ตอนที่ 280
อยากแต่งกับซางเสวียอู่? เจ้าคู่ควรหรือ!
“เมืองฝูซานี่สมชื่อเสียจริง!” มู่ลั่วฟงเอามือปิดปากปิดจมูก ในแววตาเต็มไปด้วยความรังเกียจ
มู่เฉินที่เดินอยู่ข้างหลังเขา กวาดตามองมาเอ่ยปากเตือนเบาๆ “ลั่วฟง ระวังวาจาด้วย”
ส่วนลึกในสายตามู่ลั่วฟงเป็นประกายเย็นชาแวบหนึ่ง เพียงแต่ไม่มีผู้ใดมองเห็น เขาหันสายตากลับมา ก็เปลี่ยนไปมีท่าทีเชื่อฟัง ว่านอนสอนง่าย “ท่านลุง ข้าก็แค่พูดไปตามความจริง ท่านดูสิสายลมพัดผ่านก็นำมาซึ่งฝุ่นละอองดินทราย ช่างสอดคล้องกับชื่อเมืองยิ่งนัก”
มู่เฉินมองเขาสายตานิ่งๆ ลอบถอนหายใจอยู่ภายในใจ แต่ก็เอ่ยชี้แจงว่า “เมืองฝูซามีตระกูลซางเป็นหลัก ตระกูลซางเป็นตระกูลเก่าแก่ เป็นอาจารย์หลอม ศาสตราที่มีพรสวรรค์อยู่ในสายเลือด เมืองที่พวกเขาอาศัยอยู่ย่อมถือเอาเรื่องของการหลอมศาสตราเป็นหลัก ภายในเมืองฝูซาร้านค้าส่วนใหญ่ต่างก็จำหน่าย วัตถุดิบที่ใช้หลอมศาสตรา ผลิตอาวุธยุทธภัณฑ์ ยังมีวางขายอาวุธยุทธภัณฑ์เป็นหลัก ฝุ่นละอองย่อมต้องมีมากกว่าเมืองอื่นๆ เป็นเรื่องธรรมดา อีกอย่างที่นี่ตั้งอยู่ แถบตะวันตกเดิมทีก็เป็นพื้นที่ซึ่งมีพายุทรายค่อนมากมากอยู่แล้ว เมื่อลมพัดมาก็มีฝุ่นละอองดินทรายไม่เห็นจะมีอะไรแปลก”
“เข้าใจแล้ว ท่านลุง” มู่ลั่วฟงเอ่ยยิ้มสู้
แต่ดูจากท่าทางการแสดงออกของเขา มู่เฉินมองก็รู้แล้วว่าเขาฟังไม่เข้าหัว หรือพูดได้ว่าเขาไม่สนใจที่จะฟัง
มู่เฉินได้แต่ส่ายหน้าอยู่ในใจ เอ่ยเตือนสติ “ในเมื่อเจ้าอยากจะเกี่ยวดองกับตระกูลซาง สู่ขอสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเขตภาคตะวันตก แม้อย่างน้อยที่สุดความ เคารพต่อตระกูลซาง ต่อเมืองฝูซายังไม่มีแล้วละก็ ข้าก็มองว่าข้าคงไม่จำเป็นต้องไปเอ่ยปากสู่ขอเรื่องของเจ้ากับตระกูลซางแล้วกระมัง”
“ท่านลุง ไม่ได้นะ!” มู่ลั่วฟงร้อนใจขึ้นมาทันที เขาหันกลับมามองและเอ่ยกับมู่เฉินว่า “ท่านรับปากข้าไว้แล้ว ว่าหากข้าทะลวงขั้นได้ ก็จะช่วยข้าจัดการเรื่องงานมงคล ลั่วฟงเองก็อายุไม่ใช่น้อยแล้ว หากว่าข้างกายไม่มีสตรีคอยดูแล จะทุ่มเทฝึกยุทธ์อย่างเต็มกำลังความสามารถได้อย่างไร?”
“หากจ้าสามารถทะลวงระดับพลังขั้นสีเงินแล้วค่อยมาเอ่ยประโยคนี้กับข้า ข้าจะชื่นใจมาก” มู่เฉินเอ่ยอย่างจนใจ
อะไรคือการที่ไม่มีสตรีดูแลอยู่ข้างกายแล้วจะไม่สามารถทุ่มเทฝึกยุทธ์ได้? เห็นได้ชัดว่าเป็นอารมณ์รักใคร่ของคนหนุ่มที่ด้องการแต่งภรรยา!
มู่เฉินไม่ใช่คนโง่ เหตุใดจึงจะมองไม่ออก?
แต่ว่า เขาไม่อยากเลือกสตรีที่จะมาปรนนิบัติดูแลมู่ลั่วฟงแบบลวกๆ ทำให้เขาไม่มีกะจิตกะใจฝึกยุทธ์จึงเสนอขึ้นมาว่า หากต้องการตบแต่งภรรยาจะต้องเลือกคนที่คู่ควร
ทว่าไม่คิดเลยว่ามู่ลั่วฟงจะเสนอออกมาเอง สาวงามอันดับหนึ่งแห่งเขตภาคตะวันตก ซางเสวี่ยอู่ของตระกูลซางก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว
นี่จึงเป็นเหตุให้เขาออกจากดินแดนอันเงียบสงบ เดินทางมุ่งหน้าไปยังเขตภาคตะวันตกในครั้งนี้
“ท่านลุง ตอนนี้ข้าทะลวงระดับพลังชั้นสีเทาขั้นหกแล้ว ห่างจากระดับพลังขั้นสีเงินก็แค่หนึ่งเส้นขนเท่านั้น การเข้าถึงระดับพลังขั้นสีเงินเป็นเรื่องแค่ช้าเร็วเท่านั้น ท่านมักจะเตือนข้าอยู่เสมอว่า การฝึกพลังยุทธ์จะใจร้อนไม่ได้ เป็นเรื่องของน้ำมาคลองก็เกิด ตอนนี้ทำไมท่านจะต้องมาเร่งรีบด้วยเล่า?” มู่ลั่วฟงเอ่ยอย่างอดไม่อยู่
ในใจของเขายังคงมีความชิงชัง คั่งแค้น? ไม่รู้ว่ามู่ชิงเกอตายในนํ้ามือของตระกูลเหยียนกับตระกูลซูอยู่ที่เมืองอันม๋อเฉิงไปหรือยัง หากว่ายังไม่ตายก็ดีเลย! รอให้เขาทะลวงระดับพลังชั้นสีเงินแล้วไปหาเขา หลังจากทำให้เขาอัปยศอดสูแล้วค่อยสังหารเขาทิ้ง ชิงตัวบ่าวรับใช้สะสวยงดงามดั่งบุปผาราวกิ่งหยกสองคนนั้นกลับมา ให้พวกนางได้รู้ว่าใครเป็นเจ้านายที่แท้จริงของพวกนาง!
“ผู้อาวุโสใหญ่ ด้านหน้ามีโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง” ทันใดนั้นมู่เผิงก็เอ่ยแทรกขึ้น ขัดบทสนทนาที่ไม่ค่อยสุนทรีระหว่างมู่เฉินกับมู่ลั่วฟง
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองดูอยู่ครู่หนึ่ง โรงเตี๊ยมแห่งนั้น ตกแต่งได้ราบเรียบแต่ก็ไม่ได้ซอมซ่อ แล้วจึงพยักหน้า ออกคำสั่งกับมู่เผิง “พักที่นี่ก่อนก็แล้วกัน พรุ่งนี้ค่อยไปที่ตระกูลซาง”
เขาตัดสินใจแล้ว มู่เผิงก็กวักมือเรียกองครักษ์ที่คิดสอยห้อยตามมาขึ้นหน้าไปตระเตรียมก่อน
มู่ลั่วฟงมองไปยังโรงเตี๊ยมแห่งนั้นกลับมีสีหน้ารังเกียจ ลอบเอ่ยขึ้นในใจว่า ‘สถานที่ทรุดโทรมเช่นนี้ยังให้ข้าอาศัยอีก? ข้าเป็นถึงนายน้อยตระกูลมู่! เหตุใดไม่หาโรงเตี๊ยมที่หรูหราสักแห่งนะ’
แต่ว่าเขาก็ไม่กล้าที่จะขัดขืนการตัดสินใจของมู่เฉิน แม้ว่าในใจจะรังเกียจมากมายเพียงใด ก็ทำได้เพียงฝืนใจตามไป
บ่าวรับใช้ของเขาสัมผัสได้ว่าเขาไม่เบิกบานใจ ก็รีบเอ่ยขึ้นเบาๆ “นายน้อย พรุ่งนี้ก็ได้พบกับสาวงามอันดับหนึ่งของเขตภาคตะวันตกที่เลื่องลือแล้ว เรื่องเล็กน้อย บางอย่างก็อย่าไปเก็บมาใส่ใจเลย”
มู่ลั่วฟงสายตาเป็นประกาย สลัดความไม่พอใจเรื่องโรงเตี๊ยมออกไปทันที เขาสะบัดหน้าเอ่ยกับบ่าวรับใช้ว่า “หากว่าพรุ่งนี้ได้พบกับซางเสวี่ยอู่ผู้นั้นแล้ว แล้วไม่ได้งดงามเช่นที่เจ้าพรรณนามา คอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการกับเจ้าอย่างไร!”
