ตอนที่ 276
ชมดาวสุดพิเศษร่วมกัน ห่างไกลชั่วคราว
โฮก!
เสียงคำรามอันเกรี้ยวกราดดังขึ้นดุจดั่งสายฟ้าฟาด สะท้อนไปทั่วทั้งทุ่งหญ้าอัสดง
ความอหังการของโห่วครอบงำไปทั่วทั้งทุ่งหญ้าอัสดง เขาคำรามออกมาครั้งเดียวก็ทำให้คนหวาดกลัวสั่นสะท้านไปทั้งใจ แม้แต่คนที่อยู่บนเวทีอื่นๆ ก็ไม่อาจต่อสู้ ต่อไปตามปกติได้
ภายในค่ายของเขี้ยวมังกร ไป๋สี่มองเห็นฉากนี้แล้วก็หัวเราะจนเอวจะเคล็ด “คิดไม่ถึงว่าลูกพี่ท่านนั้นก็มีวันนี้ด้วย ชิงเกอยอดจริงๆ!”
มีโห่วอยู่บนเวที ใครจะสามารถท้าทายได้สำเร็จเล่า?
ที่สำคัญก็คือ อสูรร้ายบรรพกาลผู้ร้ายกาจ มาบัดนี้กลับถูกจัดเอาไว้บนเวที นี่ทำให้นางรู้สึกมีความสุข รู้สึกว่าความแค้นอะไรที่มีล้วนแต่ถูกชำระไปหมดสิ้น!
“ชิงเกอบอกไว้หรือไม่ว่าจะไปไหน?” หยินเฉินที่ยืนอยู่ข้างนางถามขึ้นมา
“ไม่ได้บอกไว้” ไป๋สี่เอ่ยตอบสั้นๆ ง่ายๆ แล้วก็กระตุกมุมปาก เอ่ยเยาะเย้ยว่า “มีท่านผู้นั้นอยู่ จะไปไหนพวกเราก็ไม่ต้องเป็นกังวล อีกอย่างตอนที่นางจะเดินทางก็ได้ มอบหมายภารกิจไว้ให้แล้วว่าที่นี่มอบให้มั่วหยางจัดการดูแล”
ได้ยินแล้ว หยินเฉินก็หันกายจากไป
ไป๋สี่ชะงักเอ่ยว่า “เจ้าจะไปไหน?”
หยินเฉินยืนนิ่งค่อยๆ หันหน้าไปเอ่ยกับนางว่า “ข้ารู้สึกว่าจะทะลวงระดับแล้ว” ทิ้งไว้ประโยคหนึ่งแล้วเขาก็หันกายจากไป ไป๋สี่กะพริบตามองเงาหลังของเขา ผ่านไปครู่หนึ่งก็ สบถออกมาคำหนึ่ง “มีอะไรน่าอวดกัน ที่จะทะลวงระดับนั้นไม่ได้มีแค่เจ้าเพียงคนเดียวเสียหน่อย”
พอมีนายท่านมั่วพาลอยไปในอากาศ มู่ชิงเกอมีเวลาว่างชมดูบรรยากาศกลางท้องฟ้า
เพียงแต่ว่า ความเร็วของนายท่านมั่วนั้นเร็วเกินไป ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศอย่างไร ภาพในตาของนางก็ดูเหมือนกับเป็นสายฟ้าแวบผ่าน แล้วก็หายไปไม่เห็นแม้เงา
“เมืองที่เจ้าพูดถึงนั้นห่างจากทุ่งหญ้าอัสดงแค่ไหน?” มู่ชิงเกอเงยหน้าเผชิญสายลมเอ่ยถามออกไป
ซือมั่วก้มหน้ามองนาง หัวเราะเบาๆ เอ่ยว่า “เจ้าช่างใจร้อนจริง แม้แต่เพียงไม่กี่วันก็รอไม่ได้ ต้องไปทันที ดีที่สถานที่แห่งนั้นไม่ไกลจากทุ่งหญ้าอัสดงสักเท่าไหร่”
“ไม่ไกลสักเท่าไหร่นี่สำหรับเจ้าหรือว่าสำหรับข้า?”มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเอ่ย
ความเร็วของพวกเขาทั้งสองคนไม่เหมือนกัน
ซือมั่วหัวเราะเอ่ยว่า “แม้ว่าจะเป็นองครักษ์เขี้ยวมังกรของเจ้าอยากจะไปถึงที่นั่น หากเดินก็ต้องการเพียงแค่ครึ่งเดือน หากว่าใช้อสูรเวหาก็ใช้เวลาประมาณหนึ่งถึง สองวันก็ถึง”
หนึ่งถึงสองวันงั้นหรือ? เช่นนั้นก็ยังดี
มู่ชิงเกอพยักหน้า เวลาช่วงนี้ ดูเหมือนว่านางจะต้องเคลื่อนไหวอยู่ในภาคตะวันตกตลอด อยู่ใกล้หน่อยก็จะสะดวกต่อการวางแผน
“ทิ้งพวกเขาไว้ที่ทุ่งหญ้าอัสดงเช่นนั้น เจ้าไม่เป็นกังวลหรือ?” ซือมั่วเอ่ยถามหยอกเย้า
มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างมั่นใจว่า “มีโห่วอยู่จะกังวลอะไร? เจ้าก็พูดแล้วว่า เขาในตอนนี้อยู่ระดับสีทองชั้นหก คนในทุ่งหญ้าอัสดง ใครจะเป็นคู่มือของเขาได้? อีกอย่าง ยังมีมั่วหยาง หยินเฉิน ไป๋สี่และคนอื่นๆ อยู่อีก คงเกิดเรื่องอะไรไม่ได้ งานล่าสัตว์ครั้งใหญ่ก็ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว แน่นอนว่าข้าไม่อาจจะสิ้นเปลืองเวลาโดยเปล่าประโยชน์ได้ ต้องรีบไปยังเป้าหมายต่อไป! เกิดว่าสถานที่ที่เจ้าพูดมาข้าไม่พอใจขึ้นมาละจะทำอย่างไร?”
ซือมั่วหัวเราะกับคำพูดของนาง เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนี้ ไม่สามารอดใจรอที่จะเห็นเมืองร้างนั่นได้จึงแอบหนีออกมา แต่ยังพูดให้ตัวเองดูมีเหตุผลที่หนักแน่น
“เสี่ยวเกอเออร์วางใจได้ สถานที่แห่งนั้นเจ้าจะต้องพอใจอย่างแน่นอน” ซือมั่วเอ่ยอย่างมั่นใจ
ซือมั่วพามู่ชิงเกอลอยไปในกลางอากาศครึ่งวัน ในที่สุดก็ไปลงที่กลางป่าทึบแห่งหนึ่ง
“ที่นี่งั้นหรือ?” มู่ชิงเกอกวาดมองไปรอบทิศอย่างแปลกใจ
ที่ไหนๆ ก็ล้วนแต่เป็นป่าไม้ ไหนเลยจะมีเมืองอะไร?
ซือมั่วอธิบายว่า “พื้นที่ที่เจ้ายืนอยู่เคยเป็นทางสายหลัก ถูกทิ้งร้างมาหลายปี จึงมีต้นไม้ใบหญ้าเกิดขึ้นตามธรรมชาติ”
มู่ชิงเกอมองเขาอย่างตะลึง สายตาตกไปอยู่ที่ต้นไม้แน่นหนาเหล่านั้น อดไม่ได้ที่จะถามออกไปว่า “เมืองนั่นถูกทิ้งไว้นานแค่ไหนกันแน่?”
ซือมั่วหลุบตาคิดคำนวณ แล้วก็ให้คำตอบที่ทำให้มู่ชิงเกอตะลึงต่อ “12,862 ปี”
ให้ตายเถอะ!
‘ผ่านไปตั้งหมื่นกว่าปีแล้ว ยังจะมีเมืองเหลืออยู่อีกหรือ?’ มู่ชิงเกอลอบเอ่ยในใจ
มุมปากของนางกระตุกขึ้นเอ่ยกับซือมั่วว่า “เจ้าคงจะไม่คิดจะให้ข้าสร้างเมืองใหม่ขึ้นบนพื้นที่ของเมืองเก่าใช่หรือไม่?”
