Skip to content

พลิกปฐพี 274

ตอนที่ 274

ของๆ เขี้ยวมังกรก็กล้าแย่ง!

หลินชวนส่งข่าวมา!

ประโยคนี้ทำให้นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววตื่นเต้นขึ้น นางยกมือขึ้นคว้าก้อนแสงขนาดเท่าดวงตามังกรลูกนั้น ห้านิ้วกำแน่นคลุมแสงของมัน

จากนั้น นางก็หันมองออกไปรอบด้าน ทุกคนล้วนแต่กำลังหลับอยู่ที่เดิม ไม่ได้ถูกปลุกให้ตื่น นางกับซือมั่วหันกายออกจากพื้นที่ค่าย เดินไปยังที่ๆ ค่อนข้างเงียบสงบ

หลังเดินไปไกลและมั่นใจว่าไม่มีคนอื่นแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้ปล่อยมือ ให้ก้อนแสงนั้นลอยออกมา ก้อนแสงไม่ได้ลอยไปไกล แต่กลับทรงตัวอยู่ตรงหน้าของมู่ชิงเกอ จากนั้น ก้อนแสงก็สว่างวาบ กลายเป็นเงาร่างคนเปล่งแสง ปรากฎอยู่ตรงหน้าของนาง

เงาร่างที่ดูเหมือนจริงนั้นทำเอาดวงตาของมู่ชิงเกอหดตัวลง หลุดเสียงไปว่า “ท่านปู่!”

เงาร่างที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าของนางก็คือมู่ซงที่อยู่ไกลถึงตระกูลมู่แคว้นฉินที่หลินชวน

“เกอเอ๋อร์” คิดถึงปู่ไหม?” เงาร่างคนเอ่ยออกมาในทันใด ดูเหมือนกับว่าองเห็นมู่ชิงเกอตรงหน้าของเขา

“ชิงเกอคิดถึงท่านปู่แล้ว” มู่ชิงเกอพึมพำออกมา

ตอนไม่พบบางทีอาจจะยังไม่คิด แต่ในตอนนี้ ‘มู่ซง’ ดูเหมือนกับยืนอยู่ตรงหน้า นางกลับรู้สึกว่าตนเองนั้นคิดถึงบ้านแล้ว

ในหัวของนาง ฉายภาพในหลินชวนในแคว้นฉิน ภาพของบรรดาเหล่ามิตรสหาย

“เกอเอ๋อร์ ลำบากเจ้าแล้ว” ‘มู่ซง’ ถอนหายใจออกมา หลานสาวของเขาออกจากบ้านไป ห่างไกลญาติพี่น้อง ส่วนเขากลับไม่สามารถคอยให้ท้ายนางเหมือนดังเช่นในอดีตได้ จุดนี้ทำให้มู่ซงเป็นกังวลใจมาตลอด

“เกอเอ๋อร์มีบางครั้งปู่ก็เคยคิดว่า หากว่ารู้ก่อนว่าเจ้าต้องเผชิญความลำบากมากขนาดนี้ ต้องรับผิดชอบมากมายขนาดนี้ ข้าขอเลี้ยงเจ้าให้เป็นคนเสเพลให้เจ้าใช้ ชีวิตปลอดภัยไร้กังวลไปตลอดชีวิตจะดีกว่า” ‘มู่ซง’ ถอนหายใจเอ่ย

นี่ไม่ใช่ภาพลวงตา แต่เป็นความจริง ในตอนที่มู่ชิงเกอยังไม่ใช่มู่ชิงเกอนั้น เขาก็ทำทุกอย่างเพื่อ ‘หลานชาย’ เพียงคนเดียว จัดวางทางถอยไว้หมด แม้ว่าจะต้องเสียสละทั้งตระกูลมู่ก็ต้องคุ้มครองนางให้ปลอดภัย

ถ้าหากว่ามู่ซงไม่จริงใจต่อนาง ก็คงจะไม่ได้ใจจริงของนางกลับไป

คำพูดของ ‘มู่ซง’ ทำให้มู่ชิงเกอหัวเราะ รู้ดีว่ามู่ซงไม่ได้ยินสิ่งที่ตนเองพูด แต่นางก็ยังเอ่ยเสียงเบาว่า “ทางที่หลานเลือกเอง ถึงแม้ว่าจะลำบากก็ต้องเดินต่อไป ท่าน

ปูยอมให้ข้าเสเพล แต่เป็นตัวข้าเองไม่ยินยอม”

‘มู่ซง’ ถอนหายใจ ภายในอารมณ์แฝงด้วยความตื่นเต้น มู่ชิงเกอมองเห็นมือที่เขาซ่อนไว้ในแขนเสื้อที่เหมือนกำลังสั่นอยู่ “เกอเอ๋อร์ ข่าวที่เจ้าส่งมานั้นข้าได้รับแล้ว หลังจากได้รับแล้ว หลายวันมานี้จิตใจของข้าว้าวุ่นยิ่งนัก การตายของเหลียนเฉิงผ่านไปตั้งหลายปีแล้ว จนข้าเองก็ปล่อยวางได้นานแล้ว หากพบเจอแม่ของเจ้า ฝากบอกนางด้วยว่า 19 ปีแล้ว สมควรปล่อยวางได้แล้ว คนก็ได้ตายไปแล้ว ให้นางอย่าได้ดื้อดึงอีก ต้องดูแลสุขภาพร่างกายของตนเอง คนตายไม่อาจฟื้นคืน ปู่ ก็ไม่อยากให้ใครต้องลำบากเพราะเรื่องการตายของพ่อเจ้า โดยเฉพาะเจ้า ยังมีอีกอย่าง บอกนางว่า ข้ารู้ว่าที่นางจากไปในครั้งก่อนนั้นไม่ใช่ความตั้งใจของนาง ดัง นั้นข้าจึงไม่โทษนาง อีกอย่าง นางยังให้กำเนิดสมบัติลํ้าค่าให้แก่ตระกูลมู่ของพวกเราอีก เรื่องนี้ก็ถือได้ว่าทำคุณให้แก่ตระกูลมู่มากแล้ว ยังมี…,

‘มู่ซง’ เม้มปากนิ่งเงียบ

ดูเหมือนว่าเป็นเพราะจิตใจตื่นเต้นจนเกินไป ทำให้เขาพูดได้ไม่ดีนัก ต้องหยุดพักสักครู่ หลังจากสงบจิตใจแล้ว จึงพูดขึ้นอีก

คำพูดของมู่ซง ทำให้ในใจของมู่ชิงเกอรู้สึกขมขื่นขึ้นมา แล้วก็เกิดความอบอุ่นในใจ ความใจกว้างเช่นท่านปู่นั้น นางไม่อาจทำได้ ตระกูลมู่ที่ตกตํ่ามา 19 ปีล้วนแต่ได้เขาประคับประคองมาอย่างยากลำบาก

ไม่ว่าใครก็อย่าลืมว่ามู่ซงในเวลานั้นประสบกับความเจ็บปวดจากการสูญเสียภรรยาและสูญเสียลูก อีกทั้งคนที่ตายยังเป็นบุตรชายทั้งสองคน เหลือไว้แต่บุตรสาวคนเดียว

สำหรับมู่เหลียนหรงแล้ว ที่สูญเสียไปไม่ได้เพียงเฉพาะมารดาแต่ยังมีพี่ชายที่ตนเองถือเป็นแบบอย่าง และพี่ชายคนรองที่เกิดมาพร้อมกับตนเอง

ด้งนั้นพูดได้ว่า สามคนที่ถูกทิ้งไว้ในตระกูลมู่หลินชวน พึ่งพาอาศัยซึ่งกัน ช่วยเหลือสนับสนุนกันฝ่าฟันผ่าน ความเจ็บปวดและความยากลำบากมา

“…เกอเอ๋อร์ก็เป็นพี่สาวแล้ว ท่านอาของเจ้าก็มอบน้องชายให้แก่เจ้า น่ารักน่าชังมาก ซุกซนเป็นที่หนึ่ง รอเจ้ากลับมาต้องจัดการเขาให้ดี เจ้ารู้หรือไม่ว่า ในวัน เวลาปกติที่ลูกพี่ลูกน้องเจ้าก่อความวุ่นวาย ท่านอาของเจ้าไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ได้เอาชื่อของเจ้ามาขู่เขา จนทำให้เขากลัวเจ้าตั้งแต่เด็ก อา ใช่แล้ว ลูกพี่ลูกน้องของเจ้า คนนี้ชื่อว่าเซวี่ยชิงเสียง’’ ‘มู่ซง’ เอ่ยขึ้นมาอีก แต่ที่พูดกลับเป็นเรื่องของท่านอา

มู่ชิงเกอหัวเราะออกมาอย่างหมดทางเลือก

คิดไม่ถึงว่าตัวเองยังมีความสามารถเป็น ‘ตัวร้าย’ อีก ถือเป็นความดีของท่านอาจริงๆ!

