ตอนที่ 270
ถ้าหากว่าเจ้าเป็นมาร ข้าก็จะเป็นมารไปกับเจ้า!
มาร! ซือมั่วเป็นมาร!
ในที่สุดก็ได้รับมาคำตอบหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ได้มาจากซือมั่วก็ตาม
นัยน์ตากระจ่างของมู่ชิงเกอสงบนิ่งมองดูหานฉายไฉ่ที่กำลังหอบถี่ หานฉายไฉ่ที่เป็นเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกแปลกหน้า แต่นางก็ยังพูดกับเขาว่า “เจ้าผิดแล้ว เทพก็ดี มารก็ดี สำหรับข้าแล้วไม่ได้มีอะไรแตกต่างกัน เรื่องระหว่างข้ากับเขาก็ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นเข้ามายุ่งเกี่ยว”
โลกแห่งเทพมารอะไรนั่น เผชิญหน้ากันอะไรนั่น ชีวิตยาวสั้นอะไรนั่น สำหรับนางแล้ว ไม่ได้คู่ควรแก่การพูดถึงเลย
นางเพียงแต่รู้ว่า นางชอบซือมั่ว คิดอยากจะอยู่กับเขาก็พอแล้ว
“เหตุใดเจ้าจึงดื้อดึงถึงขนาดนี้?” หานฉายไฉ่ร้อนใจ อดไม่ได้ที่จะก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว คิดอยากจะคว้าจับมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอกลับถอยหลังอย่างรู้ทัน สร้างระยะห่างระหว่างทั้งสองคน “หานฉายไฉ่!”
เสียงตะคอกทำให้หานฉายไฉ่ชะงัก
“อย่ามายุ่งกับเรื่องของข้า ข้าขอบอกเจ้าอีกครั้งว่า ระหว่างข้ากับเจ้านั้นไม่มีทางเป็นไปได้ ถ้าหากว่าเจ้ายังดื้อดึงเช่นนี้ต่อ ต่อจากนี้พวกเราก็ถือว่าเป็นคนแปลก หน้าไม่ต้องพบเจอกันอีก” มู่ชิงเกอเอ่ยเตือน
หานฉายไฉ่หรี่ดวงตาเล็กลงจ้องมองดูนาง ส่วนมู่ชิงเกอก็จ้องตอบไม่ได้มอบโอกาสใดๆ แก่เขา
“แล้วเจ้าจะเสียใจ”ในที่สุดหานฉายไฉ่ก็พูดออกมาประโยคหนึ่ง
มู่ชิงเกอกลับเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “ถ้าหากว่าเจ้าอยากจะคิดเช่นนั้น ก็ถือว่าไม่เข้าใจข้าเกินไปแล้ว”
พูดแล้วนางก็ หันกายจากไป ไปยังค่ายเขี้ยวมังกร
หานฉายไฉ่ชะงักอยู่กับที่ มองนางเดินไปทางค่ายเขี้ยวมังกร
ตอนที่มู่ชิงเกอเดินไปถึงค่ายเขี้ยวมังกรนั้น มั่วหยางและคนอื่นๆ ก็ได้กลับมาแล้ว ทุกคนส่งสายตาที่ดูเป็นห่วงมา ให้ทำให้จิตใจของนางที่ถูกหานฉายไฉ่ก่อกวนจน วุ่นวายรู้สึกดีขี้นมา
“ข้าไม่เป็นไร” นางรู้ดีว่าทุกคนเป็นห่วงนาง
“ลูกพี่ ท่านรีบกลับมาเช่นนี้ เกิดเรื่องขึ้นจริงๆ หรือ?” หยวนหยวนพุ่งมาที่ตรงหน้าของมู่ชิงเกอ ดวงหน้าที่กระจ่างใสเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มออกมา ยื่นมือออกไปหยิกแก้มเขา แล้วเอ่ยกับทุกคนว่า “ข้าสบายดี”
พูดแล้วนางก็มองไปที่มั่วหยางเอ่ยว่า “สองวันนี้เตรียมตัวให้ดีจะบุกเข้าไปในเทืองเขาซางหลานแล้ว”
จากนั้น นางก็มองไปทางเสวี่ยหยาและเซวี่ยนหย่าสองคน “พวกเจ้าอยู่ที่ค่าย ฮวาเยวี่ยและโย่วเหอก็ด้วย”
“นายน้อย ให้พวกเราตามท่านไปเถอะ” เซวี่ยนหย่าเอ่ย
มู่ชิงเกอกลับส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่จำเป็นต้องใช้คนมากขนาดนั้นเข้าไปด้วยกัน พวกเจ้าอยู่ที่นี่ทั้งหมด ข้าจะเหลือองครักษ์เขี้ยวมังกรไว้ด้วยสองกองเพื่อเฝ้าค่าย ไม่ถึงสิบวันพวกเราก็จะกลับมา”
งานล่าสัตว์ครั้งใหญ่ หลังจากฆ่าล้างสัตว์อสูรแล้ว วันที่ห้าเข้าในเทือกเขา วันที่สิบกลับออกมา
ช่วงเวลาสุดท้าย ก็คือการท้าทายและการประลอง ระหว่างกองกำลังหลิวเค่อกองต่างๆ
พูดว่าเป็นการชุมนุมของเหล่าหลิวเค่อก็ไม่ถือว่าเกินจริง พอมู่ชิงเกอได้ตัดสินใจแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่พูดอะไรมากอีก มู่ชิงเกอมองไปที่หยินเฉินแล้วก็เสริมอีกประโยคว่า
“หยินเฉินเจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วย” หยินเฉินมีนิสัยเงียบขรึม ทั้งยังมีความฉลาดของจิ้งจอก มีเขาอยู่ในค่ายทำให้นางวางใจเข้าเทือกเขาได้
หยินเฉินไม่ได้โต้แย้งการตัดสินใจของมู่ชิงเกอ พยักหน้ารับคำสั่ง
หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว มู่ชิงเกอก็กลับไปที่กระโจมหลัก แต่กลับรู้สึกเหนือความคาดหมาย ภายในกระโจมหลัก ซือมั่วกลับไม่ได้อยู่ที่นี่ ส่วนโห่วกลับ นอนอยู่ที่มุมของกระโจม
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววสงสัย เดินไปข้างกายโห่ว ยื่นเท้าเตะไปที่เขา
โห่วลืมตาขึ้นมา เหลือบตามองนางแวบหนึ่ง แล้วก็หลับตาลงอีกครั้ง
“เขาล่ะ?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม
“ข้าไม่ใช่สุนัขเฝ้าบ้าน อย่ามาถามข้า” โห่วเอ่ยตอบอย่างหยิ่งผยอง
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น มุมปากเผยรอยยิ้มสายหนึ่งออกมา กริ๊ง!
เสียงของโลหะดังก้องกังวานขึ้นมา เสียดแทงเข้าไปในดวงตาเบิกกว้างของโห่ว นัยน์ตาสีทองมองไปยังมู่ชิงเกออย่างโกรธแค้น
ที่ชัดๆ ก็คือ เขามองไปยังกำไลทองที่ข้อมือของมู่ชิงเกอ
“เขาไม่ได้พูด ข้าไม่รู้” สีหน้าของโห่วเปลี่ยนไปในทันที รีบเปลี่ยนคำตอบ
ไม่รู้งั้นหรือ?
ในใจของมู่ชิงเกอเกิดความสงสัย แต่ก็ไม่ได้ซักไซ้ถามต่อ วางแขนลง
ร่องรอยของซือมั่ว ถ้าหากว่าเขาไม่ยอมบอก โห่วก็ไม่สามารถรู้ได้
ครุ่นคิดครู่หนึ่ง มู่ชิงเกอก็ขี้เกียจจะสนใจ เสื้อผ้าบนตัวของนางเสียหายไปมาก ไม่มีเวลาเปลี่ยน คิดแล้วมู่ชิงเกอก็เดินไปยังห้องด้านหลัง ร้องเรียกโย่วเหอ ฮวาเยวี่ย สองคนเข้ามาเตรียมนํ้าสำหรับอาบนํ้าให้นาง
“แพ้ยับเยิน! แพ้อย่างยับเยินเลย!”
“ข้าแพ้เสียเดิมพันไปสิบกว่าปี! ”
“เจ้าแค่สิบกว่าปีเท่านั้น ข้าสิแพ้ไปหลายสิบปี!”
