Skip to content

พลิกปฐพี 267

ตอนที่ 267

ขอเหตุผลที่เจ้าจะท้าสู้กับข้าสักข้อสิ!

“โฮก!”

เสียงคำรามกึกก้องสะท้านปฐพีดังขึ้นในทุ่งหญ้าอัสดง ราวกับว่าโลกทั้งใบสั่นไหวตามไปด้วย กองทัพสัตว์อสูรที่กำลังชุลมุนอยุ่กับเหล่ามนุษย์หลังจากที่ได้ยินเสียงคำรามนี้แล้ว ก็พากันหวาดผวาขึ้นในทันใด เปลี่ยนทิศทางหันหัวแตกตื่นกลับเข้าไปในเทือกเขาซางหลานโดยไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ

ภาพเหตุการณ์นี้ทำเอาผู้คนตกใจ พวกเขายอมรับว่าเสียงคำรามเมื่อครู่นี้น่าหวาดกลัวจริงๆ แต่ก็ไม่น่าจะถึงขั้นที่ทำให้สัตว์อสูรตกใจจนมีสภาพเช่นนี้ไหม?

การเปิดงานล่าสัตว์ครั้งนี้เพิ่งจะเริ่มได้แค่สองขั้วยามเท่านั้นเอง!

ก็จบลงเช่นนี้น่ะหรือ?

ผู้คนที่ยังสนุกกับการสังหารยังคิดที่จะไล่ตามไป

ทว่า ผู้นำกองกำลังกลืนจันทร์กลับตะโกนเสียงสูงออกมาหนึ่งประโยคว่า “ไม่ต้องไล่ตามสุนัขจนตรอก ระวังตกหลุมพราง!”

ทำให้ทุกคนได้สติ

มู่ชิงเกอยืนอยู่ที่เดิม ดวงตาสุกสกาวของนางเป็นประกายสงสัย มองไปไกลๆ คล้ายกับว่ากำลังขบคิดสิ่งใดอยู่ เสียงคำรามนั่นนางคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพียงแต่ว่า เหตุใดโห่วถึงต้องทำให้สัตว์อสูรวิ่งหนีกระเจิงในตอนนี้กัน?

บนหุบเขาไกลๆ นั่น โห่วมองซือมั่วด้วยความโกรธ

ส่วนมุมปากซือมั่วกลับประดับรอยยิ้มจางๆ ดวงตาสีอำพันทอดมองไปที่เขา ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะขนตั้งชันขึ้น

ส่งเสียงสะอื้นไห้ โห่วยอมรับในชะตากรรมของตนเอง ทว่าในใจกลับคาดโทษซือมั่วเป็นร้อยรอบ! รอให้พลังยุทธ์ของเขาฟื้นคืนกลับมาก่อน รอให้พลังยุทธ์เขาฟื้นคืนกลับมาก่อน!

“ภารกิจของวันนี้จบลงแล้ว ควรจะรับเสี่ยวเกอเอ๋อร์กลับบ้านได้แล้ว” ซือมั่วเอ่ยเสียงราบเรียบ

น้ำเสียงคำพูดของเขาไม่มีความหึงหวงแม้แต่น้อยจริงๆ!

บนทุ่งหญ้าอัสดง นอกจากซากศพของสัตว์อสูรบนพื้น แล้วก็ไม่เห็นเผ่าสัตว์อสูรที่มีชีวิตอยู่แม้แต่ตนเดียว ทุกคนก็อยู่ในอาการสงบนิ่ง เริ่มลงมือเก็บกวาดสนามรบ และจัดการบาดแผลของตนเอง

องครักษ์เขี้ยวมังกรมารวมตัวอยู่ข้างมู่ชิงเกออย่างรวดเร็ว ไป๋สี่และคนอื่นๆ เห็นว่าหมดเรื่องสนุกแล้วก็ทยอยกันจากไป แต่หานฉายไฉ่ก็ยังเกาะติดอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอ ใบหน้าหล่อเหลาทรงเสน่ห์นั่นยังคงประดับรอยยิ้มเกียจคร้านกวนประสาท

มู่ชิงเกอเอียงตามอง เอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้ายังอยู่ทำอะไร?”

ดวงตาเรียวยาวของหานฉายไฉ่ ฉายแววมีชีวิตชีวา ไม่สนใจท่าทีของมู่ชิงเกอเลยแม้แต่น้อย “ย่อมต้องอยู่เป็นเพื่อนเจ้าอย่างไรล่ะ!”

“ไม่จำเป็น” มู่ชิงเกอเอ่ยปฏิเสธหนักแน่นตรงไปตรงมา ไม่ต้องพูดถึงว่านายท่านมั่วอยู่ใกล้ๆ นี้ ต่อให้ซือมั่วไม่อยู่ นางก็ไม่สามารถปล่อยให้ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเขาคลุมเครือไม่ชัดเจน ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าหานฉายไฉ่

รู้สึกกับตนเช่นไร ยิ่งไปกว่านั้นในใจของนางก็ยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ว่าเสียงร้องของโห่วเมื่อครู่นี้ เป็นบุรุษผู้หนึ่งตั้งใจทำขึ้นมา!

“ยังคงไร้อารมณ์เช่นเคย” หานฉายไฉ่เอ่ย

มู่ชิงเกอยิ้มเฉยชา เอ่ยกับเขาว่า “ขอบคุณสำหรับคำชมเชย”

เวลานี้เองซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินก็เดินเข้ามา บนตัวพวกเขามีรอยเลือดเปรอะเปื้อน แววตามู่ชิงเกอสว่างวาบ หลังจากพิจารณาแล้วว่ารอยเลือดพวกนั้นไม่ใช่

ของพวกเขาจึงไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

เดิมทีซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินคิดจะมาพูดคุยกับมู่ชิงเกอ แต่พอเห็นว่าข้างกายนางมีคนอยู่ ก็ปิดปากเงียบไม่เอ่ยอะไร

“พวกเจ้ากลับไปก่อน” มู่ชิงเกอเอ่ยบอกทั้งสอง

ซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินพยักหน้า เดินไปทางผู้อาวุโสสามที่มองมาทางพวกเขาอย่างลังเลอยู่บ้าง

หานฉายไฉ่ส่งสายตามองพวกเขาทั้งสองคน เอ่ยกับมู่ชิงเกออย่างมีนัยยะว่า “คนตระกูลซาง? หากข้าดูไม่ผิดละก็ สตรีเมื่อครู่นี้เป็นโฉมงามอันดับหนึ่งของเขตภาคตะวันตก ซางเสวี่ยอู่แห่งตระกูลซาง เมืองฝูซา อันดับที่ 126 บนทำเนียบฉูเฟิ่งของเขตภาคตะวันตก อ้อ ตอนนี้อันดับที่ 97 แล้ว บุรุษที่อยู่ข้างกายนางเป็น น้องชายฝาแฝดซางอี้เฉิน คุณชายน้อยผู้ที่ไม่มีพรสวรรค์ในการหลอมศาสตรา”

‘ไม่มีพรสวรรค์ในการหลอมศาสตรา!’ มู่ชิงเกอแววตาจริงจัง มองตามหลังซางอี้เฉินอย่างครุ่นคิด

เพียงแวบตาเดียว นางก็ละสายตากลับมา กวาดตามองหานฉายไฉ่ “เจ้ารู้ดีจริง”

“แน่นอนอยู่แล้ว เพื่อเจ้าแล้วข้าก็ต้องไปทำการบ้านมา” หานฉายไฉ่เผยรอยยิ้มทรงเสน่ห์หลังจากที่แยกกับมู่ชิงเกอครั้งก่อน เขาก็ลอบตรวจสอบสถานการณ์ตระกูลซางเงียบๆ

“ใช่แล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่งต้องบอกเจ้า โอสถจักพรรดิที่เจ้าหลอมออกมาเม็ดนั้นตอนนี้อยู่ที่ซางเสวี่ยอู่” หานฉายไฉ่แจ้งข่าวออกมาอีกเรื่องหนึ่ง

มู่ชิงเกอมองหน้าเขาด้วยอาการตกตะลึง ในใจประหลาดใจอย่างมาก!

อย่างไรนางก็คิดไม่ถึงว่าแผนที่เขตภาคตะวันตกในมือนางมาจากตระกูลซาง ยิ่งคิดไม่ถึงว่าโอสถจักพรรดิที่นางหลอมออกมา จะเป็นซางเสวี่ยอู่ที่ต้องการ ไม่! ไม่ถูกต้อง!