ภาพลักษณ์อันรุ่งโรจน์ของนาง เกรงว่าเมื่ออยู่ในจิตนาการของลูกพี่ลูกน้องคนเล็กของนางก็คงจะกลายเป็นภาพของนางปีศาจแล้ว

“เซวี่ยชิงเสียง เป็นชื่อที่ไม่เลว” มู่ชิงเกอพึมพำ

นางรู้สึกได้ว่า เดิมท่านปู่อยากจะพูดเรื่องของน้องชาย น้องสาวแท้ๆ ของนางคู่นั้น แต่เมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปาก กลับเปลี่ยนเป็นการแนะนำลูกพี่ลูกน้องของนางแทน

‘มู่ซง’ หยุดลงอีกครั้ง ครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “ใช่แล้ว เกอเอ๋อร์ เพื่อนสองสามคนของเจ้ามาตระกูลมู่ เยี่ยมข้า พวกเขาบอกว่าจะไปโลกแห่งยุคกลางดูเจ้า

แทนข้า พวกเขานับว่ามีนํ้าใจนัก”

เพื่อนสองสามคน!

หัวใจของมู่ชิงเกอหวั่นไหว คิดไปถึงเหมยจื่อจ้ง จ้าวหนานชิง ซางจื่อซู จูหลิง สี่คน ตอนที่อยู่ในโรงโอสถสาขาย่อยนั้น พวกเขาพูดกันอย่างดีว่าจะท่องเที่ยวรอบ โลก ออกมาจากหลินชวนด้วยกัน

ตอนนี้ นางมาก่อน ส่วนพวกเขาเตรียมตัวที่จะมาหานาง แล้วงั้นหรือ ?

เมื่อคิดไปถึงเพื่อนเก่า ในใจของมู่ชิงเกอก็ตื่นเต้นขึ้นมา

‘ปู่’ พูดถึงเรื่องราวของหลินชวน เรื่องของแคว้นฉิน เรื่องของตระกูลมู่ แล้วก็ยังมีเรื่องของเจ้าอ้วนแซ่เซ่า… เจ้าอ้วนแซ่เซ่าได้แต่งงานแล้ว แต่งคุณหนูในห้องหอของลั่วตูผู้หนึ่ง นี่เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของมู่ชิงเกอเป็นอย่างมาก

นางรู้สึกสงสัยว่าเป็นผู้หญิงอย่างไรกันแน่ที่สามารถทำให้เจ้าอ้วนแซ่เซ่าละทิ้งความเจ้าชู้ชอบออกไปเที่ยวข้างนอกได้

พูดถึงช่วงสุดท้าย ‘ปู่’ หาอะไรจะมาพูดไม่ได้อีกแล้ว ถึงได้ถามออกมาว่า “เกอเอ๋อร์ น้องชายน้องสาวของเจ้า พวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง? ดูคล้ายพ่อของเจ้าหรือ ไม่? หรือว่าดูคล้ายแม่ของเจ้า? อา ข้าเลอะเลือนไปเอง ตอนที่พ่อแม่เจ้าจากไป เจ้ายังเล็กอยู่ จะไปจดจำใบหน้าของพวกเขาได้อย่างไร? เกอเอ๋อร์พวกเขาเป็น เลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลมู่ เป็นพี่น้องท้องเดียวกันกับเจ้า เจ้าที่เป็นพี่สาวต้องจัดการทุกอย่างให้ดี อย่าให้พวกเขาทำเรื่องอะไรที่จะทำให้ตระกูลมู่เสียหน้าได้ หาก สมควรตีสมควรด่าก็ไม่ต้องสนใจ มีปู่ที่จะสนับสนุนเจ้าอยู่ หากมีโอกาส…หากว่ามีโอกาส ก็ให้พวกเขามาหลินชวนสักครั้ง มาหาปู่คนนี้บ้าง”

“เกอเอ๋อร์ ปู่รู้ว่าในใจของเจ้ายังโกรธเคืองอยู่ ก็ขอให้แล้วๆ ไปเสียเถอะ คนตระกูลมู่ของพวกเราไม่ใช่คนใจแคบ จะพูดอย่างไรนางก็เป็นแม่ของเจ้า หากว่าเจ้ายังโกรธไม่หาย ก็รอให้ปู่พบนางแล้วจะสั่งสอนนางให้เจ้าเองดีหรือไม่? ปู่รู้ดีว่าเจ้าเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตนเอง ปู่ก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว เจ้าอยากจะทำอย่างไรก็ทำได้ ปู่ไม่คาดหวังให้เจ้าทำให้ตนเองลำบากใจจนเกินไป ไม่อยากให้เจ้าทำให้ตนเองต้องลำบาก” มู่ซงเอ่ยโน้มน้าวใจ

นัยน์ตาของเขาฉายแววครุ่นคิด แล้วก็เอ่ยออกมาอีกว่า “ข้ายังจำได้ว่าตอนที่เจ้ามีอายุไม่กี่ขวบนั้น กลางดึกฝันร้ายตื่นขึ้นมา กอดท่านอาของเจ้าร้องไห้ ร้องหาแม่…”

‘มู่ซง’ ค่อยๆ หายไปแสงค่อยๆ กลายเป็นมืดทึบลง หายไปอย่างไร้ร่องรอย

มู่ชิงเกอยืนอยู่ที่เดิม รู้ว่าเป็นเพราะยันต์ส่งสารหมดพลัง

แล้ว

‘ท่านปู่ นั้นเป็นหลานสาวที่แท้จริงของท่าน ไม่ใช่ข้า’ มู่ชิงเกอลอบเอ่ยตอบประโยคสุดท้ายของมู่ซงในใจ

ความหมายของมู่ซงนั้นนางเข้าใจแล้ว ซางเสวี่ยอู่และซางอี้เฉินเป็นสายเลือดของตระกูลมู่ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องกลับคืนสู่ตระกูล กลายเป็นมู่เสวี่ยอู่ และมู่อี้เฉิน

สำหรับซางหลันรั่วนั้น มู่ซงไม่ตำหนินาง สำหรับเรื่องการจะฟื้นคืนชีพของมู่เหลียนเฉิงนั้นเขาก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร เพราะในตอนนี้ บุตรชายที่เขาภาคภูมิใจนั้นได้ตายไป 19 ปีแล้ว

เรื่องตายแล้วฟื้นคืนนั้น ดูเกินความจริงไป แม้ว่าในใจของเขาจะหวังให้บุตรชายฟื้น แต่ก็รู้ว่าสิ่งแลกเปลี่ยนนั้นมีไม่น้อย หากว่าต้องทำให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่สูญเสียอะไรไปเพื่อให้คนที่ตายไปแล้วคนเดียวฟื้นคืน เขายอมที่จะละทิ้งความหวังดีกว่า

คำพูดของเขา บอกทั้งซางหลันรั่วและมู่ชิงเกอ

ตอนนี้ในใจของเขานั้นมู่ชิงเกอคือสิ่งที่ลํ้าค่าที่สุด เขาไม่คาดหวังให้นางต้องเผชิญกับความลำบากใดๆ และก็ไม่คาดหวังให้นางต้องตกอยู่ในอันตรายเพียงเพราะเรื่องนี้ด้วย

แม้ว่ามู่ซงไม่ได้พูดอย่างชัดเจน แต่มู่ชิงเกอก็เข้าใจในความหมายอีกอย่างของเขา

ส่วนมู่ชิงเกอจะสามารถให้อภัยซางหลันรั่ว หรือรับนางเป็นแม่ได้หรือไม่นั้น เขาไม่ขอเข้ามายุ่งเกี่ยว เพียงแต่บอกกับมู่ชิงเกอไว้ว่า นางรํ่าร้องหาแม่ตั้งแต่เล็ก อย่าได้พลาดโอกาสเพียงเพราะความขุ่นเคือง

ดังนั้น มู่ชิงเกอถึงได้ลอบเอ่ยในใจประโยคนั้น ว่านางไม่ใช่มู่ชิงเกอที่ร่ำร้องหาแม่นางนั้น

ถ้าหากว่าเป็นมู่ชิงเกอตัวจริง เกรงว่าหลังจากความขุ่นเคืองนั้นหมดไปก็จะให้อภัยแม่ของตนเอง รอคอยความรักจากแม่ที่ไม่ได้รับในวัยเด็ก

แต่นางก็เป็นเพียงวิญญาณจากต่างโลกที่เข้ามาแทนที่เท่านั้น

ไม่ได้คาดหวังอะไรจากซางหลันรั่ว ยิ่งไม่ได้คิดถึง

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม” ความเงียบของมู่ชิงเกอ ทำให้ซือมั่วเป็นห่วง

มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมองเขา เอ่ยด้วยท่าทีที่แปลกประหลาดว่า “เจ้าไม่เคยบอกข้าว่ายันต์ส่งสารนั้นส่งสารด้วยวิธีเช่นนี้มาก่อน”

“…” ซือมั่วเงียบไป เขาไม่เข้าใจว่า ใจความหลัก คืออะไร?