“ครั้งนี้ขาดทุนหนักแล้ว!” “จะไปรู้ได้อย่างไรว่าจะมีผลลัพธ์เช่นนี้?”
เมื่อการประลองระหว่างมู่ชิงเกอและจีเหยาฮั่วจบลง โต๊ะพนันหลายโต๊ะก็เกิดอาการโศกเศร้าขึ้น มีเพียงโต๊ะพนันที่ซือมั่วลอบสร้างขึ้นลับๆ เท่านั้นที่ได้กำไรอย่างงดงาม
บนทุ่งหญ้าอัสดง บริเวณตั้งค่ายของเหล่าหลิวเค่อ ยังมีค่ายของบรรดาตระกูลต่างๆ ทุกๆ ที่ล้วนแต่กำลังพูดคุยกันเรื่องการประลองในครั้งนี้
ชื่อของมู่ชิงเกอ ถูกเล่าลือไปทั่วบริเวณอีกครั้ง
สามมารถทำให้จีเหยาฮั่วบาดเจ็บได้ภายใน 300 กระบวนท่า กำลังของเขาสมควรจะอยู่ลำดับที่เท่าไหร่ในทำเนียบชิงอิง นี่กลายเป็นประเด็นที่เร่าร้อนหลังจากที่ทุกคนเสียพนันไป
“ตามที่ข้าดู คุณชายมู่เริ่มจากต้านสามกระบวนท่าจากอันดับสี่แห่งทำเนียบชิงอิงแล้วไม่ตาย จากนั้นก็ยังสามารถทำให้อันดับสองแห่งทำเนียบชิงอิงบาดเจ็บได้ภายในสามร้อยกระบวนท่า พลังเช่นนี้อย่างน้อยก็ต้องอยู่ในลำดับที่หนึ่งถึงสิบ” มีคนเสนอความคิดเห็นขึ้นมา ทันใดนั้นก็มีคนโต้แย้งในทันที “เจ้าอย่าได้ลืมไปว่า นายน้อยจีได้กดระดับพลังให้เสมอกัน หากว่าอิงตามความสามารถจริงๆ มาประลอง เกรงว่าคนแซ่มู่นั้นคงไม่พ้นสิบกระบวนท่าของเขา เขาอยู่ในทำเนียบชิงอิงนั้นข้าเห็นด้วย แต่สามารถอยู่ในลำดับหนึ่งถึงสิบได้นั้น ดูเป็นไปไม่ได้เกินไป”
“ชิ ถึงแม้ว่านายน้อยจีกดระดับพลังให้เท่าเจ้า ให้เจ้าห้าร้อยกระบวนท่า เจ้าก็ไม่อาจทำให้เขาบาดเจ็บได้ สามารถทำให้นายน้อยจีบาดเจ็บได้ ก็คือมีความ สามารถอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณชายมู่ยังสามารถทะลวงระดับได้ในการประลอง ทั้งยังสามารถใช้มือเปล่าทำลายยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะของนายน้อยจีได้อีก นี่เป็นสิ่งที่คนธรรมดาจะไปเทียบได้อย่างนั้นหรือ?” คนที่พูดแทนมู่ชิงเกอเอ่ยออกมาอย่างไม่พอใจ
“หากเอาตามที่เจ้าพูดมา เช่นนั้นมู่ชิงเกอถูกจัดอยู่ในลำดับหนึ่งถึงห้าก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร ต้องรู้ว่า แม้แต่นายน้อยอิ๋งก็ไม่อาจจะใช้หมัดเดียวทำลายยุทธภัณฑ์ ชั้นเทวะได้” มีคนยังคงไม่ยอมเช่นเดิม พูดประชดประชันออกมา
คนที่ปกป้องมู่ชิงเกอ ก็เอ่ยอย่างมีเหตุผลว่า “ให้เวลาคุณชายมู่สักหน่อย ไม่แน่ว่าเขาอาจจะสามารถเข้าไปอยู่ในลำดับที่หนึ่งถึงห้าจริงๆ ก็ได้ สามารถรับสาม
กระบวนท่าจากนายน้อยอิ๋งแล้วไม่ตายก็เป็นปาฏิหาริย์แล้ว ทั้งยังสามารถทำให้นายน้อยจีพ่ายแพ้ได้ภายในสามร้อยกระบวนท่าอีก นี่ก็เป็นปาฏิหาริย์อีกปาฏิหาริย์หนึ่ง เช่นนั้นก็ไม่แน่ว่าคุณชายมู่อาจจะสร้างปาฏิหาริย์ครั้งต่อไปอีกก็ได้ใช่หรือไม่?”
“ระดับสีเงินชั้นสามกลับคิดจะอยู่ในตำแหน่งที่หนึ่งถึงห้าบนทำเนียบชิงอิง นี่ดูเกินไปหรือไม่? ตามที่ข้ารู้มา ตำแหน่งที่หนึ่งถึงห้าบนทำเนียบชิงอิง ลำดับที่ห้าธิดา เทพตระกูลซี ก็มีพลังอยู่ระดับสีเงินชั้นสี่แล้ว”
“เช่นนั้นก็ให้ธิดาเทพตระกูลซีประลองกับคุณชายมู่ครั้งหนึ่ง ก็ยังไม่แน่ว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ”
“เหอ เหอ ข้าดูแล้วไม่ต้องประลอง แค่รูปโฉมของคุณชายมู่ก็เกรงว่าหากธิดาเทพของตระกูซีพบเห็นเข้าก็อาจจะชอบก็ได้ แล้วก็แต่งให้เขาเลย”
“เพ้ย เจ้าพูดเบาๆ หน่อย! ธิดาเทพไม่สามารถแต่งงานได้ตลอดชีวิต เจ้ากล้าพูดจาเช่นนี้ ไม่กลัวว่าคนของตระกูลซีจะได้ยินเข้าแล้วตัดคอเจ้างั้นหรือ”
“กลัวอะไร คนตระกูลซีไม่ได้อยู่ที่นี่เสียหน่อย”
ประเด็นที่พูดคุยเริ่มเปลี่ยนไปมาก แต่ก็ยังคงวนเวียนรอบมู่ชิงเกอ
บนทุ่งหญ้าอัสดง งานล่าสัตว์ครั้งใหญ่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นไม่นาน ชื่อของมู่ชิงเกอก็โด่งดังไปทั่วแล้วจากสองศึก!
ไม่ หากว่านับตั้งแต่ตอนที่งานล่าสัตว์ครั้งใหญ่เริ่มต้นขึ้น ก็มีสามศึกแล้วที่นางทำให้ทุกคนตกตะลึง
สามศึก!
ทุกครั้งที่มู่ชิงเกอปรากฎตัว ก็ล้วนแต่ทำให้คนตื่นเต้นและตะลึงทุกครั้ง
ชื่อของมู่ชิงเกอได้ถูกแผ่กระจายไปทั่วโลกของหลิวเค่อ ไม่เพียงแต่ในโลกของเหล่าหลิวเค่อเท่านั้น แม้แต่ภายในตระกูลต่างๆ บนทุ่งหญ้าอัสดงก็เริ่มจดจำชื่อของเขาด้วย
แน่นอนว่ารวมถึงกองกำลังเขี้ยวมังกรด้วย!
ความสามารถในการรบของกองกำลังเขี้ยวมังกรไม่เพียงแต่เหนือกว่าหลิวเค่ออื่นๆ แต่ยังทำให้ตระกูลต่างๆ เกิดความคิดอยากจะร่วมมือด้วย
ซางเสวี่ยอู่ยืนอยู่ในมุมๆ หนึ่งที่ห่างไกล นิ่งเงียบฟังการพูดคุยถกเถียงรอบด้านในใจเกิดความภาคภูมิใจขึ้นมา นางภูมิใจแทนมู่ชิงเกอ ภูมิใจนางแทนท่านพ่อและท่านแม่
ภูมิใจในพี่สาวของตนเอง!
ผู้อาวุโสสามเดินมาถึงข้างกายของซางเสวี่ยอู่ เสียงฝีเท้า ทำให้นางรู้สึกตัวและหันมองไป
“ผู้อาวุโสสาม” ซางเสวี่ยอู่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
ผู้อาวุโสสามพยักหน้า เอ่ยกับนางว่า “เสวี่ยอู่ ข้ามาพ เจ้าก็เพราะอยากจะถามเรื่องหนึ่ง”
“ผู้อาวุโสสามเชิญพูด” นัยน์ตาของซางเสวี่ยอู่หวั่นไหวเล็กน้อย
ผู้อาวุโสสามลังเลเล็กน้อยถึงได้เอ่ยออกมาว่า “เจ้ากับคุณชายมู่…เสวี่ยอู่ เจ้าพูดตรงๆ มากับข้า เจ้าชอบคุณชายมู่หรือไม่ คุณชายมู่ก็ชอบเจ้าใช่หรือไม่?”