บ่าวรับใช้เอ่ยด้วยสีหน้าเหยเก “นายน้อย ข้า…ข้าเองก็ฟังคนอื่นพูดมา! นางได้รับยกย่องว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของเขตภาคตะวันตก ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางขี้ริ้วขี้เหร่หรอกขอรับ”
“หึ” มู่ลั่วฟงกลับแค่นเสียงเย็นชา เชิดหน้าเดินตามมู่เฉินเข้าไปด้านในโรงเตี๊ยม
ด้านในโรงเตี๊ยมหลังจากจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว มู่เฉินก็เรียกมู่เผิงไปที่ห้องของตนเอง
ทั้งสองเอ่ยสนทนากันเบาๆ
“ผู้อาวุโสใหญ่ พวกเราจะต้องไปเจรจาสู่ขอให้นายน้อยจริงหรือ? นายน้อยมู่เฟิงอายุมากกว่าเขาตั้งหลายปี ยังไม่เคยคิดเรื่องคู่ครองเลย เอาแต่ทุ่มเทฝึกยุทธ์” มู่เผิงเอ่ยด้วยความไม่พอใจอยู่บ้าง
มู่เฉินถอนหายใจไร้เสียง “เขาร้องขอออกมา ข้าก็ใช้เรื่องการเลื่อนระดับพลังยุทธ์ทำให้เขาลำบากใจ ถึงตอนนี้เขาทะลวงขั้นได้แล้ว ข้าจะตระบัดสัตย์ได้อย่างไร?”
“แต่ว่า…ท่านไม่กลัวว่าหลังจากที่แต่งงานไปแล้ว เขาจะเอาแต่ลุ่มหลงในความรัก ละทิ้งการฝึกยุทธ์จริงๆ น่ะหรือ?” มู่เผิงเอ่ยด้วยความกังวล
“ดังนั้นสตรีที่จะเป็นคู่ครองจึงต้องเลือกเฟ้นอย่างระมัดระวัง ตบแต่งภรรยาที่ดีมีคุณธรรม หากเลือกภรรยาผิดก็จะเป็นการทำลายลั่วฟงไปทั้งชีวิต’’ มู่เฉินเอ่ยเสียงจริงจัง
ทั้งสองเงียบกันไปครู่หนึ่ง เขาจึงเอ่ยขึ้นต่ออีกว่า “ซางเสวี่ยอู่ถูกจัดอันดับอยู่บนทำเนียบฉูเฟิ่ง พลังความสามารถและพรสวรรค์ไม่อาจดูเบา รวมทั้งในตัวนางยังมี สายเลือดของอาจารย์หลอมศาสตราตระกูลซาง ได้รับการให้ความสำคัญจากตระกูลซาง หากพวกเราสามารถแต่งงามเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลซางได้จริง ไม่แน่ว่าอาจเป็นกำลังเสริมสายหนึ่งของเราก็เป็นได้อีกอย่างข้าได้ ยินมาว่าซางเสวี่ยอู่นิสัยจิตใจดี เป็นคนคิดถึงประโยชน์ส่วนรวม มีนํ้าอดนํ้าทน สตรีเช่นนี้ช่างเหมาะกับที่ลั่วฟงต้องการ พรุ่งนี้ไปที่ตะกูลซางได้เห็นกับตาตนเอง หากเป็นเช่นคำเล่าลือ การที่ลั่วฟงจะแต่งกับนางก็ไม่เลว”
“ถึงอย่างไรตระกูลซางก็เป็นตระกูลเก่าแก่ จะเห็นนายน้อยอยู่ในสายตาหรือ?” มู่เผิงยังคงกังวลอยู่บ้าง แม้ว่าตระกูลมู่จะมีประวัติศาสตร์ยาวนาน แต่ตระกูลมู่ ในตอนนี้ตกต่ำมาโดยตลอด ไม่มีชื่อเสียงอะไรในโลกแห่งยุคกลาง อีกอย่างพวกเขาก็แยกตัวออกมาแล้ว อาศัยอะไรที่ตระกูลซางจะยกบุตรสาวให้?
มู่เฉินบ่นพึมพำอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “หากเป็นตระกูลซางก่อนหน้านี้ ย่อมไม่อาจเป็นไปได้ แต่ในตอนนี้ตระกูลซางตกตํ่าลง อยู่ในสภาวะวิกฤต ความรุ่งโรจน์ไม่เป็นดังเช่นวันวาน เป็นเวลาที่ต้องการกำลังใหม่ๆ เข้าไปร่วม พรสวรรค์ของลั่วฟงก็ไม่เลว ยังมีพวกเราอีกก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
เมื่อเห็นว่ามู่เฉินตัดสินใจแล้วมู่เผิงก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ผ่านไปครู่หนึ่ง มู่เฉินก็เอ่ยกับมู่เผิงว่า “ในเมื่อมาแล้ว เจ้าก็ส่งคนไปสืบข่าวที่กองกำลังหลิวเค่อดูเสียหน่อย ระยะนี้ที่โลกแห่งยุคกลางมีเรื่องอะไรสำคัญเกิดขึ้นบ้าง แล้วก็สืบร่องรอยของนายน้อยมู่ด้วย แผนที่อยู่กับเขา ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ต้องร่วมมือกับเขา มิฉะนั้นแล้วเท่ากับว่าลั่วฟงมองไม่เห็นโอกาสเลยจริงๆ”
มู่เผิงหลุบตาลงตา ก้มหน้ารับคำ “ขอรับ”
เมืองฝูซา ตระกูลซาง
จวนตระกูลซางไม่มีของประดับตกแต่งวิจิตรหรูหรา เพียงแค่ให้คนรู้สึกถึงความเรียบง่ายทว่าหนักแน่นชนิดหนึ่ง อายุของเสาต้นใดต้นหนึ่งที่อยู่ในเรือนเกรงว่าจะมีอายุมากกว่าผู้อาวุโสตระกูลซางเสียอีก
จวนที่มั่นคงสงบเงียบ ใครเล่าจะคิดว่าด้านในคนเริ่มเหลือน้อยเข้าไปทุกที สายเลือดก็เบาบาง?
เข้าไปในตระกูลซาง ที่ไหนๆ ก็มีแต่เสียงหลอมศาสตรา แม้แต่ในอากาศก็มีกลิ่นอายของวัตถุดิบที่ใช้ในการหลอมศาสตรา
คนนอกเข้ามาบางทีอาจรู้สึกปรับตัวไม่ได้ แต่ว่าสำหรับคนตระกูลซางแล้ว สภาพแวดล้อมเช่นนี้ถึงจะทำให้เขารู้สึกสบายที่สุด ตั้งแต่วันที่กลับมาจากทุ่งหญ้าอัสดง ผู้อาวุโสสามต้องรายงานสถานการณ์กับท่านประมุข และตอนนั้นเองเขาก็เจาะจงเรียกซางเสวี่ยอู่ไปด้วย ซางเสวี่ยอู่จึงทำได้เพียงนำโอสถจักรพรรดิจากเมืองอู๋อิ๋นมอบให้กับซางอี้เฉินให้เขากลับไปก่อนมอบโอสถจักรพรรดินี้ให้มารดา ส่วนเรื่องของมู่ชิงเกอยังไม่ต้องเอ่ย ทุกอย่างรอให้นางกลับไปก่อนแล้วค่อยคุยกัน
ซางเสวี่ยอู่เดินตามผู้อาวุโสสามมาถึงโถงของท่านตา ยืนรออยู่ด้านนอกประตู
ไม่นานก็มีบ่าวรับใช้เดินออกมาเรียก
ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้อง ซางเสวี่ยอู่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วจึงเดินตามผู้อาวุโสสามเข้าไปในห้อง
ห้องหนังสือของประมุขตระกูลซาง รูปแบบก็คือคลังอาวุธยุทธภัณฑ์ขนาดย่อมแห่งหนึ่ง กำแพงโดยรอบล้วนแขวนอาวุธยุทธภัณฑ์ประเภทต่างๆ เต็มไปหมด แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของจำลอง ไม่ได้มีอานุภาพในการสังหาร ทำลายล้างแต่อย่างใด
ซางเสวี่ยอู่ทราบดีว่า ในห้องนี้อาวุธยุทธภัณฑ์เพียงหนึ่งเดียวที่สามารถสังหารคนได้จริงๆ ก็คือมีดสั้นเล่มที่วางอยู่บนโต๊ะหนังสือของท่านตา
ตอนที่เข้าไปนั้น ซางซุ่นหวางกำลังเช็ดถูมีดสั้นเล่มนั้นอย่างพิถีพิถัน ราวกับว่าไม่รู้สึกถึงการมาของคนทั้งคู่ ผู้อาวุโสสามและซางเสวี่ยอู่เองก็เพียงรออยู่อย่างเงียบๆ ไม่ได้ส่งเสียงรบกวนใดๆ
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป ซางซุ่นหวางถึงได้นำมีดสั้นที่เช็ดถูอย่างพิถีพิถันเสร็จแล้ว นำกลับไปวางไว้บนชั้นวางมีดบนโต๊ะ เงยหน้าขึ้นมองผู้ที่ยืนอยู่กลางห้องทั้งสองคน
ใบหน้าหล่อเหลาไม่เสื่อมคลาย กลับมีจอนผมสีดอกเลา สิ่งที่ทำให้ผู้คนจดจำได้ลึกซึ้งก็คือดวงตาลึกลํ้าราวเพทายคู่นั้น
ภายใต้สายตาที่จับจ้องมา ซางเสวี่ยอู่ก็เอ่ยทักทาย “ท่านตา”
ซางซุ่นหวางพยักหน้าช้าๆ พลังยุทธ์แกร่งกล้าทำให้อายุ ไม่อาจทิ้งริ้วรอยบนใบหน้าเขาได้ แต่อนาคตของตระกูลซางกลับท่าให้จอนผมทั้งสองข้างของเขากลายเป็นสีขาว
มิฉะนั้นแล้ว จากรูปลักษณ์ภายนอกของเขา ไม่มีผู้ใดคิดว่าตอนนี้เขามีอายุ 108 ปีแล้ว ดูคล้ายชายวัยกลางคนอายุราว 30-40 ปี
“เสวี่ยอู่บังเอิญพบกับผู้อาวุโสสามรึ” ซางซุ่นหวางเอ่ยปาก นํ้าเสียงหนักแน่นแฝงความน่าเกรงขามของประมุข
ผู้อาวุโสสามหัวเราะ เอ่ยด้วยความเคารพ “พี่ใหญ่ เสวี่ยอู่อยู่ที่เมืองอู๋อิ๋น ได้ยินข่าวเรื่องงานล่าสัตว์ครั้งใหญ่ถึงได้ไปพบกับพวกเราที่เมืองหลิวหั่วเฉิง”
“อืม” ซางซุ่นหวางพยักหน้าลงเล็กน้อย ฟังจากนํ้าเสียง ไม่บ่งบอกอารมณ์ เพียงแค่เอ่ยถามว่า “ผลลัพธ์ครั้งนี้เป็นเช่นไร?”