แววตามู่ชิงเกอหม่นแสง ทันใดนั้นก็เข้าใจหัวใจสำคัญของเรื่องทั้งหมด! ผู้ที่ต้องการโอสถจักพรรดิ ไม่ใช่ใคร น่าจะเป็นมู่เหลียนเฉิง! ท่านพ่อของนางนั่นเอง!

มู่ชิงเกอรู้สึกอึดอัด ดูแล้วพวกซางเสวี่ยอู่จะไม่ได้หลอกนาง พวกเขาพยายามช่วยชีวิตมู่เหลียนเฉิงมาโดยตลอด

มู่ชิงเกอสงบสติอารมณ์ เอ่ยกับหานฉายไฉ่ว่า “ต่อไปเจ้าไม่ต้องสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของข้า”

การปฏิเสธอย่างไม่เกรงใจ ทำเอาดวงตาเรียวยาวของหานฉายไฉ่หม่นแสง เขายิ้มเย็นชาเอ่ยขึ้นว่า “มู่ชิงเกอ ข้าช่วยเจ้า เจ้าไม่รับนํ้าใจก็แล้วไป ไม่นึกเลยว่ายัง ปฏิเสธการช่วยเหลือของข้า?”

ดวงตาสุกสกาวของมู่ชิงเกอยังคงมองที่เขา ไม่มีการโต้ตอบกลับ เพียงแค่มองมานิ่งๆ อย่างเฉยชา

หานฉายไฉ่พ่ายแพ้สายตาของนาง ทำได้เพียงยอมประนีประนอมเอ่ยขึ้นว่า “ได้ ข้าเข้าใจแล้ว ข้าก็แค่ไม่ต้องไปยุ่งเท่านั้นเอง รอให้เจ้าต้องการค่อยมาหาข้า”

“ความร่วมมือของพวกเราดำเนินมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ข้าต้องการตรวจดูบัญชี” ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็เอ่ยขึ้น

หานฉายไฉ่ชะงัก เลิกคิ้วขึ้นทันควัน เอ่ยออกมาติดจะมีอารมณ์โกรธว่า “นี่เจ้าไม่เชื่อใจข้า?”

มู่ชิงเกอส่ายหน้าช้าๆ “ข้าเพียงแค่ต้องการดูว่า ตอนนี้ข้ามีทรัพย์สมบัติเท่าไร?”

“เหอะ” หานฉายไฉ่แค่นเสียงออกมาครั้งหนึ่ง เอ่ยเสียงทุ้มตํ่า “เดี๋ยวข้าจัดการให้เจ้าภายหลัง”

มู่ชิงเกอพยักหน้ารับ เดินไปข้างมั่วหยาง

เมื่อเห็นว่ามู่ชิงเกอไม่ได้สนใจตนเองแต่อย่างใด ยิ่งทำให้จิตใจของหานฉายไฉ่ร้อนรนเป็นพิเศษ และในตอนนี้เอง หานอี้เหรินก็พาหร่วนชิงเหลียนเดินมาถึงตัวหานฉายไฉ่ เห็นเขานิ่วหน้าขมวดคิ้วก็เอ่ยถามออกมาด้วยความเป็นห่วง “พี่รอง ท่านเป็นอะไรไป?”

“ไม่มีอะไร” หานฉายไฉ่เอ่ยตอบอย่างอารมณ์ไม่ดี

“พี่รอง ท่านรู้จักกับมู่ชิงเกอผู้นั้นหรือ?”

ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ชื่อของมู่ชิงเกอก็โด่งดังไปทั่วทุ่งหญ้าอัสดง หานอี้เหรินย่อมต้องรู้จัก

หานฉายไฉ่ส่งเสียง ‘อืม’ รับคำสั้นๆ สายตายังคงลอยไปทางมู่ชิงเกอโดยไม่ได้ตั้งใจ

หานอี้เหรินที่สังเกตปฏิกิริยาของหานฉายไฉ่ในใจรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง นางมองไปทางมู่ชิงเกอเช่นกันและก็ถูกความโดดเด่นพาให้ตกตะลึงทันควันใบหน้างดงามที่ยากจะดูออกได้ว่าเป็นบุรุษหรือสตรีนั่นทำให้ผู้คนจำนวนมากรู้สึกพ่ายแพ้ ชุดสีแดงเลือดที่สวมทำสงครามยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน สะดุดตาเพียงนั้น สะดุดตาเสียจนบริเวณโดยรอบจืดจาง

หานอี้เหรินเก็บความตกตะลึงในความงามไว้ในใจ หันกลับมามองที่พี่รองตนเอง เห็นว่าหานฉายไฉ่ยังคงมองไปทางมู่ชิงเกอ ในใจก็เต้นระรัวขึ้นทันใด นางหันไปมองหร่วนชิงเหลียนที่อยู่ข้างๆ ด้วยท่าทีลนลาน

หร่วนชิงเหลียนเองก็มองไปที่หานฉายไฉ่อยู่เช่นกัน แต่ใบหน้างามนั้นกลับเต็มไปด้วยคำว่าน้อยใจ

ราวกับว่าไม่พอใจในท่าทีเย็นชาของหานฉายไฉ่

หานอี้เหรินรีบดึงหานฉายไฉ่ไปด้านหนึ่ง เอ่ยเตือนเบาๆ “พี่รอง ท่านทำอะไร? เหตุใดจึงจ้องไปที่มู่ชิงเกอตลอดเช่นนี้?”

“ข้าชอบมองเขา ทำไมหรือ?” หานฉายไฉ่ตอบอย่างมีเหตุมีผล

แต่คำตอบนี้กลับทำให้หานอี้เหรินตกใจจนสะดุ้ง เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีเปลี่ยนไป “มู่ชิงเกอผู้นั้นหน้าตางดงามมากจนผู้คนตะลึงก็จริงอยู่ แต่ต่อให้งามอย่างไรก็เป็นบุรุษ พี่รองท่านอย่าได้เดินทางผิดเลยนะ!”

ดวงตาเรียวยาวของหานฉายไฉ่เป็นประกายวาววาบ เข้าใจได้ในทันทีว่าหานอี้เหรินเข้าใจผิดเรื่องอะไร สายตาของเขาผละจากหานอี้เหรินลอยไปที่หร่วนชิง เหลียน ท่าทีโกรธเคืองของนางถูกเขาเก็บไว้ในส่วนลึกของดวงตา ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็ฉายแววขำขันเอ่ย กับหานอี้เหรินว่า “ถูกเจ้ามองออกจนได้ข้าชอบเพียงบุรุษจริงๆ อีกอย่างก็ชอบแค่มู่ชิงเกอ ดังนั้นเจ้าไม่ต้องคิดจะผลักคุณหนูหร่วนอะไรนั้นมาให้ข้า เห็นแก่ที่นางเป็นสหายรักของเจ้า ข้าก็จะไม่ถือสา แต่หากว่านางยังคงมาเกาะแกะข้าอีกละก็ อย่ามาโทษว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน”

คำสารภาพของหานฉายไฉ่ทำให้แววตาหานอี้เหรินเบิกกว้างตะลึงค้าง บนใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความตกตะลึง จนกระทั่งหานฉายไฉ่เดินผ่านนางไป เดินไปทางมู่ชิงเกอโดยไม่สนใจมองหร่วนชิงเหลียน นางถึงได้สติขึ้นมา

“พี่ชายไฉ่กับคุณชายมู่ผู้นั้นดูจะสนิทสนมกันดี” หร่วนชิงเหลียนเอ่ยออกมาด้วยนํ้าเสียงหึงหวงอยู่บ้าง

หานอี้เหรินยิ้มแหยๆ นางยังอยู่ในอาการตกตะลึงเมื่อครู่นี้สติยังไม่คืนกลับมาดี ในตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะรับหน้ากับหร่วนชิงเหลียนอย่างไร อธิบายกับนางอย่างไร ทำได้เพียงอ้อมแอ้มเอ่ยขึ้นว่า “พวกเขา…พวกเขาเหมือนว่าจะเป็นสหายสนิท”

“เป็นเช่นนี้นี่เอง” หร่วนชิงเหลียนยิ้มออก เอ่ยกับหานอี้เหรินว่า “ในเมื่อเป็นสหายของพี่ไฉ่ไม่สู้พวกเราเดินไปหาพวกเขากันเถอะ”