มู่ชิงเกอกลับไล่ต้อนเขา กัดฟันเอ่ยว่า “ข้าจำได้ว่าตอนที่ข้าส่งข่าวให้ท่านปู่นั้น ข้าเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ ผมเผ้ากระจัดกระจาย ส่วนเจ้าก็นั่งอยู่ข้างกายข้าด้วยเสื้อผ้าที่ดูไม่เรียบร้อย”

สมควรตาย! ถึงแม้ว่าในคืนนั้นพวกเขาจะมีความสัมพันธ์เช่นนั้น แต่ว่าในตอนที่ส่งข่าวนั้น นางยังคงเป็นสาวบริสุทธิ์ที่ยังไม่แต่งงานอยู่

หากว่าท่านปู่มองเห็นภาพนั้นแล้วจะคิดอย่างไร?

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์…” ซือมั่วกะพริบตา รู้สึกอดสูอยู่บ้าง นัยน์ตาคู่นั้นของมู่ชิงเกอจ้องมาพร้อมกับไอสังหาร “เสี่ยวเกอเอ๋อร์วางใจได้ เรื่องของพวกเรานั้นเป็นเรื่องที่รู้กันดีไปทั่วทั้งหลินชวนแล้ว ไม่มีใครกล้าหัวเราะเยาะเจ้าหรอก”

ซือมั่วอธิบายแบบนี้ ไม่สู้อย่าอธิบายเสียดีกว่า

มู่ชิงเกอกระตุกริมฝีปาก พุ่งหมัดเข้าไปที่เบ้าตาของซือมั่ว

ซือมั่วไม่หลบหลีก ยอมรับหมัดนี้

“ฮึ” มู่ชิงเกอหันกาย เชิดหน้าเดินออกไป ไม่สนใจชายเจ้าเล่ห์ผู้นี้อีก

วันที่สองยามเช้าตรู่ มู่ชิงเกอพาซางเสวี่ยอู่และซางอี้เฉิน เรียกตัวมาอีกทาง

“ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะกลับไปยังหลินชวนสักครั้ง” คำพูดของนาง ไม่ได้มีท่าทีของการปรึกษา ยิ่งไม่ได้มอบทางเลือกให้แก่พวกเขาเหมือนดั่งมู่ซง

ในเมื่อนางยังสามารถเดินทางมายังโลกแห่งยุคกลางได้ ให้พวกเขาทั้งสองคนเดินทางไปหลินชวนจะมีอะไรยากกัน?

ซางเสวี่ยอู่และซางอี้เฉินถูกประโยคนี้ทำให้ตกตะลึงไป พวกเขาสบตากับแวบหนึ่ง แล้วก็หันมองมู่ชิงเกอพร้อมกัน

มู่ชิงเกอหันหน้าไปเผชิญหน้ากับพวกเขา เอ่ยแบบไม่ยอมให้ตอบโต้กลับว่า “หนึ่งปี ข้าให้เวลาพวกเจ้าหนึ่งปี ไม่ว่าพวกเจ้าจะใช้วิธีไหน จะต้องกลับไปพบท่านปู่ที่ตระกูลมู่หลินชวนให้ได้ อีกอย่างแซ่ของพวกเจ้าก็ต้องเปลี่ยนไปใช้แซ่ของบิดา ก่อนที่ข้าจะออกจากหลินชวนนั้น ท่านปู่ได้มอบตำแหน่งประมุขตระกูลมู่ให้ข้าแล้ว ถ้าหากว่าพวกเจ้าสามารถทำตามคำที่ข้าร้องขอได้แล้ว ข้าถึงจะอนุญาตให้พวกเจ้าเข้าเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลได้ ถ้าหากว่าทำไม่ได้ ต่อไปพวกเจ้ากับตระกูลมู่ของข้าก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก”

คำสั่งนี้ไม่ใช่การปรึกษาหารือ

มู่ชิงเกอนั้นแข็งกร้าวมาโดยตลอด นางมองออกว่าในใจของทั้งสองคนนั้นมีตระกูลมู่อยู่ ดังนั้นถึงได้เสนอโอกาสเช่นนี้ออกมา ถ้าหากว่าในใจของทั้งสองคนนั้นไม่มีตระกูลมู่ มีเพียงแต่ตระกูลซาง นางก็คงไม่บอกมู่ซงถึงเรื่องการคงอยู่ของสองคนนี้ จะได้ไม่ต้องทำให้เขาผิดหวัง

“ลูกพี่ ท่านได้ติดต่อกับท่านปู่แล้วหรือ? สามารถให้พวกเราพูดคุยกับท่านปู่สักหน่อยได้หรือไม่?” ซางเสวี่ยอู่เข้าใจในทันที

การกำชับเตือนของนางทำให้ซางอี้เฉินก็ตื่นเต้นขึ้นมา ถ้าหากพูดว่าพี่สาวคนโตเช่นมู่ชิงเกอเป็นแบบอย่างใหม่ของพวกเขา เช่นนั้นมู่ซงภายในภาพความทรงจำวัยเด็กของพวกเขาก็คือตัวตนที่มีภาพลักษณ์อันรุ่งโรจน์จากคำพูดของท่านแม่

สำหรับวีรบุรุษแห่งสนามรบผู้จงรักภักดีต่อชาติบ้านเมืองผู้นี้ ซางอี้เฉินรู้สึกภาคภูมิใจมากที่ได้เป็นหลานชายของเขา

ท่าทีของมู่ชิงเกอเรียบเฉย ภายใต้ความตื่นเต้นของทั้งสองคน เอ่ยว่า “ทำตามคำขอของข้าให้ได้แล้วพวกเจ้าก็จะได้พบเอง”

“แต่ แต่ว่าประตูมิติของตระกูลซางเสียหาย ไม่สามารถใช้งานได้อีก ผู้อาวุโสในตระกูลก็ไม่อาจเปิดประตูมิติไปยังหลินชวนให้พวกเราได้อีก พวกเราจะกลับไปได้อย่างไร?” ซางอี้เฉินรีบถาม

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ มองไปทางซางอี้เฉิน คำพูดของเขาดึงดูดความสนใจของนาง

“พวกเจ้าไม่รู้จักทะเลแห่งทุกข์กับทะเลทรายท่องวิญญาณงั้นหรือ?” มู่ชิงเกอหรี่ตาถาม

ซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินสบตากันแวบหนึ่ง มองมู่ชิงเกอแล้วส่ายหน้าเบาๆ

มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เม้มริมฝีปากเงียบไป

ทะเลแห่งทุกข์กับทะเลทรายท่องวิญญาณเชื่อมต่อกับโลกแห่งยุคกลาง จุดๆ นี้ในหลินชวน คนที่มีประสบการณ์หน่อยล้วนแต่รับรู้ แต่เหตุใดในโลกแห่งยุคกลาง การตอบสนองของซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินกลับดูเหมือนคนที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน?