ผู้อาวุโสสามถอนหายใจ เอ่ยพลางยิ้มประหลาด “ครั้งนี้อันตรายน่าตกใจอยู่หลายส่วน และน่ายินดีอยู่หลายส่วน!”
“หืม?” ซางซุ่นหวางส่งสายตาถาม ทันใดนั้นเองผู้อาวุโสสามก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในทุ่งหญ้าอัสดง ทยอยเล่าออกมาจนหมด
รวมถึง เรื่องที่ซางเสวี่ยอู่เจออิ๋งชวนที่เมืองอู๋อิ๋น จากนั้น เกิดเรื่องทะเลาะวิวาท หลังจากนั้นอิ๋งเจ๋อก็สร้างเรื่องลำบากใจให้ที่ทุ่งหญ้าอัสดง เล่าออกมาจนหมด พูดจนจบที่งานแข่งขันล่าสัตว์ครั้งใหญ่สิ้นสุดลง
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ผู้อาวุโสสามใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วยามในการเล่ามันออกมา
เมื่อเล่าจบ เขาก็รู้สึกว่าลำคอแห้งผาก ซางเสวี่ยอู่รู้หน้าที่จึงรินนํ้าชายื่นไปตรงหน้าเขา ผู้อาวุโสสามรับมา และเอ่ยกับนางว่า “ยังคงเป็นเสวี่ยอู่น่ารักที่สุด”
จากนั้นก็ยกถ้วยนํ้าชาดื่มจนหมด ถึงได้รู้สึกสบายขึ้นมาบ้าง
“ผู้อาวุโสสาม ครั้งนี้ลำบากท่านแล้ว กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ” หลังจากที่ซางซุ่นหวางฟังจบ คล้ายกับว่าไม่ได้แสดงออกถึงท่าทางตื่นเต้นอะไรเป็นพิเศษ เพียงแค่ให้ผู้อาวุโสสามกลับไปพักผ่อน
ผู้อาวุโสสามชะงัก ยิ้มแห้งๆ วางถ้วยชาลงและขอตัวออกไปจากห้อง
ซางเสวี่ยอู่เองก็เตรียมตัวจะขอตัวออกไปพร้อมกัน แต่เสียงของซางซุ่นหวางก็แว่วมาว่า “เสวี่ยอู่อยู่ก่อน”
ผู้อาวุโสสามส่งสายตาปลอบโยนนางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนก้าวเท้ายาวๆ เดินจากไป ซางเสวี่ยอู่ทำได้แค่เพียงหันหลังกลับมา เผชิญหน้ากับท่านตาใหม่อีกครั้ง
พูดตามตรง การเผชิญหน้ากับซางซุ่นหวางเพียงลำพัง ในใจของซางเสวี่ยอู่เป็นกังวลไม่น้อยทีเดียว ไม่ใช่แค่เพียงพลังอำนาจในกายของซางซุ่นหวาง ยังเป็นเพราะซางเสวี่ยอู่กลัวว่าจะถูกถามเรื่องของพี่สาว
เป็นจริงตามคาด ซางซุ่นหวางเดินมาอยู่ตรงหน้านาง ร่างกายสูงยาวของเขามายืนต่อหน้าซางเสวี่ยอู่ นางรู้สึกถึงความกดดันชนิดหนึ่ง
“มู่ชิงเกอหรือ?”
ซางเสวี่ยอู่หลุบตาลงตํ่า ขนตาเป็นแพยาวซ่อนอารมณ์ความรู้สึกในสายตา
ดวงตาลึกลํ้าของซางซุ่นหวางจ้องมองนางอยู่เนิ่นนาน ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เป็นนานสองนานก่อนจะพยักหน้าช้าๆ “มีความเด็ดเดี่ยวและพลังความสามารถ เดินทางมาจากหลินชวน เป็นเด็กดีคนหนึ่งทีเดียว”
ซางเสวี่ยอู่เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว เบิกตาอ้าปากค้าง มองดูท่านตา
ซางซุ่นหวางแค่นเสียงเย็นชา เอ่ยกล่าวโทษขึ้นว่า “มารดาของพวกเจ้าเป็นบุตรสาวของข้า เจ้าคงไม่คิดว่าข้าผู้ซึ่งเป็นบิดา จะไม่รู้ว่าบุตรที่ลูกสาวตนเองให้กำเนิดมีชื่อเรียกว่าอะไรใช่หรือไม่?”
ซางเสวี่ยอู่สีหน้าซีดเผือดลงในทันที ตั้งแต่เล็กนางดูท่านตาไม่ออกเลย เดาความคิดของเขาไม่ออก มั่นใจได้เพียงแค่ว่าเขารักและเอาใจใส่พวกนางสองคนพี่น้องและมารดาจริงๆ แต่ว่ากับพี่สาวล่ะ?
พี่สาวที่ถูกทิ้งไว้ที่ตระกูลมู่หลินชวน ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน ท่านตาจะรู้สึกเช่นไร?
“ไปพบมารดาเจ้าเถอะ”
ในขณะที่นางไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร จู่ๆ ซางซุ่นหวางก็ปล่อยนางไป
ซางเสวี่ยอู่พยักหน้า หันหลังเดินจากไป
เมื่อเท้าข้างหนึ่งของนางก้าวพ้นนอกประตูไป เสียงของซางซุ่นหวางก็ลอยตามมา “ต่อไปหากว่ามีใครกล้าดูหมิ่นเจ้าอีก สังหารมันทิ้งได้เลย แม้ตระกูลซางจะไม่ เหมือนก่อน แต่คุณหนูตระกูลซางก็ไม่ใช่คนที่ใครจะมารังแกได้”
ซางเสวี่ยอู่หลังแข็งทื่อ ส่วนลึกในตาเป็นประกายนํ้าตารื่น
นางกัดริมฝีปากล่างไม่ให้ตนเองร้องไห้ออกมา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ข่มอารมณ์ในใจ เอ่ยรับคำว่า “เจ้าค่ะ ท่านตา!”
