ตอนที่ 268
การประกาศอำนาจของนายท่านมั่วผู้เผด็จการ!
“ได้!” คำนี้หลุดออกมาจากปากของมู่ชิงเกอ
บนอากาศ มือที่จับซางเสวี่ยอู่ของจีเหยาฮั่วออกแรงผลัก ทิ้งซางเสวี่ยอู่ทิ้งลงบนพื้น
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ กระโดดขึ้นรับตัวซางเสวี่ยอู่กลางอากาศ พานางมาที่ปลอดภัย
“เช่นนั้นพวกเราก็เริ่มตอนนี้เถอะ” จีเหยาฮั่วเอ่ยอย่างตื่นเต้น
มู่ชิงเกอกลับยิ้มเย็นเอ่ยว่า “รีบอะไร จะต่อสู้กับยอดฝีมือเช่นเจ้า ก็ควรให้ข้าได้มีเวลาเตรียมตัวบ้าง หลังจากนี้สามวัน กลางทุ่งหญ้าอัสดง พวกเรามาประลองกัน!”
นัยน์ตาของจีเหยาฮั่วเปล่งประกายยิ้มแย้ม “ได้ เช่นนั้น ข้าจะรอเจ้าสามวัน หลังจากสามวันแล้ว หากว่าเจ้าสามารถทำให้ข้าบาดเจ็บได้ภายในสามร้อยกระบวนท่า ก็ถือว่าเจ้าชนะ”
มู่ชิงเกอยิ้มเย็น ไม่ได้มีท่าทีเกรงกลัว
นัยน์ตาที่ดูท้าทายของนาง ทำให้จีเหยาฮั่วหัวเราะเอ่ยว่า “อย่าหาว่าข้ารังแกเจ้า หลังจากนี้สามวันให้เจ้าใช้พลังได้เต็มที่ ข้าจะกดพลังให้มีระดับเท่ากับเจ้า”
พูดแล้วเขาก็หันกายจากไป ดุจดังลมพายุ
จีเหยาฮั่วจากไปแล้ว มู่ชิงเกอก็คลายจุดบนร่างของซางเสวี่ยอู่ ทำให้นางสามารถเคลื่อนไหวพลังจิตแล้วก็สามารถพูดได้
“ท่านไม่อาจต่อสู้กับเขา จีเหยาฮั่วเป็นคนนิสัยประหลาดคาดเดายาก!” พอสามารถพูดได้ซางเสวี่ยอู่ก็รีบพูดออกมาในทันที
มู่ชิงเกอมองดูนาง เอ่ยด้วยนํ้าเสียงที่ดูเย็นชาว่า “เรื่องของข้า ข้าจะจัดการเอง”
จีเหยาฮั่วพุ่งเข้ามาหานาง พูดไปแล้ว ซางเสวี่ยอู่ก็เพียงแค่โดนลูกหลงเท่านั้น
“นี่ไม่อาจล้อเล่นได้ แม้ว่าเขาจะกดระดับพลังลง แต่ขอบเขตพลังก็คือขอบเขตพลัง อีกไม่นานเขาก็จะทะลวงสู่ระดับสีทองแล้ว!” ซางเสวี่ยอู่โน้มน้าวใจ
มู่ชิงเกอกลับมองนาง พูดด้วยนัยน์ตาที่สงบว่า “เช่นนั้น เจ้ามีวิธีแก้อะไรหรือไม่?”
“ข้า!” ซางเสวี่ยอู่พูดไม่ออก
มู่ชิงเกอหันกายไปทางกระโจมหลัก เอ่ยกับไป๋สี่ที่อยู่นอกกระโจมอีกหลังว่า “ไป๋สี่ส่งแขก”
ซางเสวี่ยอู่ยังคิดที่จะพูดอะไรอีก แต่ทันใดนั้นไป๋สี่ก็ปรากฎตัวขึ้นต่อหน้านาง เอ่ยกับนางว่า “แม่นางซาง เชิญเถอะ”
ซางเสวี่ยอู่หมดทางเลือก ทำได้เพียงเดินไปที่ประตูใหญ่กับไป๋สี่
ตอนนี้ มั่วหยางก็ได้พาองครักษ์เขี้ยวมังกรรีบกลับมา สีหน้าดูเลวร้ายมาก เสียงของจีเหยาฮั่วดูเหมือนว่าจะทำให้ทั่งทุ่งหญ้าอัสดงได้ยินหมด พวกเขาก็แน่นอนว่าได้ยิน
มองเห็นซางเสวี่ยอู่เดินออกมาจากค่าย ในใจของมั่วหยางก็ดำดิ่งลง
ส่วนเวลานี้ ผู้อาวุโสสามตระกูลซางก็นำคนของตระกูลซางไล่ตามมมาถึง แวบเดียวก็มองเห็นซางเสวี่ยอู่ยืนอยู่หน้าประตู
“เสวี่ยอู่!” ผู้อาวุโสสามเอ่ยอย่างตื่นตกใจ
ซางอี้เฉินวิ่งมาที่ข้างกายของซางเสวี่ยอู่ เอ่ยถามเสียงเบาว่า “นางตกลงแล้วหรือ?”
ซางเสวิ่ยอู่พยักหน้า
“จะได้อย่างไร! จีเหยาฮั่วอะไรนั้นเป็นคนที่อยู่ในทำเนียบชิงอิงลำดับที่สอง แน่นอนว่าต้องร้ายกาจกว่าอิ๋งเจ๋อ ไม่สามารถต่อสู้กับเขาได้!” ซางอี้เฉินเอ่ย และก็คิดจะพุ่งตัวเข้าไปในค่ายเขี้ยวมังกร ดูเหมือนอยากจะขอพบมู่ชิงเกอ เพื่อให้นางเปลี่ยนความคิด
เพียงแต่ว่าหน้าประตูมีไป๋สี่ขวางไว้ เขาเข้าไปไม่ได้
“อี้เฉิน เจ้าไปก่อนเถอะ สามวันนี้อย่าไปรบกวนนาง” ซางเสวี่ยอู่จับข้อศอกของซางอี้เฉิน ลากเขาออกจากประตูใหญ่ เดินไปทางผู้อาวุโสสาม
“เสวี่ยอู่ เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม? เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ผู้อาวุโสสามรีบถาม
ซางจื่อหลันก็ยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “คุณหนูเสวี่ยอู่ของพวกเรานี้ช่างเกิดมาไม่เสียชาติเกิดจริงๆ เริ่มจากทำให้คุณชายมู่ลำบากช่วยเจ้ารับสามกระบวนท่า จากนายน้อยอิ๋ง ตอนนี้ก็เพื่อช่วยเจ้าลำบากเขาให้ตกลงประลองกับนายน้อยจีอีก สาวงามอันดับหนึ่งแห่งภาคตะวันตกช่างมีเสน่ห์ไม่ธรรมดาจริงๆ”
“จื่อหลันหุบปาก!” ผู้อาวุโสสามตำหนิ
ซางจื่อหลันเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “เหตุใดต้องหุบปากด้วย? ข้าไม่ได้พูดอะไรผิดเสียหน่อย!”