“ผู้อาวุโสสามเข้าใจผิดแล้ว,, ซางเสวี่ยอู่อธิบายอย่างอ่อนแรง
นางพูดไม่รู้กี่ครั้งแล้ว แต่ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็ทำให้ดูเหมือนว่านางกับพี่สาวของตัวเองนั้นมีอะไรกัน ส่วนนางก็ไม่สามารถอธิบายอะไรได้
อย่างน้อยในตอนก่อนที่มู่ชิงเกอจะยอมรับน้องสาวอย่างนางด้วยตนเอง นางก็ไม่สามารถอธิบายอะไรออกมาได้
นางพูดได้เพียงแต่ว่า ‘เข้าใจผิดแล้ว’ แต่ว่านางอธิบายเช่นนี้ก็ดูไร้เรี่ยวแรงไปหน่อย ผู้อาวุโสสามถือเอาคำเลี่ยงเช่นนี้ดูเป็นความเขินอาย เขาตบๆ มือ เอ่ยกับซางเสวี่ยอู่ว่า “ดี ดี ดี ข้าเข้าใจแล้ว ผ่านไปอีกสองวันก็เข้าเทือกเขาแล้ว ข้าคิดจะให้เจ้ากับอี้เฉินเข้าไปในเทือกเขากับเขี้ยวมังกร”
ซางเสวี่ยอู่ชะงักรีบเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสสามไม่ได้นะ”
นางอยากจะพูดจริงๆ ว่า ท่านจะอาศัยสถานะอะไรไปทำให้เขี้ยวมังกรยอมรับเรื่องนี้ได้?
ถึงแม้ว่านางอยากจะใกล้ชิดกัปมู่ชิงเกอให้มากขึ้นก็ตาม ผู้อาวุโสสามกลับพูดว่า “วางใจเถอะ ข้ามีแผนการในใจแล้ว”
พูดแล้วเขาก็หันกายจากไป
นี่ทำให้ในใจของซางเสวี่ยอู่รู้สึกสับสนวุ่นวายยิ่งนัก
“ข่าวใหญ่ ข่าวใหญ่ เพิ่งมีข่าวเข้ามาว่ามีคนท้าประลองนายน้อยจี พูดว่าให้นายน้อยจีใช้กำลังทั้งหมดที่มี ส่วนเขาก็จะใช้กำลังเท่ากันประลอง”
ทันใดนั้นก็มีข่าวคราวหนึ่งกระพือไปทั่วค่ายเหล่าหลิวเค่อและค่ายของตระกูลต่างๆ
“ถึงกลับมีคนกล้าท้าประลองนายน้อยจีอย่างนั้นหรือ?
หรือว่าครังนี้คิดว่านายน้อยจีแพ้แล้วคิดว่าเขาน่ารังแกงั้นหรือ?”
“อีกทั้งยังให้นายน้อยจีใช้ความสามารถเต็มที่อีก นี่ไม่ใช่ว่ามีเรื่องสนุกๆ ให้ดูอีกแล้ว? สามารถได้ชมดูการต่อสู้เต็มฝีมือของอันดับสองแห่งทำเนียบชิงอิง เป็นเรื่องที่หาโอกาสดูได้ยากยิ่ง!”
“เรื่องสนุกช่างมาอย่างต่อเนื่องจริงๆ งานล่าสัตว์ครั้งใหญ่ครั้งนี้ช่างเยี่ยมยอดจริงๆ!”
ภายในค่ายของเขี้ยวมังกร มู่ชิงเกออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เพิ่งจะเดินออกมาก็ได้ยินข่าวนี้
“มีคนท้าประลองจีเหยาฮั่วงั้นหรือ?” มู่ชิงเกอชะงัก ความรู้สึกบอกนางว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับซือมั่ว ชายคนนี้คิดจะทำอะไร?
“เมื่อไหร่?” นางรีบถามออกไป
มั่วหยางเอ่ยตอบว่า “พูดกันว่าตอนนี้ บริเวณที่ประลองตอนเช้า”
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอวาววาบรีบเดินออกไปนอกกระโจมหลัก “ไป ไปดูกัน”
มั่วหยางรีบตามไป ทั้งสองไม่ได้เรียกคนอื่น เพียงแต่เดินไปยังใจกลางทุ่งหญ้าอัสดงเพียงลำพัง
ใจกลางทุ่งหญ้าอัสดง คนที่กระจายตัวไปเมื่อเช้าได้กลับมารวมตัวอีกครั้ง
ทุกอย่างเหมือนกันกับเมื่อเช้าทุกอย่าง ยกเว้นแต่คนที่ท้าประลองกลายเป็นผู้ถูกท้าประลองเสียเอง
ในตอนที่มู่ชิงเกอและมั่วหยางมาถึงนั้น รอบด้านก็มีคนหนาแน่นเต็มไปหมดแล้ว
เห็นมู่ชิงเกอปรากฎตัวออกมา มีคนจำนวนไม่น้อยเผยรอย ยิ้มอย่างมีไมตรีให้ คิดอยากจะใกล้ชิดกับเขา
“คุณชายมู่มาแล้ว”
“สวัสดี คุณชายมู่!”
“คุณชายมู่…”
เหล่าบรรดาหลิวเค่อสาวๆ ก็ยิ่งดูเป็นมิตร เดินผ่านมาทางมู่ชิงเกอไม่หยุด ทั้งส่งสายตาทอดสะพาน ทั้งทิ้งถุงเครื่องหอม มีทั้งทิ้งสายรัดมือ
ส่วนมู่ชิงเกอ กลับเดินไปอย่างไม่สนใจจะมอง ทำเป็นมองไม่เห็น ‘ความหวังดี’ เหล่านี้
นางยิ่งไม่สนใจ และก็ยิ่งทำให้บรรดาเหล่าหลิวเค่อผู้หญิงอยากจะเอาชนะ
มีบรรดาหลิวเค่อผู้หญิงหลายคนได้รวมตัวกันเดินเข้ามาหามู่ชิงเกอแล้ว
เพียงแต่ ยังไม่ไม่ทันได้เข้าใกล้ พวกนางก็มองเห็นหญิงสาวที่รูปร่างหน้าตาสวยสดงดงามปรากฎขึ้นข้างกายของมู่ชิงเกอ พร้อมทั้งส่งสายตาเย็นชามาให้กับพวกนาง
มู่ชิงเกอมองไปยังซางเสวี่ยอู่ที่ปรากฎขึ้นมาอย่างกะทันหันข้างกายของนางอย่างประหลาดใจ
มุมปากของซางเสวี่ยอู่กระตุกเล็กน้อย เอ่ยอธิบายเสียงเบาว่า “มีข้าอยู่ข้างกายท่านก็จะสามารถหลีกเลี่ยงเรื่องวุ่นวายบางอย่างได้”
มู่ชิงเกอชะงัก กวาดตามองไปยังเหล่าผู้หญิงที่กำลังลอบมองนาง นางหันมองซางเสวี่ยอู่ เอ่ยถามว่า “เจ้าทำเช่นนี้ไม่กลัวจะเกิดความเข้าใจผิดงั้นหรือ? นี้เกี่ยวพันกับความบริสุทธิ์ของเจ้านะ”
ซางเสวี่ยอู่ยิ้ม “ในเมื่อคนก็ได้เข้าใจผิดไปแล้ว จะไปสนใจอีกทำไม?”
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น
นัยน์ตาของซางเสวี่ยอู่ขยับ เกิดความกล้าขึ้นมา เข้าไปใกล้กับหูของมู่ชิงเกอ ใช้เสียงที่สามารถได้ยินกันแค่สองคนเอ่ยออกมาว่า “พี่สาว ท่านคิดว่าท่านออกหน้าแทนข้าหลายครั้งขนาดนั้นแล้ว ในใจของพวกเขาจะยังคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับท่านบริสุทธิ์งั้นหรือ?”