‘เสี่ยวเกอเอ๋อร์ จากหลินชวนมาโลกแห่งยุคกลางกับระหว่างโลกแห่งยุคกลางไปหลินชวนนั้น ทะเลแห่งทุกข์กับทะเลทรายท่องวิญญาณมีแรงกดดันทางพลังจิตที่ ต่างกัน ถึงแม้ว่าคนในโลกแห่งยุคกลางก็สามารถใช้เส้นทางนั้นเดินทางไปยังหลินชวน แต่ว่าคนส่วนมากก็ไม่เลือกใช้วิธีที่สิ้นเปลืองเช่นนั้น ประตูมิติหรือเส้นทางที่เปิดขึ้นชั่วคราวถึงจะเป็นวิธีที่คนในโลกแห่งยุคกลางใช้เดินทางไปมาระหว่างหลินชวนกัน’ เสียงของซือมั่วดังขึ้น ในหัวของมู่ชิงเกอ

‘เป็นเช่นนี้นี่เอง!’ มู่ชิงเกอเข้าใจขึ้นมา

บางทีความยากลำบากในการเดินทางจากโลกแห่งยุคกลางไปจนถึงหลินชวนอาจจะยากขึ้นหลายเท่า ตามที่ทุกคนในโลกแห่งยุคกลางรับรู้ สิ้นเปลืองกำลังกับเวลา ไปถิ่นที่ทุรกันดารนั้นเป็นเรื่องที่ไม่คุ้ม

ดังนั้น วิธีการนี้จึงถูกคนละเลยจนทำให้คนรุ่นหลังไม่รู้เรื่องราว

“ต้องการไปยังหลินชวนไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากใคร” มู่ชิงเกอเอ่ยกับทั้งสองคน

เห็นท่าทางที่ดูจริงจังของทั้งสองคนแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้เอ่ยว่า “ใต้สุดของภาคใต้มีทะเล ผ่านทะเลนั้นไปก็จะสามารถไปถึงแคว้นกู่วู่แผ่นดินหลินชวนได้”

นี่เป็นเส้นทางที่นางใช้เดินทางและก็เป็นเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุด

เผ่าอี๋และเผ่าปีศาจในทะเลแห่งทุกข์ก็มีความสัมพันธ์กับนาง ขอเพียงมีของต่างหน้าจากนาง คิดจะผ่านทะเลไปก็ไม่ยาก เพียงแต่ต้องเตรียมพร้อมรับมือการโจมตีจากสัตว์อสูรวิญญาณในทะเลเท่านั้น

อีกอย่างอาศัยพลังของคนแห่งโลกยุคกลางต่อกรกับสัตว์อสูรวิญญาณในทะเลเหล่านั้นก็ถือว่าเกินพอ

หากเข้าไปในแคว้นกู่วู่ได้ นั้นยิ่งหากไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมายอะไร เมื่อหาเจียงหลีพบ นางก็สามารถส่งพวกเขาไปยังตระกูลมู่แคว้นฉินได้อย่างปลอดภัยแล้ว

นี่เป็นเส้นทางที่ปลอดภัยมากที่สุด สิ่งที่สูญเสียก็มีเพียงแค่เวลากับความตั้งใจก็เท่านั้น

ถ้าหากว่าพวกเขาไม่มีแม้แต่ความตั้งใจและความกล้า เช่นนั้นยังจะถามถึงเรื่องกลับคืนสู่ตระกูลมู่อีกทำไม?

“จริงหรือ?! ดีจริง! ข้ายังคิดว่าต้องตามหาประตูมิติเสียอีกถึงจะสามารถไปยังหลินชวนได้” ซางอี้เฉินเอ่ยอย่างตื่นเต้น

ซางเสวี่ยอู่ก็เผยรอยยิ้มออกมา เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ลูกพี่ ในเมื่อมีทาง พวกเราก็สามารถเดินทางกลับได้แล้ว รอเสร็จเรื่องราวที่นี่แล้ว พวกเรากลับไปเมืองฝูซาพบท่านแม่บอกนางถึงเรื่องราวทั้งหมดแล้วก็จะรีบเดินทางกลับไปยังหลินชวนทันที”

“ตอนที่ออกเดินทาง พวกเราก็จะขอท่านตาให้พวกเรากลับไปใช้แซ่มู่ ต่อไปข้าก็จะชื่อว่ามู่อี้เฉินแล้ว!” ซางอี้เฉินก็รีบเอ่ยต่อ

“ท่านตา?” มู่ชิงเกอหรี่ตาเอ่ย

ซางอี้เฉินพยักหน้าเอ่ยว่า “ใช่แล้ว ท่านตาของพวกเรา ก็เป็นท่านตาของลูกพี่เช่นเดียวกัน เป็นประมุขตระกูลซางคนปัจจุบัน”

ที่แท้ซางหลันรั่วเป็นบุตรสาวของประมุขตระกูลซางนี่เอง มิน่าคนของตระกูลซางถึงได้พยายามอย่างหนักเพื่อหาตัวนางและพาตัวนางกลับมาตระกูลซาง

ในใจของมู่ชิงเกอเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย

“เดิมที ข้าตั้งใจจะให้เวลาพวกเจ้าเพียงหนึ่งปี แต่หากไปตามเส้นทางที่ข้าพูด ออกจากฝั่งทะเลภาคใต้ไปถึงแคว้นกู่วู่ หลินชวน ใช้เวลาประมาณหนึ่งปี ดังนั้นข้าจะ ขยายเวลาให้พวกเจ้าอีกครึ่งปี เพียงพอให้พวกเจ้าเดินทางจากแคว้นกู่วู่ไปแคว้นฉิน ไปถึงตระกูลมู่ได้” มู่ชิงเกอเอ่ยกับทั้งสองคน

นางยืนยันจะให้ทั้งสองคนกลับไปหลินชวน เพียงเพราะประโยคนั้นของท่านปู่ ที่หวังว่าหลานทั้งสองที่ยังไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนจะมีโอกาสได้กลับคืนสู่ตระกูลมู่ในหลินชวน

ดังนั้นนางจึงสร้างเงื่อนไขนี้ขึ้นมา

ถ้าหากว่าพวกเขาสามารถทำได้ น้องชาย น้องสาวนี้นางก็จะยอมรับ

ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เติบโตขึ้นมาด้วยกัน แต่เมื่อได้รับสถานะนี้แล้ว นางก็จะยอมรับภาระของความเป็นพี่สาวคนโต

ถ้าหากว่าพวกเขาทำไม่ได้ เช่นนั้นซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินก็ไม่สามารถมายุ่งวุ่นวายกับนางได้อีก ต่อไปก็ถือว่าเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน

หลังจากมอบภารกิจเสร็จแล้ว มู่ชิงเกอก็ออกคำสั่งจ เดินทางไปยังทะเลสาบอั้นยวน

เพียงแต่ครั้งนี้ มู่ชิงเกอไม่ได้ให้ใครตามไป เพียงแต่สั่งให้คนอื่นๆ ไปรวมตัวกับพวกมั่วหยาง นางกับซือมั่วสองคนไปที่ทะเลสาบอั้นยวนก็เพียงพอแล้ว

“พลังฝึกปรือของมังกรกระดูกสองเศียรถึงระดับสีทองชั้นสามแล้ว ตอนที่ต่อสู้นั้นก็ระวังตัวด้วย” ซือมั่วเอ่ยเตือนระหว่างทาง

มู่ชิงเกอกลับยิ้มหวานเอ่ยว่า “หากต่อสู้ไม่ได้ ไม่ใช่ว่ายังมีเจ้าอยู่หรือ?”

ซือมั่วชะงัก ยิ้มอย่างอบอุ่นเอ่ยว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ ข้าชอบความรู้สึกที่เจ้าพึ่งพาข้าเช่นนี้”

มู่ชิงเกอกลับถอนหายใจ ส่ายหน้าอย่างไม่พอใจ “เจ้า คอยคุ้มครองอยู่ข้างกายข้าทำให้ข้าเปลี่ยนเป็นเฉื่อยชาแล้ว หากว่าเป็นเมื่อก่อน หากว่าพบเจอกับศัตรูที่แข็ง แกร่งเช่นนี้ ข้าก็จะครุ่นคิดหาแผนการต่อกรกับศัตรู แต่ว่าตอนนี้ เจ้าดูสิ ข้าไม่ได้คิดอะไรเลย เพียงแต่คิดว่าต่อสู้ไม่ได้ก็ยังมีเจ้า”

“เช่นนั้นไม่ดีหรืออย่างไร?” ซือมั่วเอ่ยยิ้มๆ

มู่ชิงเกอส่ายหน้า “ไม่ดี ข้าจะสูญเสียจิตวิญญาณการต่อสู้ไป”

ประโยคนี้ของนางแฝงไว้ด้วยความจริงจัง

ซือมั่วกลับปวดใจเอ่ยว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ เวลาที่มีข้าอยู่ เจ้าพึ่งพาข้าเสียหน่อย ปล่อยวางบ้าง”

