข้า ใจนางจริงๆ
นอนอยู่บนอ้อมอกของซือมั่ว มู่ชิงเกอค่อยๆ คิดไปถึงช่วงเวลาที่รู้จักกันของทั้งสองคน เมื่อมองย้อนกลับไป นางก็ค้นพบว่าตั้งแต่ตอนเริ่มแรก ชายคนนี้ก็ลอบเข้ามาในโลกของนางทีละน้อย…ทีละน้อยแล้ว ทำให้นางคุ้นเคยกับการคงอยู่ของเขาและไว้วางใจในตัวเขา ผู้ชายสำหรับนางแล้วก็ถือเป็นศัตรูในจินตนาการของ
นาง
แต่ในตอนนี้มู่ชิงเกอถึงได้พบว่า แม้แต่ในตอนเริ่มแรก นางก็ไม่เคยถือว่าเขาเป็นศัตรูจริงๆ เลยสักครั้ง และก็แอบเชื่อใจเขาอย่างเงียบๆ
“ข้านวดๆ ให้ เจ้าก็ไม่ปวดแล้ว” มู่ชิงเกอยื่นมือออกไปกดบนหน้าอกตรงหัวใจของซือมั่ว นวดอย่างตั้งใจ นางต้องการความแข็งแกร่ง เช่นนั้นในตอนที่กำลัง พัฒนาก็ไม่มีวิธีหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนเองไม่ได้รับบาดเจ็บได้ ดังนั้นทำได้เพียงแต่ทำให้ซือมั่วเจ็บปวด หรือจะพูดได้ว่าไม่ทำให้เขามองเห็นนางเจ็บปวด ไม่ให้เขารู้ว่าตนเองบาดเจ็บ บางทีอาจจะดีขึ้นมาบ้าง
“เจ้ากล้าโกหกข้าก็ลองดู” มือใหญ่ของซือมั่วคว้าจับมือของมู่ชิงเกอ เอ่ยข่มขู่
มู่ชิงเกอยิ้มๆ เพียงครู่เดียวชายคนนี้ก็มองทะลุความคิดของนางแล้ว
ซือมั่วปัดผมที่บังใบหน้าของนางออกแทนนาง เอ่ยเสียงอ่อนว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์อย่าลืมไปว่าเจ้ายังมีข้า ไม่จำเป็นต้องบีบตัวเองให้ลำบากเกินไป ให้ข้าได้แสดงคุณค่าให้เห็นบ้าง”
“ได้” มู่ชิงเกอตอบรับอย่างสบายใจ
แต่ซือมั่วกลับยิ้มอย่างขมขื่น เขารู้ว่าถึงแม้มู่ชิงเกอจะยอมรับปาก แต่ในความเป็นจริง กลับไม่ได้ใส่ใจ จะยังคงทำเรื่องใครเรื่องมันต่อไป ถอนหายใจออกมาเบาๆ เขาก็ได้แต่โทษตัวเอง ใครให้คนผู้นี้เป็นมู่ชิงเกอเล่า? ใครให้เขาชอบมู่ชิงเกอเอง?
“เชื่อฟัง นอนเถอะ” ซือมั่วโอบมู่ชิงเกอกระซิบเบาๆ ที่หูของนาง
หา?
“นอนทั้งอย่างนี้เลยหรือ?” มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างแปลกใจ แต่เมื่อคำพูดหลุดออกไปแล้ว นางก็รู้สึกเสียใจ ทั้งใบหน้าแดงกํ่าขึ้น
ซือมั่วหัวเราะเสียงตํ่า เอ่ยด้วยนํ้าเสียงขบขัน “หากไม่นอนแล้วเสี่ยวเกอเอ๋อร์อยากจะทำอะไรงั้นหรือ? เสี่ยวเกอเอ๋อร์เพิ่งได้รับบาดเจ็บ ไม่เหมาะที่จะเคลื่อนไหวรุนแรง ยังคงอดทนเอาไว้ดีกว่า”
ข้า…ให้ตายเถอะ…!
มู่ชิงเกอหน้ากระตุก นางไม่ได้มีความหมายเช่นนั้นเสียหน่อย!
ชายที่น่าตายผู้นี้ กลับกล้าเปลี่ยนความหมายของนาง!
นางเพียงแต่คิดซื่อๆ ไม่เหมือนใครบางคนที่ชอบเบี่ยงประเด็น!
ไม่ถูก! นี่นางกำลังคิดอะไรอยู่?
กำลังรอคอยให้ซือมั่วทำอะไร?
มู่ชิงเกอถูกความโมโหทำให้เลอะเลือน รอนางสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ข้างกายก็มีเสียงลมหายใจดังเข้ามา
เสียงลมหายใจที่สงบ ดูเหมือนกับได้ไปสัมผัสกับส่วนที่นุ่มนวลที่สุดในใจของนาง นางเงยหน้าขึ้น มองไปยังใบหน้าที่ห่างออกไปไม่กี่คืบ ขนตายาวแต่ละเส้นดูเด่นชัด ดุจดังพัดที่ขยับไหวเบาๆ
ท่วงท่าที่สมบูรณ์แบบ โครงหน้าอันหลอเหล่าของผู้ชายผู้นี้ไร้ผู้เปรียบ
ตอนนี้ เขาหลับไปแล้ว เงียบสงบเหมือนเด็กทารกกำลังหลับ ความรู้สึกเหินห่างที่เยียบเย็นทิ่มกระดูกลดลงไปมาก ความโดดเดี่ยวเงียบเหงานับหมื่นๆ ปี ได้ค่อยๆ กระจายจางหายไป
ใบหน้านี้เพียงพอที่จะละทิ้งสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกและก็สามารถสั่นคลอนสติของมู่ชิงเกอ
นางจูบบนริมฝีปากของเขาเบาๆ แล้วก็เสาะหามุมที่สบายที่สุดในอ้อมอกของชายผู้นี้หลับลงอย่างสบายใจ ‘รักษาโอกาสไว้ให้ดี ดีกว่า ไม่แน่ว่าเมื่อตื่นมาบนเตียง อาจจะเหลือเพียงแค่นางคนเดียวก็ได้’
การนอนครั้งนี้ทำให้นางรู้สึกหอมหวานมาก ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลาเพียงสองชั่วยามสั้นๆ ฟ้าก็สว่างขึ้นมาแล้วก็ตาม
นอกกระโจม องครักษ์เขี้ยวมังกรได้เริ่มการฝึกฝนที่ต้องทำประจำทุกวันแล้ว เสียงของการฝึกที่พร้อมเพรียง สะท้อนดังไปทั่วทั้งค่าย
มู่ชิงเกอตื่นขึ้นมาท่ามกลางเสียงการฝึก แสงจากนอกกระโจม ค่อยๆ ส่งเข้ามา สาดไปภายในกระโจม
มองไปบนยอดของกระโจม มู่ชิงเกอย้อนคิดไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนตนเองนอน
ทันใดนั้นนางก็หันหน้าไปอีกข้าง ใบหน้าที่กำลังหลับอยู่ ก็ยังคงหลับอยู่เช่นเดิมข้างกายของนาง
‘ยังไม่ไปงั้นหรือ?’