พูดจบ นางก็มองมู่ชิงเกออย่างกลัวๆ ดูเหมือนจะกลัวว่านางจะโกรธ
แต่มู่ชิงเกอก็ไม่ได้โกรธ เพียงแต่ส่ายหน้าอย่างไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้
ไม่มีการอธิบายสักคำ และก็ไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ
นางเดินไปข้างหน้าต่อ นี่ทำให้ซางเสวี่ยอู่ชะงักอยู่ที่เดิม ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
เดินไปสองก้าวรู้สึกได้ว่าซางเสวี่ยอู่ไม่ได้ตามมา นางก็หันกลับไปมองนาง เอ่ยถามว่า “ยังไม่ตามมาอีกหรือ?”
ในใจของซางเสวี่ยอู่เกิดความยินดีขึ้นมารีบตามไปเคียงบ่าเคียงไหล่กับนาง
ความใกสล้ชิดเช่นนี้ ทำให้ในใจของซางเสวี่ยอู่รู้สึกดียิ่งนัก นางลอบมองมู่ชิงเกอไม่หยุด สายตาเช่นนั้นต่อหน้าคนอื่นแล้ว ก็กลายเป็นความสัมพันธ์ที่แยกไม่ออกระหว่างคนสองคน
อย่างน้อยอิ๋งเจ๋อที่อยู่ไกลออกไปมองเห็นฉากนี้ก็เข้าใจผิดเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งสองไปแล้ว
“แม่นางฉิน เจ้าอย่าได้เสียใจไป คุณชายมู่กับแม่นางซางผู้นั้นไม่แน่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์เช่นนั้น” เซิ่งอวี้หลี มองเห็นฉินอี้เหยาสนใจเงาร่างด้านหลังของมู่ชิงเกอและซางเสวี่ยอู่จึงเอ่ยปากออกมา
‘แน่นอนว่าพวกนางไม่ได้มีความสัมพันธ์เช่นนั้น’ ฉินอี้เหยาเอ่ยในใจ
นางไม่ได้อธิบายออกมามากมาย เพียงแต่เอ่ยกับเซิ่งอวี้หลีว่า “ระหว่างข้ากับเขานั้นเป็นไปไม่ได้ และก็จะไม่เข้าไปยุ่งกับการเคลื่อนไหวของเขา”
พูดแล้วนางก็เดินไป ข้างหน้า
‘ระหว่างข้ากับเขาเป็นไปไม่ได้!’
ประโยคนี้ทำให้ในใจของเซิ่งอวี้หลีเกิดความยินดีขึ้นมา รีบตามฉินอี้เหยาไป
มู่ชิงเกอนำซางเสวี่ยอู่เดินไปถึงด้านหน้าของฝูงชน มองไปเห็นคนที่อยู่ด้านในที่กำลังเผชิญหน้ากันทั้งสองคน
ภาพนี้ก็เหมือนกับเมื่อเช้า สิ่งที่แตกต่างเพียงสิ่งเดียวก็ คือเปลี่ยนคนเท่านั้น
‘เป็นเขาจริงๆ!’ สายตาของมู่ชิงเกอตกไปอยู่ที่ร่างของซือมั่วในทันที
ซือมั่วในชุดสีดำยืนอยู่ตรงหน้าของจีเหยาฮั่ว รูปลักษณ์ที่หล่อเหลา ท่วงท่าที่สูงส่งทำให้ทั้งโลกมืดมนลงทันใด การคงอยู่ของเขาดูเหมือนจะแสดงถึงความงดงามทั้งหมดบนโลก
นัยน์ตาสีอำพันเปรียบเสมือนจักรวาลอันกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยความลึกลับและความเวิ้งว้างไม่มีสิ้นสุด
“นี่เป็นใครกัน?”
“หล่อเกินไปแล้ว!”
“หล่อมาก!”
“ถูกเขามองแวบเดียว ให้ข้าไปตายข้าก็ยอม!”
ข้างกายมีเสียงเอ่ยชื่นชมดังมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในใจของมู่ชิงเกอเกิดความภาคภูมิใจเกิดขึ้น
อืม ผู้ชายของนางโดดเด่นมาก!
หว่างเอวของซือมั่วห้อยกระดิ่งสีทอง ทำให้มู่ชิงเกอวางมือลง เอากระดิ่งของตนเองเข้ามาไว้ในมือ ไม่ให้ใครมองเห็น
ส่วนซางเสวี่ยอู่ที่อยู่ข้างกายนาง กลับมองเห็นฉากนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ
กระดิ่งสองอันที่เหมือนกัน ปรากฎอยู่บนตัวของคนสองคน นี่ทำให้นางอดคิดมากไม่ได้ สายตากวาดมองไปยังร่างของมู่ชิงเกอและซือมั่ว ค่อยๆ เกิดความตกตะลึงออกมา
มู่ชิงเกอซ่อนกระดิ่ง ไม่ใช่เพื่อปิดบังความสัมพันธ์ระหว่างนางกับซือมั่ว เพียงแต่ไม่คิดจะให้คนมองเห็นจุดๆ นี้และคาดเดาสถานะของนางออก
ความตกตะลึงของซางเสวี่ยอู่ทำให้นางหันไปมอง
เมื่อถูกนางมองมา ซางเสวี่ยอู่ก็รีบเก็บความตกตะลึงในสายตากลับ ยืนนิ่งอยู่ข้างกายนาง เพียงแต่ว่า เมื่อหันกลับไปมองซือมั่วอีกครั้งนั้น ในใจของนางก็คาดเดาว่า ‘หรือว่านี่ก็คือพี่เขยของพวกนาง?’
พี่เขยมาแก้แค้นให้พี่สาวอย่างนั้นหรือ?
การค้นพบนี้ทำให้สายตาของซางเสวี่ยอู่เผยความคาดหวังของสาวน้อยออกมา
“บาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?” ซือมั่วเอ่ย
จีเหยาฮั่วยิ้มส่ายหน้า “ดีขึ้นแล้ว”
“ดีแล้วก็ดี” ซือมั่วพยักหน้า นํ้าเสียงเช่นนั้นดูเหมือนว่าจะไม่ได้สนใจอาการบาดเจ็บของจีเหยาฮั่วเลย และก็จริง เขาได้เสริมไปอีกประโยคว่า “ดีแล้ว เช่นนั้นก็จะไม่ได้ถือว่าเป็นการรังแกคนบาดเจ็บ”
อา!
ทุกคนได้ยินประโยคนี้แล้วใบหน้าก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง
รอยยิ้มบนใบหน้าของจีเหยาฮั่วก็แข็งค้าง
“ผู้ชายเช่นนี้ถึงจะเหมาะกับข้าหานอี้เหริน!” อีกข้าง หานอี้เหรินยืนอยู่ในกลุ่มคน มองเห็นซือมั่วที่มีรูปโฉมหล่อเหลา นัยน์ตาก็เต็มไปด้วยความชื่นชมบูชา
ที่ยืนอยู่ข้างนางนั้นก็คือหานฉายไฉ่และหร่วนชิงเหลียน หานฉายไฉ่มองไปที่ซือมั่วด้วยสีหน้าไม่ดี ไม่ได้สนใจคนอื่นๆ ส่วนหร่วนชิงเหลียนก็มองอยู่แต่เขา
“เริ่มเถอะ!” จีเหยาฮั่วกัดฟัน พุ่งเข้าไปหาซือมั่ว
ส่วนซือมั่วกลับยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ทั้งยังมีเวลาหันมามองทางมู่ชิงเกอและยิ้มอีก
ชั่วขณะนั้นก็มีผู้หญิงจำนวนนับไม่ถ้วนที่กรีดร้องขึ้นมาอย่างจะเป็นจะตาย
ฉากนี้ทำให้มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก
ปัง ปัง ปัง!
นี้คือการต่อสู้ที่ไม่มีอะไรให้ต้องคาดเดาและเป็นการโจมตีเพียงฝ่ายเดียว
ซือมั่วที่ขี้เกียจแม้แต่ขยับเท้า ก็สามารถโจมตีจนจีเหยาฮั่วเหมือนสุนัขได้แล้ว แม้ว่าจีเหยาฮั่วจะใช้พลังเต็มที่ก็ไม่อาจทำอะไรซือมั่วได้แม้แต่ปลายเล็บ
ในการต่อสู้มีคนส่งเสียง ‘อื้อ!’ ‘อ้า!’ ไม่หยุด
จนถึงตอนที่จีเหยาฮั่วนอนอยู่บนพื้นหมดเรี่ยวแรงจะปีนขึ้นมานั้น ร่างกายของเขาก็มีบาดแผลเพิ่มขึ้นมายี่สิบกว่าแผล
ถ้าหากว่ามีคนสังเกตก็จะพบว่ารอยแผลบนตัวของเขานั้นมีตำแหน่งคล้ายกับบาดแผลที่เขาทิ้งไว้บนตัวของมู่ชิงเกอเมื่อเช้านี้ไม่ผิดไม่เพี้ยน
ทุกตำแหน่ง! ทุกเส้นขน!