“เรื่องนี้…” ขณะที่หานอี้เหรินกำลังลังเล ก็ถูกสายตาร้องขอของหร่วนชิงเหลียนทำให้พ่ายแพ้ทำได้เพียงพยักหน้ารับตามนั้น

ขณะที่มู่ชิงเกอกำลังหารือกับมั่วหยาง หานฉายไฉ่ก็เดินเข้ามา สามผู้ยิ่งใหญ่แห่งกองกำลังหลิวเค่อก็มุ่งหน้ามาทางพวกเขาเช่นกัน อีกทั้งเร็วกว่าหานฉายไฉ่หนึ่งก้าว มายืนอยู่ตรงหน้ามู่ชิงเกอ

“คุณชายมู่ กองกำลังเขี้ยวมังกรช่างมีความสามารถจริงๆ สงครามในวันนี้คนของพวกเราได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ส่วนกองกำลังเขี้ยวมังกรกลับไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว” ในคำพูดของหัวหน้ากองกำลังกลืนจันทร์มีความนัยแอบแฝง

มู่ชิงเกอหันกลับมามองเขา ยิ้มนิ่งๆ เอ่ยเสียงเรียบ “โชคดีน่ะ”

“โชคดีหรือ? หึ ขอให้กองกำลังเขี้ยวมังกรรักษาโชคดีนี้ไว้จนจบงานล่าสัตว์ครั้งใหญ่นี้ไปก็แล้วกัน” หัวหน้ากองกำลังยักษ์วิถีเอ่ยยั่วแหย่

มู่ชิงเกอยังคงมีรอยยิ้มเอ่ยออกมาเช่นเดิม “ขอให้เป็นไปดังคำที่ท่านว่า”

คำตอบของนางคล้ายกับกำปั้นทุบบนปุยนุ่นอย่างนั้นแหละ ทำเอาหัวหน้ากองกำลังยักษ์วิถีถึงกับแค่นเสียงขี้นทีหนึ่ง

ตอนนี้เองที่หัวหน้ากองกำลังร้อยอัคคีก้าวออกมาเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “โดยปกติแล้วเมื่อเริ่มงานแข่งขันล่าสัตว์ครั้งใหญ่ก็จะดำเนินไปเต็มวันถึงจะจบงาน แต่ครั้งนี้กลับแปลกมาก เริ่มที่เผ่าสัตว์อสูรดุร้ายกว่าแต่ก่อน สู้รบกันได้เพียงครึ่งก็ปุบปับล่าถอยไป พวกเราสามคนปรึกษากันแล้วเกรงว่าด้านในจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ดังนั้นจึงอยากปรึกษาหารือกับคุณชายมู่สักหน่อย”

“อ้อ ทุกท่านรู้สึกว่ามีเงื่อนงำ?” แววตามู่ชิงเกอเป็นประกาย

สามผูยิ่งใหญ่มองสบตากันแล้วจึงพยักหน้า

หัวหน้ากองกำลังกลืนจันทร์เอ่ยขึ้นว่า “ตามหลักแล้ว หลังเปิดงานแข่งขันล่าสัตว์ทุกคนจะพักผ่อนอยู่ที่ทุ่งหญ้าอัสดงเป็นเวลาห้าวันเต็ม หลังจากห้าวันผ่านไปก็ จะแบ่งกลุ่มเข้าไปในเทือกเขาซางหลานล่าสัตว์ต่อไป เมื่อครู่นี้พวกเราหารือกันแล้วอยากจะใช้เวลาห้าวันนี้ แบ่งคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งเข้าไปดูลาดเลาสถานการณ์ในเทือกเขาซางหลานก่อน ดูว่าจะสามารถพบเบาะแสอะไรหรือไม่และก็เพื่อป้องกันอันตรายให้คนอื่นไม่ให้ติดกับดักของพวกสัตว์อสูรด้วย”

มู่ชิงเกอรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นเพราะเสียงร้องของโห่ว สัตว์อสูรจึงได้ล่าถอยไปอย่างผลุนผลัน แต่ก็ไม่สามารถพูดออกมาได้ ทำได้เพียงพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ตกลง”

หัวหน้ากองกำลังร้อยอัคคีเอ่ยขึ้นทันใดว่า “ในเมื่อคุณชายมู่ไม่มีความเห็นต่าง เช่นนั้นกองกำลังหลิวเค่อระดับนภาทั้งสี่กลุ่มของพวกเรา ก็ให้แบ่งกลุ่มแยกกันเข้าไปในเทือกเขาซางหลานทั้งสี่ทิศ แยกย้ายกันไปรวบรวมข่าว

สาร”

มู่ชิงเกอยังไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใด หัวหน้ากองกำลังยักษ์วิถีก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ในฐานะกองกำลังหลิวเค่อระดับนภา ก็ต้องแสดงบทบาทผู้นำมีความรับผิดชอบ หากว่ากองกำลังเขี้ยวมังกรทำไม่ได้ก็ถือโอกาสถอนตัวไปเสียจะดีกว่า”

นํ้าเสียงของเขา แฝงความไม่สบอารมณ์ชัดเจน

เมื่อเขาเอ่ยออกมาเช่นนี้อีกสองคนก็ไม่ได้เอ่ยอะไร

มุมปากมู่ชิงเกอยกยิ้มราวไม่ใส่ใจ เอ่ยบอกมั่วหยางว่า “จัดคนสองกลุ่มเข้าไปในเทือกเขาซางหลาน”

“ขอรับ!” มั่วหยางรับคำ สายตาคมกริบกวาดสายตามองผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามท่าน

เมื่อทั้งสามคนเห็นว่ามู่ชิงเกอตกลงแล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไรให้มากความ ต่างก็แยกย้ายกลับไปยังกองกำลังของตนเอง พวกเขาไม่เหมือนองครักษ์เขี้ยวมังกรที่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย ยังต้องกลับไปจัดการผู้ที่บาดเจ็บล้มตาย ทั้งสามคนเดินจากไปแล้ว หานฉายไฉ่ก็เดินมาหามู่ชิงเกอ เอ่ยด้วยนํ้าเสียงติดจะเย็นชาว่า “นิสัยของเจ้าเปลี่ยนไปใจดีเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อไรกัน?”

มู่ชิงเกอกลับเอ่ยอย่างไม่เห็นเป็นเช่นนั้น “ความสามารถโดดเด่นของกองกำลังเขี้ยวมังกรพวกเขารู้สึกไม่สบายใจก็เป็นเรื่องปกติ หากพวกเขาแสดงท่าทางเบิกบานใจสิ ข้าถึงรู้สึกแปลกใจ”

นางหันกลับมามองหานฉายไฉ่ กลับพบสตรีรูปโฉมงดงามสองนางมุ่งตรงมาทางพวกเขา ก็อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้ว

“พี่ไฉ่” หร่วนชิงเหลียนส่งเสียงเรียก

เลียงเรียกนี้ทำเอาสีหน้าหานฉายไฉ่เคร่งขรึม

“พวกเจ้ามาทำไม?” นํ้าเสียงหานฉายไฉ่เย็นชา

หานอี้เหรินที่ถูก ‘รสนิยม’ ของหานฉายไฉ่โจมตีจนหงอยเหงาซึมเซา พอได้ยินเขาซักถามก็ทำได้เพียงยิ้มหยันออกมา ส่วนหร่วนชิงเหลียนกลับเผยรอยยิ้มไร้เดียงสา เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “คุณชายมู่ ท่านเป็นสหายของพี่ไฉ่ก็เป็นสหายพวกเราด้วย ท่านหน้าตาดีจริงๆ”

มู่ชิงเกอมองหานฉายไฉ่ด้วยแววตาขี้เล่นแวบหนึ่ง ยิ้มให้หร่วนชิงเหลียน “คุณหนูเองก็งดงามมาก”

นางยกย่องอย่างเกรงใจ แต่กลับทำให้สองแก้มหร่วนชิงเหลียนขึ้นสีแดงระเรื่อ ลอบเมียงมองหานฉายไฉ่อย่างเขินอาย

“ไอหยา ข้าลืมแนะนำตัวไปเลย ข้าชื่อหร่วนชิงเหลียนเป็นคู่หมายของพี่ไฉ่ นี่คืออี้เหริน หานอี้เหริน น้องสาวของพี่ไฉ่”

“หุบปาก เจ้ามีคุณสมบัติอะไรมาแนะนำตนเองที่นี่?” หานฉายไฉ่ตำหนินํ้าเสียงดุดันเย็นชา