เหอ เหอ นางไม่สนใจอยากจะเป็นสถาปนิกหรอกนะ
“ไม่จำเป็นต้องยากลำบากเช่นนั้น” ซือมั่วเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง
เขาจูงมือมู่ชิงเกอเดินเข้าไปในป่าลึกอย่างคุ้นชิน มู่ชิงเกอหมดทางเลือกได้แต่ปล่อยให้เขาลากเดินเข้าไป นางมองไปรอบด้าน มีต้นไม้ที่สูงตระหง่านเป็นจำนวนมาก บนลำต้นและพื้นดินถูกปกคลุมด้วยตะไคร่นํ้าสีเขียว เงยหน้ามองขึ้นไป กิ่งก้านหนาทึบปกคลุมท้องฟ้า ทำให้แสงอาทิตย์ส่องลงมาได้แค่ช่องว่างระหว่างกิ่งไม้
เดินไปครู่หนึ่ง มู่ชิงเกอก็สังเกตไปเห็นข้างถนนมีหินแกะสลักตั้งอยู่ เพียงแต่บนนั้นก็มีตะไคร่นํ้าขึ้นเต็มไปหมด ของเหล่านี้แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าที่นี่มีคนอยู่ หรือเป็นอย่างที่ซือมั่วว่านี่เป็นเมืองใหญ่
“ถึงแล้ว” ทันใดนั้นซือมั่วก็เอ่ยขึ้นประโยคหนึ่ง
มู่ชิงเกอได้สติกลับคืน มองไปด้านหน้า
ด้านหน้าก็เป็นป่าไม้เช่นเดียวกัน เพียงแต่ดูเป็นระเบียบหน่อย ร่องรอยของถนนดูชัดเจนยิ่งขึ้น ใบไม้สีเขียวชอุ่ม ดวงอาทิตย์ส่องลงมาเป็นจุดๆ สุดสายตาดูเหมือนกับเป็นตาข่ายทองคำที่สร้างขึ้นจากแสงอาทิตย์ ปิดกั้นสายตาและก็แยกทุกอย่างออก
มู่ชิงเกอปล่อยมือซือมั่วแล้วค่อยๆ เดินไปข้างหน้าอย่างไม่รู้ตัว
ซือมั่วมองนาง แต่ก็ไม่ได้หามปราม เพียงแต่ตามนางไปเงียบๆ ริมฝีปากสีแดงเผยรอยยิ้มออกมา
ยิ่งเดินเข้าไปใกล้มากขึ้นเท่าไหร่ สายตาของมู่ชิงเกอยิ่งดูเหมือนถูกแสงอาทิตย์ปกคลุมไว้มากเท่านั้น ทั้งตัวคนก็ดูเหมือนกำลังอาบแสงอาทิตย์อยู่
ส่วนในสายตาของซือมั่ว ดูเหมือนว่านางเดินเข้าไปในแสงอาทิตย์แล้วเงาร่างเปลี่ยนเป็นดูคลุมเครือ แสงอันร้อนแรงทำให้มู่ชิงเกออดไม่ได้ที่จะต้องหลับตา ลง แต่ฝีเท้าของนางกลับไม่หยุดลงเลยแม้แต่น้อย ยังคงเดินต่อไปข้างหน้า ในตอนที่นางรู้สึกว่าตัวเองเดินเข้ามาด้านในของตาข่ายแสงอาทิตย์แล้ว ถึงได้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น…
ภาพที่มองเห็นตรงหน้าทำให้นางตกตะลึงจนชะงักอยู่ที่เดิม
ไกลออกไป เป็นเพราะว่ามีกลิ่นไอของมนุษย์เข้ามาบุกรุกจึงทำให้เหล่านกตกใจบินออกไป ทำลายความสงบของที่นี่
เมือง! เมืองที่ยอดเยี่ยมแห่งหนึ่ง!
เค้าโครงสีขาวเทาสะท้อนอยู่ในสายตาของมู่ชิงเกอ แม้ว่าเมืองจะถูกปกคลุมด้วยเถาวัลย์และตะไคร่นํ้าสีเขียว แต่ก็ยังไม่สามารถปกปิดเสน่ห์ที่มันเคยมีได้
ร่องรอยนั้นดูเหมือนว่าเวลาที่ผ่านมานานหลายปีจะไม่ได้ทำลายความงามของเมืองแห่งนี้ไป แต่กลับให้ความรู้สึกของการเปลี่ยนแปลง
คูเมืองรกร้างไปนานแล้ว แต่สะพานกลับยังคงแขวนอยู่ โซ่บนนั้นเป็นหัวมังกรถลึงตาแสดงให้เห็นถึงความสูงส่งของมัน
สองเท้าของมู่ชิงเกออดไม่ได้ที่จะเคลื่อนไปด้านหน้าหนึ่งก้าว
ซือมั่วก็ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ข้างกายนางตั้งแต่เมื่อไหร่ นัยน์ตาสีอำพันกวาดตามองเมืองด้านหน้าแวบหนึ่ง แล้วก็เอ่ยกับมู่ชิงเกอที่กำลังมองดูอย่างใจจดใจจ่อว่า “เหนือความคาดหมายใช่หรือไม่?”
มู่ชิงเกอพยักหน้า สายตาของนางถูกเสาหินที่ล้อมอยู่นอกเมืองดึงดูด
เสาหินเหล่านี้สูงและตรง ต้องใช้ถึงสี่คนถึงจะโอบได้รอบ บนเสาหินมีเถาวัลย์สีเขียวหมุนวนขึ้นปิดบังลวดลายแกะสลักที่ละเอียดอ่อนเอาไว้ ทำให้พวกมันดูคลุม เครือไม่ชัดเจน
มู่ชิงเกอคาดคะเนเล็กน้อย เสาหินเหล่านี้แต่ละต้นสูงประมาณสิบจั้ง ส่วนบนยอดของเสาหินทุกต้น ภายใต้เถาวัลย์และตะไคร่น้ำ ล้วนแต่มีสัตว์อสูรเทวะบ้างก็ หมอบ บ้างก็ยืน บ้างก็หลับอยู่เสาละตัว
“นี่เรียกว่าเสาอสูรรักษา ทั้งหมดมี 108 เสา สลักสัตว์อสูรเทวะกับอสูรร้ายที่แตกต่างกัน 108 ชนิด ในเมืองเมื่อหมื่นปีก่อน เสาอสูรรักษาไม่ใช่เรื่องแปลก ดูเหมือนว่าทุกๆ เมืองล้วนแล้วแต่มีมันอยู่ เป็นสัญลักษณ์ของพลังการปกป้อง แต่ว่าสามารถมีมากกว่าร้อยเสานั้นแทบจะไม่มี เพียงแต่น่าเสียดายที่หลังจากผ่านไปหมื่นปีแล้ว ความคุ้นชินนี้ก็ค่อยๆ หายไป ถูกคนลืมเลือน ดีที่ที่นี่ถูกรักษาไว้เป็นอย่างดี เสาอสูรรักษาเหล่านี้ยังคงยืนตระหง่านอยู่รอบเมืองเพื่อปกป้องผืนดินที่ปริสุทธิ์แห่งนี้ไว้” เสียงของซือมั่วดังขึ้นข้างหูของมู่ชิงเกอ
คำอธิบายของเขาทำให้นางชอบเสาอสูรรักษามากยิ่งขึ้น
ป้องกัน…
ความเชื่อในชีวิตก่อน พลังที่ขับเคลื่อนชีวิตนี้ก็ไม่ใช่ว่า เพื่อใช้กับสิ่งนี้?
ในใจของทุกคนก็ล้วนแต่มีสิ่งที่คิดจะปกป้องอย่างสุดความสามารถ นางก็รวมอยู่ในนั้น
“นี่เป็นเมืองอะไรกันแน่? เหตุใดจึงร้างได้? เหตุใดเวลาผ่านไปนับหมื่นปีถึงยังคงถูกเก็บรักษาไว้ดีขนาดนี้ได้?” มู่ชิงเกอเอ่ยความสงสัยในใจออกมา
เดิมทีนางคิดว่าจะมองเห็นซากปรักหักพัง แต่คิดไม่ถึงว่าที่มองเห็นกลับเป็นเมืองที่ถูกรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี ดุจดั่งไม่เคยรกร้าง
“ที่นี่เคยถูกเรียกว่าเมืองลั่วซิงเฉิง สำหรับสาเหตุที่ทำไมมันรกร้างนั้น เมื่อไล่ขึ้นมาก็ยาวนานมาก ข้าเพียงแต่รู้ว่าที่นี่เคยมีเจ้าของ และก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง นาง พึ่งความสามารถของตนเองพัฒนาเมืองลั่วซิงเฉิงจนทำให้กลายเป็นเมืองที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโลกแห่งยุคกลางจนสามารถคานอำนาจกับตำหนักเทพในยุคนั้นได้” ซือมั่วค่อยๆ อธิบาย
มู่ชิงเกอหันมองเขา นัยน์ตาฉายแววตกตะลึง “เมืองลั่วซิงเฉิง ที่นี่กลับเคยเจริญรุ่งเรืองถึงขนาดนั้นเชียวหรือ? เช่นนั้นผู้หญิงคนนั้นละ? เหตุใดถึงได้ทิ้งให้เมืองของนางรกร้าง?”