การค้นพบครั้งนี้ทำให้ในใจของมู่ชิงเกอรู้สึกมีความสุขขึ้นมา
มู่ชิงเกอหันข้าง ใช้มือพยุงศีรษะมองซือมั่ว มืออีกข้างก็เสยปอยผมของชายผู้นี้ขึ้นมาม้วนเล่นบนนิ้วอย่างซุกซน “หลับลึกถึงขนาดนี้ เหนื่อยมากงั้นหรือ?”
นางไม่รู้ว่าครั้งนี้เพื่อที่ซือมั่วจะได้มาหานางนั้นก็ไม่อาจหลับตานอนได้มานานมากแล้ว
ทำได้เพียงแต่จัดการทำเรื่องสำคัญให้เสร็จ เขาถึงได้สามารถมาอยู่ข้างกายของเสี่ยวเกอเอ๋อร์
คืนนี้มู่ชิงเกอหลับอย่างหอมหวาน สำหรับเขาแล้วก็มิใช่ว่าเป็นเช่นเดียวกันหรือ?
มองซือมั่วเกือบจะครึ่งชั่วยามแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นว่าเขาจะตื่นขึ้นมา หลังจากที่มู่ชิงเกอพยายามขยับเบาๆ ลงจากตียงแล้ว ก็ห่มผ้าห่มให้ชายผู้นี้อย่างเอาใจใส่ นางถึงได้ไปยืนกลางกระโจม หยิบต่างหูสีม่วงของตนเองออกมา
ต่างหูซ่อมแซมตนเองดีแล้ว และก็หมายถึงนางสามารถเปลี่ยนเป็นผู้ชายได้แล้ว
ใส่ต่างหูห้อยไปที่หูซ้ายของตนเองแล้วมู่ชิงเกอก็เปลี่ยนกลับไปเป็นคุณชายที่ดูองอาจอหังการอีกครั้ง
หันกลับไปมองซือมั่วที่กำลังหลับสนิทอีกครั้ง จากนั้นมู่ชิงเกอก็เปิดกระโจมเดินออกไปด้านนอก
“คุณชาย!”
นางเพิ่งจะออกมา ก็มองเห็นโย่วเหอและฮวาเยวี่ยเดินเข้ามายังกระโจม ในมือของสองสาวยังมีถาดที่เต็มไปด้วยอาหารที่นางชอบทาน
“วางไว้ด้านนอกเถอะ ข้าจะทานด้านนอก” มู่ชิงเกอสั่งการ นางไม่อยากจะให้ใครเข้าไปรบกวนการพักผ่อนของซือมั่ว
ที่สำคัญก็คือ ภาพท่านอนของซือมั่วนางไม่อยากจะแบ่งปันกับใคร
โย่วเหอและฮวาเยวี่ยรีบจัดโต๊ะและเก้าอี้บนแท่นนอกกระโจมในทันทีแล้วก็ปูเบาะหนังอสูรอ่อนนุ่มบนเก้าอี้
มู่ชิงเกอเอนลงบนเก้าอี้ เพลิดเพลินไปกับแสงแดดสาดส่อง มององครักษ์เขี้ยวมังกรฝึกฝน ฮวาเยวี่ยเดินมาด้านหลังของนาง สองมือวางบนไหล่ของนางแล้วนวดอย่างตั้งใจ
โย่วเหอนั่งอยู่อีกข้าง จัดแบ่งอาหารลงชาม ยื่นไปด้านหน้าของมู่ชิงเกอ
ไกลออกไป ภาพนี้ช่างดูสุขสบายยิ่งนัก!
ไม่นาน เสวี่ยหยาและเซวี่ยนหย่าก็ปรากฎขึ้นตรงหน้าของนาง มองเห็นท่าทางที่ดูไม่เป็นไรของนางแล้ว ในที่สุดก็สบายใจขึ้นมา
“นายน้อย”
“นายน้อย”
สองสาวก้าวมาข้างหน้าคำนับเขา
มู่ชิงเกอพยักหน้าเบาๆ กลืนอาหารในปากลงไป แล้วเอ่ยกับสองสาวว่า “ที่นี่ไม่มีเรื่องอะไร พวกเจ้าไม่ต้องเฝ้าอยู่ข้างกายข้าหรอก”
เสวี่ยหยากับเซวี่ยนหย่ากลับส่ายหน้าพร้อมกัน
เสวี่ยหยาเอ่ยว่า “พวกเราเป็นบ่าวรับใช้ของนายน้อย สมควรจะดูแลนายน้อย”
เซวี่ยนหย่าก็เอ่ยกับโย่วเหอและฮวาเยวี่ยว่า “น้องสาวทั้งสอง ข้าเพิ่งมายังไม่เข้าใจเกี่ยวกับความคุ้นเคยของนายน้อยมากนัก ขอให้น้องสาวทั้งสองแนะนำด้วย”
โย่วเหอและฮวาเยวี่ยมองมู่ชิงเกอพร้อมกัน มู่ชิงเกอยิ้มอย่างขบขัน “เช่นนั้นพวกเจ้าก็เรียนรู้ด้วยกันเถอะ” เสวี่ยหยาและเซวี่ยนหย่าอยู่ต่อ เรียนรู้กับโย่วเหอและ
ฮวาเยวี่ยและก็ทำความคุ้นเคยกับมู่ชิงเกอ
สี่สาวงามล้อมรอบ ช่างเป็นภาพที่สวยงามจริงๆ!