“พอแล้ว! มีอะไรกลับไปค่อยพูดกัน ไม่อายคนอื่นบ้างหรือ?” ผู้อาวุโสสามตะคอกใส่อย่างโมโห
ในที่สุด ก็สามารถปิดปากของซางจื่อหลันได้
เขาถอนหายใจ เอ่ยกับซางเสวี่ยอู่ว่า “กลับไปก่อนค่อยพูด”
ซางเสวี่ยอู่พยักหน้า นัยน์ตาหันไปมองประตูใหญ่ที่ปิดสนิท ซ่อนความเป็นห่วงในใจ ตามผู้อาวุโสสามกลับไปยังค่ายของตระกูลซาง
ภายในค่ายของเขี้ยวมังกร พอมู่ชิงเกอกลับไปยังกระโจมหลัก ก็พบกับสายตาของซือมั่ว
“คนๆ นี้เหลือเพียงแค่ก้าวเดียวก็เข้าสู่ระดับสีทองแล้ว อีกอย่างความสามารถพิเศษทางสายเลือดของเขาก็คือลม ถึงแม้ว่าจะกดระดับพลังลง แต่เจ้าในตอนนี้ก็ไม่ใช่คู่มือของเขา” ซือมั่วมองความสามารถของจีเหยาฮั่วออกในพริบตาเดียว
มู่ชิงเกอยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าก็มองออก สถานการณ์เช่นนั้นจะให้ข้าไม่ตกลงได้งั้นหรือ? เขาไม่ได้สนใจชีวิตของซางเสวี่ยอู่เลย ถ้าหากข้าไม่ยอมตกลง เขาก็คงจะฆ่าซางเสวี่ยอู่อย่างแน่นอน”
“นางเป็นน้องสาวของเจ้า ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ไม่สามารถให้นางตายได้” ซือมั่วเอ่ยความในใจของมู่ชิงเกอออกมา
มู่ชิงเกอสูดหายใจเข้าลึกๆ “ข้าเพิ่งจะบอกท่านปู่ว่ามีหลานชาย หลานสาว ก็ไม่สามารถบอกกับเขาได้อีกว่า หลานสาวตายไปเพราะข้า”
มู่ชิงเกอเดินไปถึงข้างกายของซือมั่ว รู้สึกเหนื่อยล้าเอนหลังพิงบนตัวของเขา หลับตาลง “แต่ก่อนอยู่บนสนามรบ จีเหยาฮั่วก็เคยมาหาข้า แต่ถูกข้าปฏิเสธไป ดังนั้น เขาถึงได้จับตัวซางเสวี่ยอู่มาบีบบังคับข้า ครั้งนี้ถึงแม้ว่าข้าจะยังยืนยันไม่ตกลง เขาก็จะยังคงไม่ยอม ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็สนองเขาไปเถอะ”
“เจ้าจะทำอย่างไร?” ซือมั่วโอบเอวของนาง
ดวงตาของมู่ชิงเกอเบิกกว้าง นัยน์ตากระจ่างฉายแววแข็งกร้าวออกมา “ออกแรงเต็มที่”
“ให้ข้าช่วยดีไหม” ซือมั่วเสนอ
แต่มู่ชิงเกอกลับปฏิเสธ “ไม่ อย่างไรก็ต้องมีวันที่เจ้าจะจากไป ข้าจำเป็นต้องพึ่งตัวเอง ต่อสู้อย่างยุติธรรม”
นางไม่คิดจะคอยพึ่งแต่ซือมั่ว และก็อยากจะฝึกฝนตนเองด้วย
ได้ต่อสู้กับยอดฝีมือก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่หาได้ยาก
ถึงแม้ว่านางจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดจีเหยาฮั่วจึงมาสนใจนางก็ตาม แต่ในเมื่อได้รับคำท้ามาแล้ว ก็ต้องลองดู ถือว่าเป็นการฝึกฝน
“หากเสี่ยวเกอเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บข้าคงปวดใจ” ซือมั่วจับมือของนาง วางไว้บนหัวใจของตัวเอง
มู่ชิงเกอเขย่งเท้าขึ้น จูบไปที่ริมฝีปากของเขาเบาๆ ยิ้มให้เขาแล้วเอ่ยว่า “ดังนั้นเพื่อที่จะไม่ให้เจ้าปวดใจรีบบอกความสามารถของจีเหยาฮั่วมาให้หมด?”
ซือมั่วเผยอปากของ โอบกอดมู่ชิงเกอลงไปนั่งบนเตียง คนที่มีรูปร่างสูงเพรียวอย่างมู่ชิงเกอ เมื่อถูกเขาโอบเข้าไปในอ้อมอกกลับดูเหมือนนกตัวน้อย
“ตระกูลจีมีสายเลือดแห่งลม อีกทั้งในร่างกายของจีเหยาฮั่วยังมีรากวิญญาณธาตุลม ทำให้มีความก้าวหน้ามาก ดังนั้นเขาจึงมีความเร็วที่เหนือธรรมดา เขาสามารถ ใช้ความสามารถนี้กับเจ้า อีกอย่างตระกูลจีก็เป็นตระกูลบรรพกาล มีบันทึกต่างๆ เก็บเอาไว้มากมาย จีเหยาฮั่ว เป็นนายน้อย ทักษะเคล็ดวิชาที่ได้เรียนก็ต้องสุดยอด ถึง แม้ว่าเขาจะกดระดับพลังให้เท่ากันกับเจ้า แต่พลังจิตที่สะสมก็มีมากกว่าเจ้ามาก พลังจิตของเจ้าก็จะหมดเร็วกว่าเขา” ซือมั่วค่อยๆ เอ่ย
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอวาววาบ พยักหน้าอยู่ในอ้อมอกของเขา “เจ้าไม่ใช่พูดว่ารากวิญญาณไม่อาจจะใช้พล่ำเพรื่อได้มิใช่หรือ?”
ซือมั่วพยักหน้า “ตระกูลจีสามารถควบคุมลมได้ นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้ ดังนั้นถึง แม้ว่าจีเหยาฮั่วจะใช้พลังของรากวิญญาณก็ไม่ทำให้ผู้คนตกใจ และก็ไม่อาจรู้ได้ว่าเพรา เขามีรากวิญญาณลม เกรงว่าเรื่องที่เขามีรากวิญญาณลมนี้คงถูกตระกูลจีซ่อนเอาไว้อย่างดี”
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเปล่งประกาย “เช่นนั้นข้า…”
“ไม่ได้” ซือมั่วส่ายหน้า
“ทำไมละ?” มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างไม่พอใจ
ซือมั่วมองนางอย่างจริงจัง “ก็เหมือนกับที่เจ้าพูด ข้าไม่อาจจะอยู่ข้างเจ้าตลอดเวลาได้ ส่วนความแข็งแกร่งรอบตัวของเจ้าในตอนนี้ไม่เพียงพอให้เจ้าข้ามผ่านโลกแห่งยุคกลางได้ ตระกูลจีที่อยู่เบื้องหลังของจีเหยาฮั่วนั้น ถึงแม้ว่าความลับเรื่องรากวิญญาณของเขาถูกเปิดเผย คนที่รู้เรื่องรากวิญญาณของเขาก็ต้องคิดหนักว่าตนไม่ใช่คู่ต่อกรของตระกูลจี แต่เจ้าไม่เหมือนกัน ขอเพียงเจ้าเผย รากวิญญาณสายฟ้าของเจ้า ไม่สนว่าเจ้าจะแค่เพียงมีความใกล้ชิดกับสายฟ้าเท่านั้นหรือไม่ ไม่ได้มีรากวิญญาณอยู่กับตัว ก็จะต้องกลายเป็นเป้าหมายของผู้ คนนับไม่ถ้วน เจ้าฉลาดเช่นนี้คงรู้ดีว่าอะไรที่เรียกว่า ฆ่าผิดหนึ่งร้อยแต่ไม่ขอปล่อยไว้สักคน”
มู่ชิงเกอถูกคำพูดของซือมั่วทำให้นิ่งเงียบ
“ดังนั้นข้ายอมให้เจ้ายอมแพ้เมื่อรู้สึกว่าสู้ไม่ไหวดีกว่าให้เจ้าเสี่ยง” ซือมั่วเอ่ยกับมู่ชิงเกอเสียงเข้ม “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ ระดับพลังของเจ้ากับเขาห่างไกลกันมาก ไม่ชนะ นั้นเป็นเรื่องปกติ ครั้งนี้แพ้ก็ไม่ต้องรีบร้อน ออกแรงเต็มที่ก็พอ วันข้างหน้าเมื่อพลังของเจ้าสูงขึ้น ค่อยคิดบัญชีกับเขาดีไหม?”
เขาไม่อยากให้มู่ชิงเกอพาตัวเองเข้าไปอยู่ในความเสี่ยง เพียงเพื่อต้องการเอาชนะ
“ข้ารู้แล้ว” มู่ชิงเกอพยักหน้าต่อหน้าซือมั่ว “ข้ารับปากเจ้าว่าจะไม่ใช้รากวิญญาณสายฟ้า แต่ว่าข้าจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ”
ซือมั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ บีบๆ แก้มของนาง “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ที่ชอบเอาชนะ ข้าก็ชอบ?”
รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวอย่างกระตือรือร้นของใครบางคน มู่ชิงเกอพุ่งตัวออกจากแขนของเขาในทันที เหมือนลูกกวางน้อยตัวหนึ่ง แก้มแดงก่ำเอ่ยว่า “สามวันนี้ข้าจะเก็บตัวเตรียมรับศึก เจ้าอย่ารบกวนข้า”
พูดจบแล้วนางก็หายตัววาบไปจากที่เดิม เข้าไปฝึกฝนในหอฝึกฝนในช่องว่าง
“หนีเร็วขนาดนี้เชียว!” ซือมั่วยิ้มบางๆ
ในค่ายของตระกูลจี อิ๋งเจ๋อพุ่งตัวเข้ามา มองเห็นจีเหยาฮั่วกำลังเอนตัวนอนอยู่บนเตียงกินผลไม้อยู่ นัยน์ตาของเขาก็ฉายแววอำมหิตเอ่ยว่า “เจ้าคิดจะเล่นอะไรอีก?”
จีเหยาฮั่วกวาดตามองเขาแวบหนึ่ง หัวเราะเอ่ยว่า “เจ้าจะตื่นเต้นทำไมกัน?”
อิ๋งเจ๋อเดินไปที่ด้านหน้าของเขา ใช้ท่าทางที่ดูเคร่งขรึมมองดูจีเหยาฮั่ว เอ่ยถามอีกครั้งว่า “เจ้าคิดจะเล่นอะไร? เหตุใดจึงไปท้าประลองมู่ชิงเกอ? เจ้ารู้อยู่ชัดๆ ว่าเขาไม่อาจจะเป็นคู่มือให้เจ้าได้”
จีเหยาฮั่วขบริมฝีปาก หยักไหล่เอ่ยว่า “ข้าจะกดพลังให้เท่ากันกับเขา” เขาเงยหน้ามองอิ๋งเจ๋อ เอ่ยถามอย่างสนใจว่า “เขาน่าสนใจถึงขนาดนั้น แน่นอนว่าข้าไม่อาจ พลาดได้อย่างไร เจ้าสามารถเล่นกับเขาได้แต่ข้าไม่ได้งั้นหรือ?”
อิ๋งเจ๋อนิ่งเงียบ ครู่หนึ่งถึงเอ่ยว่า “นิสัยของเจ้าแย่มาก ข้าไม่อยากให้คู่ต่อสู้ที่น่าสนใจคนหนึ่งถูกเจ้าฆ่าไป ข้าเคยพูดแล้วว่า ต้องรอให้เขามีพลังก่อนค่อยต่อสู้กับเขาอีก”
“ที่แท้เจ้าก็กลัวว่าข้าจะทำลายเขา! วางใจเถอะ เพื่อเจ้า ข้าจะยั้งมือไว้ไมตรี” จีเหยาฮั่วเอ่ย
อิ๋งเจ๋อมองดูเขา ก่อนที่ในท้ายที่สุดก็หันกายจากไป
หลังจากเขาจากไป จีเหยาฮั่วถึงได้เก็บรอยยิ้มที่มุมปากกลับ นัยน์ตาเหมือนคิดอะไรอยู่ พึมพำเอ่ยว่า “อิ๋งเจ๋อนะอิ๋งเจ๋อ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นเจ้าเป็นห่วงเรื่องความเป็นความตายของคนอื่น ข้าก็อยากรู้เช่นกันว่ามู่ชิงเกอคนนี้มีเสน่ห์อะไรถึงได้สามารถทำให้เจ้าที่ต่อสู้กับเขาครั้งหนึ่งแล้วปักใจต่อเขา”
เรื่องที่หลังจากนี้สามวันกลางทุ่งหญ้าอัสดงนายน้อยตระกูลจีลำดับสองบนทำเนียบชิงอิงท้าประลองมู่ชิงเกอนั้นไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศก็รู้กันดี
นี่ก็ต้องขอบคุณจีเหยาฮั่วที่ใช้พลังจิตแฝงไปกับเสียงทำให้เสียงของเขาเหมือนกับการถ่ายทอดสด
ค่ายเขี้ยวมังกรกลายเป็นจุดสนใจอีกครั้ง มีคนนับไม่ถ้วนลอบมองคาดเดาว่าการประลองในครั้งนี้จะเป็นอย่างไร
แน่นอนว่าสิ่งที่พวกเขาทายไม่ใช่ว่าใครแพ้หรือใครชนะ แต่เป็นมู่ชิงเกอจะแพ้ในกระบวนท่าที่เท่าไหร่
“มา มา มา พนันว่ามู่ชิงเกอจะแพ้ภายในสามสิบกระบวนท่า หนึ่งจ่ายสอง แพ้ในร้อยกระบวนท่า หนึ่งจ่ายห้า แพ้ภายในหนึ่งร้อยห้าสิบกระบวนท่า หนึ่งจ่ายเจ็ด แพ้ภายในสองร้อยกระบวนท่า หนึ่งจ่ายสิบ แพ้ภายในสามร้อยกระบวนท่า หนึ่งจ่ายห้าสิบ!” ในค่ายของหลิวเค่อเกิดโต๊ะพนันขึ้นอย่างเปิดเผย อย่างไรก็ตามในห้าวันถัดไปก็ไม่มีเรื่องอะไร การประลองนี้กลายเป็นประเด็นใหม่ของพวกเขาและก็เป็นงานอดิเรกที่เป็นที่นิยมมากที่สุด
คนที่เข้าร่วมพนันไม่ได้มีเพียงหลิวเค่อ ยังมีคนของตระกูลต่างๆ จำนวนไม่น้อย
“อา หากว่าจำนวนกระบวนท่าที่แพ้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่กำหนดไว้ละ? อย่างเช่นเขาแพ้ในกระบวนท่าที่เจ็ดสิบ?” มีคนยื่นเงินเข้ามาถาม
คนที่ตั้งโต๊ะพนันรีบตอบในทันทีว่า “ง่ายดายมาก ก็คิดตามขอบเขตที่ใกล้เคียงที่สุด ถ้าหากว่าพ่ายแพ้ที่กระบวนท่าที่เจ็ดสิบ เช่นนั้นก็คิดตามแพ้ภายในหนึ่งร้อย กระบวนท่า หนึ่งจ่ายห้า”
“ได้!” คนที่ถามยิ้มแก้มปริวางเงินเดิมพันของตัวเองลง ไปที่หนึ่งจ่ายห้า
ข้างโต๊ะพนันมีคนจำนวนมาก
ไกลออกไป ฉินอี้เหยากับเซิ่งอวี้หลียืนเคียงข้างกัน
หลังจากที่พบฉินอี้เหยาแล้ว เซิ่งอวี้หลีก็ย้ายกระโจมของตระกูลเซิ่งมาไว้ข้างกระโจมของฉินอี้เหยา ตามนางไปประดุจเงา
“เจ้ากำลังเป็นห่วงคุณชายมู่อยู่งั้นหรือ?” เซิ่งอวี้หลีเอ่ยกับฉินอี้เหยา
ถึงแม้จะรู้ว่าในใจของผู้หญิงที่เขาชอบนั้นมีคนอื่น แต่เขาก็รู้สึกหมดหนทาง จะอิจฉามู่ชิงเกองั้นหรือ? เขาไม่อิจฉาเพราะว่าเขาไม่สามารถเป็นคู่แข่งได้เลย ถ้าหากว่าเขาสามารถอยู่กับฉินอี้เหยาได้ ก็คงอยู่ด้วยกันไปนานแล้ว จะทำจนกลายเป็นอย่างนี้ทำไม?
คำถามของเซิ่งอวี้หลีนั้น ฉินอี้เหยาไม่ได้หลีกเลี่ยง แต่พยักหน้า
เซิ่งอวี้หลีเอ่ยปลอบว่า “ไม่ต้องเป็นกังวลไป คุณชายมู่มีความสามารถไม่ธรรมดา ถึงแม้ว่าระดับพลังจะแตกต่าง แต่เขาก็คงคิดหาวิธีได้”
ฉินอี้เหยาขบริมฝีปากไม่พูดจา นางเข้าใจมู่ชิงเกอมากกว่าเซิ่งอวี้หลี รู้ถึงความกระตือรือร้นในหัวใจของมู่ชิงเกอ ที่โหดเหี้ยมกับศัตรู กับตัวเองก็ยิ่งโหดเหี้ยมกว่า การศึกครั้งนี้แม้ว่าจะถูกตันสินว่าแพ้แต่ก็จะต้องดุเดือดมาก
มู่ชิงเกอจะไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา เพียงแต่จะพยายามต้านรับอย่างสุดความสามารถ!