นางเกิดความรู้สึกว่าเมืองนี้จะต้องเกิดเรื่องราวที่ไม่มีใครทราบขึ้น ส่วนจุดจบของเรื่องก็ดูเหมือนจะไม่ดีนัก
ซือมั่วนิ่งเงียบครู่หนึ่ง มองไปยังเมืองแล้วเอ่ยขึ้น “แม้ว่านางจะแข็งแกร่งมาก แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดจากเจ็ดอารมณ์ปรารถนาได้ นางรักคนที่ไม่ควรรักคนหนึ่ง เพื่อเขาแล้ว นางฝึกวิชาอย่างบ้าคลั่ง คิดแต่อยากจะไปแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร ครองคู่กันกับคนรัก ไม่สนใจดูแลจัดการเมืองอีกต่อไป หลังจากนางในที่สุดก็สมปรารถนาได้ไปอยู่ข้างกายของชายคนนั้น แต่กลับค้นพบว่าชายคนที่ร่วมสาบานรักต่อหน้าฟ้าดินกับนางนั้นได้แต่งงานมีครอบครัวนานแล้ว ส่วนนางก็กลายเป็นแค่เพียงอนุคนที่ 89 ของเขาเท่านั้น”
“…” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น นางคิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้
ส่วนในขณะเดียวกัน นางก็ดูเหมือนว่าจะรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่หวั่นไหวของซือมั่ว “นางอยู่ข้างกายของชายคนนั้นถึงสามหมื่นปี คลอดบุตรเลี้ยงลูกให้เขา ใช้เวลาสามหมื่นปีคิดจะเปลี่ยนความเจ้าชู้ของชายผู้นั้น แต่ว่าเวลาสามหมื่นปีเพียงแต่ ทำให้เขาแต่งอนุคนใหม่เข้ามาเรื่อยๆ ในที่สุดจิตใจของนางก็เย็นเยียบจนกลายเป็นเย็นชา ทิ้งบุตรชายไว้เพียงลำพังแล้วก็กลับมาที่เมืองลั่วซิงเฉิง แต่ว่าเมืองลั่วซิ งเฉิงในตอนนั้นหลังจากที่สูญเสียนางไปแล้วก็ได้รับความกดดันจากหลายด้านจนเข้าตาจน การกลับมาของนางก็ไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนไป เพราะว่าผ่านไป สามหมื่นปี เมืองลั่วซิงเฉิงก็ไม่ได้เป็นเมืองลั่วซิงเฉิงที่นางคุ้นเคยอีกต่อไป ในที่สุดนางก็ทำลายที่นี่ด้วยตัวเอง ขับไล่ทุกคนในเมือง ใช้เลือดล้างตระกูลที่กดดันเมืองลั่วซิงเฉิงอย่างรุนแรงที่สุด… สุดท้ายก็ใช้การฆ่าตัวตาย โจมตีทำลายตำหนักเทพแห่งหนึ่ง” ซือมั่วพูดจบแล้ว บรรยากาศก็กลายเป็นเย็นยะเยือกขึ้น
แม้ว่านํ้าเลียงของเขาจะยังคงสงบนิ่ง แต่ว่ามู่ชิงเกอก็ยังคงได้ยินเสียงระลอกคลื่นที่อยู่เบื้องหลังความสงบของเขา
มู่ชิงเกอที่กุมมือของซือมั่วก็พบว่ามือของเขานั้นเย็นมาก
สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่มาจากมู่ชิงเกอ ซือมั่วก็ตื่นขึ้นมาจากความคิดของตนเอง เผยรอยยิ้มให้กับนางอีกครั้ง “ข้าไม่เป็นไร”
มู่ชิงเกอมองเขา อยากจะถามมากว่าเรื่องราวนี้เกี่ยวข้องกับเขาหรือไม่ ผู้หญิงคนนั้นเกี่ยวข้องกับเขาหรือไม่
แต่ว่าในที่สุดก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา
ถึงแม้ว่าภายในคำอธิบายโดยย่อของซือมั่วจะไม่ได้อธิบายถึงจุดจบที่ชัดเจนของผู้หญิงคนนั้น แต่มู่ชิงเกอก็ฟังออกมาได้ว่านางได้ล้มลงไปพร้อมกับเมืองลั่วซิงเฉิงที่นางสร้างขึ้นมาเองกับมือแล้ว
“ที่นี่ถูกรักษาไว้เป็นอย่างดีก็เป็นเพราะเมื่อแรกเริ่มสร้างเมืองนั้น ในตอนนั้นได้สร้างค่ายกลขนาดใหญ่ที่ซับซ้อนเอาไว้ ค่ายกลนี้สามารถปกป้องไม่ให้เมืองพังทลาย ไม่ว่าจะถูกการโจมตีอะไร ก็ไม่สามารทำลายได้ แน่นอนว่าหากเป็นมุมของเผ่าเทพและมารก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง” ซือมั่วหลุบตาลง นำประเด็นกลับมา
มู่ชิงเกอได้ฟังแล้วดวงตาก็เป็นประกาย จิตใจหวั่นไหว มีค่ายกลเช่นนี้อยู่ นางก็จะเกาะติดสถานที่เช่นนี้อยู่แล้ว
“สามารถขวางการโจมตีได้อย่างนั้นหรือ?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม
ซือมั่วยิ้มส่ายหน้า “ไม่ใช่ว่าสามารถขวางการโจมตีได้ เพียงแต่ทำให้การโจมตีที่ตกลงบนเมืองไม่สร้างความเสียหายกับตัวเมือง นี่เป็นเลือดเนื้อของนางดุจดั่งเป็น ลูกของนาง ดังนั้นในตอนที่สร้างขึ้นมา นางก็เสาะหาปรมาจารย์สร้างค่ายกลหลายคนมาศึกษาค้นคว้าด้วยกันว่าจะทำอย่างไรให้เมืองของนางไม่เสื่อมสลาย”
มู่ชิงเกอพยักหน้าอย่างเข้าใจ ถึงแม้ว่าจะผิดหวังอยู่บ้างที่ไม่ได้เป็นอย่างที่ตนเองคาดเดา แต่ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว อย่างน้อยก็สามารถประหยัดค่าซ่อมบำรุงได้
”ข้าพาเจ้าเข้าไปดูไหม?” ซือมั่วเสนอ
มู่ชิงเกอพยักหน้า
จากนั้น ซือมั่วก็พามู่ชิงเกอกระโดดขึ้นไปกลางอากาศ มองดูเมืองทั้งเมืองบนอากาศก่อน
มุมๆ นี้ทำให้มู่ชิงเกอมองเห็นเมืองลั่วซิงเฉิงทั้งเมือง เมืองนั้นกว้างขวางมากอย่างน้อยก็หนึ่งร้อยลี้ เมืองเหมือนถูกสลักลงบนพื้นเป็นรูปดาว รอบด้านล้วนแต่ถูก ป่าไม้ล้อมรอบ ตัดขาดมันกับโลกภายนอกไว้ เมืองลั่วซิงเฉิงมีประตูทั้งหมดห้าประตู เชื่อมต่อกับธาตุทั้งห้า
มู่ชิงเกอไม่เข้าใจธาตุทั้งห้า แต่ก็ยังคงคิดว่าที่นี่จัดตำแหน่งอิงตามธาตุทอง ไม้ นํ้า ไฟ ดิน เพียงแต่ตอนนี้ผ่านไปหมื่นปี นอกเมืองเปลี่ยนแปลงไปมากทำให้มองไม่ออกถึงการจัดวางในตอนแรกได้
ภายในเมือง อาคารถูกจัดตามรูปแบบ ถนนไขว้เกี่ยวกัน อย่างซับซ้อนและเชื่อมถึงกัน ดูเหมือนว่าทุกถนนหลักก็ล้วนแต่มีจุดสิ้นสุดอยู่ที่อาคารที่สูงที่สุดตรงใจกลาง
มันเป็นปราสาทที่ใหญ่โตดุจดั่งภูเขา ถูกล้อมรอบด้วยเถาวัลย์และดอกไม้ใบหญ้าที่อุดมสมบูรณ์ดูเหมือนกับเป็นสวนลอยฟ้า ยอดหลังคาของอาคารที่สูงที่สุดใน ปราสาทตรงดิ่งเหมือนกับเป็นกระบี่ด้ามหนึ่งที่ชี้ปลายขึ้นไปยังท้องฟ้า บนปลายกระบี่นั้นมีดาวดวงหนึ่งฝังอยู่ แต่ว่าในตอนนี้แสงดูเหมือนจะทึบลงไปแล้ว
“ที่นี่อย่างน้อยก็น่าจะสามารถให้หนึ่งล้านคนอาศัยอยู่ได้!” ลอยลงมาจากฟ้าแล้วมู่ชิงเกอก็เอ่ยกับซือมั่วอย่างตกตะลึง
นางเอ่ยล้อเล่นว่า “หากว่าข้าครอบครองที่นี่แล้วจะโดนคนรุ่นหลังของนางมาหาเรื่องหรือไม่?”