มั่วหยางเดินไปข้างหน้าของมู่ชิงเกอ เอ่ยกับนางว่า “คุณชาย การเดิมพันของท่านกับอิ๋งเจ๋อเมื่อวานได้แผ่กระจายไปทั่วทุ่งหญ้าอัสดงแล้ว วันนี้ทุกคนล้วนกำลัง คาดเดาถึงอาการบาดเจ็บของท่าน เดาว่าท่านจะรักษาอาการบาดเจ็บได้หรือไม่”
มู่ชิงเกอเอ่ยตอบอย่างเฉยชาว่า “อืม ให้พวกเขาคาดเดาไปเถอะ ไม่กี่วันมานี้ไม่ว่าจะเป็นใครคิดจะสืบข่าว พวกเจ้าก็ตอบไปว่าข้ากำลังอยู่ระหว่างการพักรักษาตัว ไม่พบใครทั้งนั้น”
“ขอรับ คุณชาย” มั่วหยางพยักหน้า
มู่ชิงเกอหรี่ตาเล็กลง มุมปากเผยรอยยิ้มเยียบเย็น นางหลีกเลี่ยงไม่ออกไปไหน ก็เพราะไม่คิดจะให้มีใครสังเกตถึงพลังการฟื้นฟูของนางได้ แต่หากเงียบไปสักสองสามวัน ไม่แน่อาจจะมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นก็ได้
ไม่นานไป๋สี่ หยินเฉิน หยวนหยวน จิงไห่ก็ล้วนแต่มาหามู่ชิงเกอ หลังจากที่ส่งพวกเขาจากไปแล้ว นางก็นั่งบนเก้าอี้เอนดูเหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรฝึกต่อ
มีเจ้านายคอยดูอยู่ข้างๆ วันนี้องครักษ์เขี้ยวมังกรก็ฝึกอย่างจริงจังตั้งใจมากขึ้นเป็นพิเศษ
ค่ายตระกูลซางก็มีกระโจมหลายกระโจมตั้งสูงตํ่าคละกันไป ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่มีความเป็นระเบียบ เพียงแต่เพราะว่าที่นี่ส่วนมากก็ล้วนแต่เป็นเช่นนี้ อาศัยจำนวนคนจัดตั้งกระโจม ไม่สามารถมีรูปแบบเป็นระเบียบอย่างค่ายเขี้ยวมังกรได้
หลิวเค่อก็คือหลิวเค่อ ไม่ได้เป็นระเบียบเช่นกองทหารที่ถูกฝึกอย่างเคร่งครัด
สามารถพูดได้ว่า ค่ายของเขี้ยวมังกรที่อยู่ท่ามกลางกองกำลังต่างๆ มากมายบนทุ่งหญ้าอัสดง ก็ดูเหมือนดั่งปราสาท ที่ปิดบังสายตาอยากรู้อยากเห็นของทุกคน และก็เปลี่ยนเป็นดูลึกลับขึ้นภายใต้สายตาของผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในยังมีคนที่ทำให้คนสนใจว่า เป็นหรือตายอยู่!
ซางเสวี่ยอู่เปิดกระโจมเดินเข้าไปในกระโจมของตนเอง
ตามมานั้นก็มีคนหนึ่งคนเดินเข้ามา เอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ว่า “เป็นอย่างไร? สืบได้ความว่าอย่างไรบ้าง?”
ซางเสวี่ยอู่ส่ายหน้า เอ่ยกับซางอี้เฉินว่า “ประตูใหญ่ค่ายเขี้ยวมังกรปิดสนิท มีคนจำนวนไม่น้อยคอยสืบเรื่องของนาง ยังมีคนคิดจะเข้าไปเพื่อสืบ แต่ก็ล้วนถูกขวางเอาไว้ พูดว่านางกำลังรักษาตัวไม่สะดวกจะรับแขก”
“เช่นนั้นนางเป็นอย่างไรกันแน่? อาการบาดเจ็บเป็นอย่างไร?” ซางอี้เฉินเอ่ยอย่างร้อนใจ
ซางเสวี่ยอู่เผยความเศร้าออกมาเอ่ยว่า “ไม่รู้”
ซางอี้เฉินเดินไปเดินมาอยู่ในกระโจมของนาง ใจร้อนดั่งไฟเอ่ยว่า “เช่นนั้นคำพูดของอิ๋งเจ๋อก็ยังดูคลุมเครือ อะไรคือรอนางมีชีวิตปรากฎตัวออกมาแล้วค่อยว่ากัน?”
ซางเสวี่ยอู่ขบริมฝีปากแน่น นิ่งเงียบไป
ซางอี้เฉินพูดเข้าข้างตัวเองว่า “ตามข้อตกลง เพียงแค่รับได้สามกระบวนท่าเรื่องนี้ก็จะจบไป นางก็ได้รับไปสาม กระบวนท่าแล้วเขายังต้องการอะไรอีก?”