“อย่า…พอแล้ว ข้า…ข้ายอมแพ้แล้ว…” จีเหยาฮั่วยอมแพ้
ซือมั่วก้มหน้าลงมายิ้ม จากนั้นก็หันกายจากไปจากสายตาผู้คน
วันนี้จีเหยาฮั่วแพ้สองครั้งติดต่อกัน!
ข่าวนี้ดังยิ่งกว่าข่าวที่ขอทานเฒ่าไปสู่ขอธิดาเทพตระกูลซางเสียอีก!
มู่ชิงเกอดูจบ มุมปากก็เผยรอยยิ้มท้าทาย หันกายจากไป
ซางเสวี่ยอู่ตามจากไป ไม่ได้ชะงักอยู่ที่เดิม
คนส่วนมากล้วนแต่สนใจว่าอาการบาดเจ็บของจีเหยาฮั่วเป็นอย่างไรบ้าง
“เอ๊ะ แปลกมาก เหตุใดข้าถึงจำไม่ได้ว่าเขามีรูปร่างลักษณะอย่างไร?” ทันใดนั้น ซางเสวี่ยอู่ก็พึมพำออกมาอย่างไม่รู้ตัว
มู่ชิงเกอมองไปที่นาง เอ่ยถามว่า “จำใครไม่ได้?”
“ก็คนที่เพิ่งจะต่อสู้จนจีเหยาฮั่วทุลักทุเลเมื่อครู่!” ซางเสวี่ยอู่เอ่ยตอบอย่างไม่ปิดบัง
นางจำสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้แต่กลับจำลักษณะของคนๆ นั้นไม่ได้ จำได้เพียงแต่คนๆ นั้นหล่อเหลามาก มีรูปโฉมที่ถ้าได้เห็นก็ยากจะลืมเลือน แต่กลับคิดไม่ออก
ใจของมู่ชิงเกอสั่นไหว เอ่ยว่า “คิดไม่ออกก็ช่างเถอะ”
ซางเสวี่ยอู่พยักหน้า นางคิดอยากจะถามมู่ชิงเกอถึงความสัมพันธ์ของนางกับคนผู้นั้น แต่ก็ไม่กล้าพูดมาก สุดท้ายก็ได้แต่เอ่ยเตือนว่า “บางทีผู้อาวุโสสามอาจจะ
ไปหาที่ค่ายเขี้ยวมังกร”
มู่ชิงเกอหยุดฝีเท้า มองซางเสวี่ยอู่ ดูเหมือนกำลังถามว่า เขามาทำอะไร?
ซางเสวี่ยอู่ยิ้มเก้อๆ ออกมา “ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจผิดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพวกเรา คิดอยากจะให้พวกเราไปฝึกในเทือกเขากับพวกท่าน”
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววเคร่งขรึมมองดูซางเสวี่ยอู่ นางที่ไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ต่อการปรากฎตัวขึ้นอย่างกะทันหันของน้องสาวและน้องชาย ไม่ใช่เพราะนางมี อคติต่อพวกเขาแต่เป็นเพราะนางไม่รู้ว่าจะไปเผชิญหน้ากับซางหลันรั่วอย่างไร
ถ้าหากว่าอาศัยตัวนางเอง ซางหลันรั่วสำหรับนางแล้วก็คือคนแปลกหน้าคนหนึ่ง
แต่ว่าหากสำหรับมู่ชิงเกอแล้ว นั่นก็คือมารดาของนาง เป็นสะใภ้คนโตของตระกูลมู่
ส่งข่าวไปบองทางมู่ซง นางก็อยากจะอาศัยปฏิกิริยาตอบสนองจากมู่ซงมาตัดสินใจว่าจะแสดงท่าทีต่อคนเหล่านี้อย่างไร นับดูแล้ว ท่านปู่ก็น่าจะได้รับข่าวที่นางส่งไปแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าคนที่ซือมั่วส่งไปส่งยันต์ส่งสารนั้น จะไปถึงจวนตระกูลมู่ที่หลินชวนเมื่อไหร่
“ข้ารู้แล้ว เจ้ากลับไปเถอะ” ในที่สุดมู่ชิงเกอก็มองซางเสวี่ยอู่และพูดออกมาประโยคหนึ่ง
ซางเสวี่ยอู่รู้สึกผิดหวัง เดิมนางคิดอยากจะร้ว่ามู่ชิงเกอคิดอย่างไร จะโกรธพวกเขา ไม่ให้อภัยพวกเขา หรือว่ายอมรับพวกเขา นับจากนี้อยู่เป็นครอบครัวเดียวกันไม่แยกจาก
แต่ท่าทางของมู่ชิงเกอกลับทำให้นางไม่อาจแน่ใจได้
ดูเหมือนว่านับจากเริ่มต้นจนท้ายสุด ท่าทีของนางก็เหมือนกับที่พบกับพวกนางครั้งแรกที่เมืองอูอิ๋นไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย
ที่สามารถแน่ใจได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือพี่สาวของนางกังวลเรื่องความเป็นความตายของพวกนาง
ให้ซางเสวี่ยอู่จากไปแล้ว มู่ชิงเกอก็กลับค่ายเขี้ยวมังกร
ในตอนที่นางเดินเข้าไปในกระโจมหลักนั้นซือมั่วก็กำลังนั่งดื่มชาอยู่
ท่าทางของเขาดูเรียบเฉย ดูเหมือนกับว่าเมื่อครู่บนทุ่งหญ้าอัสดง คนที่ต่อสู้กับจีเหยาฮั่วนั้นไม่ใช่เขา
มองเห็นมู่ชิงเกอเดินเข้ามา ซือมั่วก็กวักๆ มือ “มานี่”
มู่ชิงเกอเดินไปข้างกายเขาถูกเขารวบเข้าไปไว้ในอ้อมอก “พอใจไหม?”
มุมปากของมู่ชิงเกอฉีกออกเล็กน้อย ยิ้มขึ้นมา
ในตอนที่มองเห็นบาดแผลเหล่านั้นบนร่างกายของจีเหยาฮั่วที่เหมือนกับบาดแผลบนตัวนาง นางก็เดาออกแล้ว
นางพยักหน้า เอ่ยกับซือมั่วว่า “เจ้าทำเช่นนี้ไม่กลัวสถานะจะถูกเปิดเผยหรืออย่างไร?”
ซือมั่วกลับเอ่ยตอบว่า “สถานะไม่สำคัญสู้ภรรยาถูกรังแก ข้าอยู่ข้างกายเจ้า จะไม่ยอมให้เจ้าถูกรังแกเด็ดขาด”
‘ดังนั้นเจ้าจึงคิดบัญชีกลับมาให้หมด ตาต่อตาฟันต่อฟันใช่ไหม?’ มู่ชิงเกอลอบเอ่ยในใจ
การกระทำของซือมั่วทำให้ในใจของนางเกิดความอบอุ่นใจ
ชายที่เป็นห่วงเป็นใยในทุกอย่างของนางเช่นนี้ จะให้นางไม่รักได้อย่างไร จะให้ปล่อยมือไปได้อย่างไร? ไม่ว่าเขาจะเป็นเทพหรือมารก็ไม่อาจกลายเป็นอุปสรรคระหว่างพวกเขาได้
หากว่าซือมั่วเป็นเทพ นางก็จะพยายามหาวิธีเป็นเทพ
หากว่าเป็นมาร นางก็จะหาวิธีเป็นมาร!
ไม่ว่าจะเป็นเทพหรือมาร นางก็จะขออยู่เคียงข้างเขาตลอดไป!
“เขากล้ารังแกภรรยาของข้า ข้าไม่อาจปล่อยเขาไปง่ายๆ ได้” ซือมั่วเอ่ยอย่างซุกซนเหมือนเด็กดื้อ
มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมาจากอ้อมอกของเขา เอ่ยอย่างสงสัยว่า “เจ้ายังทำอะไรอีก?”