ก็เป็นเพราะเช่นนี้นางถึงได้เป็นกังวล ถึงได้ปวดใจแทนมู่ชิงเกอ
“เจ้าจะไปไหน?” เห็นฉินอี้เหยาหันกายจากไป เซิ่งอวี้หลีก็รีบตามไปทันที
ฉินอี้เหยาหยุดเท้าเอ่ยว่า “ข้าจะไปหาข่าวสารเกี่ยวกับจีเหยาฮั่ว”
แม้ว่านางจะรู้ดีว่าเรื่องราวเหล่านี้องครักษ์เขี้ยวมังกรก็จะทำ แต่นี่ก็เป็นสิ่งเดียวที่นางสามารถช่วยนางทำได้
“ข้าไปกับเจ้า” เซิ่งอวี้หลีกลืนความขมขื่นในใจลงไป ตามฉินอี้เหยาไป
ประตูใหญ่ค่ายเขี้ยวมังกรถูกปิดอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีใครแอบมองจากข้างนอก พวกเขาทุกคนล้วนแต่รอคอยการประลองหลังจากนี้สามวัน การพนันในทุ่งหญ้าอัสดงก็ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ มีผู้เข้าร่วมมากขึ้น
สามหัวหน้าใหญ่ก็มาขอพบมู่ชิงเกอ แต่กลับถูกปฏิเสธ โดยข้ออ้างว่ามู่ชิงเกอเก็บตัวฝึกวิชาอยู่
แต่ว่ามีคนๆ หนึ่งก็ยังปรากฎตัวอยู่ที่ประตูของค่ายเขี้ยวมังกร
มั่วหยางมาถึงนอกกระโจมหลัก ร้องขึ้นว่า “ใต้เท้า”
“พูดมา” เสียงของซือมั่วดังออกมาจากภายในกระโจมหลัก
มั่วหยางเอ่ยว่า “นายน้อยหานมาขอพบคุณชายที่หน้าค่ายขอรับ”
“เขาไม่รู้ว่าเสี่ยวเกอเอ๋อร์กำลังเก็บตัวฝึกวิชาอย่างนั้นรึ?” ซือมั่วเอ่ย เพียงแต่นํ้าเสียงที่ลอยออกมาดูเยียบเย็น
มั่วหยางรู้สึกว่าแขนของเขาเยียบเย็น อากาศเย็นเสียดกระดูกสันหลัง เขาพูดอย่างกล้าหาญว่า “บ่าวได้บอกเขาแล้ว แต่เขายังดื้อดึงต้องการเข้ามา เขาพูดว่า…
ถ้าหากว่าคุณชายไม่ว่างก็ขอพบใต้เท้า”
ภายในกระโจมหลักเงียบลงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็มีเสียงของซือมั่วดังออกมา “พาเขาเข้ามา”
มั่วหยางรับคำสั่งถอยออกไป ไม่นานก็นำหานฉายไฉ่มาปรากฎตัวนอกกระโจมหลักอีกครั้ง
“ให้เขาเข้ามาคนเดียวก็ได้ เจ้าไปทำเรื่องของเจ้าเถอะ” ซือมั่วเอ่ยสั่ง
มั่วหยางหลุบตาลงถอยออกไป เหลือหานฉายไฉ่ไว้คนเดียว
หลังจากมั่วหยางไปไกลแล้ว หานฉายไฉ่ถึงได้พุ่งเข้ามาในกระโจมหลักด้วยนัยน์ตาที่ดูเคร่งขรึม
หลังจากที่เขาเข้ามาในกระโจมหลักแล้วก็ชะงักอยู่กับที่
ซือมั่วในชุดสีดำนั่งอยู่บนตำแหน่งที่ควรเป็นของมู่ชิงเกอ บนโต๊ะมีกระต่ายที่ดูร้ายกาจตัวหนึ่งหมอบอยู่ ส่วนซือมั่วก็กำลังให้อาหารกระต่าย!
ท่าทางของหานฉายไฉ่เปลี่ยนไป เขาไม่เข้าใจว่าในเวลาเช่นนี้ชายคนนี้กลับยังมีอารมณ์มาให้อาหารกระต่าย เขายังคู่ควรที่จะเป็นผู้ชายของมู่ชิงเกออยู่งั้นหรือ?
“มองเห็นข้า เหตุใดจึงไม่คุกเข่า” ซือมั่วค่อยๆ เงยนัยน์ตาสีอำพันขึ้นมา กวาดมองไปยังหานฉายไฉ่ดุจดั่งภูเขายักษ์ที่มองไม่เห็นกำลังกดทับเขาอยู่
หานฉายไฉ่ไม่ยอมคุกเข่า แต่ว่าพลังนั้นก็กดดันจนเขาต้องชันเข่าลงกับพื้นไปข้างหนึ่ง
บนหน้าผากของเขาเผยร่องรอยของเส้นเลือดนูนขึ้น ดวงตาเรียวยาวเบิกกว้าง มองไปยังซือมั่วอย่างไม่ยินยอม
ซือมั่วกลับยิ้ม “มองเห็นข้าแล้วพูดไม่ออกงั้นหรือ?”
หานฉายไฉ่กัดฟัน กระดูกสันหลังของเขาโค้งเล็กน้อย และเหงื่อเย็นก็ผุดออกมาจากผิวหนัง “หานฉายไฉ่เคารพมหาปราชญ์!”
ซือมั่วพยักหน้า “ลุกขึ้นเถอะ”
ตามคำพูดของเขา หานฉายไฉ่รู้สึกได้ว่าสองไหล่ของเขาถูกคลายออก พลังที่กดทับเขาหายไปในพริบตา เขารู้ดีว่าตนเองกับซือมั่วนั้นแตกต่างกันมาก แต่หลัง จากได้สัมผัสด้วยตนเองแล้ว เขาถึงได้รู้ว่าต่อหน้าซือมั่วนั้นเขาไม่มีแม้แต่พลังจะขัดขืน
ถ้าหากว่าซือมั่วต้องการเมื่อครู่ก็สามารถบีบเขาให้กลายเป็นผงได้
“มีเรื่องจะพูดกับข้างั้นหรือ?” ซือมั่วทั้งจดจ่ออยู่กับการให้อาหารโห่ว ทั้งถามออกมา
หานฉายไฉ่สูดหายใจเข้าลึกๆ รวบรวมความกล้าเอ่ยว่า “ชิงเกอไม่สามารถต่อสู้กับจีเหยาฮั่วได้นางไม่ใช่คู่มือของเขา”
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์บ้านข้าก็เก่งกาจเช่นเดียวกัน” นัยน์ตาของซือมั่วฉายแววไม่พอใจ ดูเหมือนว่าจะไม่พอใจในคำพูดของหานฉายไฉ่ที่ดูเหมือนดูหมิ่นตนเองออกมา
หัวใจของหานฉายไฉ่ดูเหมือนว่าจะได้รับการกระแทกอย่างรุนแรง
เขาพยายามข่มความไม่พอใจในใจ เอ่ยกับซือมั่วว่า “ท่านรู้อยู่แล้วว่านางไม่อาจเอาชนะได้ แต่ก็ยังให้นางไปเสี่ยง นี่เป็นการแสดงออกว่ารักนางอย่างนั้นหรือ?”
