Skip to content

พลิกปฐพี 283

ตอนที่ 283

ไม่ยอมรับก็คือไม่ยอมรับ เจ้าจะทำอย่างไรกับข้า?

มาตระกูลซางอีกครัง มู่ชิงเกอนำเพียงแค่มู่เฉินและมู่เผิง สองคนมาด้วย

ซางซุ่นหวางต้อนรับพวกเขาอีกครั้ง

ฉากนองเลือดในวันก่อนทำให้บรรดาองครักษ์และเหล่าบ่าวรับใช้ตระกูลซางมีความทรงจำที่ลึกลํ้าต่อมู่ชิงเกอ พวกเขาก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดมู่เฉินและมู่เผิงถึงได้ ติดตามมากับคนที่ฆ่าเจ้านายของตนเอง

ดูจากท่าทางแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะถือเอาเขาเป็น เจ้านาย!

“ประมุขตระกูลซาง ที่มาในครั้งนี้ก็เพื่อขอขมาตระกูลซางเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน” มู่ชิงเกอเอ่ยกับซางซุ่นหวาง หันมองไปทางมู่เฉิน

มู่เฉินเข้าใจรีบก้าวออกมา ประสานมือคำนับขอขมาซางซุ่นหวาง “ประมุขตระกูลซาง เรื่องของเมื่อวาน ได้รบกวนวุ่นวายตระกูลซาง ทุกอย่างล้วนแต่เป็นความผิดของข้าน้อย ขอประมุขตระกูลซางโปรดอย่าถือสา”

พูดแล้ว เขาก็เสนอสมบัติและศิลาวิญญาณออกมาวางไว้ตรงหน้าแล้วเอ่ยเสริมว่า “นี่เป็นของขมาที่ได้ล่วงเกิน ขอให้ประมุขตระกูลซางรับไว้ด้วย”

เขาพูดจบ มู่เผิงก็ก้าวออกมา เอ่ยกับซางซุ่นหวางว่า “เมื่อวานได้พลาดทำร้ายมารดาของคุณหนูเสวี่ยอู่ไป มู่เผิงก็มาขออภัยต่อประมุขตระกูลซางด้วย”

ซางซุ่นหวางมองคนทั้งสองเงียบๆ รอจนพวกเขาพูดจบแล้ว สายตาของเขาถึงได้มองไปทางมู่ชิงเกอ

ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาถึงเอ่ยว่า “เอาเถอะ เรื่องของเมื่อวาน ก็ให้มันผ่านไปเถอะ”

“ขอบคุณประมุขตระกูลซาง”

“ขอบคุณประมุขตระกูลซาง”

มู่เฉินและมู่เผิงถอนหายใจโล่งอก ถอยออกไปอยู่ข้างหลังมู่ชิงเกอพร้อมกัน

พวกเขามองไปทางมู่ชิงเกอพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ในใจล้วนแต่คิดว่ามู่ชิงเกอให้พวกเขามาขอโทษก็เพราะไม่อยากจะผูกความแค้นกับตระกูลซาง และมีความคิดเช่นเดียวกันกับมู่ลั่วฟงคิดอยากจะแต่งงานกับคุณหนูซางเสวี่ยอู่ของตระกูลซาง

ใครใช้ให้เรื่องที่มู่ชิงเกอทำเพื่อซางเสวี่ยอู่บนทุ่งหญ้าอัสดงจนถูกร่ำลือไปจนทั่วกันเล่า?

กลับไม่คิดว่า หลังจากที่พวกเขาถอยไป มู่ชิงเกอกลับเพียงแค่พยักหน้า เอ่ยปากพูดว่า “เรื่องรบกวนจิตใจของเมื่อวานได้จัดการเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นข้าก็คิดอยากจะเสนอเรื่องอีกเรื่องแก่ประมุขตระกูลซาง พูดกันว่ามู่เหลียนเฉิงอยู่รบกวนในจวนมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว วันนี้ที่ข้ามาก็จะพาเขากลับ”

มู่เหลียนเฉิง?!

มู่เหลียนเฉิงเป็นใคร?

มู่เฉินและมู่เผิงล้วนแต่รู้สึกสงสัย

เพียงแต่ว่า แซ่มู่ กลับทำให้พวกเขารู้สึกสงสัย ทอดสายตาไปทางประมุขตระกูลซาง ‘หรือว่าตระกูลซางแอบกักขังคนของตระกูลมู่เอาไว้?’

ที่สำคัญก็คือท่าทีของมู่ชิงเกอ เขาไม่ได้มาเพราะซางเสวี่ยอู่ แต่มาเพื่อมู่เหลียนเฉิงคนนั้น นี่แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าคนผู้นี้สำคัญกับเขามาก!