ซือมั่วเหลือบมองนาง นัยน์ตาสีอำพันเกิดเป็นร่องรอย ‘ต้องการคำชม’ “ข้าทิ้งบางอย่างไว้บนบาดแผลของเขา ทำให้เขาไม่อาจหายได้ง่ายๆ อย่างน้อยก็ต้องเจ็บปวด ไปหลายสิบวัน”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้
ในใจของมู่ชิงเกอหลุดหัวเราะ นางก็รู้อยู่แล้วว่า ชายคนนี้คงจะไม่ปล่อยจีเหยาฮั่วไปง่ายๆ ตอนนี้แม้ว่าตัวของนางจะอยู่ในค่ายเขี้ยวมังกร แต่ก็ยังสามารถได้ยินถึงเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของจีเหยาฮั่ว นางอดไม่ได้ที่จะเอนตัวลงบนอ้อมอกของซือมั่วและหัวเราะออกมา
แน่นอนว่านางไม่ได้คิดสงสารจีเหยาฮั่ว ยิ่งไม่คิดว่าซือมั่วลงมือโหดเหี้ยมเกินไป
มู่ชิงเกอยื่นมือออกไป บีบจมูกของซือมั่วเล็กน้อย พูดว่า “ทำได้ไม่เลว!”
ท่าทางนี้ทำให้คิ้วของซือมั่วเลิกขึ้นสูงอย่างมีความสุข
“คนเหล่านั้นจำลักษณะของเจ้าไม่ได้ก็เป็นเจ้าจัดการใช่หรือไม่?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามอย่างสงสัย
ซือมั่วพยักหน้า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์อยากจะให้ผู้หญิงหลายคนจำข้าได้อย่างนั้นหรือ?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้มู่ชิงเกอก็โมโหกัดริมฝีปากของเขา ฟันแหลมคมกัดไปที่ริมฝีปากของเขา เลือดไหลออกมา มู่ชิงเกอคลายริมฝีปากของซือมั่วออก ก่อนที่บาดแผลบนริมฝีปากของเขาจะปิดสนิท นางก็มองไปที่สีเลือดของเขา เอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “เป็นสีม่วง!”
แต่ก่อนนางไม่เคยสนใจและสังเกตสีเลือดของซือมั่วมาก่อน ว่ามีสีม่วงเข้ม หรือจะพูดว่าเป็นสีม่วงกุหลาบถึงจะถูกต้องที่สุด
ในสีแดงมีสีม่วงปนดูเปล่งประกายและส่งกลิ่นหอม
กลิ่นหอมนี้ออกมาจากกลิ่นเลือด กลายเป็นกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของซือมั่ว
“สีสวยหรือไม่?” ซือมั่วยิ้มแล้วเอ่ยถาม
มู่ชิงเกอพยักหน้า “สวย”
ดูคล้ายกับสีของไวน์องุ่นแต่ก็ดูม่วงกว่าเล็กน้อย
ซือมั่วก้มหัวลง ครอบครองริมฝีปากของมู่ชิงเกอ มือของเขาคลำไปถอดต่างหูสีม่วงที่หูข้างซ้ายของนาง ทันใดนั้น เขาก็กอดมู่ชิงเกอขึ้นมา พุ่งไปยังห้องด้านหลัง
ไม่นานก็มีเสียงพูดคุยที่ทำให้คนที่ได้ฟังหน้าแดงหูแดง ใจเต้นดังขึ้นมา
“ครั้งนี้ข้าอยู่บน”
“ข้าอยู่บน เจ้าอยู่ล่าง”
“ไม่ได้!”
“นายน้อยนอนดีๆ ให้ข้าบริการ เจ้าแค่คอยรับก็พอ”
“เจ้า…อื้อ…”
การต่อต้านของมู่ชิงเกอแทบจะกลายเป็นไร้ความหมาย
ภายในกระโจมของจีเหยาฮั่ว
อิ๋งเจ๋อมองไปยังจีเหยาฮั่ว ที่นอนพลิกตัวกลิ้งไปกลิ้งมาไม่หยุดอยู่บนเตียงด้วยสี หน้าเคร่งขรึม
“บาดแผลแค่เล็กน้อยเหตุใดเจ้าต้องแกล้งทำเป็นเจ็บปวดเช่นนี้ด้วย?” อิ๋งเจ๋อขมวดคิ้ว
จีเหยาฮั่วกุมบาดแผลบนตัวของตนเอง หนาวเย็นเสียดกระดูก กัดฟันสั่นสะท้าน เขามองไปที่อิ๋งเจ๋อ สีหน้าซีดขาว “แม้แต่เจ้าก็ยังคิดว่าข้าไม่ได้บาดเจ็บอย่างนั้น หรือ?”
อิ๋งเจ๋อส่งสายตาไปบอกว่า ‘ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ นี่’
จีเหยาฮั่วร้องไห้อย่างไร้นํ้าตา แล้วก็อธิบายออกมาอีกครั้งว่า “ข้าเจ็บมาก! เจ็บมาก! เจ็บมาก!”
อิ๋งเจ๋อกลับเอ่ยว่า “มีคนจำนานไม่น้อยที่มาดูอาการให้เจ้าแล้ว เพียงแต่เป็นบาดแผลภายนอกเล็กน้อย ใส่ยาแล้ว อีกไม่นานบาดแผลของเจ้าก็จะหายดี”
“แต่ก็ยังคงเจ็บอยู่!” จีเหยาฮั่วเอ่ย
อิ๋งเจ๋อมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ยืนขึ้น เดินออกไปข้างนอก “ข้าไปล่ะ”
“รอก่อน เจ้าจะไปไหน?” จีเหยาฮั่วรีบเอ่ย
“ในเมื่อเจ้าไม่เป็นอะไรแล้วก็ไม่มีความจำเป็นอะไรให้ข้าต้องอยู่ วันนี้เจ้าแพ้อย่างต่อเนื่องสองครั้ง เจ้าควรที่จะกลับไปฝึกฝน” อิ๋งเจ๋อหยุดเท้าแล้วเอ่ยกับเขา
ใบหน้าที่หล่อเหลาของจีเหยาฮั่วบิดเบี้ยว เขาทุบกำปั้นลงบนเตียงและกัดฟันเอ่ยว่า “สมควรตาย ข้ากลับแม้แต่ใครตีก็ไม่รู้แม้แต่ใบหน้าก็ยังจำไม่ได้!”
คำพูดนี้ของเขาทำให้นัยน์ตาของอิ๋งเจ๋อเผยความสงสัยออกมา เอ่ยด้วยนํ้าเสียงที่ดูเย็นชาว่า “ข้าก็จำไม่ได้ ชัดเจนว่ามองเห็นแต่กลับจำไม่ได้นี่แปลกจริงๆ”
“ข้าบอกแล้ว! คนๆ นั้นแปลกมาก! ข้าคิดว่าเขาจะต้องมาแก้แค้นให้มู่ชิงเกอแน่ๆ!” จีเหยาฮั่วได้ยินคำพูดของอิ๋งเจ๋อแล้วนัยน์ตาก็เปล่งประกายขึ้นมา
แต่หลังจากเขาพูดออกไป อิ๋งเจ๋อกลับหันมามองเขา สายตาเปลี่ยนแล้วเอ่ยว่า “อย่าได้เอาทุกๆ เรื่องไปเกี่ยวกับเขาหมด”
มุมปากของจีเหยาฮั่วกระตุก โมโหอิ๋งเจ๋อเอ่ยว่า “เพ้ย เจ้าชอบเจ้าเด็กคนนั้นเกินไปแล้ว”
อิ๋งเจ๋อเอ่ยเสียงเย็น “ข้าเคยพูดแล้วว่า เขาเป็นคู่มือของข้า”
ทิ้งไว้คำหนึ่งแล้ว อิ๋งเจ๋อก็เดินออกไปจากกระโจมของจีเหยาฮั่ว
จีเหยาฮั่วคิดจะตะโกนเรียกเขา ทันใดนั้นท่าทีก็เปลี่ยนไป ร่างกายเจ็บปวดขึ้น ทั้งยังทำให้เขาพลิกตัวกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง
ลำดับสองแห่งทำเนียบชิงอิงมาตอนนี้กลับมีสภาพทุลักทุเลอย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน!