นัยน์ตาที่ลุ่มลึกของซือมั่วฉายแววแข็งกร้าว ในที่สุดเขาก็ไม่ให้อาหารกระต่ายต่อ ค่อยๆ ยืดกายขึ้น ก้าวเข้ามาหาหานฉายไฉ่ทีละก้าว
พร้อมกันกับการใกล้ชิดของเขา หานฉายไฉ่รู้สึกหายใจลำบาก ความรู้สึกขาดอากาศหายใจแพร่กระจายไปทั่วร่างกายเขา ทันใดนั้นสองเท้าของเขาก็เบาหวิว ลมหายใจติดขัด เหมือนว่ามีมือใหญ่ๆ กำลังกำคอของเขาอยู่ ยกเขาลอยขึ้นมาจากพื้น
บรรยากาศอันเย็นยะเยือกอบอวลไปทั่วกระโจม กัดกร่อนพลังจิตของเขาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขาไม่สามารถใช้พลังของตนเองได้
เขาในตอนนี้เป็นเหมือนตุ๊กตาผ้าเก่าๆ ที่ปล่อยให้คนที่อยู่ตรงหน้าเล่นได้ตามสบายและบอบบางจนอาจจะถูกบดขยี้ได้ตลอดเวลา
นัยน์ตาเรียวยาวของเขาเบิกกว้าง แสงในดวงตาของเขาสว่างวาววับ แต่เมื่อตกเข้าไปในสายตาของซือมั่วกลับ เป็นเพียงรอยยิ้มดูแคลนสายหนึ่ง
โห่วที่หมอบอยู่บนโต๊ะ เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง นัยน์ตาสีทองเต็มไปด้วยแววดูแคลน สำหรับคนที่รนหาที่ตายเองอย่างหานฉายไฉ่นั้น เขาไม่กล้าชื่นชม
ดูเขาสิ สัตว์ร้ายตัวใหญ่ยังสามารถยืดได้หดได้ ความแข็งแกร่งไม่สู้เขาก็ต้องรู้จักก้มหัว
“เจ้าชอบเสี่ยวเกอเอ๋อร์?’ คำพูดของซือมั่วราวกับไม่ใช่คำถาม แต่เป็นแน่ใจ
ผิวบนใบหน้าของหานฉายไฉ่ได้เปลี่ยนเป็นสีม่วงแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดของซือมั่ว กลับไม่ยอมสยบตอบว่า “ใช่”
คำตอบนี้แทงเข้าไปในหูของซือมั่ว กลิ่นเลือดในกายเดือดลอยออกมา เส้นแสงสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนผุดออกมาจากร่างของเขา พุ่งไปยังหานฉายไฉ่ ผูกแขนขาและคอของเขา
ภายในกระโจมหลัก ควันดำคละคลุ้งไปทั่วอากาศในกระโจม
นัยน์ตาของซือมั่วเปลี่ยนเป็นลึกลํ้าดำดุจดังบ่อลึก กลิ่นอายทั่วทั้งตัวเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นดุจนํ้าแข็ง “ข้าไม่ชอบคำตอบนี้มาก”
ประโยคนี้ เช่นเดียวกับแม่น้ำเหลืองแห่งปรภพทั้งเก้าชั้นที่เย็นยะเยือก โหดเหี้ยม เลือดเย็นและรุนแรง…
เป็นความรู้สึกที่น่ากลัว
นัยน์ตาของหานฉายไฉ่ฉายแววหวาดกลัว ข่าวกรองของตระกูลหานนั้นรู้หมดทุกอย่าง เขารู้ว่าไอพลังที่หนักหน่วงดุดันเช่นนี้มาจากไหน
“เจ้า…เป็น…มาร…”
ซือมั่วเพียงแต่ยิ้มเย็นออกมา ไม่ได้ตกใจว่าหานฉายไฉ่จะรู้สถานะของตนเอง
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์เป็นของข้า คนที่กล้าเกี้ยวพานางทุกคนจะต้องตาย” ซือมั่วประกาศอำนาจของตนเองออกมาอย่างเผด็จการ
“เจ้าทำเช่นนี้ มู่ชิงเกอจะแค้นเจ้า” หานฉายไฉ่พูดออกมาจากลำคอที่โดนบีบอยู่ริมฝีปากของเขาเปลี่ยนเป็นสีม่วงไปแล้ว
ซือมั่วกลับยิ้มเยาะออกมา “เจ้ามองตัวเองสูงเกินไปแล้ว”
หานฉายไฉ่พูดไม่ได้ ทำได้เพียงจ้องมองซือมั่ว นัยน์ตาเต็มไปด้วยความขัดขืน
ทันใดนั้น ซือมั่วก็สะบัดมือ กลิ่นอายในกระโจมลอยกลับเข้ามาในร่างของเขา ที่นี่กลับคืนสู่สกาพเดิม หานฉายไฉ่ล้มกองลงกับพื้น หอบหายใจอย่างทรมาน
ส่วนโห่วก็หมอบบนโต๊ะหลับไปแล้ว
ซือมั่วกลับไปที่ที่นั่งประธาน ค่อยๆ นั่งลง เอ่ยกับหานฉายไฉ่ว่า “วันนี้ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า ไสหัวไป”
“เจ้าไม่ฆ่าข้าเพราะกลัวว่ามู่ชิงเกอจะคิดบัญชีกับเจ้า!” หานฉายไฉ่กุมคอยืนขึ้นมา เอ่ยด้วยสีหน้าซีดขาว
ซือมั่วกลับมองเขาเหมือนมองคนโง่งมผู้หนึ่ง ยิ้มอย่างเหยียดหยามออกมาเอ่ยว่า “ไสหัวออกไป”
หานฉายไฉ่ทุลักทุเลเดินออกจากกระโจมหลัก ออกไปจากค่ายเขี้ยวมังกรในใจของเขาเอ่ยกับตนเองอย่างต่อเนื่องว่า ‘เขาเป็นมาร เป็นมาร! มู่ชิงเกอไม่อาจอยู่กับเขา ข้าจะต้องบอกนาง ต้องอยู่ให้ไกลจากชายผู้นั้น! ข้าจะต้องบอกนาง!’
มู่ชิงเกอเก็บตัวฝึกวิชา คนที่ควบคุมค่ายเขี้ยวมังกรก็กลายเป็นซือมั่ว
แต่ว่าเขาก็ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายไม่ค่อยออกไปจากกระโจมหลักของมู่ชิงเกอ บางครั้งมีเรื่องต้องเข้าออกเพื่อรายงานก็จะเจอเขากำลังเล่นกับกระต่ายตัวหนึ่งอยู่
ใช่ ในความเป็นจริง ทุกคนก็ล้วนแต่เข้าใจว่ากระต่ายตัวนั้นไม่ธรรมดา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งไป๋สี่ หยินเฉินและหยวนหยวน พวกเขาล้วนแต่รู้จักที่มาของกระต่ายตัวนั้นเป็นอย่างดี
มองเห็นโห่วอยู่ต่อหน้าของซือมั่วก็ดูเหมือนว่าเป็นเพียงกระต่ายตัวหนึ่งจริงๆ อารมณ์ของไป๋สี่ก็ดีเป็นอย่างมาก ความอยากอาหารดีขึ้นถึงสองวันติดกัน
วันนี้ซือมั่วเรียกจิงไห่มาที่ตรงหน้าของตนเอง ก็เพราะว่าเขาเป็นลูกศิษย์ของมู่ชิงเกอ
จิงไห่ยืนอยู่ต่อหน้าของซือมั่ว ในใจรู้สึกพะวักพะวง เขารู้สึกว่า ใต้เท้าผู้นี้มีกลิ่นอายที่แข็งแกร่งมาก ทำให้เขารู้สึกอยากหลีกหนี
ซือมั่วไม่ได้พูดจา เพียงแต่มองจิงไห่
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาถึงได้เรียกมั่วหยางเข้ามาแล้วเอ่ยสั่งว่า “ทิ้งเจ้าเด็กคนนี้เข้าไปในกลางเทือกเขาซางหลาน”
จิงไห่เงยหน้าขึ้นอย่างแปลกใจ
มั่วหยางก็มองซือมั่วอย่างสงสัย แต่ว่า ภายใต้การจ้องมองของดวงตาสีอำพันของซือมั่ว มั่วหยางทำได้เพียงทำตามคำสั่ง
ในขณะที่ฝ่ายหลังมีท่าทีเหมือนร้องไห้โดยไม่มีนํ้าตา มั่วหยางก็นำตัวจิงไห่ไปส่งที่เทือกเขาซางหลาน อยู่กับเผ่าสัตว์อสูร ใครก็ไม่รู้ว่าเหตุใดซือมั่วจึงให้ทำเช่นนี้ แต่ว่า ทุกๆ คนที่ตามมู่ชิงเกอมาจากหลินชวน ล้วนแต่รู้ดีว่าซือมั่วมีสิทธิ์ที่จะสั่งการ และก็แน่ใจว่าซือมั่วจะไม่ทำเรื่องที่จะเป็นอันตรายต่อมู่ชิงเกอ
“ท่านพ่อ เหตุใดท่านต้องส่งจิงไห่ไปด้วย? ทั้งยังไม่ให้ใครตามไปอีก” หยวนหยวนพุ่งตัวเข้ามาในกระโจมหลัก ใบหน้าเล็กเต็มไปด้วยความไม่พอใจ จุดชาดสีแดงบนหน้าผากของเขาเผยแสงวาววาบ
“ข้าทำเช่นนี้ก็มีเหตุผลของข้า” มุมปากของซือมั่วเผยรอยยิ้มบางๆ เอ่ยตอบคำถามของหยวนหยวน
หยวนหยวนยังอยากจะถามต่อ แต่ซือมั่วกลับกวักมือหาเขา
หยวนหยวนวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเล็กเปลี่ยนเป็นประจบประแจง ลืมความคิดเดิมที่จะมาถามเรื่องจิงไห่ไปเลย
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ ท่านพ่อ ท่านพ่อ ท่านพ่อ…” หยวนหยวนร้องเรียกเสียงหวาน
“เด็กดี” ซือมั่วหยิบเอาเม็ดบัวอัคคีพวงหนึ่งออกมาวางไว้บนมือของหยวนหยวน
หยวนหยวนดีใจจนนํ้าลายไหลย้อย
“ช่วยบิดาทำเรื่องๆ หนึ่ง หลังจากสำเร็จยังจะมีเม็ดบัวอัคคีให้อีกมากกว่าเดิม” ซือมั่วเริ่มพูดดึงดูดใจ
หยวนหยวนรีบพยักหน้าในทันที “ท่านพ่อสั่งมาได้เลย หยวนหยวนจะไปทำทันที!”