“ข้าในตอนนี้ไม่สนใจว่าอิ๋งเจ๋อยังต้องการอะไร ข้าเพียงแต่เป็นห่วงว่านางเป็นอย่างไรบ้างก็เท่านั้น” ซางเสวี่ยอู่เอ่ย
“เสวี่ยอู่” ทันใดนั้น นอกกระโจมก็มีเสียงของผู้อาวุโสสามดังเข้ามา
ซางเสวี่ยอู่สบตากับซางอี้เฉินแวบหนึ่ง ทั้งสองคนจบประเด็นการสนทนาก่อนหน้าไป
ผู้อาวุโสสามเดินเข้ามาในกระโจม เมื่อพบว่าซางอี้เฉินก็อยู่ด้านใน ก็ชะงักไปเล็กน้อย แล้วก็รีบตั้งสติกลับคืนมา ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “อี้เฉินก็อยู่ด้วยงั้นหรือ”
“ผู้อาวุโสสาม”
“ผู้อาวุโสสาม”
ซางเสวี่ยอู่และซางอี้เฉินยืนขึ้นพร้อมกัน เอ่ยกับผู้อาวุโสสาม
ผู้อาวุโสสามพยักหน้า เดินไปภายในกระโจมแล้วนั่งลง มองไปยังซางเสวี่ยอู่แล้วเอ่ยว่า “เสวี่ยอู่ คุณชายมู่ผู้นั้นเจ้ารู้จักเขาแค่ไหน? แต่ก่อนพวกเจ้าเคยรู้จักกันหรือไม่?”
คำพูดของเขา ทำให้นัยน์ตาของซางเสวี่ยอู่ฉายแวววาววาบ ซางอี้เฉินก็หันมองเขาเช่นเดียวกัน
ซางเสวี่ยอู่หลุบตาลง เอ่ยกับผู้อาวุโสสามว่า “เรียนผู้อาวุโสสาม ข้ากับคุณชายมู่นั้นไม่ได้สนิทกัน เพียงแต่ครั้งอยู่ที่เมืองอู๋อิ๋น เขาพบข้าโดนอิ๋งชวนรังแกระหว่าง ทาง ถึงได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ จากนั้นพวกเราก็ไม่ได้ ติดต่อกันอีก แต่ไม่คิดว่าจะได้มาพบเจอบนทุ่งหญ้าอัสดง”
ผู้อาวุโสสามฟังไปก็พยักหน้า รอนางพูดจบแล้วจึงเอ่ยว่า “ถ้าหากว่าคุณชายมู่ฟื้นฟูดีแล้ว เจ้าคิดว่าพวกเรามีโอกาสร่วมมือกับเขี้ยวมังกรสักเท่าไหร่?”
“เรื่องนี้…” ซางเสวี่ยอู่คิดไม่ถึงว่าอยู่ดีๆ ผู้อาวุโสสามจะถามคำถามเช่นนี้ขึ้นมา นางนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้าเอ่ยว่า “ข้าไม่รู้”
คำตอบนี้ ทำให้ผู้อาวุสามรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ถามไปว่า “เรื่องนั้น เสวี่ยอู่ตามที่เจ้าดู คุณชายมู่ผู้นี้ช่วยเจ้าหลายต่อหลายครั้ง เป็นเพราะชอบเจ้าหรือเปล่า?”
“นี่เป็นไปไม่ได้! ” ซางเสวี่ยอู่ปฏิเสธทันควัน
ผู้อาวุโสสามชะงัก เข้าใจผิดไปว่าปฏิกิริยาของซางเสวี่ยอู่เป็นเพราะว่าเขินอาย จึงยิ้มกว้างขึ้นมาเอ่ยว่า “เสวี่ยอู่ ไม่ต้องเขินอายไป เจ้าก็ถึงอายุออกเรือนแล้ว หากพบคนที่ชอบพอกันแล้ว ข้าก็ดีใจกับเจ้าด้วย”
“ผู้อาวุโส ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้ากับเขาไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิด” ซางเสวี่ยอู่อธิบายอย่างจนปัญญา
ผู้อาวุโสสามวิเคราะห์คำพูดของซางเสวี่ยอู่อย่างละเอียด ในที่สุดก็ถอนหายใจเอ่ยว่า “ดูแล้วเสวี่ยอู่ของพวกเราไม่ได้ชอบคุณชายมู่! ดี ดี ดี เรื่องนี้ก็จบลงเท่านี้ เพียงแต่ว่า ตอนนี้คุณชายมู่เป็นผู้มีพระคุณของตระกูลซางของพวกเรา พวกเรายังต้องไปแสดงความขอบคุณ”
ซางเสวี่ยอู่เอ่ยว่า “เข้าใจแล้วผู้อาวุโสสาม แต่ทว่าตอนนี้ประตูใหญ่ของค่ายเขี้ยวมังกรปิดสนิท เขาน่าจะยังคงพักรักษาตัวอยู่ พวกเรายังคงรอสักหน่อยค่อยไปเถอะ”
“ฮ่าๆๆ…เด็กสาวคนนี้ปากแข็งยิ่งนัก” ผู้อาวุโสสามหัวเราะเสียงดังขึ้น พูดสื่อความหมายบางอย่างแล้วเดินออกจากกระโจมของซางเสวี่ยอู่ไป
รอเขาจากไปแล้ว ซางอี้เฉินถึงได้ส่ายหน้า เอ่ยกับซางเสวี่ยอู่ว่า “ข้ารู้สึกเหมือนว่าผู้อาวุโสสามกำลังเข้าใจผิดอะไรอยู่”
ซางเสวี่ยอู่ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา เอ่ยกับซางอี้เฉินว่า “ข้าได้อธิบายแล้ว”
“แต่ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าการอธิบายของเจ้าไร้ประโยชน์’ ซางอี้เฉินยักไหล่
“ใช่แล้ว!” อยู่ดีๆ ซางเสวี่ยอู่ก็เบิกตากว้างขึ้น นางมองไปยังซางอี้เฉินที่ถูกนางทำให้ตกใจแล้วเอ่ยว่า “เครื่องมือมายานั่นไม่รู้ว่าผู้อาวุโสสามเคยเห็นหรือไม่”
ซางอี้เฉินก็สีหน้าเปลี่ยนไปในทันใด เดินไปตรงหน้าของซางเสวี่ยอู่ “ข้าคิดออกแล้ว ท่านแม่เคยบอกว่า หลังจากหลอมเครื่องมือมายาเสร็จแล้ว ก็มีเพียงท่านตาที่เคยเห็น คนอื่นๆ ไม่รู้”
ซางเสวี่ยอู่โล่งใจ “ยังดี ไม่เช่นนั้นคงปิดไม่อยู่แล้ว”
ซางอี้เฉินพยักหน้า เอ่ยกับนางว่า “พวกเราจำเป็นต้องพบนางก่อนที่ผู้อาวุโสสามจะพบนาง ไม่เช่นนั้นหากไม่วางแผนก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี”
“แต่ตอนนี้ยังพบไม่ได้” ซางเสวี่ยอู่ขบริมฝีปาก
“ไม่สู้ลอบเข้าไปดีไหม?” ซางอี้เฉินเสนอ
ซางเสวี่ยอู่กลับจ้องมองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “เจ้าคิดว่าข้าสามารถหลบสายตาของคนที่ร้ายกาจเหล่านั้นได้อย่างนั้นหรือ?”