รอจนถึงตอนที่มู่ชิงเกอปรากฎตัวต่อหน้าทุกคนพระจันทร์ก็ขึ้นสู่ฟ้าแล้ว นางสีหน้าดำทะมึนนวดๆ เอว เดินออกมาจากกระโจมหลัก ตะโกนออกไปว่า “โย่วเหอ ฮวาเยวี่ย เจ้านายของเจ้าหิวแล้ว! ”
สมควรตาย นางพ่ายแพ้ภายใต้เงื้อมมือของชายผู้นั้นอีกแล้ว!
พลังฟื้นฟูของนางแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่พันพลังที่เหลือล้นของใครบางคน ที่เปรียบเหมือนกับเครื่องจักร!
สวรรค์รู้ดีว่าเขาใช้ชีวิตอย่างมังกรโดดเดี่ยวมาหมื่นล้านปีนั้นเป็นอย่างไร?
มู่ชิงเกอบ่นในใจ
เมื่อได้ยินเสียงของมู่ชิงเกอ โย่วเหอก็รีบจัดเตรียมอาหารในทันที แล้วก็ถือเข้ามา วางไว้บนโต๊ะภายในกระโจมหลัก
เมื่อมองเห็นอาหารมากมาย มู่ชิงเกอก็รีบกลืนลงท้องในทันที
ท่าทางเหมือนกับไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน
โย่วเหอมองนางอย่างตกตะลึง ครู่ใหญ่ถึงได้สติกลับคืนมา เอ่ยเตือนมู่ชิงเกอว่า “คุณชาย นี่ยังมีส่วนของใต้เท้าด้วย”
มู่ชิงเกอชะงัก ทันใดนั้นก็เอ่ยอย่างแค้นเคืองว่า “ไม่ต้องสนใจเขา! คนผู้นั้นไม่จำเป็นต้องกินอะไรก็สามารถอยู่ได้” เพียงแต่ให้เขา…ชิ!
มู่ชิงเกอกัดเนื้อน่องไก่อย่างแค้นเคือง
ท่าทางที่ ดูบ้าคลั่งนั้นดูเหมือนกับถือเอาเนื้อในปากเป็นซือมั่วก็ไม่ปาน
โย่วเหอถูกท่าทางของของนางทำให้ตื่นตะลึงรีบถอยออกไปจากกระโจมหลัก
รอจนโย่วเหอเดินออกไปแล้ว สายลมก็พัดเข้ามา ใครบางคนนั่งลงข้างกายของมู่ชิงเกอ โอบนางเข้ามาไว้ในอ้อมอก ไม่ได้รังเกียจมือที่มันเยิ้มของนาง
“เป็นใครบอกว่าข้าไม่ต้องกินข้าวกัน?” นัยน์ตาสีอำพันของซือมั่วเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
มู่ชิงเกอยังมีอาหารเต็มอยู่ในปาก มองเขาอย่างเยียบเย็นเอ่ยว่า “เจ้ายังต้องกินอีกหรือ? อิ่มแล้วมาสู้กันอีกครั้งไหม?”
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ยินยอม ข้าก็พร้อมสนอง” นัยน์ตาของคนบางคนเปล่งประกายออกมา
อยู่ๆ ท่าทีของมู่ชิงเกอก็เปลี่ยนไป สองมือขวางที่ด้านหน้าของตนเองไว้ ดวงตาฉายแววตักเตือน “ข้าว่าข้าต้องคุยเรื่องๆ หนึ่งกับเจ้า เกี่ยวกับความถี่ของเรื่องบน เตียง!”
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์คิดจะยอมแพ้งั้นหรือ?” นัยน์ตาคู่นั้นของซือมั่วหรี่เล็กลง มุมปากเผยรอยยิ้มขมขื่นบางๆ
เมื่อได้ยินถึงคำว่า ‘ยอมแพ้’ นัยน์ตาของมู่ชิงเกอก็หรี่ลงอย่างอันตราย
นางหัวเราะเสียงเย็นออกมา ทิ้งน่องไก่ในมือ จับชายเสื้อของชายผู้นั้น หัวเราะอย่างบ้าคลั่งเอ่ยว่า “ในพจนานุกรมของข้าไม่มีคำว่ายอมแพ้!”
“อ้อ?” ซือมั่วขมวดคิ้วขึ้นมา
มู่ชิงเกอยิ้มเย็น ท้าทายว่า “ไป! ดูสิว่าใครจะแพ้”
วันที่สอง มู่ชิงเกอโผล่อออกมาต่อหน้าทุกคนอย่างสบายอารมณ์ หว่างคิ้วของนางเต็มไปด้วยความสุขที่ยากจะอธิบาย
ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อคืนหลังจากที่นางกระตุ้นซือมั่วแล้ว ก็แกล้งทิ้งเขาเอาไว้คนเดียว ส่วนตัวเองเข้าไปหลบในช่องว่างอย่างสบายใจ!
เป็นความรู้สึกที่เหมือนพลิกกลับ!
วันนี้ตอนเช้าเมื่อออกมาจากช่องว่าง แล้วสบสายตาที่ขมขื่นของซือมั่วแล้วนางก็รู้สึกว่าตัวเองได้ชัยชนะ
‘ดูสิว่าเขายังจะกล้าดีต่อหน้านางอีกไหม!’ มู่ชิงเกอหัวเราะในใจ
มู่ชิงเกอที่อารมณ์ดีให้คนเอาเก้าอี้โยกออกมาวางไว้นอกกระโจม วางไว้บนแท่นด้านนอก แล้วก็จัดวางผลไม้ของว่าง เอนหลังนอนลงมองดูองครักษ์เขี้ยวมังกรฝึก ซ้อมอย่างสบายใจ
พวกเซวี่ยนขุยไม่กี่คน ยังคงทำตามที่นางชี้แนะ ฝึกซ้อมการลอบยิงระยะไกล
พัฒนาการของพวกเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
พรุ่งนี้เข้าไปในเทือกเขาซางหลานจะเป็นการฝึกซ้อมรบในสนามจริงของพวกเขา!
สำหรับการแสดงฝีมือของเซวี่ยนขุยนั้นเป็นสิ่งที่มู่ชิงเกอคาดหวัง
“คุณชาย ผู้อาวุโสสามแห่งตระกูลซางมาขอพบที่หน้าประตู” ทันใดนั้นมั่วหยางก็มาที่ด้านหน้าของแท่น รายงานต่อมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอเก็บท่าทีผ่อนคลาย ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้โยก นัยน์ตาฉายแวววาววาบ
มาแล้วจริงๆ!