ใบหน้าหร่วนชิงเหลียนซีดเผือด แววตาฉายแววประหลาดใจ มองหานฉายไฉ่นํ้าตาคลอเบ้า

มู่ชิงเกอเองก็เลิกคิ้วสูง มองเขาด้วยความประหลาดใจเช่นกัน

“พี่รอง ชิงเหลียนเพียงแค่หวังดี” หานอี้เหรินปรี่เข้ามาคลี่คลายสถานการณ์

ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็พบว่า สายตาที่นางมองตนเอง คล้ายแฝงความขยะแขยงและไม่พอใจ

‘นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?’ มู่ชิงเกอมึนงงอยู่ในใจ เดิมทีเห็นแก่หน้าของหานฉายไฉ่ ความรู้สึกเมื่อได้พบหน้าหานอี้เหรินก็ไม่เลวนัก แต่พอมาเป็นเช่นนี้ นางกลับรู้สึกว่าพวกเขาไม่ใช่พวกเดียวกัน

“ชิงเกอ ข้าขอตัวก่อน วันหลังค่อยมาหาเจ้าใหม่” หานฉายไฉ่เอ่ยกับมู่ชิงเกอ

จากนั้นก็สาวเท้าก้าวยาวๆ จากไป

หร่วนชิงเหลียนที่เห็นหานฉายไฉ่จากไปแล้วก็ตามเขาไปติดๆ

ส่วนหานอี้เหรินกลับรั้งตัวอยู่ต่อ นางเตือนมู่ชิงเกอด้วยสายตาเย็นชา “อยู่ห่างพี่รองข้าให้ไกลๆ หน่อย ตระกูลหานของพวกเราไม่ใช่ว่าใครก็สามารถตะกายขึ้น มาได้”

พูดจบ นางก็หันหลังเดินจากไป

มู่ชิงเกอยืนอยู่ที่เดิม หัวเราะเย็นชา ส่ายหน้าช้าๆ นางเคยต้องการตะกายขึ้นตระกูลหานตั้งแต่เมื่อไร?

หานฉายไฉ่เดินดุ่มๆ ไปข้างหน้าด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ การพบหน้ากันของเขากับมู่ชิงเกอถูกทำลายลงเช่นนี้น่ะหรือ อีกอย่างไม่รู้ว่ามู่ชิงเกอจะคาดเดาความสัมพันธ์ของเขากับหร่วนชิงเหลียนไปเช่นไร

หากเข้าใจผิด…

ทันใดนั้น หานฉายไฉ่ก็หยุดเท้าฉับพลัน ในใจบังเกิดความขมขื่น ดวงตาเรียวยาวปรากฎอารมณ์วุ่นวายสับสน เขาเอ่ยกับตนเองอยู่ในใจอย่างฉุนเฉียว “สตรีใจดำเช่นนั้น จะมาสนใจข้าได้อย่างไร?”

“พี่ไฉ่ ท่านอย่าโกรธเลย ชิงเหลียนผิดไปแล้ว” หร่วนชิงเหลียนตามมาทัน เอ่ยบอกหานฉายไฉ่

นํ้าเสียงต่ำต้อยด้อยค่าของนาง ไหนจะท่าทางเชื่อฟังนั้นอีก ทำให้ในใจของหานฉายไฉ่ยิ่งกลัดกลุ้มยิ่งขึ้น

ในตอนนี้เอง หานอี้เหรินก็ตามมาทันเอ่ยตำหนิหานฉายไฉ่ว่า “พี่รอง ชิงเหลียนไม่ได้ทำอะไรผิด ท่านทำเช่นนี้กับนางไม่ได้”

ไกลออกไปมีคนผู้หนึ่งสวมชุดอาภรณ์สีดำผมดำขลับ หลังตรงอกผายไหล่ผึ่งเดินเข้ามา ในอ้อมแขนของเขาคล้ายอุ้มกระต่ายไว้ตัวหนึ่ง ตาคมคิ้วเข้มได้รูป หล่อ เหลาไร้ที่ติ ราวกับแสงประกายเจิดจ้าสะดุดตา คล้ายกับว่าเขาเป็นเทพสวรรค์ที่เดินลงมาจากสรวงสวรรค์ แม่น้ำขุนเขาทั้งผืนต่างศิโรราบให้กับเขา ถูกเขา ควบคุม เมื่อผู้ที่โดดเด่นเหนือคนทั่วไปเช่นนี้มาปรากฎตัวท่ามกลางสายตาผู้คนเช่นนี้ กลับดูเหมือนไม่มีผู้ใดรู้สึกว่ากำลังมีคนเดินเอื่อยเฉื่อยอย่างมั่นใจอยู่ในทุ่งหญ้าอัสดง ผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ไปมา เดินผ่านเขาไปเหมือนว่าไม่มีคนผู้นี้อยู่ คนอื่นมองไม่เห็น แต่หานฉายไฉ่กลับมองเห็น ทันใดนั้น เขาก็แข็งค้างอยู่กับที่ ส่วนหร่วนชิงเหลียนกับหานอี้เหรินที่อยู่ข้างเขาก็มองเห็นเช่นกัน พอได้มองทั้งสองคนก็ราวกับวิญญาณออกจากร่าง ตะลึงงันอยู่กับที่ ถูกความหล่อเหลางดงามของซือมั่วดึงดูดสายตา ลืมการมีอยู่ของตนเอง ดวงตาคู่สวยของหานอี้เหรินเป็นประกาย ราวกับว่าผู้ที่ตนเองตามหามาเป็นเวลานานในที่สุดก็ปรากฎตัวอยู่ ตรงหน้าตัวเอง

คุณชายผู้มีรูปโฉมงดงาม บุคลิกองอาจสง่างามเช่นนี้ เป็นคนผู้นั้นที่นางเฝ้าตามหาท่ามกลางฝูงชน!

“เจ้า…เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่?” สีหน้าของหานฉายไฉ่ไม่น่าดูเป็นที่สุด ตัวเขาสั่นน้อยๆ พลังของซือมั่วกดดันจนเขาแทบจะหายใจไม่ออก ส่วนหานอี้เหรินกับหร่วนชิงเหลียนไม่รู้สึกเลยสักนิด การปรากฎตัวของซือมั่วอยู่เหนือความคาดหมายของเขา เขาไม่หวังให้บุรุษผู้นี้ปรากฎตัวอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอเอาเสียเลย

ซือมั่วหยุดลงตรงหน้าเขาครู่หนึ่ง ยิ้มนิ่งๆ ดวงตาสีอำพันแฝงความห่างเหินถือตัวสูงเกินเอื้อม “ข้าไม่ควรอยู่ที่นี่รึ”

คำตอบธรรมดากลับแฝงการเตือนเอาไว้คุกรุ่น

หานฉายไฉ่เม้มปากแน่น ดวงตาเรียวยาวแฝงความดื้อดึง

“อย่ายั่วโมโหข้า” ซือมั่วใช้น้ำเสียงสุดแสนธรรมดาเอ่ยออกมาหนึ่งประโยคก่อนเดินผ่านเขาไป

รอจนเขาเดินจากไปไกลแล้ว หลังของหานฉายไฉ่ก็เปียกโชก ราวกับถูกสูบนํ้าออกไปจนหมดตัว

“พี่รอง เขาคือใครกัน?” หานอี้เหรินไม่ได้สังเกตเห็นท่าทีผิดปกติของหานฉายไฉ่ในใจถูกท่าทีของซือมั่วครอบคลุมไปทั้งหมด จ้องมองภาพซือมั่วเดินจากไป เนิ่นนานไม่ได้สติ

จากนั้นนางก็ค้นพบอย่างรวดเร็วว่าตนเองพลาดร่องรอยของเขาไปแล้ว คล้ายกับว่าจู่ๆ คนผู้นั้นก็หายไปต่อหน้าต่อตานาง

ละสายตากลับมาด้วยความเสียดาย หานอี้เหรินก็เผชิญกับสายตาเย็นชาของหานฉายไฉ่ นางตกใจแทบสะดุ้ง

หานฉายไฉ่เอ่ยเตือนด้วยนํ้าเสียงเย็นชา “เขาเป็นผู้ที่เจ้าหาเรื่องไม่ได้ อย่าได้ทำให้ตระกูลหานต้องมาตายตกไปตามๆ กันเพราะความโง่ของเจ้า!”

พูดจบ กลิ่นไอของหานฉายไฉ่ก็แปรเปลี่ยนไปเยือกเย็น เขาบอกน้องสาวตนเองว่าอย่าได้โง่เขลา แล้วตัวเขาเองล่ะ?