“ไม่” ซือมั่วเอ่ยตอบอย่างมั่นใจ
คำตอบนี้ทำให้มู่ชิงเกอมองไปยังเขา ภายในแววตาเพิ่มแววครุ่นคิดเข้ามา
ซือมั่วกลับเอ่ยอย่างราบเรียบดุจดั่งปกติว่า “ผ่านไปเป็นหมื่นปีแล้ว หากว่ายังมีชนรุ่นหลังของนางสนใจที่นี่ แล้วจะยังปล่อยให้ที่นี่รกร้างได้อย่างไร?”
มู่ชิงเกอไม่ได้ไล่ถามต่อ เพียงแต่พยักหน้าด้วยอารมณ์ที่ไม่ชัดเจน
เดินไปภายในเมืองที่ไม่มีคนอยู่อย่างสบายอารมณ์อยู่รอบหนึ่งแล้วมู่ชิงเกอก็ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าชอบที่นี่มาก”
ซือมั่วมองนาง มุมปากกระตุกยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยว่า “เจ้าชอบก็ดี เมื่อตัดสินใจว่าเลือกที่นี่แล้ว ต่อจากนี้ก็แค่ทำความสะอาดถนนแล้วก็ซ่อมแซมเล็กน้อยก็สามารถ ประกาศให้โลกรู้ได้แล้ว เสี่ยวเกอเออร์เจ้าคิดอยากจะตั้งชื่อเมืองนี้ว่าอย่างไร?”
“ยังคงใช่ชื่อว่าเมืองลั่วซิงเฉิงเถอะ’’ มู่ชิงเกอหันมองเขา เอ่ยตอบอย่างไม่ลังเล
คำตอบของนางทำให้ซือมั่วชะงัก
มู่ชิงเกออธิบายว่า “ชื่อนี้ไม่เลวทั้งยังมีเรื่องราวเช่นนั้นอีก ให้มันคงอยู่ต่อไปก็ดีอยู่แล้ว ในเมื่อข้ารับช่วงเมืองต่อจากคนอื่น ก็ต้องทำอะไรบ้างมิเช่นนั้นก็คงจะเหมือนกับว่าขโมยเอามา”
ซือมั่วมองนาง ผ่านไปยาวนาน เขาก็เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ดี ตามใจเจ้า”
“ดูสถานที่เสร็จแล้ว พวกเราจะกลับเลยไหม?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม
ซือมั่วกลับยิ้มไม่พูดจา ลากมือของนาง มุ่งหน้าไปยังปราสาทที่สูงที่สุดในเมือง
มู่ชิงเกอมองดูเขาด้วยความสงสัย เห็นเขาไม่พูดก็ไม่ได้ถามมาก
ภายในปราสาท เครื่องเรือนเหล่านั้นได้บุบสลายไปนานมากแล้ว ดูแล้วค่ายกลคงสามารถรักษาให้เพียงแค่เมืองไม่พังทลาย ไม่ได้รวมไปถึงเครื่องเรือนภายใน
‘ดูแล้วการจัดเครื่องเรือนนั้นต้องเสียค่าใช้จ่ายหนักหน่อย’ มู่ชิงเกอครุ่นคิดคำนวนอย่างปวดใจ ในใจนางมักถือว่าตนเองยากจนเสมอ ถึงแม้ว่านางจะมีศิลาวิญญาณมากมายภายในช่องว่างของนาง ทั้งยังมีอสูรแร่วิญญาณที่คอยหาศิลาวิญญาณและพ่นออกมาอีกก็ตาม แต่นางก็ยังคงรู้สึกว่าตนเองจนอยู่ดี
เพราะว่าที่นางเลี้ยงดูล้วนแต่เป็นพวกกระเพาะใหญ่!
นางจะไม่ทำเช่นนี้ก็ได้ แต่เมื่อทำก็ต้องทำให้ดีที่สุด ดูชุดเกราะของเหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรมีชิ้นไหนที่จะไม่ใช้เงินทองจำนวนมากบ้าง?
ซือมั่วลากนางไปบนยอดหอคอยสูง ยืนอยู่ด้านหน้าหน้าต่าง
บนหัวของพวกเขาก็คือดาวที่ฝังอยู่บนปลายกระบี่
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดเมืองนี้ถึงได้ชื่อว่าเมืองลั่วซิงเฉิง?” อยู่ดีๆ ซือมั่วก็ถามขึ้นมา
มู่ชิงเกอส่ายหน้า
แม้แต่ชื่อเมืองลั่วซิงเฉิงนางก็เพิ่งจะได้ยินเป็นครั้งแรกในวันนี้ แล้วจะไปรู้ถึงที่มาของมันได้อย่างไร?
แต่ว่า ซือมั่วกลับไม่ได้อธิบายเพียงแต่หัวเราะไม่พูดจา โอบมู่ชิงเกอเข้ามาไว้ในอ้อมอก เพลิดเพลินไปกับความงามนอกหน้าต่างไปกับนาง
ความสูงของที่นี่ทำให้สามารถมองเห็นป่าไม้โดยรอบ ใบไม้เขียวชอุ่มต่อเนื่องกันเป็นอาณาเขตกว้างใหญ่ จนแทบจะเชื่อมกับท้องฟ้า ตอนนี้ดวงอาทิตย์กำลังตกดิน สีแดงฉานดั่งสีเลือดในยามอัสดงสาดส่องไปบนใบไม้ทิวทัศน์อันงดงามดุจดั่งคลื่นที่ถาโถมมาเรื่อยๆ
“งดงามมาก!” มู่ชิงเกออยู่ในอ้อมอกของซือมั่ว อาบแสงอาทิตย์ อดไม่ได้ที่จะชื่นชมออกมา
นางเคยไปที่ต่างๆ มากมาย แต่ว่าบรรยากาศเช่นนี้ก็เป็นครั้งแรกที่นางพบเจอ
แม้แต่บรรดาต้นหลีหยกในหุบเขากูจี๋ซาน บรรยากาศอันงดงามเหล่านั้น เมื่อเทียบกับที่นี่แล้วก็เปลี่ยนเป็นไม่อาจเทียบได้เลย
นางนิ่งเงียบชื่นชมบรรยากาศตรงหน้า ในใจลอบเอ่ยว่า ‘หรือว่าซือมั่วคิดจะชมดูพระอาทิตย์ตกกับนาง?
พวกเขาคงจะไม่ยืนอยู่ที่นี่รอจนพระอาทิตย์ขึ้นหรอกกระมัง?’
อารมณ์ของชายผู้นี้ในวันนี้มีบางอย่างไม่ถูกต้อง คนที่อยู่ในเรื่องราวนั่น ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับเขา
มู่ชิงเกอขบริมฝีปาก ตัดสินใจไม่รบกวนเขา อยู่เงียบๆ เป็นเพื่อนเขาก็พอ
‘ยืนหนึ่งคืนก็ยืนหนึ่งคืน ถือว่าเป็นการฝึกฝนก็แล้วกัน’
มู่ชิงเกอเอ่ยกัดฟันในใจ ใครใช้ให้ผู้ชายของนางในตอนนี้มีเรื่องในใจกันละ?
ซือมั่วไม่พูด มู่ชิงเกอก็ไม่พูด ทั้งสองคนยืนนิ่งเงียบอยู่เช่นนั้น
ความมืดค่อยๆ เยื้องกรายเข้ามา แสงดาวระยิบระยับตกลงมา
ภายในความมืดยามคํ่าคืน มู่ชิงเกอมองไปยังบรรยากาศที่แปรเปลี่ยนไป ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง เดินออกมาจากอ้อมอกของซือมั่ว สองมือกุมไว้ที่ขอบหน้าต่าง
นัยน์ตาที่สดใสของนาง มองฝนดาวตกที่งดงามดุจดังภาพลวงตาในนิทานเด็ก!