“แต่ว่าเจ้ายังบาดเจ็บอยู่” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเอ่ย

ซือมั่วกลับหัวเราะเบาๆ เอ่ยว่า “โห่วที่อยู่ระดับสีทองขั้นสูงสุดยังไม่ใช่คู่มือของข้า แล้วกับแค่มังกรกระดูกสองเศียรระดับสีทองขั้นสามตัวเดียวจะขนาดไหนกัน เชียว? เสี่ยวเกอเอ๋อร์ สามีของเจ้าแข็งแกร่งมาก”

มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มออกมา เชยคางที่สมบูรณ์แบบของเขาขึ้น มองดูแล้วเอ่ยว่า “อืม เช่นนั้นข้าก็ขอพึ่งเจ้าแล้ว”

“พึ่งได้อย่างสบายใจเถอะ” ซือมั่วมองนาง นัยน์ตาสีอำพันทอประกายอ่อนโยน

มีซือมั่วนำทาง ทั้งสองไปถึงบริเวณใกล้ทะเลสาบอั้นยวนได้อย่างสบายๆ

ซือมั่วดูคุ้นเคยกับเทือกเขาซางหลานมาก ทำให้มู่ชิงเกอแปลกใจ ส่วนเขากลับตอบมาประโยคหนึ่งว่า ‘นานมาแล้วก่อนหน้าเคยผ่านมาครั้งหนึ่ง’

นานมาแล้ว เขาไม่ได้พูดอย่างชัดเจน แต่ว่ามู่ชิงเกอก็เดาว่าน่าจะประมาณเป็นพันปี หรือไม่ก็หมื่นปี ใครให้อายุของซือมั่วเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดาละ?

“เจ้าเข้าไปก่อน ตีนํ้าแล้วมันก็จะปรากฎตัวออกมาเอง รอเจ้าต่อสู้พอแล้ว ไม่อยากจะเล่นแล้วค่อยเรียกข้าไป” ซือมั่วเอ่ยกับมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอมองเขาด้วยท่าทางทีแปลกประหลาด “เจ้าทำเรื่องลึกลับอะไรอีก?”

ซือมั่วกลับยิ้มอย่างมีลับลมคมนัยขึ้นมา ไม่ได้อธิบาย

ช่วยไม่ได้ มู่ชิงเกอทำได้เพียงเข้าไปก่อน

ผ่านป่าผืนเล็กเข้าไป มู่ชิงเกอก็ได้ยินเสียงนํ้า ดูเหมือนว่าจะเป็นเสียงนํ้าตกจากที่สูง เมื่อเดินไปตามเสียงนํ้าก็พบว่าใต้น้ำตกมีแอ่งนํ้าสีดำอยู่

แอ่งนํ้าดูขุ่นมองไม่เห็นก้น แต่กลับสงบเงียบมาก นอกจากนํ้าที่สาดกระจายจากนํ้าตกแล้ว บริเวณรอบๆ ก็ดูสงบเงียบมากเหมือนกระจก

มือขวาของมู่ชิงเกอเกิดแสงวาบขึ้นมา ทวนหลิงหลงถูกนางกุมไว้ในมือ

นางค่อยๆ เข้าไปใกล้กับทะเลสาบอั้นยวนอย่างระมัดระวัง ดูอย่างละเอียด จากนั้นค่อยทำตามที่ซือมั่วบอก

มู่ชิงเกอสะกิดเท้า กระโดดขึ้นกลางอากาศ ชูทวนหลิงหลง กลับหัวกลับหาง ยื่นปลายทวนเข้าไปในแอ่งนํ้า ส่งพลังจิตเข้าไปรบกวน

หลังจากนางปล่อยพลัง แอ่งนํ้าที่สงบนิ่งก็เกิดนํ้าวนขึ้นมา แอ่งนํ้าดูขุ่นและมืดมากขึ้นเรื่อยๆ

“โฮก!”

ใต้แอ่งนํ้า มีเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดของสัตว์อสูรดังขึ้น

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววเหยียบเย็น สะบัดทวนหลิงหลง ร่างกายพลิกกลับไปด้านหลัง ตกลงไปอยู่ข้างทะเลสาบอั้นยวน

ในตอนที่สองเท้าของนางสัมผัสกับพื้นดินนั้น บนผิวทะเลสาบอั้นยวนที่ถูกรบกวนก็เกิดแท่งนํ้าพุ่งสูงขึ้นมา อสูรร้ายบรรพกาลยักษ์ตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากแอ่งนํ้า ปรากฎอยู่ตรงหน้าของมู่ชิงเกอ

สัตว์อสูรตัวนี้ รูปร่างเหมือนงูยักษ์ แต่กลับมีหัวสองหัว ตัวยาวร้อยจั้ง ร่างกายที่เผยออกมานอกผิวน้ำ มีเพียงแค่ความยาวหนึ่งในสาม ร่างกายทั้งหมดสร้างขึ้น จากกระดูก ผิวหนังบางใส ทำให้สามารถมองเห็นอวัยวะภายในและเลือดที่ไหลเวียนได้อย่างชัดเจน

สี่ตาบนสองหัวใหญ่เท่ากับระฆัง พวกมันมีสีแดงเข้ม ฉายแววอำมหิต บนยอดหัวยังมีเขาสีทองและสีเงินอยู่ ดูแหลมคมมาก

“มังกรกระดูกสองเศียร!” มู่ชิงเกอเอ่ยเสียงเบา มือที่กุมทวนหลิงหลง ก็อดกำแน่นขึ้นไม่ได้

ความตึงเครียดที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนปรากฎขึ้นในใจของนาง ความตึงเครียดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะหวาดกลัว แต่เป็นเพราะความตื่นเต้น ความตื่นเต้นที่จะได้สู้กับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง!

หากเป็นมนุษย์ที่อยู่ระดับสีทองชั้นสามเช่นเดียวกัน เมื่ออยู่ต่อหน้ามังกรกระดูกสองเศียร ก็คงจะทำได้แค่ถูกทับเท่านั้น!

พลังกดดันที่มาจากเผ่าสัตว์อสูร สำหรับนางแล้วนี่เป็น

การฝึกซ้อมตนเองที่ดี!

“วันนี้ก็ให้ข้าได้ลองถึงความแข็งแกร่งของเจ้าหน่อยแล้วกัน!” มู่ชิงเกอยิ้มขึ้น สะบัดทวนหลิงหลง วาดเป็นแสงสีเงิน นางพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ เข้าไปเผชิญหน้ากับมังกรกระดูกสองเศียร

ร่างอันใหญ่โตของมังกรกระดูกสองเศียรสำหรับมู่ชิงเกอแล้ว สิ่งที่ได้เปรียบมากที่สุดก็คือท่าก้าวที่คล่องแคล่วของนาง นางสามารถออกท่าการโจมตีได้ก่อนที่มังกรกระดูกสองเศียรจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง

เงาทวนดุจดั่งสายฟ้า เร็วจนมองไม่เห็นเงาร่างของมู่ชิงเกอ

สองหัวของมังกรกระดูกสองเศียรก็เริ่มโจมตี ไล่ล่ามู่ชิงเกอ แต่ก็ไร้ประโยชน์ การโจมตีแต่ละครั้งล้วนแต่ไม่สำเร็จ

ภายใต้ความโมโห มันคำรามออกมา กระดูกในร่างพุ่งออก พุ่งแทงไปที่มู่ชิงเกอ กระดูกแหลมพุ่งมาอย่างหนาแน่นดุจดั่งลูกศร พุ่งเข้ามาหามู่ชิงเกอ นางยื่นมือของนางไปจับที่กึ่งกลางของทวนและเหวี่ยงหมุนมันอย่างรวดเร็วปัดป้องการโจมตีของกระดูก

กระดูกที่ถูกปัดป้องเหล่านั้น พุ่งเฉียดผ่านข้างกายของนางไป ปะทะเข้าไปยังต้นไม้ก้อนหินทำให้แตกกระจุย

‘แข็งแกร่งมาก!’ มู่ชิงเกอชื่นชมในใจ

พลังโจมตีของมังกรกระดูกสองเศียรนั้นสมคำร่ำลือจริงๆ!