หานฉายไฉ่ปิดเปลือกตาทั้งสองข้างลง รู้อยู่แก่ใจว่าไม่ควรไปยั่วโมโหบุรุษผู้นั้น ทว่ากลับปล่อยมู่ชิงเกอไปไม่ได้ นี่เขากำลังเล่นอยู่กับไฟใช่หรือไม่?

หานฉายไฉ่ยิ้มขมขื่น ตระกูลหานไม่ใช่กำลังเล่นกับไฟหรือ?

เขารู้ว่าที่มาที่ไปของซือมั่วลึกลับ พลังยิ่งใหญ่มหาศาล ทว่าต่อให้ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพียงใดก็สืบหาเบาะแสของซือมั่วไม่พบ ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาเขาก็รู้ว่าบุรุษผู้นี้ไม่ใช่คนที่เขาจะไปหาเรื่องได้

แต่เขาดันไม่ปรารถนาที่จะปล่อยมือ อยากจะแย่งสตรีกับเขา!

เขาบอกหานอี้เหรินว่าอย่าได้ทำเรื่องโง่เขลา แล้วสิ่งที่ตนเองทำอยู่มันไม่ใช่หรือ?

ทันใดนั้นหานอี้เหรินก็มีอาการหงอยเหงาเศร้าซึม เดินไปทางค่ายตระกูลหานอย่างเหม่อลอย หร่วนชิงเหลียนตามไปด้วยความเป็นห่วง ส่วนหานอี้เหรินกลับมีอาการใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

คำพูดของหานฉายไฉ่ ทำให้นางยิ่งทวีความสงสัย ยิ่งอยากจะเข้าใกล้บุรุษอันตรายผู้นั้น!

บางทีสิ่งที่นางมอบให้ตระกูลหานอาจจะไม่ใช่ภัยพิบัติ แต่เป็นโชคดีก็ได้? ความมั่นใจในตนเองนี้ทำให้แววตาหานอี้เหรินเป็นประกายวาบ สายตาสะท้อนความเด็ดเดี่ยวมุ่งนั้น

ส่งหานฉายไฉ่แล้ว มู่ชิงเกอไม่คิดเลยว่าต้องต้อนรับผู้ที่อยู่เหนือความคาดหมายอีกคน

เจี่ยงเทียนเฮ่า!

มู่ชิงเกอมองหน้าเขา รู้สึกหมดคำพูดอยู่บ้าง นางคิดว่าหลังจากสงครามที่เมืองอวี๋สุ่ยเฉิงแล้วก็จบเรื่องกันทั้งสองฝ่าย วันนี้เขามาปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าตนเองเช่นนี้ หรือว่ายังคิดจะท้าประลองอีก?

“เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า” มู่ชิงเกอส่ายหน้าช้าๆ

ทว่า เจี่ยงเทียนเฮ่ากลับยังคงไม่ยอมจากไป แต่ยกอาวุธ ในมือตนเองขึ้นมา

มู่ชิงเกอถอนใจอยู่ในใจ การเข่นฆ่าเมื่อครู่นี้นางไม่ได้ใช้พลังจิต หากแต่อาศัยกระบวนท่าของทวนหลิงหลง ยังมีพลังและความเร็วของตนเองสอดประสานกับท่าก้าวดาราก่อกำเนิดในการทำสงครามล้วนๆ

ธนูที่ปล่อยออกไปก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะปะปนพลังจิตไปบ้างแต่ทว่ารวดเร็ว และระยะห่างยังไกล ดังนั้นผู้ที่อยู่ไกลๆ ยากที่จะเห็นได้ชัด

มู่ชิงเกอยกมือขวาขึ้น ฝ่ามือปรากฎแสงสีเงิน

ดวงตาทั้งสองข้างของเจี่ยงเทียนเฮ่าเคร่งเครียด ใบหน้าหดเกร็งหันหลังจากไป ตอนที่จะไปยังทิ้งเอาไว้ประโยคหนึ่ง “ข้ามาใหม่แน่”

มู่ชิงเกอมุมปากกระตุก บริภาษอยู่ในใจว่า การแข่งขันนี้ยังแถมคนหัวรั้นมาอีกคน?

“มู่ชิงเกอ”

เสียงที่ดังขึ้น ดึงความคิดของมู่ชิงเกอกลับมา

‘วุ่นวายจริง!’ มู่ชิงเกอบ่นอุบในใจ ที่จริงตอนนี้นางอยากที่จะหลับให้สบายสักตื่น ถูกบุรุษผู้นั้นเคี่ยวกรำทั้งคืน ลุกจากที่นอนกลับไม่ยอมปล่อยนาง แม้ว่าการฟื้นฟูพลังของนางจะน่าตกใจแต่มันก็เหนื่อยอยู่ดี

ยิ่งไปกว่านั้น ยังต้องมาต่อสู้ครั้งใหญ่นี่อีก!

ไม่คิดเลยว่าการต่อสู้จบแล้ว ยังต้องมารับมือกับผู้คนระลอกแล้วระลอกเล่า!

มู่ชิงเกอหายใจลึกๆ ในใจ หันหลังกลับมามองอิ๋งเจ๋อที่เดินมาทางนาง

“นายน้อยอิ๋ง มีสิ่งใดชี้แนะ ใช่แล้ววันนั้นข้ารีบร้อนจากไป ได้ยินลูกน้องข้าบอกว่าเจ้าต้องการเห็นข้ากับตาถึงจะยอมรับความพ่ายแพ้ใช่หรือไม่?” มู่ชิงเกอยกยิ้มมุมปากเอ่ยขึ้น แม้จะเหนื่อยล้าแค่ไหน นางก็ยังคงรับมืออย่างสดชื่น

อิ๋งเจ๋อมองเขาแววตาเรียบเฉย “ที่ข้ามาก็เพื่อมาบอกเจ้าว่า เรื่องที่เจ้าตัดลิ้นของอิ๋งชวนจบแล้ว แต่ว่าเรื่องระหว่างข้ากับเจ้าเพิ่งจะเริ่มต้น”

“เรื่องระหว่างข้ากับเจ้า เรื่องอะไร?” มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว ไฟในใจ ปะทุออกมาข้างนอก ‘ปัง ปัง ปัง!’

อิ๋งเจ๋อไม่สนใจมองนํ้าเสียงกัดฟันของเขา ยังคงใช้นํ้าเสียงทะนงตนเอ่ยว่า “ไม่เคยมีใครที่รับข้าสามกระบวนท่าแล้วไม่ตายมาก่อน ข้าอยากมีโอกาสวัดกับเจ้าอย่างจริงจังอีกครั้ง ดังนั้นอย่าให้ข้าต้องรอนาน!”

อิ๋งเจ๋อพูดจบก็หันหลังเดินจากไป

มู่ชิงเกอตะลึง หันมองมั่วหยางที่อยู่ข้างๆ เอ่ยถามว่า “นี่ เขารังเกียจข้าหรือ?” รังเกียจที่ตอนนี้นางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตนเอง จากนั้นก็ทิ้งคำพูดเอาไว้ให้นางเร่งฝึกพลังยุทธ์ แล้วสู้กับเขาใหม่?

มั่วหยางมุมปากกระตุก ท่าทางแสร้งใสชื่อของมู่ชิงเกอทำให้เขารู้สึกอยากยิ้มแต่ก็ไม่กล้า ทำได้เพียงเกร็งคอ พยักหน้า

ชิ! คิดไม่ถึงว่านางจะโดนรังเกียจซะแล้ว!

แต่นางกลับไม่ยอมรับไม่ได้! ตอนนี้ระดับพลังยุทธ์ของนางอยู่ระดับสีเงินขั้นสอง ไปสู้กับอิ๋งเจ๋อซึ่งอยู่ระดับพลังขั้นสีเงินขั้นสี่ขั้นห้า รนหาที่ตายชัดๆ!

“มั่วหยาง นายท่านของเจ้ายังต้องฝึกฝนต่อไป!” มู่ชิงเกอเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าจริงจัง

มั่วหยางกลับเอ่ยว่า “คุณชาย ท่านเก่งกาจมากแล้ว!”

“เก่งกาจแต่ก็โดนรังเกียจ เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน” มู่ชิงเกอเบ้ปากเอ่ยขึ้นมา

มั่วหยางยิ้มน้อยๆ ไม่ได้เอ่ยต่อคำ

“มู่ชิงเกอใช่หรือไม่!” ในตอนนี้เอง เสียงไม่คุ้นหูก็ดังแว่วเข้าหูมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอถอนหายใจ ‘มาอีกแล้ว!’