มู่ชิงเกอหันกายไปทางกระโจมหลัก สั่งการกับมั่วหยางว่า “พาพวกเขาเข้ามา”
มั่วหยางรับคำสั่งออกไป
ไม่นาน มั่วหยางก็นำผู้อาวุโสสามและคนอื่นๆ เดินเข้ามาในกระโจมหลัก
ภายในกระโจม คนที่นงตำแหน่งประธานก็คือมู่ชิงเกอ ซ้ายขวาของนางเป็นไป๋สี่และหยินเฉิน ด้านหลังของนางก็มีสาวใช้ทั้งสี่
โย่วเหอ ฮวาเยวี่ย เสวี่ยหยา เซวี่ยนหย่า
“คุณชาย คนพามาแล้ว” มั่วหยางเอ่ยรายงาน
มู่ชิงเกอพยักหน้า มั่วหยางเดินไปด้านขวาของมู่ชิงเกอยืนตรงกอดกระบี่
คนที่ยืนอยู่ในกระโจมหลัก นอกจากผู้อาวุโสสามแล้วยังมีซางเสวี่ยอู่และซางอี้เฉินสองพี่น้อง นอกจากพวกเขา แล้วก็ยังมีคุณหนูและคุณชายตระกูลซางอีกสองคน เพียงแต่มู่ชิงเกอไม่ได้รู้จักพวกเขาเท่านั้น บรรยากาศที่กระจายอออกมาทำให้คนไม่อาจคาดเดาถึงท่าทีของมู่ชิงเกอได้
ผู้อาวุโสสามกำลังลังเลว่าจะเอ่ยปากอย่างไรดี ก็ได้ยินมู่ชิงเกอที่นั่งอยู่ตำแหน่งประธานเอ่ยปากขึ้น “ผู้อาวุโสสามซางเชิญนั่ง”
ผู้อาวุโสสามพยักหน้า เดินไปนั่งยังตำแหน่งที่มู่ชิงเกอชี้ไป
พวกซางเสวี่ยอู่สี่คนก็ไปยืนอยู่ด้านหลังเขา
นางกับซางอี้เฉินทำตามมารยาท ไม่ได้มองไปรอบๆ หนึ่งก็เพราะกระโจมหลักนี้พวกเขาเคยมาแล้วครั้งหนึ่ง ไม่ได้สนใจในการประดับตกแต่งของกระโจมอีก สองก็ คือพวกเขาไม่อยากขายหน้าต่อหน้าพี่สาวที่พวกตนเองเคารพนับถือ
ส่วนซางจื่อหลันกับซางเหย่นั้นกลับไม่เหมือนกัน ทั้งสองคนเข้ามาก็มองไปรอบด้านอย่างสนใจ ทั้งยังกล้าดีไปจ้องมองพวกมู่ชิงเกอ
ผู้อาวุโสสามไอออกมาคำหนึ่งห้ามปรามการเสียมารยาทของพวกเขาทั้งสอง
เดิมทีเขาคิดที่จะนำเฉพาะซางเสวี่ยอู่และซางอี้เฉินมา แต่ว่ากลับไปพบซางจื่อหลันกับซางเหย่ก่อนออกเดินทาง พวกเขาก็ทำท่าจะเป็นจะตายอยากตามมาด้วย
“ผู้อาวุโสสามมาค่ายเขี้ยวมังกรมีเรื่องอะไรงั้นหรือ?” มู่ชิงเกอเอ่ยปากท่าทางดูจริงจัง
ผู้อาวุโสสามยิ้มๆ โบกมือ บนพื้นปรากฎยุทธภัณฑ์ชั้นสมบัติสามชิ้นออกมา “ไม่ปิดบังคุณชายมู่ ครั้งนี้ที่ข้ามา ก็เพราะคิดจะรบกวนเขี้ยวมังกรเรื่องหนึ่ง พรุ่งนี้เป็นวันเข้าสู่เทือกเขาซางหลาน แต่ก่อนก็มีตระกูลมากมายที่รบกวนหลิวเค่อให้คิษย์ในตระกูลตนเองมีโอกาสได้เข้าเทือกเขาซางหลานไปฝึกฝนด้วย ดังนั้นครั้งนี้ข้าคิดอยากจะรบกวนเขี้ยวมังกรพาศิษย์รุ่นเยาว์ของตระกูลซางเข้าเทือกเขา คุ้มครองให้พวกเขาปลอดภัย ยุทธภัณฑ์ชั้นสมบัติสามชิ้นนี้เป็นของตอบแทนในการรบกวนครั้งนี้”
ยุทธภัณฑ์ชั้นสมบัติสามชิ้นที่ตระกูลซางหลอมขึ้นมา หากว่าเสนอขายภายนอกอย่างน้อยหนึ่งชิ้นก็ต้องใช้ศิลาวิญญาณระดับกลาง 100 ก้อนในการแลกเปลี่ยน
ส่วนสามชิ้นอย่างน้อยก็ต้องใช้ศิลาวิญญาณระดับกลาง ถึง 300 ก้อนขึ้นไป
ตระกูลซางเสนอราคาออกมาเช่นนี้ก็นับว่าไม่ถูกแล้ว
หากว่าเปลี่ยนเป็นกองกำลังหลิวเค่อกองอื่นๆ เกรงว่าคงจะพยักหน้าไปนานแล้ว
แต่ว่านี่คือเขี้ยวมังกร ยุทธภัณฑ์ของเขี้ยวมังกรทุกคนล้วนแต่เป็นมู่ชิงเกอหลอมเองขึ้นมากับมือ ตอนที่อยู่ในหลินชวนก็ได้หลอมใหม่เป็นยุทธภัณฑ์ชั้นสมบัติแล้ว ดังนั้นในตอนนี้ที่ผู้อาวุโสสามเสนอยุทธภัณฑ์ชั้นสมบัติสามชิ้นออกมา มู่ชิงเกอจึงไม่ได้สนใจจะมองสักนิด
ไม่ต้องพูดว่านาง แม้แต่พวกมั่วหยางก็ไม่สนใจมอง
ท่าทาของพวกเขาดูเฉยเมย ขาดความสนใจทำให้ผู้อาวุโสสามรู้สึกกระดากใจเล็กน้อย
ซางจื่อหลันเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “พวกเจ้านี่มีท่าทีอย่างไรกัน? พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่ายุทธภัณฑ์ของตระกูลซางของพวกเราที่ด้านนอกนั้นยากที่จะมีได้? ยุทธภัณฑ์ชั้น สมบัติสามชิ้นก็ถือว่าให้เกียรติพวกเจ้าแล้ว”
คำพูดของนางแต่เดิมก็หยาบคาย แต่ก่อนมีความรู้สึกดีต่อมู่ชิงเกอ แต่ในตอนที่เห็นท่าทีที่เขามีต่อยุทธภัณฑ์ของตระกูลซางแล้ว ทุกอย่างก็กลายเป็นหายไป
“ยุทธภัณฑ์ของตระกูลซางดีมากงั้นหรือ?” คำพูดของซางจื่อหลันทำให้มั่วหยางโต้กลับไปอย่างเย็นชาหนึ่งประโยค
แต่ไหนแต่ไรมาเขาโต้เถียงกับคนน้อยมาก ครั้งนี้ทีเอ่ยปากออกมาเพราะว่าไม่พอใจในท่าทีของซางจื่อหลันผู้นี้มาก!
“เจ้าพูดอะไร!”
“พวกขนมปังดิน!”
ประชดประชัดซางจื่อหลันและซางเหย่
แม้ว่าตระกูลซางจะตกตํ่าแล้ว แต่ในสายตาของพวกเขาก็ยังคงเป็นตระกูลบรรพกาลที่สูงส่งอยู่ เป็นคนที่มีสายเลือดอัจฉริยะ ไม่เหมือนกันกับสายเลือดของตระกูลอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นเพียงหลิวเค่อที่ไม่มีตระกูลด้วยแล้ว?
ท่าทีของคนทั้งสองทำให้สีหน้าของซางเสวี่ยอู่และซางอี้เฉินเปลี่ยนไป สีหน้าดำทะมึนขึ้น
พวกเขาได้ตระกูลซางเลี้ยงดูมานั้นไม่ผิด แต่ว่าเผชิญหน้ากับพี่สาวของตนเอง พวกเขาก็ยังคงเลือกฝั่งมู่ชิงเกอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ออกเสียงโต้เถียงนั้นเป็นซางจื่อหลันและซางเหย่ที่ไม่ลงรอยกับพวกนาง
“หุบปาก ที่นี่มีส่วนให้พวกเจ้าได้พูดด้วยงั้นหรือ?” ผู้อาวุสามตะคอกออกมา
เขาไม่หวังให้ซางจื่อหลันและซางเหย่ทำลายแผนการในใจของเขา
คิดอยากจะเลือกหลิวเค่อคุ้มครองรุ่นหลังในตระกูลนั้น จะเลือกกองกำลังหลิวเค่อกองไหนก็ได้ แต่ที่เลือกเขี้ยวมังกรก็เพราะหวังจะให้มู่ชิงเกอกับซางเสวี่ยอู่มีโอกาสทำความรู้จักกัน เพียงแค่ทั้งสองชอบพอกัน อาศัยชื่อเสียงในตอนนี้ของมู่ชิงเกอ แล้วก็ยังมีเขี้ยวมังกร สำหรับตระกูลซางแล้วก็เป็นการสนับสนุนครั้งใหญ่!
แน่นอนว่าเขาจะไม่บีบบังคับให้ซางเสวี่ยอู่ไปใกล้ชิดกับคนที่นางไม่พอใจ แต่เป็นเพราะมองเห็นว่าความรู้สึกที่ซางเสวี่ยอู่มีให้กับมู่ชิงเกอนั้นไม่ธรรมดา เขาถึงได้ทำเช่นนี้
“ผู้อาวุโสซาง ยุทธภัณฑ์ชั้นสมบัติสามชิ้นขอเชิญเอากลับไปเถอะ” มู่ชิงเกอเอ่ยปากแล้ว ส่วนคำพูดของนางกลับทำให้คนตระกูลซางทั้งห้าตกตะลึง
ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสสาม แล้วก็ยังมีซางเสวี่ยอู่สองพี่น้อง แล้วก็พวกซางจื่อหลันสองคนก็ล้วนแต่มีความคิดเดียวกันว่า
มู่ชิงเกอปฏิเสธแล้ว!