ดูเหมือนว่าดวงดาวงดงามทั้งหมดบนฟ้าล้วนตกลงมาที่นี่ในเวลาเดียวกัน
บรรยากาศอันแปลกประหลาด ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปนอกหน้าต่าง คิดอยากจะรับดาวที่ตกลงมา แต่ดวงดาวเหล่านี้กลับดุจดั่งสายฝน หลังจากตกลงบนกลางฝ่ามือของนางแล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
นางรวบห้านิ้วคิดจะจับให้อยู่ไม่ให้ดวงดาวหายไปแต่ก็ไร้ประโยชน์
ซือมั่วเดินไปข้างหลังของนาง ภายในนัยน์ตาสีอำพันของเขาก็สะท้อนภาพดาวตกเช่นเดียวกัน “บรรยากาศอันงดงามของลั่วซิงเฉิง ในโลกทั้งสามพันก็ไม่มีที่ใดมีอีกแล้ว เสี่ยวเกอเออร์ ตอนนี้เจ้ารู้แล้วใช่ไหมว่าเมืองลั่วซิงเฉิงชื่อนี้มาได้อย่างไร?”
มู่ชิงเกอพยักหน้า ตอนนี้นางได้ดำดิ่งเข้าไปในบรรยากาศอันงดงามนี้แล้ว
“เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร?” ความสงสัยของนางออกมาจากใจ
“ใครก็ไม่รู้ว่าเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร และก็ไม่รู้ว่าดวงดาวที่ตกลงมานั้นเป็นดวงดาวจริงๆ หรือไม่ หลังจากพวกมันตกลงมาแล้วก็ไม่รู้ว่าไปไหน” ซือมั่วเอ่ยตอบ
“เป็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติใช่หรือไม่?” มู่ชิงเกอพึมพำ ทันใดนั้น นางก็หันมองซือมั่ว เอ่ยถามอย่างตื่นเต้นดุจสาวน้อยว่า “ทุกๆ คืนล้วนแต่เป็นเช่นนี้หรือ?”
ซือมั่วพยักหน้า “ขอเพียงไม่มีฝน ก็ล้วนแต่เป็นเช่นนี้ บรรยากาศที่แปลกประหลาดเช่นนี้จะมีต่อเนื่องไปจนถึงเที่ยงคืนแล้วถึงได้สลายหายไป”
“อามั่ว พวกเราออกไปข้างนอกกันเถอะ” มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มหวานออกมา
นัยน์ตาของซือมั่วฉายแววสงสัย
“เพราะไม่มีใครรู้ว่าดวงดาวตกลงมาจากไหน และก็ไม่รู้ว่ามันไปถึงที่ไหน ดังนั้นในเวลานี้ ดูเหมือนว่าคนทุกคนที่เคยเห็นมันล้วนแต่ชื่นชมมันอยู่ในห้อง แต่ว่า หากเสี่ยวเกอเอ๋อร์อยากจะออกไป พวกเราก็ไปได้นะ?” นัยน์ตาของซือมั่วฉายแววเอ็นดู
มู่ชิงเกอรีบลากซือมั่วกระโดดออกไปนอกหน้าต่างลงไปบนพื้น กระโปรงสีแดงของนางพลิ้วไหว เกิดเป็นเสน่ห์น่าดึงดูดในยามค่ำคืน
ออกมาจากทุ่งหญ้าอัสดง นางก็กลับคืนสู่ชุดของหญิงสาว
ตอนนี้ นางกับซือมั่วยืนเผชิญหน้ากัน วางสองมือบนไหล่ของเขา ยิ้มออกมาเอ่ยว่า “ยังจำวิธีเต้นรำที่เรียนกับข้าได้ไหม?”
นัยน์ตาของซือมั่วเปล่งประกาย พริบตาเดียวก็เดาได้ถึงความคิดของนาง
เขาพยักหน้า
การเต้นรำเช่นนั้น เขาจะลืมไปได้อย่างไร? ตลอดทั้งชีวิตนี้ล้วนแต่ไม่อาจลืมเลือน!
มู่ชิงเกอจับมือเขา มาวางไว้บนเอวของตนเอง เอ่ยกับเขาว่า “เต้นสักรอบเป็นอย่างไร?”
“ตามคำเรียกร้อง” ซือมั่วยิ้ม ใบหน้าที่หล่อเหลาฉายแววอ่อนโยน
มู่ชิงเกอเริ่มก้าว เต้นรำไปกับซือมั่วภายใต้ดาวตก พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างง่ายๆ แต่กลับดูเชื่อใจกันลึกซึ้งกว่าครั้งแรกที่เคย
ชุดสีดำตัดแดง เต้นรำกันอย่างไหลลื่น โบกสะบัดดุจผีเสื้อร่ายรำ ปล่อยให้แสงดาวตกลงมาบนตัวของพวกเขา ดุจดังนางฟ้าและจิตวิญญาณภายในป่า
“อามั่ว ข้าไม่ใช่นาง ส่วนเจ้าก็ไม่ใช่ชายที่หลายใจคนนั้น” ในระหว่างที่เต้นรำ มู่ชิงเกอมองซือมั่วแล้วก็เอ่ยประโยคนี้ออกมา
ซือมั่วชะงัก มองเข้าไปในดวงตาของมู่ชิงเกอ เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน แม้แต่ฝีเท้าก็หยุดชะงัก ทั้งสองคนอยู่ในท่าสุดท้ายของการเต้นรำ จ้องมองกันและกัน เหมือนกับรูปปั้นคู่หนึ่ง
ผ่านไปนานเขาถึงได้หัวเราะออกมา
เขายื่นแขนยาวออกไปรวบมู่ชิงเกอเข้ามาในอ้อมอก ภายใต้การเคลื่อนไหวของเขา กระโปรงสีแดงของมู่ชิงเกอโบกสะบัดดุจดั่งปีกผีเสื้อ
พอเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของซือมั่วแล้ว สองมือของมู่ชิงเกอก็โอบรอบคอของเขาไว้ มุมปากกระตุกยิ้ม นัยน์ตาอันสดใสฉายแววหนักแน่นและมั่นใจ
ซือมั่วหยุดหัวเราะ ก้มลงมอง ดวงตาสีอำพันที่ราวกับจักรวาลอันกว้างใหญ่กำลังจ้องมองนางเหมือนกับกำลังจ้องมองขุมทรัพย์อันลํ้าค่า
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของข้า เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของข้า…,” เขาพึมพำ จับจ้องริมฝีปากแดงของนางอย่างดูดดื่มท่ามกลางดาวตก…
บนทุ่งหญ้าอัสดง งานล่าสัตว์ครั้งใหญ่ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว
บนเวทีของเขี้ยวมังกร หลังจากผ่านการคำรามของโห่วไปก็ไม่มีใครกล้ามองข้ามกระต่ายที่หมอบเล่นอย่างขี้เกียจอยู่บนเวทีอีกเลย
เหล่าตระกูลต่างๆ และหลิวเค่อจำนวนไม่น้อยค่อยๆ พากันแยกย้ายออกไปจากทุ่งหญ้าอัสดง กลับไปยังสถานที่ของใครของมัน ดำเนินชีวิตต่อไป
หลังจากห้าปีผ่านไป ถึงจะมีการรวมตัวใหม่อีกครั้ง บางทีอาจจะมีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่อาจปรากฎตัวได้อีก และอาจจะมีคลื่นลูกใหม่ปรากฎเพิ่มขึ้นมา ก่อนจากลา ผู้บังคับบัญชาใหญ่ทั้งสามของกลืนจันทร์ ร้อยอัคคีและยักษ์วิถีก็มาพบเจอกันอีกครั้ง ผู้บังคับบัญชาของยักษ์วิถีเอ่ยว่า “ชิ เขี้ยวมังกรช่างเจ้าเล่ห์จริงๆ กลับวางสัตว์อสูรวิญญาณที่ทรงพลังขนาดนั้นเฝ้ารักษา!”