ซางเสวี่ยอู่จากไปแล้ว เสียงฝีเท้าค่อยๆ หายไปจากการได้ยินของซางซุ่นหวาง
เวลานี้เอง ส่วนลึกในตาของเขาก็เป็นประกายความรู้สึก สับสนวุ่นวายระลอกหนึ่ง ถอนหายใจและพึมพำออกมาเบาๆ “มู่ชิงเกอ…”
ภายในจวนตระกูลซางที่โอ่อ่ากว้างขวาง มีสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไกลที่สุด
เรือนตรงนั้นเคยถูกทิ้งร้างมาก่อน
ภายหลังที่ซางหลันรั่วกลับมาจากหลินชวน ที่นั้นก็กลายเป็นบ้านของพวกนาง
นี่ไม่ใช่การตัดสินใจของซางซุ่นหวาง แต่เป็นสิ่งที่ซางหลันรั่วเป็นผู้เลือกเอง นางบอกว่าไม่ต้องการได้รับความวุ่นวายจากโลกภายนอก และไม่ต้องการถูกรบกวน ความเงียบสงบ
ดังนั้นซางซุ่นหวางจึงมีคำสั่ง ไม่ว่าผู้ใดหากไม่มีความจำ เป็น ไม่อนุญาตให้ก้าวเข้ามาที่นี่แม้เพียงก้าวเดียว
เวลาค่อยๆ ล่วงเลยผ่านไป 19 ปีต่อมา ที่นั้นก็กลายเป็นพื้นที่หวงห้ามของตระกูลซาง
ส่วนซางหลันรั่วก็ทำราวกับว่ากักบริเวณตนเอง น้อยครั้งที่จะก้าวออกมา ทุกครั้งที่ปรากฎตัวล้วนเป็นเรื่องของการฟื้นคืนชีพของมู่เหลียนเฉิง
หลังจากที่ซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินค่อยๆ เติบโตเป็นผู้ใหญ่ เรื่องที่ต้องข้องเกี่ยวกับโลกภายนอกล้วนให้พวกเขาออกหน้า ส่วนนางก็ตั้งมั่นอยู่ในเรือนเป็นเพื่อนมู่เหลียนเฉิง
ซางอี้เฉินก้าวเท้าเข้าไปในเรือนเล็ก จากไปเดือนกว่าเกือบจะไม่คุ้นเคยกับอุณหภูมิในบ้านนัก
ที่นี่หนาวมาก เป็นสถานที่ในตระกูลซาง หรืออาจพูดได้ว่าเป็นที่ที่หนาวที่สุดในเมืองฝูซา เพราะว่าสถานที่แห่งนี้ ด้านล่างของเรือนหลังนี้มีอุโมงค์นํ้าแข็ง ศพของบิดาก็วางอยู่ในนั้น ที่นั้นเป็นสถานที่ที่มารดาอยู่เป็นประจำทุกวันนานที่สุด
ซางอี้เฉินกระแอมขับไล่ความหนาว หลังจากปรับตัวได้แล้วก็มุ่งหน้าเดินเข้าไปในห้อง
“ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว!” เมื่อเข้าไปในเรือน ซางอี้เฉินก็ตะโกนเสียงดัง
แต่ว่า ในเรือนกลับไม่มีเสียงคนตอบรับ
“ท่านแม่?” ซางอี้เฉินเดินตามหาหนึ่งรอบ หลังจากมั่นใจแล้วว่าในเรือนไม่มีคนอยู่ แววตาของเขาก็ฉายแววร้อนใจ เขากุมกล่องที่บรรจุโอสถจักรพรรดิในมือไว้แน่น เดินไปทางห้องมารดา
ทางเข้าห้องเก็บความเย็นเชื่อมต่อกับห้องของมารดา เปิดประตูลับด้วยความชำนาญ เดินลงบันไดไป ความหนาวเย็นที่ทำร้ายผู้คนบีบใกล้เข้ามา ทำให้มือเท้าของผู้คนชากระดิกแทบไม่ได้
ซางอี้เฉินเคลื่อนพลังจิตภายในร่างกาย ขับไล่ความหนาวเย็นที่ห้อมล้อมเขาไว้ เดินเข้าไปในส่วนลึกของอุโมงค์นํ้าแข็ง
เมื่อเข้าไปใกล้ เขาก็ได้ยินเสียงมารดาแว่วมา
“เหลียนเฉิง เจ้านอนมานานเหลือเกิน หากเจ้ายังไม่ฟื้นขึ้นมา ข้าก็คงแก่แล้ว”
ในใจซางอี้เฉินฉายแววความปวดใจ ก้าวเท้าเดินเข้าไปด้านในช้าๆ
เดินลงบันไดมาเขาก็มองเห็นด้านในอุโมงค์นํ้าแข็ง บิดาที่นอนอยู่บนนํ้าแข็งทมิฬพันปี ยังมองเห็นมารดาที่นั่งอยู่ข้างๆ ใช้ผ้าเช็ดถูไปตามแขน ทำความสะอาดร่างกายให้เขา
ความจริงแล้ว บิดานอนอยู่ที่นี่ ไม่ได้เปรอะเปื้อนฝุ่นละอองใดๆ
แต่ว่ามารดากลับยึดมั่นในความคิดที่ว่า พายุทรายในเมืองฝูซามีมากเกินไป กลัวว่าบิดาจะรังเกียจว่าสกปรก ดังนั้นนางจึงมาเช็ดร่างกายให้บิดาแทบจะทุกวัน
จากนั้น คำที่พูดก็เป็นเช่นนี้ ผ่านมาหลายปี นางก็ยังคงทำเช่นนี้ซ้ำๆ ไม่เคยละทิ้งแม้แต่น้อย
“ท่านแม่” ซางอี้เฉินร้องเสียงดัง สตรีที่นั่งหันหลังให้เขา หยุดมือไปชั่วขณะ เงยหน้าขึ้นช้าๆ เผยใบหน้างดงามสะกดสายตาผู้คน
ไม่พูดไม่ได้เลยว่า สตรีที่ให้กำเนิดบุตรธิดาที่หน้าตางดงามเช่นมู่ชิงเกอ ซางเสวี่ยอู่ ซางอี้เฉิน ย่อมไม่อัปลักษณ์น่าเกลียดอย่างแน่นอน! แต่ว่าบนโครงหน้างดงามที่ชวนให้ผู้คนตกตะลึงนี้ กลับมีผิวที่ซีดขาวกว่าทั่วไปและผ่ายผอม
ซางหลันรั่วพอเห็นซางอี้เฉิน ก็ยิ้มให้เขาเล็กน้อย กวักมือเรียก “มานี่”
ซางอี้เฉินมุ่งหน้าเดินเข้าไป มาคุกเข่าอยู่ข้างกายบิดา
ท่านอนของบิดายังคงเป็นเหมือนเคย ส่วนมารดาคล้ายกับว่าจะผ่ายผอมลงอีก
ซางหลันรั่วจูงมือซางอี้เฉิน มองหน้ามู่เหลียนเฉิงและเอ่ยบอกกับเขาว่า “เหลียนเฉิง อี้เฉินของพวกเรากลับมาแล้ว อยากฟังหรือไม่ว่าเขาออกไปครั้งนี้ มีเรื่องอะไรน่าสนใจเกิดขึ้นบ้าง?”
ว่าแล้วนางก็หันกลับไปมองซางอี้เฉิน เอ่ยบอกเขาว่า “ยังไม่เล่าให้ท่านพ่อเจ้าฟังอีกว่าครั้งนี้ออกไปเจออะไรบ้าง? ก่อเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
ซางอี้เฉินมองมารดาด้วยความปวดใจ เม้มริมฝีปากแน่น ตัวสั่นเล็กน้อย
ภายใต้สายตาจ้องมองมาของมารดา เขาหันศีรษะมองไปยังบิดา ความลับในใจไม่อาจปิดบังต่อไปได้อีก และไม่อาจทนรอจนซางเสวี่ยอู่กลับมาถึงได้ “ท่านพ่อ ครั้งนี้ที่ข้าออกไป ได้พบกับพี่สาวแล้ว พี่สาวของข้ากับเสวี่ยอู่ มู่ชิงเกอ!”
ตึง!
อ่างนํ้าที่อยู่ข้างตัวซางหลันรั่วล้มควํ่า นํ้าที่อยู่ในนั้นกระฉอกกระเซ็นออกมากลางอุโมงค์น้ำแข็ง แข็งตัวเป็นก้อนนํ้าแข็ง
ดวงตาทั้งคู่ของนางเบิกกว้าง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความตื้นตันและความตระหนก เอ่ยด้วยลมหายใจกระชั้น “เจ้าว่าอย่างไรนะ? เจ้าบอกว่าเจ้าพบใคร?”
ชุดอาภรณ์ของซางอี้เฉินถูกมารดาฉุดรั้ง บังคับให้เขาหันกลับมา
สายตาของซางอี้เฉินตกลงที่มือของซางหลันรั่ว มือบวมแดงเพราะความหนาวเย็นทำเอาใจเขาปวดร้าวยิ่งนัก เขาประคองซางหลันรั่วให้ลุกขึ้นจากพื้นนํ้าแข็ง เอ่ยกับนางว่า “ท่านแม่ พวกเราออกไปกันก่อนเถอะ ออกไปแล้วค่อยว่ากัน”
“ไม่! ข้าจะให้เจ้าเอ่ยออกมาตรงนี้ เอ่ยต่อหน้าข้ากับท่านพ่อของเจ้าให้ชัดเจน เจ้าพบใครมา?” ซางหลันรั่วเอ่ยยืนกราน
ซางอี้เฉินเข้าใจลักษณะนิสัยของมารดา ทำได้เพียงเอ่ยว่า “ข้าได้เจอพี่สาว มู่ชิงเกอ นางมาจากหลินชวนแล้ว!”