เพียงแค่แท่งกระดูก ก็คมและมีพลังมากถึงขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงกระดูกในส่วนอื่นๆ ของมันเลย

การโจมตีล้มเหลว มังกรกระดูกสองเศียรคำรามออกมาด้วยความโมโห สั่นสะท้านไปทั่วทั้งภูเขาและป่าไม้ แท่งกระดูกที่ลอยออกไปลอยกลับคืนมากลับเข้าสู่ร่างกายของมันอีกครั้ง

ตอนนี้ มู่ชิงเกอสังเกตไปถึงเขาสีทองและสีเงินบนหัวของมันที่เปล่งแสงออกมา พลังจิตที่เข้มข้น กลายเป็นใบมีดแสงจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งกระหนํ่าเข้ามาที่นาง

มู่ชิงเกอใช้ท่าก้าวดาราก่อกำเนิดหลบไปมาไม่หยุด แต่ก็ยังคงทุลักทุเลอยู่ดี

ไม่นาน ชุดบนร่างของนางก็ปรากฎร่องรอยฉีกขาด

”กร๊าซ!”

พลังกดดันที่รุนแรงสายหนึ่ง กดลงมาจากฟ้า กดลงมาบนไหล่ของมู่ชิงเกอ กดนางลงมาจากอากาศ สองเท้าฝังลงไปในพื้นดิน ดินขึ้นมาถึงเข่า

เหงื่อเย็นจากด้านหลังของกระดูกสันหลังซึมจนเสื้อผ้าของมู่ชิงเกอเปียกชื้น สีหน้าของนางขาวซีด ฝืนเงยหน้าขึ้นมา มองไปยังมังกรกระดูกสองเศียรด้วยนัยน์ตาที่แดงฉาน

‘แรงกดดันจากระดับสีทอง!’

แรงกดดันอย่างฉับพลันทำให้นางรู้ได้ในทันทีว่ากำลังเผชิญกับอะไรอยู่

ภายในดวงตาทั้งสี่ของมังกรกระดูกสองเศียรฉายแววเยาะเย้ย

สายตาที่มองมู่ชิงเกอดูเหมือนกับกำลังมองมดปลวกก็ไม่ปาน

‘ที่แท้เมื่ออยู่ภายใต้แรงกดดันจากระดับสีทองนางก็ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะขัดขืน’ มู่ชิงเกอกัดฟันแน่น เจ็บปวดขึ้นมา นางรู้สึกได้ว่ากระดูกในร่างของนางเกิดเสียงดัง ‘แครก’ ขึ้น กล้ามเนื้อหมือนกำลังถูกบีบ ทำให้เกิดความเจ็บปวดเหมือนกำลังฉีกขาด เลือดไหลเวียนช้าลง แม้แต่พลังจิตก็ถูกกดลงไปในจุดตันเถียน ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้

ในวินาทีนั้น มู่ชิงเกอรู้สึกว่าตนเองเป็นหุ่นยนต์ที่สามารถรู้สึกถึงความเจ็บปวด

ปึด!’

เสียงดังเบาๆ นั้นคือเส้นเลือดที่ระเบิดออก พลังกดดันบนร่างของมู่ชิงเกอได้เข้าใกล้ขีดสุดที่สามารถทนได้ของนางแล้ว

อามั่ว!” มู่ชิงเกอพูดชื่อที่ทำให้นางสบายใจออกมาอย่างยากลำบาก เสียงนั้นเบามาก แต่นางก็มั่นใจว่าซือมั่วจะต้องได้ยินถึงเสียงเรียกของนาง

เสียงของนางดังออกไป กระดิ่งสีทองที่หว่างเอวก็ดังขึ้นเองโดยไร้ลมพัด เสียงกระดิ่งที่ดังขึ้นมา ทำให้แรงกดดันรอบด้านสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย

จากนั้นมู่ชิงเกอก็ถูกม้วนเข้าอ้อมอกที่นางคุ้นเคย

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์” ซือมั่วพึมพำอย่างปวดใจที่ข้างหู

มู่ชิงเกอยิ้มอย่างขมขื่น พิงอกเขาพร้อมกับเอ่ยว่า “ข้าสู้มันไม่ได้”

นํ้าเสียงดูเหมือนจะหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ไม่มีความรู้สึกยอมแพ้

“ไม่เป็นไร ข้าช่วยเจ้าต่อสู้เอง’’ ซือมั่วเอ่ยปลอบใจเล็กน้อย เงยหน้ามองมังกรกระดูกสองเศียร เอ่ยด้วยนํ้าเสียงที่ดูเย็นชาสูงส่งว่า “มังกรกระดูกสองเศียร เจ้ายัง จำข้าได้หรือไม่?”

มังกรกระดูกสองเศียรที่แข็งแกร่งทั้งยังใช้พลังบีบคั้นคนในเมื่อครู่ หลังจากที่ได้ยินเสียงของซือมั่วแล้ว ร่างกายก็สั่นสะท้านขึ้น สองหัวรีบก้มตํ่าลงมา เอ่ยด้วยนํ้าเสียงที่ดูเคารพบูชาว่า “ใต้เท้า เป็นท่าน!”

เพราะว่ามีสองหัว ดังนั้นเมื่อมันพูดขึ้นมาจึงมีสองเสียง ดูเหมือนเป็นการเน้นเสียง

‘ซือมั่วรู้จักมังกรกระดูกสองเศียรงั้นหรือ?’

การพูดคุย ระหว่างหนึ่งคนและหนึ่งสัตว์อสูรทำให้มู่ชิงเกอเงยหน้า

มองซือมั่วด้วยความแปลกใจ

ซือมั่วกลับไม่ได้อธิบาย แต่นัยน์ตาเรียบสงบกลับมองไปยังมังกรกระดูกสองเศียรเอ่ยว่า “เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า ติดค้างอะไรข้าไว้?”

“ติดค้างหนึ่งชีวิตให้ใต้เท้า” มังกรกระดูกสองเศียรเอ่ยอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว

“ดีมาก” ซือมั่วเลิกคิ้วขึ้น “เช่นนั้นจะให้ข้าลงมือหรือว่าเจ้าจะลงมือเอง?”

“ไม่กล้ารบกวนใต้เท้า”

คำตอบของมังกรกระดูกสองเศียรทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกเหนือความคาดหมาย นางกวาดตามองไปยังร่างของมังกรกระดูกสองเศียร เห็นเพียงร่างของมันถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศอึมครึม สองหัวมองมาที่มู่ชิงเกออย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าคำรามยาวออกมาเสียงหนึ่ง

”กร๊าซ—–!”

เสียงนี้สั่นสะเทือนไปทั้งป่าเขา แม้แต่แผ่นดินก็สั่นสะเทือนและม้วนเกิดเป็นลมกรรโชกขึ้น

หูของมู่ชิงเกอเจ็บปวดเหมือนโดนเจาะ

ซือมั่วปิดหูของนางเอาไว้ ปกป้องนางเข้ามาไว้ในอ้อมอก นัยน์ตาฉายแววแข็งกร้าวเอ่ยว่า “บังอาจ!

คำสั้นๆ เพียงสองคำกลับทำให้มังกรกระดูกสองเศียรเหมือนกับถูกสายฟ้าฟาด หลังจากนั้น มู่ชิงเกอก็ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นอย่างรุนแรง นางเงยหน้าขึ้นมาจากอ้อมอกของซือมั่วก็มองเห็นฉากที่มังกรกระดูกสองเศียรระเบิดหัวใจของตนเอง

หัวใจที่เต้นนั้นกระโดดออกมาจากร่างกายของมัน ระเบิดออกไปรอบทิศกลายเป็นหยดเลือด

มังกรกระดูกสองเศียรกรีดร้อง ตกลงมาจากกลางอากาศ กระแทกลงบนชายฝั่ง

มู่ชิงเกอชะงักมองร่างของมังกรกระดูกสองเศียร ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ในใจรู้สึกไม่ดี จุดมุ่งหมายของนางก็คือฆ่ามังกรกระดูกสองเศียร แต่ว่าในตอนนี้ร่างของมังกร กระดูกสองเศียรก็นอนอยู่ตรงหน้าของนาง แต่นางกลับรู้สึกพูดไม่ออก

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์อย่าได้คิดมาก พันปีก่อนข้าผ่านมาทางนี้เคยช่วยชีวิตของมันครั้งหนึ่ง พันปีมานี้ มันก็ยังคงไม่อาจทะลวงระดับได้ แม้ว่าวันนี้จะไม่ตาย ก็จะยังเหลือเวลามีชีวิตอีกแค่ร้อยปีเท่านั้น ข้าให้มันใช้ชีวิตมาเป็นพันปีแล้ว ตอนนี้กลับมาเอาชีวิตของมันก็ไม่ถือว่าติดค้างมัน” ซือมั่วเห็นมู่ชิงเกอไม่พูดก็เอ่ยอธิบายออกมา

มู่ชิงเกอถอนหายใจออกมา มองซือมั่วแล้วเอ่ยว่า “ข้าเข้าใจ เพียงแต่ถ้าหากว่ามันถูกข้าหรือเจ้าฆ่าตาย ข้าคงจะรู้สึกดีกว่านี้”

ตอนที่เห็นมังกรกระดูกสองเศียรฆ่าตัวตายนั้น ทำให้นางรู้สึกเหมือนวีรบุรุษถูกบีบบังคับจนตาย

แน่นอนว่ามังกรกระดูกสองเศียรนั้นไม่อาจเป็นวีรบุรุษได้ แต่ความรู้สึกที่ไร้ทางสู้เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้แข็งแกร่งนั้น กลับทำให้นางเข้าใจได้ชัดเจนถึงกฎของโลกใบนี้อย่างชัดเจน

ถ้าหากว่าวันนี้ซือมั่วไม่อยู่ นางได้ต่อสู้กับศัตรูเช่นนี้ จะต้องโดนพลังกดดันบีบเหมือนกันใช่หรือไม่ ทำให้ไม่อาจไม่ฆ่าตัวตายได้ใช่หรือไม่?