“สัตว์อสูรวิญญาณงั้นหรือ? ข้าดูแล้วเกรงว่าคงไม่ได้ง่ายดายถึงขนาดนั้น? เจ้าข้าไปที่ต่างๆ มาหลายที่ เจ้าเคยเห็นสัตว์อสูรวิญญาณที่ทรงพลังถึงขนาดนั้นด้วยงั้น หรือ? ตามที่ข้าดูเกรงว่าคงจะเป็นสัตว์อสูรเทวะหรือไม่ก็สัตว์มหาเทพ” ผู้บังคับบัญชาของกลืนจันทร์เอ่ย
“สัตว์อสูรเทวะหรือไม่ก็สัตว์มหาเทพงั้นหรือ? จะเป็นไปได้อย่างไร? พวกเขาไม่ใช่คนตระกูลจิงเสียหน่อย จะสามารถทำให้เผ่าสัตว์อสูรยอมศิโรราบได้อย่างไร?” ผู้บังคับบัญชาของยักษ์วิถีเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ผู้บังคับบัญชาของกลืนจันทร์กลับเอ่ยว่า “ใครจะรู้ล่ะ? ที่มาของพวกเขาลึกลับมาก อยู่นอกเหนือการรับรู้ของพวกเราซํ้าไปซํ้ามา ตอนนี้ที่ทำออกมาก็ทำให้พวกเรายิ่งยากที่จะคลำไพ่ตายของพวกเขาออกมากยิ่งขึ้น ครั้งนี้ที่พวกเราเสนอจัดงานล่าสัตว์ครั้งใหญ่ก็เพราะคิดจะล้วงข้อมูลของเขี้ยวมังกรให้ชัดเจน คิดไม่ถึงว่า ตอนนี้ไพ่ตายก็ดูไม่ชัด แต่กลับยิ่งเพิ่มความคาดเดาไม่ถึงขึ้นไปอีก”
“สรุปแล้วคือเขี้ยวมังกรไม่ธรรมดา คุณชายมู่คนนั้นก็ไม่ธรรมดา คนของข้าเคยปะทะกับพวกเขาในเทือกเขาซางหลานครั้งหนึ่ง ทั้งยังเกี่ยวโยงไปถึงตระกูลกง เดิมทีคิดว่าตระกูลกงจะโจมตีเขี้ยวมังกรสักรอบ แต่คิดไม่ถึงว่ากลับทำอะไรไม่ได้เลย” ผู้บังคับบัญชาของร้อยอัคคีเอ่ย
“เช่นนั้นพวกเราจะทำอย่างไรต่อไปดี? จะยอมรับสถานะของเขี้ยวมังกรทั้งอย่างนี้เลยหรือ?” ผู้บังคับบัญชาของยักษ์วิถีเอ่ยอย่างไม่ยินยอม
“ไม่ยอมรับแล้วจะสามารถทำอย่างไรได้อีก? คะแนนก็อยู่ที่นั่น ความแข็งแกร่งก็อยู่ที่นั่น” ผู้บังคับบัญชาของกลืนจันทร์ก็ไม่ค่อยพอใจ
ผู้บังคับบัญชาของร้อยอัคคี คิดแล้วก็เอ่ยว่า “อย่างไรก็ตาม เหลือเวลาอีกสี่ปีถึงจะถึงเวลาแบ่งส่วนแบ่งครั้งถัดไป พวกเราไม่ต้องสนใจ ดูว่าภายในสี่ปีนี้พวกเขา สามารถพัฒนาไปถึงไหน หากว่าถึงตอนนั้นพวกเขายังหาเมืองที่อยู่ประจำไม่เจอไม่มีกำลังคนเพียงพอ ก็ไม่อาจจะสู้พวกเราได้อยู่ดี ถึงแม้ว่าพวกเราจะยินยอมมอบเหมืองศิลาวิญญาณให้ พวกเขาก็รับไว้ไม่ได้อยู่ดี”
คำพูดของเขาได้รับการเห็นด้วยจากผู้บังคับบัญชาของกลืนจันทร์และยักษ์วิถี
กองกำลังทั้งสามที่แต่เดิมเก็บตัวเงียบอยู่ได้รวมตัวกันขึ้นมาเพราะการปรากฎตัวของเขี้ยวมังกร
เมื่องานสิ้นสุด ผู้คนจำนวนมากก็จากทุ่งหญ้าอัสดงไป แต่ภายในค่ายของเขี้ยวมังกรกลับไม่มีท่าทีที่จะจากไป ไม่ว่าทุกคนบนทุ่งหญ้าอัสดงจะเป็นอย่างไร พวกเขาก็ยังคงทำตามกิจวัตรประจำวันของตนเองอย่างไม่กระวนกระวาย
เพียงแต่ว่า สองวันมานี้ มีเทียบเชิญจำนวนมากถูกส่งไปที่ค่ายของเขี้ยวมังกร
ภายในนั้นก็มีตระกูลอิ๋ง ตระกูลซางและอื่นๆ
“คุณหนูซาง นายน้อยของพวกเราไม่อยู่ เชิญกลับเถอะ” มั่วหยางปฏิเสธซางเสวี่ยอู่อีกครั้ง
ซางเสวี่ยอู่ผิดหวังยิ่งนัก
ตระกูลซางจะออกจากทุ่งหญ้าอัสดง นางกลับไม่สามารถพบมู่ชิงเกออีกครั้งได้
หมดทางเลือก นางก็ทำได้แต่เพียงเอ่ยว่า “รบกวนบอกกับเขาว่า พวกเราจะรอเขาที่ตระกูลซางเมืองฝูซา”
หลังจากมั่วหยางพยักหน้าแล้วนางถึงได้จากไปอย่างไม่ยินยอม
หลังจากส่งซางเสวี่ยอู่ไปแล้ว มั่วหยางก็ได้มาต้อนรับฉินอี้เหยาอีก เทียบกับซางเสวี่ยอู่ ท่าทางของมั่วหยางต่อฉินอี้เหยานั้นดีกว่าหน่อย “แม่นางเหยา คุณชายออกไปข้างนอก ไม่ได้อยู่ในค่าย”
ฉินอี้เหยาพยักหน้า “ข้ามาเพื่อลาเท่านั้น ในเมื่อนางไม่อยู่ เจ้าก็บอกแทนข้าเถอะ”
มั่วหยางพยักหน้า เอ่ยอีกว่า “คุณชายสั่งการไว้แล้วว่า หากแม่นางเหยาต้องการความช่วยเหลือก็ให้มาหาข้าได้ทุกเมื่อ”
“ขอบคุณมาก” ฉินอี้เหยาพยักหน้าเบาๆ หันกายจากไป
มั่วหยางกลับไปภายในค่ายของเขี้ยวมังกร ประตูใหญ่ค่อยๆ ปิดเข้ามา
เพียงแต่ว่า ในตอนที่เขาเดินไปถึงกระโจมหลักนั้น ก็พบว่ามู่ชิงเกอได้กลับมาแล้ว ส่วนข้างกายของนางกลับไม่มีเงาร่างของนายท่านผู้นั้นอยู่
มั่วหยางชะงัก จิตใจสับสนเดินไปถึงตรงหน้าของมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอยืนไพล่มืออยู่ในกระโจม มองแผนที่ที่แขวนอยู่ ไม่ได้สังเกตถึงการเข้ามาใกล้ของมั่วหยางเลย
ซือมั่วก็เป็นเหมือนกับที่เขาพูด จากไปหลังจากงานล่าสัตว์ครั้งใหญ่ หลังจากที่เขาส่งมู่ชิงเกอมาถึงค่ายของเขี้ยวมังกรแล้วก็จากไปเลย ทิ้งไว้เพียงหนึ่งประโยคว่า “รอข้า!”