ซางหลันรั่วซวนเซไปชั่วครู่ ราวกับว่าเรี่ยวแรงทั้งร่างของนางปลิวจากไป
“ท่านแม่!” ซางอี้เฉินรีบไปพยุงนาง ไม่ให้นางล้มลง
“ลูก ลูกของข้า…ลูกผู้อาภัพของข้า…ข้าทำผิดต่อนาง… เกอเอ๋อร์”…” ซางหลันรั่วจับไหล่ของซางอี้เฉินไว้แน่น ร้องไห้ปริ่มจะขาดใจรำพันความรวดร้าวในใจ ราวกับว่า ความคิดถึงและความรู้สึกผิดที่อัดแน่นอยู่ในใจเป็นสิบปี ถูกตีให้พ่ายแพ้ยับเยินในเวลานั้นเอง
เมื่อซางเสวี่ยอู่กลับมาถึงบ้าน ก็เห็นว่าซางหลันรั่วนั่งหลั่งนํ้าตาเงียบๆ บนเก้าอี้ในมือของนางถือรองเท้าเด็กน้อยไว้ข้างหนึ่ง มีท่าทางเหม่อลอยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่บ้าง
รองเท้าข้างนั้น นางรู้จัก มารดาเคยบอกนางว่าเป็นรองเท้าที่พี่สาวมู่ชิงเกอเคยสวมตอนเด็กๆ ปีนั้นที่มารดาออกมาจากตระกูลมู่ พี่สาวร้องไห้ไม่ยอมให้จากมา ท่ามกลางภาวะจำยอมมารดาก็หยิบรองเท้านางมาข้างหนึ่ง บอกกับพี่สาวว่ารอให้นางกลับมาแล้วจะช่วยนางสวมด้วยตนเอง
ซางอี้เฉินยืนอยู่ข้างๆ อย่างไม่รู้ว่าจะเอามือไม้วางไว้ที่ไหน
เมื่อเห็นซางเสวี่ยอู่กลับมา เขาก็ราวกับมองเห็นดาวช่วยชีวิตอย่างไรอย่างนั้น วิ่งไปหานาง
“ท่านแม่เป็นอะไรไป?” ซางเสวิ่ยอู่เอ่ยถามด้วยความร้อนใจ
ซางอี้เฉินเอ่ยด้วยความเกรงอกเกรงใจ “ข้า…ข้าบอกเรื่องที่เจอพี่ใหญ่กับท่านพ่อท่านแม่ไปแล้ว”
“เจ้า!” ซางเสวี่ยอู่เบิกตาโพล่ง โกรธจนกระทืบเท้า “เจ้าก็รู้อยู่ว่าท่านแม่ไม่อาจรับเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจได้ เหตุใดจึงเอ่ยบอกออกมาตรงๆ? ให้เจ้ารอข้า รอข้าก่อน ฟังไม่เข้าใจรึ?”
“ข้า…ข้าก็แค่คิดว่าจะบอกเร็วบอกช้าก็ต้องบอกนี่นา” ซางอี้เฉินเอ่ยด้วยความน้อยใจ
ซางเสวี่ยอู่ตวัดสายตาเชือดเฉือนเขาแวบหนึ่ง ก้าวเท้าเดินไปทางซางหลันรั่ว คุกเข่าอยู่ตรงหน้านาง วางมือทั้งสองข้างลงบนขาของนาง เงยหน้าส่งเสียงเรียก “ท่า แม่…”
เสียงเรียกของบุตรสาวทำให้ซางหลันรั่วได้สติ กระบอกตาบวมแดงที่เอ่อด้วยนํ้าตาคลอจ้องมองซางเสวี่ยอู่ เอ่ยถามนํ้าเสียงแหบแห้ง “เสวี่ยอู่ พี่สาวเจ้าโทษข้า แค้นข้า เกลียดข้าใช่หรือไม่?”
ซางเสวี่ยอูรีบส่ายหน้าทันที ลอบหันศีรษะไปทางซางอี้เฉิน ซางอี้เฉินรีบโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน สื่อความหมายว่าตนเองไม่ได้เอ่ยอะไรทั้งสิ้น เพียงแค่บอกท่านแม่ว่าพบพี่สาวแล้วเท่านั้นเอง
ละสายตากลับมา ซางเสวี่ยอู่เอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบา “ท่านแม่ จะเป็นไปได้อย่างไร? ตอนแรกพี่สาวก็คิดจะกลับมาหาท่านพร้อมพวกเรา แต่ว่ายังมีเรื่องที่ต้องจัดการ นาง จึงมาที่เมืองฝูซาช้าหน่อย”
ซางหลันรั่วส่ายหน้าช้าๆ ท่าทางขมขื่น นางกำรองเท้าเล็กๆ ในมือเอาไว้แน่น เอ่ยขึ้นเสียงอ่อน “ข้าเคยรับปากนางว่า รอให้ข้ากลับไปแล้วจะสวมรองเท้าให้นาง แต่ว่า…ตอนนี้ นางก็สวมไม่ได้อีกต่อไปแล้ว”
“ท่านแม่!” ซางเสวี่ยอู่แสบจมูก
“แม้แต่ตัวข้าเองยังไม่สามารถให้อภัยตนเองได้นางจะไม่โทษข้าได้อย่างไร?” ซางหลันรั่วไม่หยุดที่จะส่ายหน้า เสียงแหบแห้งเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“ท่านแม่ ไม่ต้องไปคิดแล้ว รอให้พี่สาวมาถึง พวกเราค่อยขอร้องให้นางยกโทษให้พร้อมกัน” ซางเสวี่ยอู่เอ่ยปลอบ “ท่านแม่ ข้านำโอสถจักรพรรดิมาจากเมืองอูอิ๋น พวกเรารีบนำไปให้ท่านพ่อทานก่อนเถอะ”
“โอสถจักรพรรดิ?” ซางหลันรั่วได้ยินชื่อนี้แล้ว ดวงตาที่เต็มไปด้วยความอาลัยตายอยากถึงได้กลับมามีชีวิตชีวา นางพยักหน้าช้าๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้
ซางอี้เฉินรีบเอ่ย “ท่านแม่ ให้ข้าไปเถอะ”
เขาทนไม่ได้ที่จะให้มารดาไปเผชิญกับความหนาวเหน็บเข้ากระดูกในเวลานี้ได้จริงๆ จึงเอ่ยออกมาเช่นนี้ เดิมทีเขาคิดว่าตนเองพูดไปก็เท่านั้น เพราะว่าแต่ไหนแต่ไรมา ท่านแม่ไม่เคยยืมมือผู้อื่นไปดูแลท่านพ่อ แม้ว่าจะเป็นบุตรชายหรือบุตรสาว
แต่ว่าครั้งนี้ หลังจากที่ซางอี้เฉินเอ่ยขึ้นมา นางก็นั่งลงไปใหม่อีกครั้ง พยักหน้า
ซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินสบสายตากันด้วยความคิดไม่ถึง ฝ่ายหลังรีบย้อนกลับไปในอุโมงค์น้ำแข็งกลัวว่ามารดาจะหวนกลับเข้าไป
ส่วนซางหลันรั่วกลับจับมือซางเสวี่ยอู่ไว้แน่น เอ่ยถามเสียงสั่นเครือ “เล่าเรื่องพี่สาวของเจ้าให้ข้าฟังหน่อย ตอนนี้นางเป็นอย่างไรบ้าง? อยู่ดีหรือไม่?”
‘ที่แท้ท่านแม่ก็อยากรู้เรื่องพี่สาวนี่เอง จึงไม่คิดปฏิเสธ’ ซางเสวี่ยอู่เอ่ยในใจ
ความมืดมิดยามราตรีคืบคลาน ภายในเมืองฝูซาตกอยู่ในความเงียบสงบอย่างรวดเร็ว
แท้จริงแล้วเป็นเพราะว่าพายุทรายยามคํ่าคืนแรงกว่าตอนกลางวันมากนัก ไม่มีใครปรารถนาจะเดินตากลมบนท้องถนน
คนที่ส่งไปสืบข่าวกลับมาแล้ว รายงานข่าวที่หามาได้ให้กับมู่เผิง
หลังจากได้ฟังรายงานข่าวคราว สีหน้าของมู่เผิงก็ไม่น่าดูอยู่บ้างรีบเดินเข้าไปในห้องของมู่เฉินด้วยความว่องไว
“เจ้าบอกว่ามีคนติดประกาศภารกิจตามหาลั่วฟงไว้ที่กองกำลังหลิวเค่ออย่างนั้นหรือ?” ได้ฟังรายงานจากมู่เผิงแล้ว สีหน้าของมู่เฉินก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที
มู่เผิงพยักหน้า “ตามที่คนกลับมารายงาน ภาพเหมือนของนายน้อยถูกติดไว้ในห้องภารกิจตามหาคนของกองกำลังหลิวเค่อ ขอเพียงให้เบาะแสก็จะมีรางวัลมอบให้อย่างงาม”
“เป็นคนเช่นไรกันที่ต้องการหาตัวลั่วฟง?” มู่เฉินลุกขึ้น ยืนก้าวเท้าเดินมาอยู่ริมหน้าต่าง เขาจับจ้องไปยังทิวทัศน์ของเมืองฝูซายามคํ่าคืน ผ่านม่านที่ขวางกั้น
“ไม่ทราบขอรับ แต่หลังจากที่คนของเราควักเงินไปสืบข่าวคราว ก็ได้ข้อมูลมาเรื่องหนึ่งว่าผู้ที่ติดประกาศเป็นเด็กสาวนางหนึ่ง” มู่เผิงเอ่ยตอบ
“เด็กสาว? นางตามหาลั่วฟงทำไม? หรือว่าจะเกี่ยวกับนายน้อยชิงเกอ? ข้าจำได้ว่าข้างกายนางมีหญิงสาวอยู่ไม่น้อย” มู่เฉินคาดเดา
ทว่ามู่เผิงกลับเอ่ยอย่างคิดไม่ตกว่า “แต่ว่านายน้อยมู่ตามหานายน้อยของพวกเราด้วยเรื่องใดกัน?”