เงยหน้าขึ้นไปมองก็พบกับบุรุษงดงามผู้หนึ่ง เขาแต่งกายสบายๆ ถึงขั้นว่าไม่เข้ากันกับผู้อื่น แต่ช่างเหมาะกับบุคลิกของเขา ใบหน้าแย้มยิ้มนั่น ดูแล้วเป็นมิตร

‘เขาคือใครกัน?’ มู่ชิงเกอแววตางุนงง ลอบเอ่ยขึ้นในใจ

ผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้ มองไปแล้วดูเหมือนเป็นกันเองเข้ากับผู้อื่นง่าย แต่กลับแฝงกลิ่นไอดุดันทำให้คนไม่สามารถมองผ่าน

“ข้าชื่อจีเหยาฮั่ว” จีเหยาฮั่วชี้ผายมือเข้าหาตนเอง เผยฟันขาวสะอาด ดวงตาสองข้างยิ้มเป็นเสี้ยวพระจันทร์

จี เหยา ฮั่ว!

มู่ชิงเกอเคร่งเครียดในทันใด

คิดไม่ถึงเลยว่า ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้านางจะเป็นผู้ที่อยู่อันดับสองบนทำเนียบชิงอิง จีเหยาฮั่ว!

มู่ชิงเกอลอบระแวดระวังอยู่ในใจ “ที่แท้ก็นายน้อยจี ไม่ทราบว่านายน้อยจีมาหาข้าด้วยเรื่องอันใด?”

จีเหยาฮั่วพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “มีเรื่องมาพบเจ้านิดหน่อย”

“เชิญนายน้อยจีเอ่ยมาเถอะ” มู่ชิงเกอกล่าว

รอยยิ้มของจีเหยาฮั่วไม่เปลี่ยนไป นํ้าเสียงก็ช่างอ่อนโยนเป็นมิตร “ได้ยินมาว่า เจ้ารับอิ๋งเจ๋อสามกระบวนท่าแล้วไม่ตาย?”

มู่ชิงเกอมุมปากกระตุก

นี่นับเป็นคำถามใดกัน? ไม่เห็นหรือว่านางยืนอยู่ตรงนี้ดีๆ อยู่? ยังจะถามว่านางตายหรือไม่ตาย!

“โชคช่วยน่ะ” มู่ชิงเกอเอ่ยเสียงขรึม นางยังจับจุดไม่ถูกว่าเจตนาที่มาของจีเหยาฮั่วนั้นเป็นมิตรหรือศัตรู

จีเหยาฮั่วส่ายหน้า “โชคช่วยไม่โชคช่วยอะไรกัน ไม่ต้องแสร้งถ่อมตนได้หรือไม่? เจ้าสามารถรับกระบวนท่าเขาได้สามกระบวนท่า ก็แสดงว่าเจ้ามีความสามารถไม่เบา”

“นายน้อยจีชมเกินไปแล้ว” มู่ชิงเกอเอ่ยเสียงเรียบ

จีเหยาฮั่วกลับยกมือขึ้นโบกไปมาเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ใช่การกล่าวชม เพียงแค่พูดตามความจริง” พูดจบก็มอบรอยยิ้มสดใสให้มู่ชิงเกอ

ทำเอามู่ชิงเกอเลิกคิ้ว

จีเหยาฮั่วมองมู่ชิงเกอยิ้มๆ เอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อเจ้าประมือกับอิ๋งเจ๋อมาแล้ว ไม่สู้มาประลองกับข้าสักตั้งเป็นอย่างไร? ไม่ว่าแพ้ชนะ สำหรับชื่อเสียงของเจ้าแล้วล้วนมีส่วนช่วยทั้งนั้น!”

“ไม่สู้!” มู่ชิงเกอปฏิเสธหน้าชื่นตาบาน

ที่ต้องสู้กับอิ๋งเจ๋อเป็นเพราะไม่มีหนทาง อีกอย่างนั่นก็ไม่ใช่การต่อสู้ แต่เป็นรับมือเขาสามกระบวนท่า จีเหยาฮั่วจะมาสู้กับนาง มีความจำเป็นไหม?

นางไม่คิดอยากรนหาที่ตาย!

“เพราะเหตุใด! ข้าสู้เจ้าอิ๋งเจ๋อนั่นไม่ได้ตรงไหนกัน?” เมื่อจีเหยาฮั่วได้ยินคำปฏิเสธของมู่ชิงเกอก็ขมวดคิ้วมุ่นทันที

“สู้ไม่ได้ แล้วจะสู้ไปทำไม?” มู่ชิงเกอเอ่ยสารภาพ จากนํ้าเสียงของจีเหยาฮั่ว นางสามารถตัดสินได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอิ๋งเจ๋อดูไม่เลว หรือว่าที่เขามาก็เพื่อเอาคืนให้อิ๋งเจ๋อ?

นางตั้งรับอิ๋งเจ๋อได้สามกระบวนท่า มีชื่อเสียงขึ้นมา ส่วนชื่อเสียงของอิ๋งเจ๋อกลับมัวหมองนิดหน่อย ดังนั้นเขาผู้ซึ่งอยู่ในอันดับที่สองบนทำเนียบชิงอิงถึงได้โผล่ออกมา อยากจะเอาคืนแทนอิ๋งเจ๋อ?

นี่เป็นเหตุผลเดียวที่มู่ชิงเกอสามารถคิดออกมาได้นอกจากนี้แล้วนางก็คิดไม่ออกว่าตนเองมีค่าอะไรให้จีเหยาฮั่วสนใจ

คำตอบของมู่ชิงเกอทำเอาจีเหยาฮั่วหัวเราะออกมา “เจ้าช่างชื่อตรงเสียจริง หากว่าข้าต้องการสู้กับเจ้าให้ได้ล่ะ?’’

มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว “เพราะอะไร?”

“ไม่ได้เพราะอะไร ก็แค่รู้สึกอยากต่อสู้กับเจ้าสักตั้ง” จีเหยาฮั่วกลอกตา ดูบริสุทธ์ใจและตรงไปตรงมา

คำตอบนี้ทำให้มู่ชิงเกอมีสีหน้าเคร่งขรึม นางเอ่ยปากขึ้นว่า “ข้าขอปฏิเสธ ข้าไม่เคยต่อสู้แบบที่คลุมเครือไม่มีต้นสายปลายเหตุมาก่อน”

พูดจบนางก็หันหลังเดินไปอีกทางหนึ่ง นับเป็นการจบบทสนทนาที่ไม่มี ความหมายนี้ลง

จีเหยาฮั่วก็ไม่ได้เอ่ยรั้งนางไว้ เพียงแค่เอ่ยพึมพำด้วยสายตาเป็นประกายว่า “ไม่ต่อสู้แบบที่คลุมเครือไม่มีต้นสายปลายเหตุ ก็หมายความว่าต้องหาเหตุผล ยุ่งยาก

จริง”

จีเหยาฮั่วเองก็จากไปเช่นกัน

มู่ชิงเกอไม่ได้ไปสนใจ

“เหตุใดถึงอารมณ์ไม่ดี?” ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น

มู่ชิงเกอหันกลับไปมอง คิดไม่ถึงว่าซือมั่วจะมาปรากฎตัวอยู่ข้างนาง ส่วนผู้คน โดยรอบกลับคล้ายว่าไม่สามารถสัมผัสถึงการมีอยู่ของเขา

“เจ้ามาได้อย่างไร?” มู่ชิงเกอเอ่ยด้วยความสงสัยแกมประหลาดใจ

สายตาของนางจับจ้องไปที่กระต่ายที่อยู่บนตัวเขา เอ่ยขึ้นทันที “เสียงโห่วร้องเมื่อครู่นี้ เป็นเจ้าทำขึ้นมาใช่ไหม”

ซือมั่วพยักหน้า เอ่ยด้วยนํ้าเสียงอ่อนโยน “แค่ทำดูเท่านั้นแหละ หรือว่าเจ้าคิดจะสู้ทั้งวัน? ไม่เหนื่อยหรือไง?”

คำพูดที่ดูปกติของเขากลับทำให้มู่ชิงเกอมีสีหน้าเห่อร้อน

“ดูเจ้าสิ สีหน้าอ่อนล้า ต้องโทษที่ข้าไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ” ซือมั่วเอ่ยเสริมขึ้นมาอีกหนึ่งประโยค

ใบหน้ามู่ชิงเกอระเบิด ‘ตูม’ หน้าแดงกํ่า

นางเอ่ยกับซือมั่วว่า “เพ่ย เจ้าพูดอะไรแบ่งแยกสถานที่ให้ชัดเจนหน่อย!”