แม้ว่าจะเตรียมใจอยู่นานแล้ว แต่หลังจากใกล้ชิดมาหนึ่งเดือนแล้วต้องจากลานั้นก็ยังคงทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง
นางพบว่ายิ่งได้ใกล้ชิดกับซือมั่วมากขึ้นเท่าไหร่ นางก็ยิ่งคุ้นเคยที่มีเขาอยู่ข้างกายมากเท่านั้น ตอนนี้คนไม่อยู่ นางก็มีเพียงกระดิ่งที่เอวอยู่เป็นเพื่อน
“คุณชาย” เมื่อไม่เห็นมู่ชิงเกอหันกลับมาตั้งนาน มั่วหยางจึงเอ่ยปากขึ้น
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอวาววาบเล็กน้อย เก็บสายตากลับ หันกายกลับไปมองมั่วหยาง
“ข้าน้อยไม่ทราบว่าคุณชายกลับมาแล้ว เมื่อครู่คุณหนูซางกับองค์หญิงฉินมาลาคุณชาย แต่ถูกข้าน้อยขวางไว้ ตอนนี้พวกนางน่าจะยังไปได้ไม่ไกล ต้องการให้ข้าน้อยไล่ตามพวกนางกลับมาหรือไม่?” มั่วหยางเอ่ยถาม
มู่ชิงเกอส่ายหน้า “ไม่จำเป็น” ตอนนี้นางไม่มีอารมณ์จะพบพวกนาง ในเมื่อไปแล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปเรียกกลับมา
“เจ้ามาได้พอดีเลย เรียกทุกคนมาที ข้ามีเรื่องจะประกาศ” มู่ชิงเกอเอ่ยกับมั่วหยาง
มั่วหยางรับคำสั่งออกไป ไม่นาน ไป๋สี่ หยินเฉิน หยวนหยวน โย่วเหอ ฮวาเยวี่ย เซวี่ยนหย่า เสวี่ยหยา เซวี่ยนขุย ทั้งยังมีจิงไห่ที่หน้ามีรอยบาก ล้วนพากันเดินมาที่ กระโจมหลักของมู่ชิงเกอ
“นั่ง” มู่ชิงเกอนั่งลงที่นั่งประธาน ชี้ไปที่ที่นั่งทั้งสองฝั่ง
บอกให้ทุกคนนั่ง หลังจากพวกเขานั่งลงแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้เอ่ยว่า “วันนี้ที่เรียกพวกเจ้ามารวมกัน ก็เพราะมีเรื่องจะประกาศ หลิวเค่อระดับนภาล้วนแล้วแต่ต้องมีเมืองเป็นฐานที่มั่นของตนเอง เพื่อให้สะดวกที่จะพัฒนากองกำลัง ที่ข้าออกไป ก่อนหน้านี้ก็เพื่อหาสถานที่แห่งหนึ่ง และตอนนี้ก็ได้หาพบแล้ว”
มู่ชิงเกอเพิ่งออกไปไม่กี่วันสั้นๆ ก็หาเมืองได้แล้วงั้นหรือ?!
ข่าวคราวนี้ ทำให้นัยน์ตาของทุกคนเปล่งประกาย โดยเฉพาะมั่วหยาง ภายในนัยน์ตาที่สงบเผยเปลวไฟลุกโชน มู่ชิงเกอยกมือลูบกระต่ายที่หมอบอยู่บนโต๊ะข้างหน้าของนาง ลูบมือไปตามขนบนหลังของเขา ทำเอาโห่วที่กำลังจะหลับสะดุ้งตื่นขึ้นมา
“วันนี้ ข้าจะจัดแบ่งพวกเจ้าใหม่อีกครั้ง สถานที่แห่งนั้นห่างจากที่นี่ไปไม่ไกล แต่ก็ได้รกร้างมานานแล้ว ทุกอย่างต้องมีการจัดการต้องการการร่วมแรงร่วมใจจากทุกคน” มู่ชิงเกอเอ่ย
“ขอรับ คุณชาย!”
“เจ้าค่ะ นายน้อย!
ชิงเกอสั่งมาเถอะ”
ชิงเกอเจ้าว่าต้องทำอย่างไร ข้าก็จะทำอย่างนั้น”
“ข้าฟังลูกพี่!”
“เชิญครูฝึกสั่ง!”
ทุกคนทยอยรับคำสั่ง มู่ชิงเกอพยักหน้าเบาๆ ในมือวาบแสง กลางฝ่ามือมีอสูรตัวเล็กๆ ที่ดูคล้ายตัวนิ่มปรากฎตัวออกมา นางโยนมันไปทางมั่วหยาง
มั่วหยางใช้สองมือรับ มองอสูรน้อยแวบหนึ่ง เผชิญหน้ากับดวงตากลมแป๋วของมันที่กำลังจ้องมองเขา
“นี่เรียกว่าอสูรจอมตะกละ ภายในท้องมีช่องมิติจัดเก็บ กินศิลาวิญญาณของข้าไปไม่น้อย ตอนนี้ก็สมควรจะพ่นออกมาแล้ว มันยังสามารถค้นหาเหมืองศิลาวิญญาณได้อีก เจ้าใช้งานให้ดี อีกอย่างข้าจะมอบเงินทองให้เจ้าส่วนหนึ่ง ให้เจ้านำไปซ่อมแซมฟื้นฟูเมือง” มู่ชิงเกอพูดไปแล้วก็มองไปยังหยินเฉินแล้วก็โยนภาพม้วนหนึ่งให้เขา “บนนี้เป็นผังเมืองที่ข้าวาดขึ้น หยินเฉินครั้งนี้ให้เจ้าอยู่ทำงานร่วมกันกับมั่วหยาง”
หยินเฉินพยักหน้า รับม้วนภาพเก็บไว้
“รอให้เมืองได้รับการซ่อมแซมขี้นฟูแล้ว มั่วหยางสามารถป่าวประกาศสู่ใต้หล้า เวลานั้นค่อยรับสมัครคน เพื่อขยายกองกำลังเขี้ยวมังกร คนที่จะรับต้องผ่านช่วง การทดสอบ คนที่ผ่านช่วงทดสอบไปถึงรับไว้ คนที่ไม่ผ่านก็ให้จากไป คนที่เลือกนั้นดูที่พฤติกรรมเป็นหลัก ระดับพลังเป็นรอง ครั้งนี้ข้าอนุญาตให้เจ้ารับสมัครได้หนึ่งหมื่นคน ให้พวกเขาชื่อว่ากองทัพมังกรซ่อน ให้ฝึกฝนเช่นเดียวกับเขี้ยวมังกร ให้เจ้าเลือกคนในเขี้ยวมังกรไปสอนพวกเขา จำไว้ว่าต้องเป็นคนที่ผ่านการทดสอบและกลายเป็นกองทัพมังกรซ่อนจริงๆ เท่านั้นถึงจะสามารถฝึกวิชายุทธ์สามเล่มนี้ได้” มู่ชิงเกอพูดจบก็วาดมือไปบนโต๊ะ ชั่วขณะนั้นก็มีคัมภีร์สามเล่มปรากฎขึ้นมา
นี่เป็นวิชายุทธ์สามเล่มจากวิชายุทธ์มากมายที่นางนำมาจากซากปรักหักพังโบราณ เริ่มแรกนางเคยให้องครักษ์เขี้ยวมังกรเรียนรู้จากศิลา แล้วก็มาแสดงต่อหน้านาง จากนั้นก็บันทึกเอาไว้
วิชายุทธ์โบราณสามเล่มนี้เป็นนางคัดเลือกเอง เพื่อเพียงพอที่จะเป็นจุดเริ่มต้นให้คนที่เข้ามาร่วม
“ขอรับ คุณชาย” มั่วหยางรับคำสั่ง เข้าไปรับวิชายุทธ์สามเล่มเก็บเอาไว้
มู่ชิงเกอมองไปยังเซวี่ยนขุย “เจ้าอยู่กับเขี้ยวมังกรมีประโยชน์กว่าอยู่ข้างกายข้า อีกทั้งวิชาปืนของเจ้าก็ยังต้องฝึกฝน ตอนนี้ก็ให้อยู่กับเขี้ยวมังกรชั่วคราวเถอะ” “เซวี่ยนขุยรับคำสั่งนายน้อย” เซวี่ยนขุยเอ่ยในทันที
มู่ชิงเกอพยักหน้า แล้วก็เอ่ยกับจิงไห่ว่า “ความสามารถของเจ้าได้ตื่นขึ้นมาแล้ว จงฝึกฝนให้ดี ตั้งใจศึกษา เรื่องสร้างเมือง มั่วหยางสั่งให้เจ้าทำอะไร เจ้าก็ทำตามนั้น”
“รับทราบ ครูฝึก” จิงไห่เอ่ย
“โย่วเหอ ฮวาเยวี่ย พวกเจ้าทั้งสองก็ให้อยู่กับเขี้ยวมังกรชั่วคราว ช่วยมั่วหยางสร้างเมือง อีกอย่างให้รีบสร้างเครือข่ายข่าวกรองของเราเองโดยเร็วที่สุด ระหว่าง การสร้างเมืองภารกิจที่ควรรับก็รับ ชื่อเสียงของเขี้ยวมังกรเพิ่งจะเริ่มสร้างขึ้นอย่าให้หายไป” มู่ชิงเกอสั่งการ หันกลับไป สายตาของมู่ชิงเกอก็ไปตกอยู่ที่เซวี่ยนหย่า เสวี่ยหยาแล้วก็หยวนหยวน “พวกเจ้าสามคนติดตาม ข้าต่อไป”
บนร่างของเซวี่ยนหย่าและเสวี่ยหยามีเคล็ดวิชาเทวะ แน่นอนว่านางต้องพาไปด้วย ส่วนหยวนหยวน ทิ้งเขาเอาไว้ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรมาก ทั้งอาจจะก่อความวุ่นวาย ดังนั้นนำไปด้วยจึงดีกว่า อย่างน้อยนางก็สามารถทิ้งเขาไว้ในช่องว่างเป็นเพื่อนกับเหมิงเหมิง
“ส่วนไป๋สี่…” สุดท้ายมู่ชิงเกอถึงได้มองไปที่ไป๋สี่ “ข้าต้องหลอมยุทธภัณฑ์ใหม่อีกชุด เจ้าตามข้าไปก่อน รอข้าหลอมเสร็จแล้วก็จะให้เจ้าส่งไปยังเขี้ยวมังกร”
“ทราบแล้ว” ไป๋สี่เอ่ย
หลังจากสั่งการทุกคนเสร็จหมดแล้ว มู่ชิงเกอก็ยืนขึ้นมาจากเก้าอี้ มองไปยังพวกเขาด้วยนัยน์ตาเปล่งประกาย “เมืองของพวกเราชื่อว่าเมืองลั่วซิงเฉิง!”