นั่นสิ! มู่ชิงเกอตามหามู่ลั่วฟงทำไมกัน? หากต้องการหา ก็เป็นพวกเขาที่ต้องเป็นฝ่ายไปหาเขา!
เรื่องนี้ มู่เฉินเองก็คิดไม่ออก
“หรือไม่ก็ไปถามนายน้อยดู? ไม่แน่ว่าในใจเขาอาจรู้ดีว่าใครตามหาเขา และตามหาเขาด้วยเรื่องอะไร?” มู่เผิง เอ่ยเสนอความคิดเห็น
มู่เฉินส่ายหน้าช้าๆ “ยังไม่ต้องไปบอกเขา เจ้าส่งคนไปสืบต่อ ดูว่าเป็นใครตามหาลั่วฟงอยู่กันแน่ เมื่อหาตัวอีกฝ่ายเจอแล้ว หลังจากที่ถามทุกอย่างชัดเจนแล้ว พวกเราก็ไปคุยกับนาง หากว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร พวกเจ้าไปจัดการก็พอแล้วไม่จำเป็นต้องไปทำให้เขาแตกตื่น”
“ขอรับ!” มู่เผิงรับคำ
พูดเรื่องนายน้อยตนเองจบแล้ว มู่เผิงก็เอ่ยขึ้นว่า “ผู้อาวุโสใหญ่ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวข้องกับนายน้อยมู่”
“หืม?” ให้มู่เผิงไปสืบข่าวมู่ชิงเกอ เป็นเพียงคำสั่งตามอารมณ์ของมู่เฉินเท่านั้นเอง กลับไม่คิดเลยว่ากองกำลังหลิวเค่อจะมีข่าวของมู่ชิงเกอจริงๆ
มู่เผิงพยักหน้า เอ่ยขึ้นอย่างซับซ้อน “ก่อนหน้านี้ไม่นานกองกำลังหลิวเค่อมีการจัดงานแข่งขันการล่าสัตว์ครั้งใหญ่ที่ทุ่งหญ้าอัสดง นายน้อยชิงเกอปรากฎตัวขึ้นที่นั้น ทำให้ผู้คนตื่นตะลึง!”
ดวงตาทั้งคู่ของมู่เฉินมีความจริงจัง อาการของมู่เผิงทำให้ใจของเขาเต้นอย่างไม่มีสาเหตุ
“ได้ยินว่า กองกำลังเขี้ยวมังกรที่ไม่มีระดับกลายเป็นกองกำลังหลิวเค่อระดับนภาภายในเวลาครึ่งปีนั้น เป็นลูกน้องของเขา อีกอย่างที่ทุ่งหญ้าอัสดงเขาก็มีการประลองฝีมือกับนายน้อยอิ๋งด้วยเรื่องของซางเสวี่ยอู่และมีการประลองกับนายน้อยจีครั้งหนึ่ง และเป็นผู้ชนะการประลอง ยังได้ยินว่าในมือของเขามีสัตว์อสูรที่ทรงพลังตนหนึ่ง ดูเหมือนไม่มีอันตราย แต่ว่าแค่เพียงส่งเสียงคำรามก็ทำให้ผู้ที่มีระดับพลังขั้นตํ่ากว่าสีเงินขั้นหกลงไปต้องศิโรราบ สรุปได้ว่าตอนนี้ชื่อเลียงของนายน้อยมู่ โด่งดังเป็นที่รู้จักในโลกแห่งกองกำลังหลิวเค่อ และตระกูลต่างๆ” มู่เผิงกล่าว
“นายน้อยตระกูลอิ๋งกับนายน้อยตระกูลจีที่เจ้าว่านั้นหมายถึงจีเหยาฮั่วที่จัดอยู่อันดับสอง และอิ๋งเจ๋อที่จัดอยู่อันดับสี่บนทำเนียบชิงอิงใช่หรือไม่?” มู่เฉินเอ่ยด้วยความตื่นตระหนก
มู่เผิงพยักหน้า
มู่เฉินเอ่ยเสียงหลง “นี่จะเป็นไปได้อย่างไรกัน? ตระกูลอิ๋งมีสายเลือดยิ่งใหญ่ ระดับพลังยุทธ์ของอิ๋งเจ๋ออย่างน้อยก็สูงกว่าระดับพลังสีเงินขั้นสี่ขึ้นไป จีเหยาฮั่วผู้นั้น ยิ่งสุดยอดกว่า สายเลือดแห่งสายลมของตระกูลจีในร่างกายของเขาเข้มข้น ไหนจะระดับพลังยุทธ์ที่สูงส่งกว่าอิ๋งเจ๋อ! เขาจะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาทั้งคู่ได้อย่างไร?”
“นี่เป็นเรื่องจริง” มู่เผิงเอ่ยเสียงขมขื่น
“แต่ว่าระหว่างพวกเขาไม่นับว่าเป็นการแข่งขันอย่างจริงจัง การแข่งขันกับนายน้อยอิ๋ง ทั้งสองฝ่ายกำหนดไว้ที่สามกระบวนท่า หากนายน้อยมู่สามารถรับนายน้อยอิ๋งได้สามกระบวนท่าโดยไม่ตายก็ถือว่าชนะ การแข่งขันกับนายน้อยจีอยู่ที่ สามร้อยกระบวนท่า ก็สามารถทำร้ายนายน้อยจีที่กดระดับพลังยุทธ์ลงมาอยู่ระดับเดียวกันได้”
“นี่ก็ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่” มู่เฉินถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “พลังมหาศาลของตระกูลอิ๋ง แม้แต่เจ้ากับข้ายังต้องอยู่ให้ไกลจากรัศมี เขากลับสามารถรับได้สามกระบวนท่า โดยไม่ตาย ส่วนจีเหย่าฮั่ว…แม้ว่าระดับพลังจะกดอยู่ระดับเดียวกัน ความต่างระหว่างคนทั้งสองก็ไม่อาจทดแทนกันได้อยู่ดี”
“ได้ยินว่า…ได้ยินว่า…” มู่เผิงเอ่ยอย่างลังเล “ได้ยินว่า การต่อสู้กับนายน้อยจีนั้น นายน้อยชิงเกอยังสามารถใช้มือเปล่าทำลายยุทธภัณฑ์ข้างกายของนายน้อยจี ที่เป็นยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะอีกด้วย”
มู่เฉินสูดลมหายใจหนาวเหน็บ!
ความตื่นตระหนกที่มู่ชิงเกอนำมาให้เขามากเกินไป ในตอนนี้เขามีความรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง เสียดายที่ไม่ได้เห็นภาพเหตุการณ์นั้นด้วยตนเอง มู่เฉินสบสายตากับมู่เผิงยิ้มขมขื่น คนที่พวกเขาไม่เห็นอยู่ในสายตาตอนแรก กลับพลิกกลับการรับรู้ของพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้พวกเขารู้สึกเสียใจภายหลังกับตัวเลือกที่ตนเองเลือกครั้งแล้วครั้งเล่า
จนกระทั่งพวกเขารู้สึกไม่ดีที่จะคิดว่า หากให้ลั่วฟงไปสู้กับอิ๋งเจ๋อกับจีเหยาฮั่ว ฉากสุดท้ายจะเป็นเช่นไร
ข่มเหง! ข่มเหงกันเกินไปแล้ว!