ต้องแข็งแกร่ง! ยังต้องแข็งแกร่งขึ้นอีก!

มู่ชิงเกอยืดกายขึ้น ความกล้าหาญพุ่งขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ กระตุ้นหัวใจที่ต้องการแข็งแกร่งขึ้นของนาง

“อามั่ว ข้ายังคงอ่อนแอเกินไป” มู่ชิงเกอเอ่ยกับซือมั่ว

ซือมั่วกลับยกมือขึ้นลูบหัวของนาง เอ่ยปลอบว่า “เสี่ย เกอเอ๋อร์ของข้าถือว่าร้ายกาจมากแล้ว”

อีกด้านหนึ่งของเทือกเขาซางหลาน มั่วหยางนำองครักษ์เขี้ยวมังกรเก็บกวาดสนามรบ

นี่เป็นวันที่เจ็ดแล้วที่พวกเขาเข้ามาในเทือกเขา องครักษ์เขี้ยวมังกรที่กระจายตัวออกไป ก็ได้กลับมารวมตัวกันแล้ว เตรียมตัวเดินทางกลับ

“พี่มั่วหยาง เหตุใดจึงต้องกลบรอยเลือดด้วย?” สองวันก่อน ซางอี้เฉินได้เข้ามารวมตัวกับพวกมั่วหยาง พุ่งตัวไปด้านหน้าของเขาเอ่ยถามด้วยสีหน้าที่ดูตื่นเต้น บนใบหน้าของมั่วหยางไม่ปรากฎอารมณ์ใดๆ เอ่ยตอบเขาว่า “คุ้นเคย”

อา…

ซางอี้เฉินถูกคำตอบนี้ทำให้ตกตะลึง ในใจรู้สึกว่ามั่วหยางแค่ตอบไปผ่านๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าเริ่มแรกที่องครักษ์เขี้ยวมังกรถูกก่อตั้งขึ้นนั้น มู่ชิงเกอได้ฝึกฝนพวกเขาให้เก็บกวาดจุดปะทะทุกครั้งที่เสร็จจากการต่อสู้’

การทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่สามารถทำลายร่องรอย แต่ยังสามารถลดการรับรู้ของศัตรูที่มีต่อตัวเองได้ด้วย

เพราะว่าคู่มือที่มีประสบการณ์สามารถคาดเดากำลัง จำนวนคนหรือว่าเทคนิคที่มีประสิทธิ์ภาพของอีกฝ่ายออกได้จากร่องรอยบนสนามรบ

นี้เป็นเหตุผลที่ถูกซ่อนเอาไว้ แน่นอนว่ามั่วหยางไม่ได้อธิบายอย่างละเอียดเช่นนั้น เพียงแต่ใช้คำง่ายๆ อธิบายไป ‘คุ้นเคย’ นี่เป็นความคุ้นเคยที่ซึมลึกถึงกระดูกขององครักษ์เขี้ยวมังกรจริงๆ มั่วหยางไม่ได้โกหก

ไม่ได้อยู่กับซางอี้เฉินต่อ มั่วหยางหันกายไปตรวจสอบการเก็บกวาด

สำหรับร่างของสัตว์อสูร เหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรก็ฝังไว้ที่ๆ มันตาย เพียงแต่ควักแก่นอสูรของพวกมันออกมา หากพบเจ้าสัตว์อสูรบางชนิดที่มีผิวหนังเปล่งประกาย ก็จะลอกหนังทั้งตัวเก็บไว้ เพื่อไว้ขายในเมืองในภายหลัง ซึ่งเป็นรายได้ที่ไม่น้อยเลยทีเดียว

“ที่นี่มีสัตว์อสูรตายเยอะขนาดนี้เชียว!”

บนพื้นมีร่างของสัตว์อสูรวิญญาณกองอยู่มากมาย มีบางส่วนที่อยู่ไกลออกไป องครักษ์เขี้ยวมังกรกลับมาเก็บไม่ทัน แต่กลับได้ยินเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น มาในทันใด ทุกคนหันไปมอง เห็นหญิงสาวที่ดูเหมือนว่าจะเป็นคุณหนูของตระกูลใหญ่ หยิบร่างของสัตว์อสูรปีกเดียวร่างหนึ่งขึ้นมาจากพื้น

มั่วหยางยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ซางอี้เฉินก็ร้องขึ้นมาว่า “เพ่ย ปล่อยมือนะ นั้นเป็นของของพวกเรา!”

คำพูดของเขาเพิ่งจะหลุดออกไป หญิงนางนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองเขา ส่วนเบื้องหลังของนางก็มีคนทยอยเดินเข้ามาเรื่อยๆ บนหน้าอกของพวกเขาล้วนแต่มี สัญลักษณ์ของกลุ่มๆ หนึ่ง

มั่วหยางกวาดตามองสัญลักษณ์นั้น นัยน์ตาลุ่มลึก เอ่ยด้วยนํ้าเสียงที่เรียบเฉยว่า “คนของร้อยอัคคี”

อีกฝ่ายกลับเป็นสามยักษใหญ่ ร้อยอัคคี!

การค้นพบนี้ทำให้มั่วหยางลอบระมัดระวังขึ้นมาในใจ

“จะเรียกว่าเป็นของๆ พวกเจ้าได้อย่างไร? นี่เป็นของที่ข้าเก็บขึ้นมาจากพื้น” ผู้หญิงคนนั้นน่าจะเป็นคุณหนูของตระกูลสักตระกูล มอบหมายให้ร้อยอัคคีพาเข้า เทือกเขาซางหลานเพื่อฝึกฝน เมื่อได้ยินคำพูดของซางอี้เฉิน ก็โต้เถียงอย่างหยิ่งผยองขึ้นมา

นัยน์ตาของมั่วหยางวาววาบเล็กน้อย กวาดตามองซางอี้เฉินแวบหนึ่ง แล้วก็หันมองไปยังอารมณ์เย้าแหย่บนสีหน้าของคนทางฝั่งร้อยอัคคี ไม่ได้แสดงอารมณ์ ความไม่เกรงกลัวของซางอี้เฉินพอดีเลยที่จะสามารถสอดแนมอีกฝ่ายได้

“เจ้ายังมียางอายอยู่หรือไม่? หากไม่ใช่พวกเราฆ่าแล้วมันจะมานอนตายเองต่อหน้าเจ้า แล้วถูกเจ้าเก็บขึ้นมาได้อย่างนั้นหรือ?” ซางอี้เฉินโต้เถียง ซางเสวี่ยอู่ยืนอยู่อีกทาง เห็นซางอี้เฉินและฝ่ายตรงข้ามเกิดความขัดแย้งกัน กำลังคิดจะเข้าไปขัดขวาง แต่ก็มองเห็นมั่วหยางกวาดตามองมาพอดี จึงอดไม่ได้ที่จะหยุดเท้า

ครุ่นคิดเล็กน้อย นางก็เดาได้ถึงความคิดของมั่วหยางคิดแล้ว นางก็เงียบลง ไม่ได้ไปห้ามการออกตัวของซางอี้เฉิน

นัยน์ตาของหญิงผู้นั้นฉายแววเกรี้ยวกราด ชี้มือมาทางซางอี้เฉินเอ่ยว่า “มันตายอยู่ตรงหน้าของข้า ก็คือของๆ ข้า เจ้าจะทำไม?”