ซือมั่วยิ้มให้เขาเอ่ยว่า “ไปด้านนอกตั้งโต๊ะพนันขึ้นมา มู่ชิงเกอแพ้หนึ่งจ่ายร้อย จีเหยาฮั่วแพ้หนึ่งจ่ายสิบ”
“อ้า?” หยวนหยวนเดินออกมาจากกระโจมหลักด้วยสีหน้ามึนงง
ที่ด้านนอก เขาเผอิญพบเข้ากับหยินเฉิน จึงพูดเรื่องนี้ออกไป จากนั้น ก็ถามอย่างไม่เข้าใจออกไปว่า “ความหมายของท่านพ่อคือต้องการให้ลูกพี่ท่านแม่ชนะหรือว่าแพ้กันแน่?”
นัยน์ตาสีเลือดของหยินเฉินเผยแววขบขันออกมา “ดูแล้วใต้เท้าอยากจะยืมโอกาสในครั้งนี้หาเงินให้ชิงเกอ”
“หมายความว่าอย่างไร ข้าไม่เข้าใจ” หยวนหยวนยังคงมีสีหน้ามึนงง
หยินเฉินอธิบายว่า “ในใจของทุกคน ชิงเกอต้องแพ้อย่างแน่นอน ดังนั้นเปิดพนันหนึ่งจ่ายร้อย ทุกคนก็จะมาซื้อข้างชิงเกอแพ้ แต่ว่าหากชิงเกอชนะ เงินเหล่านั้นก็จะเป็นของพวกเรา”
หยวนหยวนเข้าใจในทันที!
รีบวิ่งออกไปนอกค่ายเขี้ยวมังกรอย่างตื่นเต้น
ผ่านไปไม่นาน โต๊ะพนันโต๊ะนี้ก็สร้างรายได้มหาศาลจากคนหลายแสนคนบนทุ่งหญ้าอัสดง
วันที่ต้องประลองกับจีเหยาฮั่วยังเหลืออีกหนึ่งวันก็ถึงแล้ว
ฉินอี้เหยาเดินเข้ามาในค่ายเขี้ยวมังกร
พอมั่วหยางพานางมาที่กระโจมหลัก ฉินอี้เหยาพอพบเข้ากับซือมั่ว ในใจก็รู้สึกวุ่นวายสับสน นางคุกเข่าลงกับพื้น ก้มหัวลงเคารพ “มหาปราชญ์”
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์กำลังเก็บตัวฝึกวิชา” สำหรับหญิงสาวที่เคยหมั้นหมายกับมู่ชิงเกอนางนี้ซือมั่วทำให้น้ำเสียงดีขึ้นมาไม่ได้
ฉินอี้เหยาล้วงเอารายงานเกี่ยวกับจีเหยาฮั่วออกมาจากอก ใช้สองมือชูขึ้นเหนือหัวเอ่ยเสียงเบาว่า “นี่เป็นรายงานเกี่ยวกับจีเหยาฮั่วที่ข้ารวบรวมมาได้ รบกวน ท่านมหาปราชญ์ส่งมอบแก่มู่ชิงเกอด้วย”
รายงานในมือของนาง ลอยออกไปจากมือนางตกลงไปบนโต๊ะด้านหน้าของซือมั่ว
“ฉินอี้เหยาขอตัวลา” เมื่อส่งมองรายงานแล้ว ฉินอี้เหยาก็ถอยออกจากกระโจมหลัก ออกจากค่ายเขี้ยวมังกร
ซือมั่วยิ้ม เอ่ยกับตัวเองว่า “ถือว่าเป็นคนที่ฉลาดคนหนึ่ง”
เพียงพริบตาเดียวก็ถึงคํ่าคืนก่อนวันประลอง
มู่ชิงเกอออกมาจากช่องว่าง ก่อนจะตกเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดที่คุ้นเคย มุมปากของมู่ชิงเกอฉีกออกเล็กน้อย สองมือยันไว้ที่เอวของอีกฝ่าย แก้มอยู่ในอ้อมอกของเขา
“เป็นอย่างไรบ้าง?” ซือมั่วเอ่ยถาม
ท่าทางของมู่ชิงเกอไม่ได้ดูเคร่งเครียด เพียงแต่เอ่ยอย่างสงบนิ่งว่า “ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทะลวงระดับ แต่ก็ถือว่าได้ประโยชน์มาไม่น้อย”
ซือมั่วพยักหน้า “เรื่องฝึกฝนฝีมือ ก็เหมือนสายนํ้าไหลตามคลอง จะรีบร้อนไม่ได้”
มู่ชิงเกอพยักหน้าเห็นด้วย เอ่ยถามออกไป “ไม่กี่วันมานี้ ทุ่งหญ้าอัสดงดูคึกคักผิดปกติ?”
ซือมั่วโอบนางไว้ในอ้อมอกดีๆ แล้วก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง “คนที่ถูกส่งไปเทือกเขาซางหลานได้กลับมากันแล้ว ไม่ได้สืบพบสิ่งใด ในความเป็นจริงที่ครั้งนี้สัตว์อสูรดุร้ายมาก เป็นเพราะว่าโห่วไปเปิดการฆ่าล้างอยู่ด้านใน ในตอนก่อนหน้า ปลุกความป่าเถื่อนของพวกมันขึ้นมา”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง!’’ มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น
“ใช่ ไม่กี่วันมานี้มีโต๊ะพนันที่เกี่ยวกับเจ้าเกิดขึ้นมากมาย ดังนั้นข้าจึงเปิดไปหนึ่งโต๊ะ…”
เรื่องการเปิดโต๊ะพนันก็ถูกซือมั่วพูดออกมาด้วย
มู่ชิงเกอฟังจบแล้วก็เบิกดวงตากว้างมองดูเขา “หนึ่งต่อร้อย เจ้านี่ไม่กลัวแพ้หรืออย่างไร!”
“ข้ามั่นใจในเสี่ยวเกอเอ๋อร์ของข้า!’’ ซือมั่วเอ่ยออกมา
เหอ เหอ!
มู่ชิงเกอกระตุกมุมปาก คราวนี้เพื่อที่จะไม่สูญเสียสมบัติครอบครัว นางก็ต้องพยายามให้เต็มที่!
“องค์หญิงแห่งแควันฉินคนนั้นก็มาหาเจ้า และก็ยังเอารายงานที่เกี่ยวกับจีเหยาฮั่วเหล่านี้มาให้เจ้า ข้าได้อ่านดูแล้ว มีประโยชน์ไม่มาก แต่ก็ยังดีกว่าไม่มี” ซือมั่วเอ่ยอีกครั้ง
มู่ชิงเกอพยักหน้า “นางมีใจก็ดีแล้ว”
“ลูกศิษย์คนนั้นของเจ้าถูกข้าทิ้งเข้าไปในเทือกเขาซางหลาน” ซือมั่วคายข่าวสำคัญออกมา
มู่ชิงเกอกะพริบตา อ้าปากกว้างเอ่ยถามว่า “เพราะเหตุใด?”