ซือมั่วกลับเอ่ยอย่างไม่เห็นเป็นเช่นนั้นว่า “ไม่มีใครได้ยินสักหน่อย”

การเอ่ยเตือนของเขาถึงได้ทำให้มู่ชิงเกอสังเกตว่าไม่มีใครสนใจการสนทนาของพวกเขาจริงๆ นางเอ่ยถามด้วยความตะลึง “เจ้าทำอะไรน่ะ?”

ซือมั่วกลับเอ่ยนิ่งๆ ว่า “ข้าอยากให้พวกเขาเห็นข้า พวกเขาก็มองเห็นข้า ไม่อยากให้พวกเขาเห็นข้า พวกเขาก็ย่อมมองไม่เห็น”

มู่ชิงเกอฟังแล้วก็ตะลึงอ้าปากค้าง ในหัวปรากฎอักษร ‘ยอมแพ้’ ตัวใหญ่ๆ

เมื่อเห็นมู่ชิงเกอเผยอปากน้อยๆ ดวงตาสีอำพันของซือมั่วก็หม่นแสงลงเอ่ยกับนางว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ พวกเรากลับกันเถอะ พักผ่อนให้สบาย อย่าได้เหนื่อยเกินไป”

ใครจะรู้ว่าเมื่อได้ยินประโยคนี้ของเขา มู่ชิงเกอกลับคล้ายว่าได้รับเรื่องตกใจ “เจ้าคิดจะทำอะไร?”

คำพูดของบุรุษแอบซ่อนความนัย ทำเอานางรู้สึกเฉกเช่น เนื้อเข้าปากเสือ

นางรู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมาแล้ว เสียใจว่าเมื่อคืนไม่น่าเปิดทางให้เขาเลย!

นึกถึงว่าเมื่อคืนซือมั่วถามนางว่าจะเสียใจภายหลังหรือไม่ นางยังเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจอยู่เลยว่า นางคือมู่ชิงเกอผูซึ่งไม่รู้จักกับคำว่าเสียใจภายหลัง แต่ในเวลานี้กลับรู้สึกว่าถูกตบหน้า ‘เพียะ เพียะ เพียะ’

อูย เจ็บหน้าจังเลย!

มู่ชิงเกอรู้สึกว่า เรื่องเข้าเนื้อหนุ่มสาวเช่นนี้ ความอดทนของนางห่างชั้นกับซือมั่ว!

“ข้าไม่ได้คิดจะทำอะไร เพียงแค่รู้สึกว่าเจ้าควรพักผ่อนเสียหน่อย ไม่เช่นนั้นแล้วข้าจะปวดใจ” ซือมั่วเอ่ยท่าทางบริสุทธิ์ใจ เมื่อเห็นสายตาเคลือบแคลงระแวงของมู่ชิงเกอแล้ว เขาก็ยิ้มมุมปากแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์คิดอะไรอยู่หรือ?” คำพูดนี้กระตุ้นความอยากเอาชนะของมู่ชิงเกอ นางยืดตัวตรงทันที เอ่ยอย่างขึงขังหนักแน่น “คิดอะไร? ข้าไม่ได้คิดอะไรเลย อืม ข้าเหนื่อยอยู่บ้างจริงๆ ไป กลับ กันเถอะ!”

พูดจบนางก็หันหลังไปสั่งงานมั่วหยางอยู่ไม่กี่ประโยค ก่อนจะจากไปพร้อมซือมั่ว

เดินอยู่ข้างๆ ซือมั่ว นางก็ค้นพบว่าตนเองก็ดูคล้ายกับว่าได้ล่องหนไปด้วย เดินผ่านฝูงชนไปอย่างสง่าผ่าเผยโดยที่ไม่ได้นำมาซึ่งสายตาของผู้ใด

กลับมาถึงค่ายเขี้ยวมังกรอย่างมึนงง จวบจนมู่ชิงเกอได้สติขึ้นมาก็ถูกซือมั่วอุ้มขึ้นเตียงซะแล้ว

มู่ชิงเกอระแวดระวังขึ้นทันที “เจ้าอย่ามาทำอะไรส่งเดชนะ! ตอนนี้กลางวันแสกๆ!”

ซือมั่วกลอกตา ดวงตาสีอำพันดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสา!

แต่ถึงอย่างนั้น มู่ชิงเกอก็ไม่ถูกท่าทางเช่นนี้ของเขาหลอกลวง!

แววตาหวาดระแวงของหญิงสาวทำเอาซือมั่วขบขันอยู่ในใจ เขาเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “เด็กดี ตอนนี้ข้าไม่ทำอะไรหรอก รอกลางคืนก่อน”

“หืม…หืม? อะไรเรียกว่ารอกลางคืนก่อน?” มู่ชิงเกอขนลุกขึ้นมาทันที

ซือมั่วเผยท่าทีอ้อนวอนร้องขอความเห็นใจทันควัน เอ่ยด้วยนํ้าเสียงน่าสงสาร “เสี่ยวเกอเอ๋อร์จะใจร้ายเห็นข้าเป็นทุกขได้หรือ?”

ใจร้าย! ใจร้ายแน่นอน!

มู่ชิงเกอตะโกนอยู่ในใจ

แต่ว่ามือที่ถูกจับไว้แน่นทำให้นางตระหนักรู้ว่า หากว่าตอนนี้เอ่ยคำตอบที่ทำให้บุรุษผู้นี้ไม่พอใจ เกรงว่าแม้แต่ตอนกลางคืนเขาก็รอไม่ได้

“ไม่ใจร้าย…” มู่ชิงเกอเอ่ยออกมาอย่างอยากร้องไห้แต่กลับไม่มีนํ้าตา

ซือมั่วแนบชิดอยู่ด้านหน้า ใบหน้าหล่อเหลาประดับรอยยิ้มหน้าเนื้อใจเสือ เอ่ยข้างหูนางว่า “หรือว่าเจ้าไม่พึงใจการปรนนิบัติของข้า ดังนั้นเจ้าถึงได้รังเกียจ? ให้ข้าได้ฝึกปรือหลายๆ ครั้ง รับรองว่าจะทำให้เจ้าพอใจขึ้นเรื่อยๆ”

อะไรกัน!

ใบหน้ามู่ชิงเกอขึ้นสีแดงจนคล้ายกุ้งต้มสุก

นางผลักซือมั่วออก มุมปากกระตุกถี่ยิบ ยิ้มแหยๆ เอ่ยขึ้นว่า “ไม่…ไม่ต้องแล้ว…ข้าพอใจมาก”

ดวงตาสีอำพันของซือมั่ว เปล่งประกายจริงจัง เขาเอ่ยเสียงทุ้มชวนหลงใหล “ยังมีเวลาอีกห้าวันกว่าจะได้เข้าไปในเทือกเขาซางหลาน ห้าวันนี้ไม่สู้พวกเราก็อยู่กันที่นี่แหละ”

มู่ชิงเกอสูดลมหายใจหนาวเหน็บ แววตาแปรเปลี่ยนเป็นตกใจกลัว ‘เขาคิดจะไม่ให้ข้าลงจากเตียง!’

“พอกันที! พวกเจ้าคิดว่าข้าตายไปแล้วหรืออย่างไร?” กระต่ายน้อยตัวหนึ่งทนดูต่อไปไม่ไหวจริงๆ!

มู่ชิงเกอและซือมั่วหันกลับมามองเขาพร้อมกัน

โห่วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เอาของเล่นที่คอข้าออกไป”

มู่ชิงเกอแววตาเป็นประกาย เอ่ยเล่นๆ ว่า “มีความสามารถเจ้าก็เอาออกเอง”

“เจ้า!” ดวงตาสีทองของโห่วเปล่งประกายความโหดเหี้ยม

มู่ชิงเกอยิ้มเย็นอยู่ในใจ ยกข้อมือตนเองขึ้นสะบัดไปมา กำไลสีทองที่ข้อมือของนางเปล่งแสงเจิดจ้าทันที

โห่วตัวแข็งทื่อ จากนั้นล้มลงกับพื้น ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด “โฮก!”