การดำรงอยู่ของมู่ชิงเกอ คล้ายกับว่ามีไว้สะกดข่มมู่ลั่วฟงโดยเฉพาะ
“ผู้อาวุโสใหญ่ ต่างก็พูดว่าการแข่งขันของนายน้อยชิงเกอกับนายน้อยอิ๋ง และนายน้อยจีมีความเกี่ยวข้องกับซางเสวี่ยอู่คุณหนูตระกูลซาง และก็มีคนพูดว่าในงานล่าสัตว์ครั้งใหญ่พวกเขาใกล้ชิดกันมาก หรือว่านายน้อยชิงเกอก็มีความรู้สึกต่อคุณหนูเสวี่ยอู่?” มู่เผิงคาดเดา
คำพูดของเขา เรียกสติของมู่เฉิน สายตาของเขาเย็นชา เอ่ยกับมู่เผิงว่า “ครั้งนี้ พวกเราแพ้ อีกไม่ได้ พรุ่งนี้เช้าพวกเราก็ไปตระกูลซางแต่เช้า จัดการเรื่องการแต่งงานก่อน”
มู่เผิงพยักหน้าด้วยความเข้าใจ ออกไปจากห้องของมู่เฉิน
ดวงดาวเคลื่อนคล้อยลอยตํ่า แสงอาทิตย์ร้อนแรงแผดเผาลอยขึ้นสูง
ภายในเมืองฝูซาเริ่มกลับเข้าสู่ความคึกคัก มีเพียงภาพเม็ดทรายสีเหลืองที่ลอยเต็มท้องฟ้าเท่านั้นที่ทำให้คนนอกไม่คุ้นเคย
มู่ลั่วฟงยกมือขึ้น สะบัดชายเสื้อไม่หยุด บังพายุทราย
มู่เฉินเห็นแล้วก็ขมวดคิ้วไม่ใช่เพียงแค่ครั้งเดียว
มาถึงด้านนอกจวนตระกูลซาง ประตูใหญ่โบราณเรียบง่ายทว่าแน่นหนา ในที่สุดก็ทำให้มู่ลั่วฟงเกิดความสนใจ เขาปล่อยชายเสื้อลง เอ่ยกับมู่เฉินอย่างยิ้มแย้ม “ถือได้ว่ามีความเป็นตระกูลเก่าแก่อยู่บ้าง”
“ลั่วฟง หลังจากเข้าไปข้างในแล้ว อย่าได้พูดจาเหลวไหล” มู่เฉินเอ่ยเตือน
ส่วนลึกนัยน์ตามู่ลั่วฟงฉายความเย็นชาจากการถูกตำหนิ ทว่าใบหน้ากลับฉายรอยยิ้มรับอย่างเปิดใจ ประสานมือคำนับมู่เฉินแล้วเอ่ยว่า “ทราบแล้วท่านลุง”
มู่เฉินพยักหน้าช้าๆ แล้วจึงเอ่ยกับมู่เผิงว่า “ไปส่งเทียบขอเข้าพบเถอะ”
มู่เผิงหยิบเทียบที่อยู่ในอก ออกมาเดินไปที่ประตูใหญ่ตระกูลซาง
ในเรือนเล็กแห่งหนึ่งที่ลับตาของตระกูลซาง ซางหลันรั่ว ที่มีซางอี้เฉินกับซางเสวี่ยอู่อยู่เป็นเพื่อน พยายามฝืนกินมื้อเช้า เมื่อคืนนางนอนไม่หลับเลยทั้งคืน หลังจากได้ฟังซางเสวี่ยอู่บรรยายเรื่องราวของมู่ชิงเกอ นางก็ไม่คิดจะปล่อยเวลาให้ล่วงเลยผ่านไป อยากจะพบบุตรของตนเอง แม้ว่านางจะเกลียดตนก็ดี แค้นตนก็ดี นางก็อยากที่จะเห็นกับตาตนเองสักครั้ง
ตื่นเช้ามา ดวงตาสองข้างของซางหลันรั่วก็แดงระเรื่อ แม้ว่าจิตใจจะยังห่อเหี่ยวซึมเศร้า แต่ว่าก็มีชีวิตชีวากว่าเมื่อก่อนอยู่มาก ระหว่างที่สามคนในครอบครัวนั่งทานมื้อเช้ากันเงียบๆ ทันใดนั้นด้านนอกเรือนก็มีเสียงคนขอเข้าพบลอยแว่วมา
ซางเสวี่ยอู่วางช้อนข้าวต้มลง เอ่ยกับซางอี้เฉินว่า “ไปดูสิว่าเป็นใคร”
ซางอี้เฉินลุกขึ้นก้าวเท้าเดินออกไปด้านนอกเรือน
เพียงไม่นาน ก็พาศิษย์น้องตระกูลซางเดินเข้ามา คนผู้นั้นอายุพอๆ กับซางเสวี่ยอู่และซางอี้เฉิน เขาเดินเข้ามา แต่ว่ายืนอยู่หน้าห้องนอกเรือน เอ่ยกับซางหลันรั่วที่อยู่ในห้องว่า “เสวียจือทำความเคารพท่านอาหญิง”
ซางหลันรั่ววางชามวางตะเกียบลง นางไม่คุ้นกับการเข้าสังคมเหล่านี้ แต่ก็พยายามเอ่ยขึ้นอย่างยิ้มแย้มว่า “เสวียจือ? เจ้าเป็นหลานของท่านลุงสาม”
“เรียนท่านอาหญิง ใช่ขอรับ” ซางเสวียจือหลุบตาตอบ
ซางหลันรั่วยิ้มเล็กน้อย “เจ้ามาที่นี่ มีธุระอะไรหรือ?”
ซางเสวียจือเงยหน้าขึ้น เอ่ยตอบว่า “เสวียจือได้รับมอบหมายจากท่านประมุขให้มาที่นี่ วันนี้ตอนเช้า นอกจวนมีคนกลุ่มหนึ่งมาส่งหนังสือเทียบขอเข้าพบท่านประมุข หลังจากที่ท่านประมุขเห็นเทียบแล้ว ก็ให้ข้ามาที่นี่ บอกว่าให้เชิญท่านอาหญิงพาน้องเสวี่ยอู่กับน้องอี้เฉินไปที่โถงหน้า”
“มีคนขอเข้าพบ เหตุใดข้าต้องไปด้วย” ซางหลันรั่วขมวดคิ้ว ไม่ปรารถนาจะออกไปจากที่นี่
ซางเสวี่ยอู่กลับนึกอะไรขึ้นมาได้ ลุกยืนขึ้นมาเอ่ยถามว่า “พี่เสวียจือท่านรู้หรือไม่ว่าผู้ที่มาขอพบชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร?”
ซางเสวียจือคิดอยู่ชั่วครู่ เอ่ยด้วยความไม่แน่ใจ “เหมือนว่าข้าจะได้ยินท่านประมุขพึมพำออกมาว่า คนแซ่มู่มา ขอเข้าพบ…”
“แซ่มู่!” ซางหลันรั่วผุดลุกขึ้นยืนทันที ถึงขั้นกระแทกชามข้าวต้มควํ่าบนโต๊ะ ทำเอาข้าวต้มในชามไหลนองบนโต๊ะ ปฏิกิริยาของนางตื่นเต้นกว่าใครทั้งหมด ทำให้ซางเสวียจือแปลกใจยิ่งนัก
“เป็นนางมาแล้วใช่หรือไม่? ข้า…สภาพข้าในตอนนี้ จะพบนางได้อย่างไร?” ซางหลันรั่วจัดผมเผ้าตนเองเป็นประวิง มองหน้าซางเสวี่ยอู๋
“ท่านแม่!” ซางเสวี่ยอู่จับมือมารดาเอาไว้บังคับให้นางสงบนิ่งลงมา เอ่ยกับนางว่า “พวกเราไปที่โถงหน้าก่อนเถอะ”
ในใจของนางก็ตื่นเต้นเช่นกัน นางเองก็ไม่คิดว่ามู่ชิงเกอจะมาถึงตระกูลซางเร็วเช่นนี้ นางมองหน้าซางอี้เฉิน ในแววตาของฝ่ายหลังก็ตื่นเต้นไม่แพ้นาง ถึงขั้นอดไจรอไม่ไหวอยากจะรีบไปยังโถงหน้า
“ได้ได้! พวกเราไปกันเถอะ” ซางหลันรั่วเอ่ยพึมพำ จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยความไม่มั่นใจ “ข้าในตอนนี้ดูได้จริงหรือ? ข้าแก่กว่าเมื่อก่อนมาก นางจะจำข้าได้หรือไม่?”