“เพราะว่าเขามีสายเลือดตระกูลจิง เพียงแต่สายเลือดยังไม่ถูกปลุกให้ตื่นก็เท่านั้นในเมื่อไม่อาจจะส่งไปตระกูลจิงเพื่อปลุกให้ตื่นได้ เช่นนั้นก็ทำได้แต่ใช้วิธีอื่น
ช่วยปลุกให้ตื่นแล้ว” ซือมั่วเอ่ยเหตุผลออกมา
“เขามีความเกี่ยวข้องกับตระกูลจิงจริงๆ!” มู่ชิงเกอตกตะลงอีกครั้ง
ซือมั่วพยักหน้า “เป็นสายเลือดของตระกูลจิงแน่นอน”
“เช่นนั้นเหตุใดเขาจึงไปปรากฎตัวที่หมู่บ้านชาวประมงในภาคใต้ได้ล่ะ? อีกทั้งจิงฟ่งอวี่ก็เคยพูดว่าตระกูลจิงไม่มีสายเลือดตกหล่น” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม
“นั้นก็ต้องถามตัวเขาเองแล้ว” ซือมั่วส่ายหน้า
มู่ชิงเกอยิ้มอย่างขมขื่น “เกรงว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็คงไม่แน่ใจ ดูจากท่าทางแล้ว เกรงว่าบิดาของเขาน่าจะเป็นคนที่ออกมาจากตระกูลจิง”
นางนิ่งเงียบลง คาดเดาออกมา “บางทีอาจเป็นเพราะว่าสายเลือดของบิดาของเขา ไม่ได้ถูกปลุกให้ตื่น ดังนั้นจึงถูกบีบให้ออกจากตระกูล ย้ายมาที่ภาคใต้ แต่งงานมีบุตร แต่ก็ไม่ยอมใช้ชีวิตธรรมดา ดังนั้นจึงหนีออกจากบ้านเพื่อเสาะหาความแข็ง แกร่ง”
“หากว่าสายเลือดของเขาถูกปลุกได้สำเร็จ ได้รับการฝึกปรืออย่างดี ต่อไปจะกลายเป็นกำลังที่ดีสำหรับเจ้าได้” ซือมั่วเอ่ย
มู่ชิงเกอพยักหน้า
“ยังมี…หานฉายไฉ่มาหาเจ้า จากนั้นก็เกือบจะถูกข้าฆ่า” ซือมั่วเอ่ยในตอนสุดท้าย มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก มองไปที่เขา “ถ้าหากว่าข้าได้ฆ่าเขาไปแล้วจริงๆ เจ้าจะเป็นอย่างไร? จะโกรธข้าหรือไม่?” ทันใดนั้นซือมั่วก็ถามขึ้นมา
“…” มู่ชิงเกอนิ่งเงียบ
ปัญหานี้นางไม่เคยคิดถึงมาก่อน ความรู้สึกที่หานฉายไฉ่มีต่อนางนั้น นางรู้ดี และก็ปฏิเสธเสมอมา แต่หากตัดจุดนี้ไป เขาก็เป็นเพื่อนที่นางยอมรับ
ถ้าหากว่าเพื่อนของตนเองถูกซือมั่วฆ่าตายแล้วนางจะทำอย่างไร?
มู่ชิงเกอส่ายหน้า มองไปทางซือมั่วแล้วเอ่ยว่า “เจ้าสนใจเขาเพียงเพราะว่าเขามีความรู้สึกต่อข้าเท่านั้น ข้ารับปากเจ้า ข้าจะจัดการให้ดี จะไม่ให้เขามีความหวังใดๆ”
ซือมั่วมองนาง ค่อยๆ ยิ้มและเอ่ยว่า “ถ้าหากว่าเขาไม่ทำเรื่องให้ข้าโมโห ข้าไม่ฆ่าเขาก็ได้”
มู่ชิงเกอยิ้มออกมา “ถ้าหากว่าเขาได้ทำเรื่องที่ไม่สมควร จริงๆ ไม่ต้องให้เจ้าลงมือ ข้าก็จะจัดการเขาเอง”
ประโยคนี้ทำให้ซือมั่วพอใจได้สำเร็จ เขารีบฟ้องมู่ชิงเกอว่า “เขาบอกว่าข้าไม่กล้าฆ่าเขา เพราะว่าเจ้าจะแค้นข้าเพราะเรื่องนั้น”
อา!
“เขาหน้าไม่อายถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?” มู่ชิงเกอกะพริบตาเอ่ยถาม
ซือมั่วพยักหน้า ท่าทางดูหมดหนทาง ดูเหมือนคนที่ถูกข่มขู่ฆ่านั้นคือเขา
มู่ชิงเกอยื่นมือออกมาลูบที่แก้มของเขา “ข้าเชื่อว่าหากเจ้าฆ่าเขาจริงๆ ก็ต้องมีเหตุผล”
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ ถ้าหากว่าเขาทำให้เจ้าไปจากข้าแล้วละก็ จะทำอย่างไร?” ซือมั่วเล่นกับนิ้วของมู่ชิงเกอ เอ่ยถามเสียงเบา
มู่ชิงเกอชะงักเอ่ยว่า “พูดล้อเล่นอะไรกัน? เจ้าเป็นคนของข้าแล้ว ข้าจะไม่ทำเรื่องเช่นการทิ้งขว้างอย่างเด็ดขาด อีกอย่าง เรื่องของข้ากับเจ้า เขาไม่สามารถมายุ่ง เกี่ยวได้”
มู่ชิงเกอแน่ใจแล้วว่าซือมั่วหึง อีกทั้งยังหึงหนักมากด้วย!
ดังนั้น สิ่งที่นางควรทำเป็นอันดับแรกก็คือรีบปลอบใจผู้ชายขี้หึงคนนี้!
ปัญหาอื่นๆ ก็ทิ้งไปอีกทางก่อนเถอะ
“คำพูดของตัวเจ้าเอง ต้องจำให้ได้ ถ้าหากว่าเจ้ากล้าทิ้งขว้างข้า ข้าจะทำให้เจ้าลุกออกจากเตียงไม่ได้ตลอดชีวิต!” ซือมั่วพูดข่มขู่ ได้ยินถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของเขาแล้ว บนใบหน้าของมู่ชิงเกอก็เผยท่าทีที่เอียงอายออกมา “แค่ก
แค่ก”
“วางใจเถอะ พรุ่งนี้ก็เป็นวันที่เจ้าจะประลองกับจีเหยาฮั่ว คืนนี้ข้าจะไม่ทรมานเจ้า” ซือมั่วเอ่ยอย่างมีเมตตา
มู่ชิงเกอลอบถอนหายใจในใจ ลูบๆ หน้าอกของซือมั่ว ถามว่า “พรุ่งนี้เจ้าจะไปดูหรือไม่?”
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์อยากให้ข้าไปหรือไม่?” ซือมั่วย้อนถาม
มู่ชิงเกอเอ่ยตามความเป็นจริงว่า “ไปนั้นได้ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ห้ามเจ้าสอดมือเป็นอันขาด”
ซือมั่วเลิกคิ้วขึ้นสูง “เสี่ยวเกอเอ๋อร์คิดจะทรมานข้างั้นหรือ!”