ร่างเล็กๆ ของเขากลิ้งไปกลิ้งมากับพื้น เจ็บปวดเหลือเกิน

ไม่หยุดที่จะตะโกน “หยุดได้แล้วรีบหยุดได้แล้ว! ข้าผิดไปแล้ว! ข้าผิดไปแล้ว!”

มู่ชิงเกอเก็บกำไลทอง ร่างกายของโห่วก็ค่อยๆ สงบลง

“รู้ตัวว่าผิดแล้ว ยังไม่รีบไปเฝ้าอยู่ด้านนอกอีก?” ซือมั่วเอ่ยนิ่งๆ

โห่วปีนขึ้นมาจากพื้น ถลึงตาใส่พวกเขาด้วยความโกรธ ก่อนจะออกไปจากกระโจมกลางอย่างไม่สมัครใจ หมอบอยู่บนแท่นสูง ให้ความรู้สึกราวกับว่ากำลังตากแดดอยู่ก็ไม่ปาน

ภายในกระโจม ซือมั่วหยิบเม็ดองุ่นหยกออกมามอบให้มู่ชิงเกอ “นี่เป็นสิ่งที่พบในเทือกเขาซางหลานให้เจ้า”

“เม็ดองุ่นหยก!” มู่ชิงเกอจำประวัติความเป็นมาของผลไม้ออกทันที

นางรับมาอย่างยินดี เอ่ยกับซือมั่วว่า “เม็ดองุ่นหยกพบเห็นอยู่ไม่มาก คิดไม่ถึงว่าจะถูกเจ้าพบเข้า”

“พูดกันตามตรงแล้ว เป็นโห่วที่ค้นพบ” ซือมั่วเอ่ยบอกด้วยความซื่อตรง

พูดแล้วเขาก็เล่าเรื่องที่เข้าไปในเทือกเขาซางหลานจับตัวโห่วกลับมาให้มู่ชิงเกอฟังคร่าวๆ

หลังจากที่มู่ชิงเกอฟังแล้ว ก็เอ่ยถามขึ้นทันที “เหตุใดโห่วถึงไม่แปลงกายเป็นมนุษย์? เป็นเพราะได้รับบาดเจ็บหนักใช่หรือไม่?”

“เพียงแค่ตัวเขาไม่ปรารถนาเท่านั้นเอง” ซือมั่วให้คำตอบที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของมู่ชิงเกอ

“เขาปรารถนาที่จะใช้ชีวิตเป็นเช่นกระต่ายตัวหนึ่งหรือ?” มู่ชิงเกอเอ่ยด้วยความประหลาดใจ

ซือมั่วกลับเอ่ยขึ้นยิ้มๆ ว่า “เป็นกระต่ายมีอะไรไม่ดี ทำให้คนลดการป้องกันตัว จู่โจมอย่างฉับพลันในขณะที่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ระวัง”

แววตามู่ชิงเกอระยิบระยับ รู้สึกว่าคำพูดของซือมั่วมีเหตุผล

หลายสิ่งหลายอย่างมองดูแล้วไม่มีพิษมีภัย แต่ว่าในขณะที่เจ้าไม่ทันได้ระวังตัวก็โถมเข้ามากัดอย่างแรงหนึ่งที

“เจ้าเล่ห์จริงๆ” มู่ชิงเกอพยักหน้า ความคิดของมู่ชิงเกออยู่ที่โห่ว ทำให่ซือมั่วไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก เขายื่นมือออกมาลูบเบาๆ ที่หูข้างซ้ายของมู่ชิงเกอ เอ่ยกับนางว่า “ต่อไปเวลาอยู่ตรงหน้าข้า ก็ถอดมันออกเถอะ”

เขาหมายถึงเครื่องมือมายาที่สวมอยู่บนหูข้างซ้ายของมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอกลอกสายตาพยักหน้ารับคำ เวลาที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันตามลำพัง นางก็ปรากฎกายในสภาพบุรุษมาโดยตลอด ไม่ค่อยดีจริงๆ นั่นแหละ

เมื่อเห็นว่ามู่ชิงเกอตกลง มุมปากซือมั่วก็ยกยิ้มด้วยความยินดี

มือของเขาแตะลงบนต่างหูสีม่วงของมู่ชิงเกอ กำลังเตรียมจะถอดมันออก จู่ๆ ในค่ายเขี้ยวมังกรก็แว่วเสียงร้องตะโกนกึกก้องขึ้นมา

“มู่ชิงเกอ!”

แววตามู่ชิงเกอจริงจัง ปัดมือของซือมั่วออก กระโดดลงจากเตียง เอ่ยด้วยท่าทีเฉยชา “เป็นจีเหยาฮั่ว”

นางสาวเท้าก้าวยาวๆ ออกมาจากกระโจม ยืนอยู่บนระเบียงช้อนตามอง

เสียงของจีเหยาฮั่วก็ทำให้บรรดากองกำลังหลิวเค่อที่กลับมาจากสนามรบ พักผ่อนอยู่ที่ค่ายล้วนแต่ได้ยิน พวกเขาทยอยเดินออกมาจากกระโจมตนเอง เงยหน้าขึ้นมองไปกลางอากาศ พบจีเหยาฮั่วที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ ในมือของเขายังจับตัวโฉมงามไว้ผู้หนึ่ง

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

“นั่นใช่นายน้อยตระกูลจี จีเหยาฮั่ว อันดับสองบนทำเนียบชิงอิงหรือไม่? ”

“รีบมาดูเร็วเข้า ผู้ที่เขาจับตัวเอาไว้ดูคล้ายกับซางเสวี่ยอู่ แห่งตระกูลซาง! โฉมงามอันดับหนึ่งแห่งเขตภาคตะวันตก! สมคำร่ำลือจริงๆ

“เพ่ย เจ้าสังเกตอะไรให้มันปกติทั่วไปหน่อยได้หรือไม่ จู่ๆ นายน้อยจีลงมือกับซางเสวี่ยอู่ หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

“ใครจะรู้ เมื่อครู่นี้เหมือนว่าเขาจะตะโกนเรียกชื่อคุณชายมู่ มู่ชิงเกอ! อยู่นะ”

“ตาบอดหรือไง มองไม่เห็นหรือว่าเขาอยู่บนท้องฟ้าของค่ายเขี้ยวมังกร?”

“เสวี่ยอู่!” ผู้อาวุโสสามตระกูลซาง วิ่งออกมาท่ามกลางฝูงชน มุ่งไปทางค่ายเขี้ยวมังกร

ด้านหลังของเขายังตามมาด้วยคนอื่นๆ ในตระกูลซาง ซางอี้เฉินเองก็ตามมาด้วยสีหน้าโกรธขึ้ง

ความเคลื่อนไหวของจีเหยาฮั่วไม่เพียงแต่สร้างความแตกตื่นให้กับกองกำลังหลิวเค่อ ยังสร้างความแตกตื่นให้ตระกูลอื่นๆ

มู่ชิงเกอยืนอยู่บนแท่น แวบแรกเลยก็มองเห็นซางเสวี่ยอู่ ที่อยู่ในมือจีเหยาฮั่ว ราวกับว่านางถูกสกัดจุด ไม่สามารถขยับตัวได้ไม่สามารถเปล่งวาจาได้ทำได้เพียง ใช้สายตามาแสดงความรู้สึกของตนเอง

“จีเหยาฮั่ว เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” มู่ชิงเกอสีหน้า

เคร่งขรึม เอ่ยถามเสียงเย็นชา

จีเหยาฮั่วยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องการเหตุผลถึงจะยอมดวลกับข้าหรอกรึ? ตอนนี้ข้าก็จะให้เหตุผลเจ้าข้อหนึ่ง ตอบตกลงสู้กับข้าสักตั้งแล้วข้าจะปล่อยนางไป ถ้าไม่ตกลงข้าก็จะฆ่านางทิ้งเดี๋ยวนี้”

ซางเสวี่ยอู่เบิกตากว้าง มองดูจีเหยาฮั่ว รอยยิ้มของเขา ทำเอานางรู้สึกขนลุกชัน ก่อนจะเอียงหัวมองดูมู่ชิงเกอ ส่ายหน้าสุดชีวิต ‘นี่เป็นคนวิปลาสผู้หนึ่ง! ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำออกมาได้! ไม่หวาดเกรงสิ่งใดเลยสักนิด!’

แววตามู่ชิงเกอนิ่งขรึมจนน่ากลัว จ้องมองใบหน้ายิ้มแย้มของจีเหยาฮั่วแล้ว สุดท้ายก็โพล่งขึ้นว่า “ได้!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!