“เจ้ามันไม่มีเหตุผล!” ซางอี้เฉินก็โมโหแล้ว

“เจ้ากล้าว่าข้าไม่มีเหตุผลงั้นหรือ? ดี! สัตว์อสูรปีกเดียวนี้ข้าต้องการแล้ว มีความสามารถเจ้าก็มาแย่งเอา!” หญิงคนนั้นเชิดคางขึ้นสูง ส่งสายตาท้าทายไปให้ ซางอี้เฉิน

พูดจบแล้วนางก็ถอยเข้าไปในกลุ่มคน ให้คนของร้อยอัคคีคุ้มครองนางไว้ภายใน

การเคลื่อนไหวนี้ก็สะท้อนให้เห็นถึงความเจ้าเล่ห์ของนาง

“เจ้า! หยิ่งผยอง เผด็จการ บ้าอำนาจ! บนโลกนี้มีผู้หญิงแบบเจ้าอยู่ได้อย่างไร!” ซางอี้เฉินเอ่ยขึ้นอย่างแค้นเคือง

พูดจบแล้ว เขาก็คิดจะพุ่งเข้าไปแย่งสัตว์อสูรปีกเดียวคืนมา

เพียงแต่ว่าในตอนที่พุ่งไปถึงข้างกายของมั่วหยางนั้นได้ถูกเขายกมือขึ้นขวางไว้

มั่วหยางมองไปยังคนทางฝังของร้อยอัคคี เอ่ยปากขึ้นว่า “คนของร้อยอัคคีคิดจะแย่งของของพวกเราเขี้ยวมังกรงั้นหรือ?”

คนทางฝั่งร้อยอัคคี มีคนเดินออกมาคนหนึ่ง ดูจากท่าทางของเขาแล้ว ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้นำของกลุ่มนี้ เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของมั่วหยาง เขาก็ยิ้มเล็กน้อย เอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “พวกเจ้าเขี้ยวมังกรอย่าได้เที่ยวมอบความผิดให้แก่พวกเราร้อยอัคคี พวกเรายังไม่ได้แตะต้องอะไรเลย ภารกิจของพวกเราก็คือคุ้มครองคุณหนูหมี่ฟางของตระกูลกง”

คำพูดของเขาทำให้กงหมี่ฟางที่ยืนอยู่ตรงกลางยิ่งได้ใจขึ้นมา

เมื่อก่อนตอนที่ได้ยินคำว่า ‘เขี้ยวมังกร’ นั้นท่าทีของนางก็ดูสับสนวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย ช่วงเวลาที่มาถึงทุ่งหญ้าอัสดงนั้น นางก็ได้ยินถึงชื่อเสียงของเขี้ยวมังกรแล้วก็ยังมีชื่อของมู่ชิงเกอ

แต่หลังจากที่ได้ยินคนของร้อยอัคคีพูดประโยคที่ไม่เกรงกลัวเช่นนี้ออกมาแล้ว นางก็คิดขึ้นมาได้ว่าหลิวเค่อที่ตระกูลของตนเองจ้างมาก็เป็นกองกำลังหลิวเค่อระดับนภาที่เก่าแก่ ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขี้ยวมังกร ชั่วขณะนั้นก็เกิดความมั่นใจขึ้นมา

คำพูดที่คนของร้อยอัคคีพูดขึ้นมานั้นแยกความรับผิดชอบออกอย่างชัดเจน

พูดให้ชัดเจนก็คือใช้คุณหนูตระกูลกงผู้นี้สร้างความลำบากให้แก่เขี้ยวมังกร น่าขบขันที่กงหมี่ฟางนั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลย ภารกิจของพวกเขาก็คือคุ้มครองนาง ส่วนนางก็เอาของๆ เขี้ยวมังกร นี่เป็นคนละเรื่องกัน

หากต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ เหตุผลนั้นก็ไม่ใช่ความผิดของร้อยอัคคี

คนของร้อยอัคคีคิดคำนวณได้ดี นัยน์ตาของมั่วหยางฉายแววลํ้าลึก เอ่ยกับผู้นำกลุ่มของร้อยอัคคีว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ให้นางส่งของออกมา หากไม่ส่งใครก็อย่าคิดจะจากไป”

หืม?

สีหน้าของผู้นำกลุ่มของร้อยอัคคีเปลี่ยนไปในทันที นัยน์ตาฉายแววอำมหิตมองไปยังมั่วหยาง บางทีเขาอาจจะคิดไม่ถึงว่ามั่วหยางจะเอ่ยตอบเช่นนี้ ดูเหมือนไม่ได้เกรงกลัวพวกเขาที่เป็นกองกำลังหลิวเค่อระดับนภาเช่นเดียวกัน ราวกับไม่ได้คิดว่าไม่ควรบาดหมางกันง่ายๆ เลยสักนิด

“เจ้ากำลังท้าทายข้าอย่างงั้นหรือ?” เมื่อในใจเกิดความไม่พอใจ นํ้าเสียงของเขาก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน

มั่วหยางกลับทำเพียงยกมือหนึ่งขึ้นอย่างเย็นชา องครักษ์เขี้ยวมังกรที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขาก็กระจายตัวออกทันที ล้อมบริเวณนี้ไว้อย่างรวดเร็ว

การเคลื่อนไหวของเขี้ยวมังกร ทำให้คนของร้อยอัคคีล้วนแต่ตกตะลึง ระวังตัวขึ้นมา ส่วนท่าทีที่ดูได้ใจของคุณหนูกงผู้นี้ก็หายไปในพริบตา ใบหน้าที่ถูกวาดขึ้นอย่างประณีตนั้นเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาในพริบตา

ซางอี้เฉินพลันมีท่าทีฮึกเหิมขึ้นมา ส่วนซางเสวี่ยอู่ก็มีสีหน้าที่เคร่งขรึมลง

“วันนี้ หากว่าปล่อยพวกเจ้าไป นั้นไม่ใช่ว่าเป็นการป่าวประกาศให้คนได้รู้ว่าของของพวกเราเขี้ยวมังกรใครก็สามารถแย่งได้หรือ?” คำพูดที่มั่วหยางเอ่ยออกมาได้ แสดงให้เห็นได้ชัดถึงความคิด

คิดจะจากไป ได้ เช่นนั้นก็วางสัตว์อสูรปีกเดียวลง ขอโทษแล้วไปซะ

ถ้าหากว่าไม่ยอม เช่นนั้นก็ใช้กำลังตัดสิน

ติดตามมู่ชิงเกอมานาน เขาก็ได้เรียนรู้ความแข็งแกร่งของมู่ชิงเกอมาด้วย แม้ว่าจะเผชิญกับคนที่มีพลังฝึกปรือเหนือกว่า เขาก็ไม่ยอมก้มหัว ยิ่งจะไม่แสดงถึงความอ่อนแอให้เห็น

ผู้นำกลุ่มของร้อยอัคคีเลิกคิ้วขึ้น สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นดูอำมหิต เขาเอ่ยถามเสียงเข้มว่า “พวกเจ้าเขี้ยวมังกร ต้องการเปิดศึกกับพวกเราร้อยอัคคีงั้นหรือ?”

เพียงแค่เริ่มต่อสู้ ก็หมายถึงว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองกลุ่มสิ้นสุดลงด้วย เขาไม่เชื่อว่าคนของอีกฝ่ายจะไม่สนใจในจุดนี้

“เป็นพวกเจ้าไม่ทำตามกฎก่อน วันนี้หากว่าเปลี่ยนบทบาทกัน เจ้าจะทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปล่อยข้าจากไปหรือไม่?” นัยน์ตาของมั่วหยางฉายแวววาววาบ เอ่ยถามเสียงเรียบ

คำถามนี้ทำให้อีกฝ่ายไร้คำพูดจะกล่าว

คำตอบก็คือไม่อย่างแน่นอน!

กล้าแย่งของของร้อยอัคคีก็คือ รนหาที่ตาย!

ถึงแม้ว่าเหตุผลจะชัดเจน แต่จะให้ก้มหัวไปเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าขายหน้ามาก

“คนที่เอาของของพวกเจ้าไป ไม่ใช่พวกเราร้อยอัคคี” บรรยากาศเริ่มตึงเครียด ผู้นำกลุ่มของร้อยอัคคีกลับยังคิดจะโต้แย้งและชี้แจงถึงความสัมพันธ์อีกครั้ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!