ให้เขาทนเห็นมู่ชิงเกอได้รับบาดเจ็บงั้นหรือ? ขอโทษ เขาทำไม่ได้
“ถ้าหากว่าทำไม่ได้ เจ้าก็รอข้าอยู่ที่นี่ ไม่ต้องไปไหน!” มู่ชิงเกอกะพริบตา หัวเราะเอ่ยออกมา
ซือมั่วชะงัก ตอนนี้ถึงได้พบว่าผู้หญิงคนนี้ก็รอเขาตกลงไปในกับดักนี้
วนอ้อมไปรอบหนึ่งก็เพื่อห้ามไม่ให้เขาลงมือ
ซือมั่วถอนหายใจ นิ่งเงียบลง
ผ่านไปอย่างยาวนาน เขาถึงได้เอ่ยอย่างอดสูว่า “สัญญากับข้าว่าจะไม่ทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บหนัก มิเช่นนั้นข้าคงจะควบคุมตนเองไม่อยู่ ลงมือฆ่าคนแน่”
“ได้” มู่ชิงเกอรับปาก
นางสามารถเข้าใจความรู้สึกนี้ของซือมั่วได้ ก็เหมือนตอนนั้นในช่องว่างแห่งการทดสอบ นางถูกบีบจนหมดหนทางไป ถูกทำร้ายจนซือมั่วต้องสูญเสียพลังฝึกปรือนับหมื่นปีเพื่อช่วยนาง หลังจากที่นางรู้เรื่องนี้แล้วก็อดแค้น เหล่าคนที่บีบนางจนจนมุมเหล่านั้นไม่ได้อยากจะฆ่าสักร้อยรอบ ตายแล้วก็เฆี่ยนศพ ศพไม่มีแล้วก็ขังวิญญาณ จนให้วิญญาณสลายไปถึงจะดับความแค้นของนางลงได้
นางเป็นเช่นนี้กับซือมั่ว ซือมั่วก็เช่นนี้ต่อนางเช่นเดียวกัน?
ดังนั้น นางไม่คาดหวังให้ซือมั่วไปเห็นนางได้รับบาดเจ็บ ไม่อยากให้เขาปวดใจ
การศึกพรุ่งนี้ ยากที่จะเลี่ยงอาการบาดเจ็บ ดังนั้นนางจึงไม่อยากให้เขาไป
“พักผ่อนแต่เนิ่นๆ เถอะ” ซือมั่วโอบมู่ชิงเกอเอนตัวนอนลงบนเตียง
เขารักษาสัญญา ไม่ได้ทำอะไร เพียงกอดนางนอน พร้อมกับเสื้อผ้าครบชุด
เวลาสามวันมาถึงแล้ว วันนี้บนทุ่งหญ้าอัสดงมีอากาศดี ท้องฟ้าสดใส ชั้นเมฆส่องสว่าง แสงอาทิตย์ส่งลงมา ทุ่งหญ้าถูกลมพัดพลิ้วไหว ดุจดังคลื่นในทะเล
เช้าตรู่ บนทุ่งหญ้าอัสดงมีคนหลายหมื่น ออกเดินทางไปยังสถานที่ประลองเพื่อหาจุดชมดูที่ดี
บริเวณจุดประลองอยู่ใจกลางของทุ่งหญ้าอัสดง
มีบริเวณเพียงพอให้สองฝ่ายได้แสดงความสามารถเต็มที่และก็ทำให้คนหลายหมื่นสามารถมองเห็นฉากการต่อสู้ได้พร้อมกัน
การประลองในครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องมีผู้ตัดสิน ภายในสามร้อยกระบวนท่า หากว่ามู่ชิงเกอไม่สามารถทำให้จีเหยาฮั่วบาดเจ็บได้ ก็ถือว่านางแพ้
ภายในสามร้อยกระบวนท่า ถ้าหากว่านางสามารถทำให้จีเหยาฮั่วบาดเจ็บได้ก็ถือว่านางชนะ! และดูเหมือนว่าคนส่วนมากจะคิดว่ามู่ชิงเกอไม่สามารถทำให้จีเหยาฮั่วบาดเจ็บภายในสามร้อยกระบวนท่าได้ แม้ว่าเขาจะกดระดับพลังให้เท่ากันกับมู่ชิงเกอก็ตาม
หัวหน้ากองกำลังทั้งสามของหลิวเค่อก็มาแล้ว
พวกเขามาพร้อมกันกับคนของบรรดาตระกูลใหญ่ พูดคุยกันอย่างออกรส และก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแต่ก่อนเคยมีความสัมพันธ์กัน หรือว่าเป็นเพราะคิดจะร่วมมือกันในเวลาใกล้ๆ นี้
อิ๋งเจ๋อมาถึงที่นี่แต่เช้า ท่าทางของเขาดูเย็นชา มองไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ คนที่รู้จักกับมู่ชิงเกอ ก็ล้วนแต่ปรากฎตัว หานฉายไฉ่ ฉินอี้เหยา เซิ่งอวี้หลี เจี่ยงเทียนเฮ่า ซางเสวี่ยอู่ ซางอี้เฉิน ส่วนที่ตามพวกเขามาก็ยังมีหานอี้เหริน หร่วนชิงเหลียน และคนของตระกูลซาง
เพียงแต่ว่า คนเหล่านี้ไม่ได้ยืนอยู่ด้วยกัน องครักษ์เขี้ยวมังกรก็มาถึงก่อน พวกไป๋สี่ก็ล้วนปรากฎตัว เหลือเพียงแต่จิงไห่ที่ถูกทิ้งอยู่ในเทือกเขาซางหลาน พวกเขาอยู่อีกด้าน มองดูเงียบๆ มีคนจำนวนไม่น้อยที่พยายามสังเกตอารมณ์บนใบหน้าของพวกเขาแต่ก็ไม่พบอะไรเลย
หานฉายไฉ่รอคอยอย่างร้อนใจ เขาไม่อยากให้มู่ชิงเกอปรากฎตัว อย่างน้อยก็แค่ยอมแพ้ แต่ว่าเขาก็รู้ดีว่านี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในใจของเขายังมีเรื่องที่อยากบอกมู่ชิงเกอ ดังนั้น หลังจากวันนี้ เขาจะต้องพบนาง บอกนาง ให้หลีกหนีจากชายที่อันตรายคนนั้น พวกเขาไม่ใช่คนในโลกเดียวกัน!
ทันใดนั้น กลางอากาศก็เกิดกระแสลมแปลกๆ ขึ้น
เมื่อลมกระจายหายไป จีเหยาฮั่วก็ปรากฎอยู่เบื้องหน้าของทุกคน
“ว้าว! เขาก็คือนายน้อยแห่งตระกูลจี อันดับสองแห่งทำเนียบชิงอิง! หล่อจริงๆ!”
“ห่วงท่าดูสง่าสมกับเป็นคุณชายตระกูลสูงส่ง มีกลิ่นอายที่ไม่ธรรมดาเลย!”
“นายน้อยจีร้ายกาจถึงขนาดนั้น การศึกในวันนี้คงชนะอย่างแน่นอน!”
“รีบดู นายน้อยจียิ้มขึ้นมาน่าดูยิ่งนัก ดูน่าใกล้ชิด”
จีเหยาฮั่วพอปรากฎตัวก็ดึงดูดเสียงเรียกร้องจากเหล่าหญิงสาวได้จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใดๆ โลกไหนๆ ผู้ชายที่มีกำลังแข็งแกร่ง ตระกูลรํ่ารวย ทั้งยังรูป ร่างหน้าตาโดดเด่นก็ล้วนแต่เป็นเป้าหมายที่ผู้หญิงชื่นชอบ
“เสวี่ยอู่…” ซางอี้เฉินส่งสายตาเป็นห่วงมองมายังซางเสวี่ยอู่ที่อยู่ข้างกาย สีหน้าของซางเสวี่ยอู่ดูไม่ดีนัก ใจของนางวุ่นวายสับสน รู้สึกว่าตนเองไม่มีวิธีที่จะแก้ไขเรื่องราวเหล่านี้ได้ เพิ่งจะได้พบกับมู่ชิงเกอไม่นาน ตนเองก็ได้สร้างเรื่องให้นาง มากมาย นางแค้นตัวเองจริงๆ
“อย่าโทษตัวเอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า” ซางอี้เฉินเอ่ยปลอบ เขามองไปยังใบหน้าที่ยิ้มแย้มของจีเหยาฮั่ว แล้วก็เอ่ยเสียงเบาว่า “ถ้าหากว่าเขากล้าทำให้พี่สาวบาดเจ็บ ข้าจะไม่ปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน! ตอนนี้สู้ไม่ได้ ข้าก็จะหมั่นฝึกฝน ไม่ช้าก็เร็วจะล้มเขาให้ได้ ล้างแค้นให้พี่สาว!”
“จีเหยาฮั่วมาถึงแล้ว มู่ชิงเกออย่ที่ไหน?” จีเหยาฮั่วมองไปรอบด้าน ส่งเสียงที่แฝงพลังจิตตะโกนดังออกไป