เมื่อวานเหล่าคนที่ปรากฎตัวขึ้นภายหลังนั้น มีหลายคนที่สร้างความกดดันที่ชัดเจนให้แก่นาง
“ฝั่งของนางกลับมียอดฝีมืออยู่มากมาย!” ซางอี้เฉินเอ่ยอย่างชื่นชม
ซางเสวี่ยอู่นิ่งไปพักหนึ่งจึงเอ่ยขึ้นว่า “รอไปก่อนเถอะ”
บนทุ่งหญ้าอัสดง ชื่อของมู่ชิงเกอได้ถูกแผ่กระจายออกไปทั่ว การเดิมพันระหว่างเขากับอันดับสี่แห่งทำเนียบชิงอิง อิ๋งเจ๋อ ก็ถูกเล่าลือออกไป ตอนนี้ ก่อนที่งานการล่าสัตว์ครั้งใหญ่จะเปิดพิธีอย่างเป็นทางการ ความเป็นตายของเขาก็อยู่ในความสนใจของทุกคน แน่นอนว่า พวกเขากำลังสนใจว่ามู่ชิงเกอนั่นตายหรือยังไม่ตาย? และก็อยากจะรู้ว่าความเป็นตายของเขาจะทำให้อิ๋งเจ๋อตัดสินใจอย่างไรต่อ?
ทุกอย่างนี้ ก็มาจากคำพูดที่ดูคลุมเครือของเขา
ภายในค่ายของตระกูลอิ๋ง อิ๋งเจ๋อกำลังฟังรายงานจากลูกน้อง
“ตอนนี้ประตูใหญ่ของค่ายเขี้ยวมังกรปิดสนิท มีกองกำลังหลิวเค่อหลายกองกำลัง ที่ใช้ข้ออ้างเข้าเยี่ยมอาการเจ็บป่วยเพื่อเข้าไปสืบข่าว แต่ก็ล้วนถูกปฏิเสธ หลังจากนั้นผู้บัญชาการมั่วหยางของพวกเขาก็ออกมาประกาศ ว่าภายในสามวันนี้ค่ายเขี้ยวมังกรไม่ขอรับแขก เพราะเจ้านายของพวกเขาต้องการพักรักษาตัว”
“อืม เจ้าออกไปเถอะ” อิ๋งเจ๋อพยักหน้า ภายในนัยน์ตาที่สงบนิ่งมองไม่ออกถึงความรู้สึกที่แท้จริงของเขาในตอนนี้
“เช่นนั้นฝั่งทางตระกูลซาง…” ลูกน้องลองถามออกไป
“ไม่ต้องไปสนใจ” อิ๋งเจ๋อเอ่ยออกมาง่ายๆ แสดงให้เห็นได้ชัดเจนถึงสถานะของตระกูลซางในใจของเขา
ลูกน้องของอิ๋งเจ๋อถอยออกไป
นัยน์ตาของอิ๋งเจ๋อมืดมิดลงหลายส่วน ดูเหมือนว่ากำลังเปล่งประกายในความมืด
มู่ชิงเกอสามารถรับเขาได้สามกระบวนท่าแล้วไม่ตายนั้น ทำให้เขารู้สึกเหนือความคาดหมายจริงๆ เพียงแต่ตัวเขาเองก็รู้ว่า กระบวนท่าที่สามนั้นเขาได้ใช้พลังของสายเลือด ถึงแม้ว่าในตอนสุดท้ายจะหลุดการควบคุมไปบ้าง จนเขาก็ได้รับพลังสะท้อนกลับ เพียงแต่เขาป้องกันเป็นอย่างดี ไม่มีใครค้นพบ
ภายใต้พลังเช่นนั้น แม้ว่าจะเป็นบิดาของเขาที่อยู่ระดับสีทองชั้นสองก็ไม่แน่ว่าจะรับได้โดยไม่เป็นอะไร แต่มู่ชิงเกอกลับรับได้ ซํ้ายังไม่ตาย!