เมื่อมู่ชิงเกอกลับมายังทุ่งหญ้าอัสดง ในที่สุดค่ายเขี้ยวมังกรที่เงียบสงบก็ครึกครื้นขึ้นมาอีกครั้ง
เพียงแต่ว่าก่อนจะเดินทาง ค่ายของเขี้ยวมังกรก็ยังได้ต้อนรับแขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้หนึ่ง
มู่ชิงเกอมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของตนเองด้วยสีหน้าที่ไม่น่าดู
“เขาไปแล้วงั้นหรือ?” นัยน์ตาเรียวยาวของหานฉายไฉ่กวาดมองรอบหนึ่งแล้วเอ่ยกับมู่ชิงเกอ
“ไม่เกี่ยวกับเจ้า” มู่ชิงเกอเอ่ยตอบอย่างเย็นชา
ท่าทางเช่นนั้น ทำให้หานฉายไฉ่เผยสีหน้าขมขื่นออกมา ท่าทางที่ดูพ่ายแพ้เช่นนี้เป็นครั้งแรกที่มู่ชิงเกอได้เห็นบนใบหน้าของเขา
“ยังโกรธข้าอยู่งั้นหรือ? วันนี้ที่ข้ามาก็เพื่อขอโทษเจ้า”
คำพูดของหานฉายไฉ่ทำให้มู่ชิงเกอค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้น สีหน้ายังคงดูเคร่งขรึม
“พวกเราสองคนยังถือว่ามีความสัมพันธ์กันอยู่บ้าง เจ้าไม่อาจเชื่อข้าแม้แต่ครั้งเดียวเลยหรือ?” หานฉายไฉ่ ถูกท่าทางของนางโจมตีจนรู้สึกทนไม่ได้ น้ำเสียงแฝงอารมณ์เว้าวอน
มู่ชิงเกอยังคงไม่พูดจา หานฉายไฉ่จึงเอ่ยได้เพียงว่า “ครั้งก่อนข้าลํ้าเส้นไปแล้ว ไม่สมควรเข้าไปยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของเจ้า ยิ่งไม่สมควรพูดคำพูดเหล่านั้นกับเจ้า ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดตนเองถึงเป็นเช่นนั้น ทั้งตัวเหมือนกับว่าไม่เป็นตัวของตัวเอง”
มู่ชิงเกอดูเคร่งขรึมไม่พูดจา
“บางทีอาจเป็นเพราะหลังจากที่ข้าค้นพบสถานะของเขาแล้ว คิดมากเกินไป สูญเสียการควบคุม ข้า…”
“อย่างไร? การยอมรับผิดของนายน้อยหานก็คือการผลักภาระไปให้คนอื่นอย่างนั้นหรือ?” มู่ชิงเกอตัดบทเยาะเย้ย
“ไม่!” หานฉายไฉ่รีบเอ่ย “ข้าเพียงแต่อยากบอกว่า หลังจากที่ข้ารู้สถานะของเขาแล้ว ข้าก็สูญเสีญการควบคุมอารมณ์ไป ข้าคิดไปเองว่าพวกเจ้าไม่ควรและไม่ สามารถอยู่ร่วมกันได้ จึงควบคุมตัวไม่อยู่”
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหรี่เล็กลง ยิ้มเย็นมองดูเขา “เจ้าคิดว่านี่จะเป็นโอกาสงั้นหรือ? เพียงแค่ข้าทำตามคำเจ้า ตัดความสัมพันธ์กับเขาแล้วเจ้าจะมีโอกาสงั้นหรือ?”
มู่ชิงเกอพูดโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
ทำเอาสีหน้าของหานฉายไฉ่เปลี่ยนไป แต่เขาก็ยังคงพยักหน้า
นี่ทำให้แววเยาะเย้ยในดวงตาของมู่ชิงเกอลึกลํ้าขึ้น “หานฉายไฉ่ ข้าจำได้ว่าข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าถึงแม้จะไม่มีเขา ระหว่างข้ากับเจ้าก็ไม่มีทางเป็นไปได้ เจ้าคิดว่า สิ่งที่ข้าพูดนั้นไม่มีความหมายอย่างนั้นหรือ?”
หานฉายไฉ่เงยหน้ามองนาง นัยน์ตาเรียวยาวเปลี่ยนเป็นพร่ามัว พยายามปกปิดความรู้สึกเจ็บปวด
สายตาของทั้งสองคนปะทะกันอย่างรุนแรงครู่หนึ่ง หานฉายไฉ่กัดฟันเอ่ยออกมาว่า “เจ้าเคยพูด”
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้ายังคิดเองเออเองอีก? ต้องการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับเจ้าจริงๆ หรือ?” มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างแข็งกร้าว
ครั้งก่อนหานฉายไฉ่ดูเหมือนคนบ้า นางขี้เกียจที่จะพูดถึง ตอนนี้ เขามาหาถึงที่ แน่นอนว่านางต้องด่าว่าเสียให้เข็ด!
“เพราะว่าข้าไม่ยอม! เพราะว่าข้าชอบเจ้า!” หานฉายไฉ่คำรามออกมาด้วยความโกรธ
มู่ชิงเกอกลับส่ายหน้า “ที่เจ้าไม่ยอมเป็นเพราะว่าเจ้าไม่คุ้นเคยกับการถูกปฏิเสธ ความชอบของเจ้าก็คิดแต่เพียงเจ้าฝ่ายเดียว เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ข้าชอบเจ้าหรือ ไม่? อยู่กับเจ้าแล้วข้าจะมีความสุขหรือไม่? หานฉายไฉ่ เจ้าอย่าได้ปฏิเสธ คนที่เจ้ารักมากที่สุดก็คือตัวเจ้าเอง บางทีเจ้าอาจมีความรู้สึกที่แตกต่างกับข้าแต่ก็มันก็แค่เท่านั้น”
“ไม่ ไม่ใช่เช่นนั้น เจ้าไม่คอยลองแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเราไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้? เจ้าสามารถปฏิเสธข้าอย่างโหดร้ายได้แต่ไม่สามารถห้ามข้าไม่ให้รักได้ ไม่ยอมรับความชอบของข้า?” หานฉายไฉ่ตาแดง เส้นเลือดเด่นชัดขึ้นมา
“เพราะข้ารู้ดีว่าคนเช่นไรถึงเหมาะกับข้า หานฉายไฉ่ เจ้าไม่รู้เลยหรือว่าความชอบของเจ้าได้ขัดขวางข้า เจ้าน่าจะรู้ดีว่า สำหรับสิ่งที่ขัดขวางข้านั้น ข้าล้วนแต่จะลบทิ้งออกไปอย่างไม่เกรงใจ” มู่ชิงเกอเอ่ยด้วยสีหน้าที่สงบ นิ่งมองไปยังเขา
ในที่สุดหายฉายไฉ่ก็นิ่งลง เขามองมู่ชิงเกออย่างยาวนานแล้วถึงได้ส่ายหน้ายิ้ม อย่างขมขื่น “เจ้าช่างเป็นผู้หญิงที่ใจร้ายจริงๆ ข้ารู้แล้ว ข้าจะจัดการตัวเองให้ดี จะไม่ทำผิดพลาดซํ้าอีก แต่ข้ายังคงขอพูดประโยคนั้นอีกครั้ง ขอเพียงเจ้ายังไม่แต่ง งาน ข้าก็จะไม่ยอมตัดใจ” หานฉายไฉ่พูดจบแล้วก็หันกายจากไป
เงาหลังนั้นดูอ้างว้าง อ่อนแอราวกับว่าแค่ลมพัดมาก็จะล้มลง