ซางเสวี่ยอู่ยิ้มเล็กน้อยเอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่เหมือนกับตอนสาวๆ ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด”
ปลอบซางหลันรั่วแล้ว ซางเสวี่ยอู่ก็ประคองนางเดินออกจากห้องไป ขณะที่ขยับเข้าไปใกล้ซางเสวียจือ เขาก็พลันรู้สึกได้ถึงพลังความหนาวเย็นพุ่งมาทางตนเอง อดไม่ได้ ที่จะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
การถอยนี้ ทำเอาซางอี้เฉินขมวดคิ้ว
ซางหลันรั่วเองก็ฝืนยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “เสวียจือ ทำให้เจ้าตกใจแล้ว”
ซางเสวียจือรีบส่ายหน้า “ไม่ ท่านอาหญิง เป็นเสวียจือที่ยืนไม่มั่นคงเอง”
เขามองดูซางหลันรั่วแวบหนึ่ง ก้มหน้าเอ่ยขึ้นว่า “เคยได้ยินท่านพ่อกล่าวไว้ว่า ความงามของท่านอาหญิงยากที่จะมีผู้ใดเทียบเทียม วันนี้เสวียจือมีบุญได้พบ ทั้งยังตกตะลึงในความงดงามของท่านอาหญิง เสียมารยาทแล้ว”
การตอบกลับในทันทีของเขา ทำให้ความกังวลในใจของซางหลันรั่วเบาบางลง แล้วก็ทำให้ความโหดเหี้ยมบนหว่างคิ้วของซางอี้เฉินจางหายไป
ซางหลันรั่วไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ ตรงกันข้ามนางงามมาก แต่ว่านางอยู่ในอุโมงค์นํ้าแข็งตลอดทั้งปี อยู่ร่วมกับคนตาย ทำให้ความเย็นบนร่างของนางส่งผลต่อผู้คน กลิ่นอายความตายอบอวลไปมา
“พวกเราไปกันเถอะ” ซางหลันรั่วเอ่ย
ใจของนางไม่ได้เต้นแรงเช่นนี้มานานมากแล้ว นางรีบร้อนอยากจะเจอมู่ชิงเกอ แต่ก็กลัวที่จะพบ ตนมีคำพูดมากมายที่อยากจะเอ่ยกับนาง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มจาก ตรงไหนดี
หลากหลายอารมณ์ซับซ้อนและความขัดแย้งทรมานนาง ทำให้นางตัวสั่นเล็กน้อย
ผ่านมานานหลายปี ซางหลันรั่วปรากฎตัวขึ้นในตระกูลซางอีกครั้ง
นางถูกซางเสวี่ยอู่และซางอี้เฉินประคองมายังโถงด้านหน้า เวลาที่เดินผ่านสถานที่ต่างๆ ในตระกูลซาง มีคนไม่น้อยมองมาด้วยความสงสัย สำหรับชื่อของซางหลันรั่ว คนในตระกูลซางไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก แต่ว่าสำหรับคนผู้นี้ พวกเขากลับแปลกหน้า โดยเฉพาะคนรุ่นหนุ่มสาว สตรีที่โดดเด่นมากความสามารถของตระกูลซางในปีนั้น ทั้งรูปโฉม พรสวรรค์สายเลือดล้วนเป็นความภาคภูมิใจของตระกูล สุดท้ายกลับถูกบุรุษที่มาจากเขตแดนแร้งแค้นอย่างหลินชวนดึงให้จมดิ่งลงไป
เมื่อทั้งสามเดินทางมาถึงโถงด้านหน้า ด้านในก็มีผู้คนนั่งอยู่ไม่น้อยแล้ว
ที่ทำให้ซางหลันรั่วคุ้นเคยที่สุดเห็นจะเป็นบิดาที่นั่งยังตำแหน่งประธาน ลองนับดูแล้วจากที่ได้พบกับบิดาครั้งก่อนก็ประมาณเมื่อห้าปีที่แล้ว
ตอนที่กลับมาใหม่ๆ บิดายังอยู่เป็นเพื่อนนางบ่อยๆ แต่ภายหลังก็ค่อยๆ ลดน้อยลง
‘กลัวว่าบิดาจะหน่ายใจกับบุตรสาวที่ไม่กตัญญูผู้นี้ตั้งนานแล้ว ส่วนข้าก็ไม่มีอะไรโกรธเคืองเขา?’ เมื่อซางหลันรั่วได้พบกับบิดาอีกครั้ง ในใจก็ซับซ้อนยากที่จะหาที่เปรียบ
ฝั่งซ้ายมือกับขวามือของเขา มีชายวัยกลางคนสองคนนั่งอยู่ แบ่งเป็นผู้อาวุโสสองกับผู้อาวุโสสามตระกูลซาง
ส่วนที่นั่งของแขก กลับมีคนนั่งกันอยู่สี่ห้าคน
หลังจากที่ซางหลันรั่วละสายตาจากบิดาของนางแล้ว ก็มองตรงไปทางที่นั่งของแขกผู้มาเยือน ตกไปอยู่ที่คนหนุ่มสาวที่อ่อนเยาว์ที่สุดในนั้น เสวี่ยอู่เคยบอกว่า เกอเอ๋อร์ของนางสวมอุปกรณ์มายาที่นางทิ้งไว้ให้ใช้ฐานะบุรุษปรากฎตัวต่อหน้าผู้คน
ภายในสี่ห้าคนนั้น มีคนผู้หนึ่งที่อายุอานามไล่เลี่ยใกล้เคียงกับเกอเอ๋อร์ของนาง
สายตาตื่นเต้นของซางหลันรั่วฉายความรู้สึกสงสัย ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ริ้วรอยความไม่หนักแน่นตรงหว่างคิ้วของผู้เยาว์นั้น ไม่เหมือนกับเกอเอ๋อร์ในความทรงจำของนางเอาเสียเลย
อีกอย่างบนหูข้างซ้ายของเขา ก็ไม่ได้สวมอุปกรณ์มายาที่นางสร้างไว้กับมือตนเอง!
“ไม่ใช่!” เวลานี้เสียงผิดหวังของซางเสวี่ยอู่แว่วเข้าหูซางหลันรั่ว เสียงไม่ดังมากแต่นางกลับได้ยินอย่างชัดเจน ไม่ใช่จริงด้วย!
คำตอบนี้ทำให้ซางหลันรั่วผิดหวังเช่นกัน ในเมื่อไม่ใช่คนที่นางต้องการพบ นางก็ไม่ปรารถนาที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป แต่ว่านางยังไม่ทันเดินจากไป ก็ได้ยินเสียงบิดาลอยแว่วมา “หลันรั่ว เข้ามานั่งก่อน”
ซางหลันรั่วที่เดินพาบุตรชายบุตรสาวยืนอยู่หน้าประตู คำพูดของซางซุ่นหวางทำให้สายตาของทุกคนที่นั่งอยู่ ในโถงต่างมองมาที่นาง มู่ลั่วฟงเองก็ไม่ยกเว้น
เดิมทีเขาส่งสายตามองมาอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่มันกลับชะงักงันทันที มองซางหลันรั่วและซางเสวี่ยอู่ ตาโตอ้าปากค้าง ส่วนซางอี้เฉินย่อมถูกเขามองเลยไปตามระเบียบ
งาม! งามเหลือเกิน!
งามจนไม่มีสิ่งใดมาบรรยาย!
‘สาวงามทั้งสอง งามกันคนละแบบ มีคนหนึ่งแม้ว่าจะอายุเยอะไปบ้าง แต่กลับมีเสน่ห์ของผู้ใหญ่ หากสามารถตระกองกอดทั้งสาวเล็กสาวใหญ่เข้าสู่อ้อมกอด จะดีสักเพียงใด!’ มู่ลั่วฟงคิดในใจด้วยความหื่นกระหาย
“ประมุขคุยธุระเรื่องงาน สตรีเช่นข้าอยู่ด้วยเรื่องใดกัน?” ซางหลันรั่วเอ่ยเสียงเรียบ ก่อนจะคิดที่จะหันหลังเดินจากไป
นางต้องการจากไป มู่ลั่วฟงก็ผุดลุกขึ้นยืนด้วยความร้อนใจ ดวงตาคู่นั้นจับจ้องไปยังทรวดทรงองค์เอวพราวเสน่ห์ ถอนอย่างไรก็ถอนไม่ออก ส่วนสายตาแพรวพราวคู่นั้นก็ไม่หยุดที่จะลอยไปทางซางเสวี่ยอู่
“เจ้ามองอะไร!” ซางอี้เฉินที่สัมผัสได้ถึงสายตาของมู่ลั่วฟงได้ตั้งแต่แรก อดไม่ได้ที่จะยืนขึ้นขวางอยู่ด้านหน้า มารดากับพี่สาว ขัดขวางสายตาสำรวจของเขา
เมื่อถูกคนขวางการชื่นชมสาวงาม ก็ทำให้สายตาของมู่ลั่วฟงเคร่งขรึมลง
เวลานี้เอง ซางซุ่นหวางก็เอ่ยขึ้นว่า “หลันรั่ว คุณชายมู่ มู่ลั่วฟงผู้นี้มาเพื่อสู่ขอเสวี่ยอู่”
ตอนแรกเขาก็คิดว่าเป็นหลานสาวที่ไม่เคยได้พบหน้ากันสักครั้งผู้นั้น แต่พอได้พบหน้า อีกฝ่ายแจ้งชื่อและวัตถุประสงค์ที่มาแล้ว เขาถึงได้รู้ว่าตนเองเข้าใจผิดไป แต่วัตถุประสงค์ในการมาของอีกฝ่ายเกี่ยวข้องกับซางหลันรั่วแม่ลูก
“อะไรนะ! เขาอยากแต่งกับเสวี่ยอู่? เขาคู่ควรหรือ?” ยังไม่ทันที่ซางหลันรั่วและซางเสวี่ยอู่ที่ยังตกอยุ่ในอาการตกใจได้เอ่ยปาก ซางอี้เฉินก็เอ่ยค้านออกมาก่อน!