เรื่องที่ดูไม่ปกติเช่นนี้ดึงดูดความสนใจของเขา ดังนั้นในตอนสุดท้ายเขาถึงได้พูดประโยคที่ดูคลุมเครือนั่นออกไป ดึงดูดให้ผู้คนสนใจความเป็นความตายของมู่ชิงเกอ
“อิ๋งเจ๋อ เจ้ายิ่งมีชีวิตต่อไปยิ่งถดถอยจริงๆ! ถึงกับทำให้คนที่ไม่มีชื่อผู้หนึ่งเหยียบชื่อเสียงของเจ้าขึ้นมาได้? ข้าเพิ่งมาถึงทุ่งหญ้าอัสดงก็ได้ยินว่าเจ้าถูกมู่ชิงเกออะไรนั้น ทำให้แพ้เดิมพันเสียแล้ว” อยู่ดีๆ ก็มีเสียงเย้ยหยันสายหนึ่งดังขึ้นภายในกระโจม
อิ๋งเจ๋อเหลือบมองไป เอ่ยด้วยนํ้าเสียงที่ดูเย็นชาว่า “จีเหยาฮั่ว”
เงาร่างสายหนึ่งปรากฎวาบขึ้นมาในกระโจมทันทีที่เสียงของเขาหลุดออกไป นั่งลงบนเก้าอี้พิงพนักอย่างเกียจคร้านเหมือนไร้กระดูก นิ้วเรียวยาวหยิบกาชาตรงหน้า ขึ้นมารินชาให้ตนเองอย่างไม่มีความเกรงใจเลยแม้แต่น้อย
อี้งเจ๋อไม่ได้ดูแปลกใจรินชาให้ตัวเอง ยกชาขึ้นมาไว้ที่ริมฝีปาก จิบเบาๆ เอ่ยว่า “เจ้ามาปรากฎตัวขึ้นที่นี่ ดูท่าคนของทางภาคเหนือก็คงมาเช่นกัน”
จีเหยาฮั่ว อันดับสองบนทำเนียบชิงอิง นายน้อยผู้อัจฉริยะของตระกูลจีแห่งภาคเหนือ พลังอยู่ระดับสีเงินชั้นหก สามารถทะลวงไปสู่ระดับสีทองได้ทุกเมื่อ ใบหน้าของจีเหยาฮั่วประดับอยู่ด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย ทำให้ใบหน้าที่หล่อเหลาดุจภาพวาดของเขาเพิ่มความเจ้าเล่ห์ขึ้นมาหลายส่วน เขายังคงทำตัวตามสบาย ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ในการปล่อยตัวตามสบายของเขานี้ก็แฝงไว้ด้วยความเป็นเอกลักษณ์ของเขาเอาไว้
ดูเหมือนว่าความรู้สึกพิเศษเช่นนี้มีเพียงแค่จีเหยาฮั่วที่สร้างออกมาได้
“งานล่าสัตว์ครั้งใหญ่ครึกครื้นเช่นนี้ ข้าจะพลาดไปได้อย่างไร” จีเหยาฮั่วยิ้มเอ่ยออกมา
“ภาคเหนือมีตระกูลไหนมาบ้าง?” อิ๋งเจ๋อเอ่ยถาม
จีเหยาฮั่วกำลังจะอ้าปากเอ่ยตอบ แต่อิ๋งเจ๋อกลับเอ่ยออกมาอีกประโยคหนึ่ง “เอาละ ถามเจ้าก็เหมือนไม่ได้ถาม เจ้าเคยสนใจเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเองเมื่อไหร่กัน?”
จีเหยาฮั่วชะงัก เก็บคำพูดที่ริมฝีปากกลับไป หัวเราะเอ่ยออกมา “ยังคงเป็นเจ้าที่เข้าใจข้า ดังนั้นในบรรดาพวกเราไม่กี่คน ข้าถึงชอบเจ้ามากที่สุด”
นัยน์ตาของอิ๋งเจ๋อเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว เอ่ยกับเขาว่า “เจ้าเป็นเพียงแค่จุดมุ่งหมายที่ข้าต้องเอาชนะเท่านั้น”
“อย่าทำตัวไร้ความรู้สึกเช่นนั้น” เงาร่างของจีเหยาฮั่วหายวับไปปรากฎอยู่ตรงหน้าของเขา หัวเราะเอ่ยออกมา
“ออกห่างจากข้าหน่อย” อิ๋งเจ๋อขมวดคิ้วอย่างรังเกียจ
จีเหยาฮั่วกลับไม่ได้สนใจ เพียงแต่ไล่ซักถามอย่างสนใจว่า “พูดมา เจ้ากับมู่ชิงเกออะไรนั้นเกิดอะไรขึ้น? เหตุใด เจ้าจึงได้ถูกคนจากตระกูลที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนรังแกได้?”
“ข้าไม่ได้ถูกรังแก” สีหน้าของอิ๋งเจ๋อดำทะมึน
“ไม่ใช่ว่าเจ้าแพ้มามิใช่หรือ” จีเหยาฮั่วกะพริบตา
อิ๋งเจ๋อเอ่ยออกมาว่า “แพ้ชนะยังไม่แน่ชัด”
เขาต้องเห็นด้วยตาตัวเองว่ามู่ชิงเกอยังไม่ตาย ถึงจะได้ยอมรับว่าตนเองแพ้แล้ว
จีเหยาฮั่วมองดูท่าทีของเขาแล้วก็พยักหน้า “ดูแล้วเจ้าจะสนใจมู่ชิงเกอคนนี้มาก!”
อิ๋งเจ๋อหันมองเขาแวบหนึ่ง ไม่ได้ยอมรับเอ่ยว่า “เขาเป็นคู่มือที่คู่ควรแก่การสนใจคนหนึ่ง”
“แต่ว่าเหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินถึงชื่อนี้มาก่อน?” จีเหยาฮั่วขมวดคิ้วเอ่ย
“ข้าก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน เขากับเขี้ยวมังกรของเขาดูเหมือนกับโผล่ออกมาจากอากาศ แต่ทว่าหลังจากงานล่าสัตว์ครั้งใหญ่นี้จบลงไป ข้าจะส่งคนไปสืบให้ชัดเจน” อิ๋งเจ๋อเอ่ย
จีเหยาฮั่วชะงัก จ้องอิ๋งเจ๋ออย่างยาวนาน แล้วก็เอ่ยอย่างตะลึงว่า “ยังไม่เคยเห็นเจ้าพูดยาวขนาดนี้มาก่อน ดูท่าเจ้าจะสนใจในคนผู้นี้จริงๆ พูดเสียทำให้ข้าอยากเห็นสักครั้งทีเดียว”
สีหน้าของอิ๋งเจ๋อดูไร้อารมณ์เอ่ยว่า “เจ้ามา แล้วคนอื่นๆ?”
จีเหยาฮั่วยักไหล่เอ่ยว่า “น้องซีดูเหมือนว่าจะมาไม่ได้แล้ว เว่ยมั่วลี่ยังคงไร้ร่องรอย เหยาชิงไห่ตามข่าวคร่าวในช่วงนี้ก็บอกว่ากำลังเก็บตัวหลอมยา ผู้กล้าห้าอันดับบนทำเนียบชิงอิง น่าจะมีแค่พวกเราสองคนที่มา”
“ห้าผู้กล้าอะไรกัน? เป็นเพียงแค่คู่แข่งก็เท่านั้น” อิ๋งเจ๋อขมวดคิ้ว ไม่พอใจกับคำพูดของจีเหยาฮั่ว
ในความเป็นจริง นอกจากเขาและจีเหยาฮั่วที่มีความสัมพันธ์ของตระกูลทำให้คุ้นเคยกันอยู่บ้างแล้ว สำหรับคนที่เหลืออีกสามคนล้วนแต่ไม่คุ้นเคย จีเหยาฮั่วก็ เหมือนกัน เพียงแต่เขามีความสามารถจะพูดให้ดูเหมือนว่ามีความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ดีมากเท่านั้น
“ข้ากล้ารับประกันได้เลยว่าถ้าหากซีเซียนเสวี่ยรู้ว่าเจ้าเรียกนางว่าน้องซีลับหลังแล้วละก็ นางจะต้องตามฆ่าเจ้าอย่างแน่นอน” อิ๋งเจ๋อเอ่ย
จีเหยาฮั่วกลับเผยลีหน้าคาดหวังออกมาเอ่ยว่า “ดีสิ ดีสิ ให้นางไล่ตามข้า สามารถถูกสาวงามไล่ตามได้ก็ถือเป็นความสุขอย่างหนึ่ง! ไม่แน่ว่าไล่ไปไล่ไปข้าก็อาจจะแต่งนางกลับบ้านก็ได้”
“เจ้าบ้าไปแล้ว ธิดาเทพไม่สามารถแต่งงานได้” อิ๋งเจ๋อ เอ่ยเตือนไปประโยคหนึ่ง
จีเหยาฮั่วส่ายหน้าอย่างดูแคลน “ชิ อาเจ๋ออารมณ์ขันเพียงนิดเดียวก็ไม่มี”
อิ๋งเจ๋อไม่ได้สนใจเขา เพียงแต่เอ่ยอย่างเสียดายว่า “คิดว่าเหยาชิงไห่จะมาเสียอีก”
“เจ้าคิดจะท้าทายเขางั้นหรือ?” จีเหยาฮั่วเข้าใจในความหมายของอิ๋งเจ๋อในทันที
อิ๋งเจ๋อไม่ได้ตอบแต่ความหมายก็ชัดเจนดีแล้ว
จีเหยาฮั่วชี้นิ้วมือมาที่ตัวเองอย่างขี้เล่นเอ่ยว่า “เจ้าสามารถท้าทายข้า!”
พูดจบเขาก็เผยรอยยิ้มหวานให้กับอิ๋งเจ๋อ
“สู้ไม่ได้” อิ๋งเจ๋อพูดออกไปประโยคหนึ่ง ยืนขึ้น เดินออกไปนอกกระโจม
“อา! ข้ายอมใช้แค่หนึ่งมือให้เจ้าดีหรือไม่?” จีเหยาฮั่วไล่ตามออกไป ยั่วยุอิ๋งเจ๋อ
ตระกูลจีแห่งภาคเหนือมาแล้ว ตระกูลหานก็มา
ส่วนคนที่มานั้นก็เป็นเพื่อนเก่าแก่ของมู่ชิงเกอ หานฉายไฉ่ทันทีที่เขาเข้ามาในทุ่งหญ้าอัสดงก็ได้ยินเรื่องราวที่เกี่ยวกับมู่ชิงเกอในทันที ในตอนนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าหลังจากที่รู้ว่านางได้รับบาดเจ็บแล้ว เขาก็รีบพุ่งตัวไปค่ายของเขี้ยวมังกรในทันที แต่น่าเสียดายที่เขาก็โดนปิดประตูใส่ กลับมาอย่างน่าสงสาร
“ช่างน่าชังยิ่งนัก! แม้แต่ข้าก็ไม่ยอมพบ!” หานฉายไฉ่โมโหขบเขี้ยวเคี้ยวฟันชุดคลุมยังคงดูสง่างามเช่นเคย
“พี่รอง ท่านเป็นอะไรไป?” หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามา มองเห็นสีหน้าของหานฉายไฉ่แล้วก็เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
ข้างกายของนางยังมีหญิงสาวที่ดูงดงามอยู่นางหนึ่ง และก็เอ่ยปากออกมาเช่นกันว่า “พี่ไฉ่ ท่านเป็นอะไรไป?”
“ไม่มีอะไร พวกเจ้าเข้ามาทำไม?” หานฉายไฉ่เอ่ยอย่างไม่พอใจ
หญิงที่เรียกหานฉายไฉ่ว่าพี่รองนั้นเดินมาข้างกายของเขา เอ่ยด้วยเสียงออดอ้อนว่า “ชิงเหลียนเห็นท่านโมโหกลับมา กังวลว่าท่านเกิดเรื่องอะไรขึ้น ถึงได้เรียก ข้ามาดูท่านด้วยกัน ท่านดูชิงเหลียนเป็นห่วงท่านขนาดไหน”
หานฉายไฉ่ยิ้มเยาะเย้ยออกมา เอ่ยกับหญิงสาวที่งดงามคนนั้นว่า “ขอบคุณคุณหนูหร่วนที่เป็นห่วง ทุ่งหญ้าอัสดงไม่ใช่ตระกูลหร่วน ยิ่งไม่ได้อยู่ในภาคเหนือ ไม่มีใครรู้จักไข่มุกของตระกูลหร่วนแห่งภาคเหนือ คุณหนูหร่วนยังคงกลับค่ายตระกูลหร่วนเถอะ เลี่ยงอันตราย ตระกูลหานของข้ารับผิดชอบไม่ไหว”
“พี่รอง!”
หร่วนชิงเหลียนรีบเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรอี้เหริน ในเมื่อพี่ไฉ่ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ข้าขอตัวไปก่อน”
พูดจบแล้ว นางก็หันกายออกไปจากกระโจมของหานฉายไฉ่
“พี่รอง เหตุใดท่านจึงทำกับชิงเหลียนเช่นนี้? นางชอบท่านด้วยใจจริงนะ”
หานฉายไฉ่ไม่สนใจคำตำหนิของน้องสาว แต่กลับเอ่ยเตือนว่า “หานอี้เหริน เจ้าอย่ามายุ่งเรื่องของข้าให้มันมากนัก หากว่าเจ้าชอบนาง เจ้าก็ไปสู่ขอนางเอง อย่ามายุ่งกับข้า”
“ท่าน! ข้าทำเพื่อท่านอยู่นะ เพียงแค่ท่านแต่งงานกับชิงเหลียน สถานะของตระกูลหานของพวกเรายังจะมีใครสั่นคลอนได้อีก?” หานอี้เหรินโมโหจนกระทืบเท้า
“ข้าจะไม่แต่งงานกับนาง เจ้าออกไปได้แล้ว” หานฉายไฉ่หรี่ดวงตาเรียวยาวเล็กลง เผยแววอันตรายออกมา
แผ่นหลังของหานอี้เหรินเย็นเฉียบ จ้องเขาอย่างขุ่นเคืองไปแวบหนึ่ง แล้วก็หันกายจากไป
ภายในกระโจม กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง แต่ว่าในใจของหานฉายไฉ่กลับยังคงว้าวุ่น คนที่เขาคิดจะแต่งงานด้วย นับแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ก็มีแค่คนเดียว แต่ว่าคนๆ นั้นกลับไม่อยากแต่งงานกับเขา!
ภายในค่ายของเขี้ยวมังกร มีความได้เปรียบของภูมิประเทศ ทั้งยังมีประตูใหญ่นอกค่ายที่ปิดบังสายตาจากคนภายนอก
มู่ชิงเกออาบแดดเสร็จแล้วก็ก้าวย่างเข้าไปในกระโจมหลัก
เพียงเข้าไปนางก็มองไปบนเตียง ส่วนใครบางคนที่นั่งอย่างเกียจคร้านอยู่บนเตียงก็ยิ้มหวานมองมาที่นาง
มู่ชิงเกอชะงัก เผยรอยยิ้มออกมา แล้วก็เดินไปทางซือมั่ว “ตื่นแล้วหรือ? อยากทานอะไรหรือไม่? ข้าจะสั่งคนไปทำ”
ซือมั่วยื่นมือออกมา มู่ชิงเกอก็ยื่นมือของตัวเองออกไป ทันใดนั้นมือของนางก็ถูกคว้าเอาไว้ ลากเข้าไปในอ้อมอกของเขา
“ข้าอยากกินเจ้า” ซือมั่วกระซิบข้างหูของมู่ชิงเกอ
ใบหน้าของมู่ชิงเกอร้อน ‘ซ่า’ แดงแจ๋ขึ้นมา ขัดขืนออกมาจากอ้อมอกของเขา เอ่ยอย่างโมโหว่า “หน้าไม่อาย!”
ซือมั่วกลับยื่นหน้าเข้าไป “ก็มีเพียงต่อหน้าเจ้าเท่านั้นที่จะเป็นเช่นนี้”
มู่ชิงเกอทั้งโมโหทั้งขบขันเอ่ยว่า “ดูแล้วเจ้ายังไม่ค่อยหิวสักเท่าไหร่ เช่นนั้นก็ไม่ต้องเตรียมของกินอะไรแล้ว”
ซือมั่วก็ไม่ได้ขัด เพียงแต่จับมือของมู่ชิงเกอขึ้นมา เอ่ยกับนางว่า “ข้าอยู่เป็นเพื่อนเสี่ยวเกอเอ๋อร์หลายๆ วันดีหรือไม่?”
“เจ้าไม่ต้องรีบกลับไปงั้นหรือ?” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ
“ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเรื่องอะไร ข้าสามารถอยู่ได้นานหน่อย” ซือมั่วเอ่ยยิ้มๆ
“เช่นนั้นเจ้าสามารถอยู่ได้นานแค่ไหน?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม นัยน์ตาสดใสแฝงไว้ด้วยความคาดหวัง
ซือมั่วคิดครู่หนึ่ง เอ่ยตอบว่า “จบงานล่าสัตว์ครั้งใหญ่”
‘นั้นเป็นเวลาหนึ่งเดือน!’ ในใจของมู่ชิงเกอรู้สึกดีใจขึ้นมา นางกับซือมั่วไปมาอย่างรีบร้อนตลอดเวลา ตอนนี้มีเวลาอยู่ด้วยกันถึงหนึ่งเดือน ทำให้รู้สึกเหนือความคาดหมายจริงๆ
“เช่นนั้นก็ดี ข้าเลี้ยงเจ้าหนึ่งเดือน! แต่ทว่าข้าไม่ได้เลี้ยงเปล่าๆ เจ้าต้องแสดงคุณค่าให้เห็นถึงจะได้” มู่ชิงเกอพูดล้อเล่น
นัยน์ตาสีอำพันของซือมั่วฉายแววไร้เดียงสา เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “คุณชาย ตอนเช้าข้าสามารถต่อสู้ได้ ตอนเย็นก็สามารถอุ่นเตียงได้ ขอให้คุณชายรับเลี้ยงข้าด้วย”
“ฮ่ๆๆๆ! ดี ข้ารับเลี้ยงเจ้า!” มู่ชิงเกอหัวเราะร่าขึ้นมา