ถึงแม้ว่าในใจจะไม่รู้ว่ามู่เหลียนเฉิงนั้นเป็นใคร แต่นี่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการคุ้มครองมู่ชิงเกอของมู่เฉินและมู่เผิง

มู่เฉินขมวดคิ้วขึ้น นํ้าเสียงก็ไม่ได้ฉายแววเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดเช่นเมื่อครู่ “ในตระกูลซางถึงกับมีคนตระกูลมู่ซ่อนอยู่ด้วยอย่างนั้นหรือ?” ซางซุ่นหวางเหลือบมองเขาแวบหนึ่งแล้วก็มองไปทางมู่ชิงเกอ เอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “เจ้าพูดถึงบิดาของตนเองเช่นนี้อย่างนั้นหรือ? แล้วก็พูดกับตาของตนเองเช่นนี้อย่างนั้นหรือ?”

อะไรนะ!

บิดา?

ตา?

มู่เฉินและมู่เผิงรู้สึกสับสน!

พวกเขาไม่แน่ใจแล้วว่ามู่ชิงเกอและตระกูลซางนั้นมีความสัมพันธ์อะไรกัน

เผชิญหน้ากับคำถามของซางซุ่นหวาง มู่ชิงเกอกลับมีท่าทีเรียบเฉย ไม่ได้มีท่าทีที่แปลกไปจากเดิม สถานะถูกเปิดเผย นางเดาได้ก่อนแล้ว อีกอย่างยังผ่านเหตุการณ์เมื่อวานมาอีกด้วย?

ดังนั้นวันนี้ คำพูดของซางซุ่นหวาง ก็ไม่ได้ทำให้นางรู้สึกแปลกใจ นางเพียงแค่เหลือบมองเขา มุมปากโค้งขึ้นเอ่ยว่า “ประมุขตระกูลซาง โปรดใช้คำให้ถูกต้องด้วย ชิงเกอเติบโตขึ้นมากับท่านปู่และท่านอา ไม่รู้ว่าตาคือใคร”

นัยน์ตาที่ลุ่มลึกของซางซุ่นหวางมองนาง เผยร่องรอยแห่งความเสียใจ เขาถอนหายใจเอ่ยว่า “นี่ไม่โทษเจ้า ในใจเจ้ามีความโกรธก็สมควรแล้ว”

“ความโกรธ?” รอยยิ้มที่มุมปากของมู่ชิงเกอยิ่งลึกลงไปอีก แต่กลับแฝงไปด้วยความเย้ยหยัน “ประมุขตระกูลซางคิดมากเกินไปแล้ว ข้ามาที่นี่ก็เพียงเพื่อรับมู่เหลียนเฉิงกลับ ข้ารับรองว่าจะเพียงแค่นำเขากลับ ต่อไปจะไม่กลับมาที่ตระกูลซางอีก ยิ่งจะไม่ทำลายความสงบของคนตระกูลซาง”

“จะทำเช่นนี้ไปทำไมกัน? เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่เจ้าจากไปเมื่อวานนี้แม่ของเจ้าทุกข์ใจแค่ไหน?” น้ำเสียงของซางซุ่นหวางเข้มขึ้นมาอีก

มู่ชิงเกอกลับไม่สนใจ “ประมุขตระกูลซางพูดล้อเล่นแล้ว ชิงเกอไม่ได้มีความทรงจำใดๆ เกี่ยวกับมารดาเลย ในเมื่อเป็นเหมือนกับคนแปลกหน้าแล้วจะปวดใจได้อย่างไร?”

“เจ้ายังขุ่นเคืองอยู่” ซางซุ่นหวางสรุปออกมา

มู่ชิงเกอยิ้มเยาะ ไม่อธิบายอีก

ในเมื่อไม่ว่านางจะอธิบายอย่างไร เขาก็ล้วนแต่จะเข้าใจเพียงว่าตนเองนั้นมีความขุ่นเคืองในใจ คิดว่าหากตนเองหายขุ่นเคืองแล้วก็จะยอมรับมารดาและญาติพี่น้องเองงั้นหรือ?

เช่นนั้นก็ผิดแล้ว! ที่นางพูดไปล้วนแต่เป็นความจริง

จุดมุ่งหมายของนางก็เพื่อมู่หลียนเฉิงเท่านั้น ซางหลันรั่วไม่มีวิธีที่จะฟื้นคืนชีพให้เขา แต่นางมี ดังนั้นก็ไม่จำเป็นจะต้องให้เขาอยู่ในตระกูลซางต่อไป

อีกอย่างนางก็ไม่รู้จักตาจริงๆ ยิ่งไม่อยากจะเกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลซาง

แต่ซางซุ่นหวางกลับไม่เชื่อนาง

คำพูดระหว่างคนทั้งสอง ทำให้มู่เฉินและมู่เผิงเดาถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองยากขึ้น

ที่มาของมู่ชิงเกอนั้นพวกเขารู้ดี เป็นเดินทางมาจากหลินชวนในเมื่อมาจากหลินชวนแล้วจะไปมีความสัมพันธ์กับตระกูลซางได้อย่างไร?

“นายน้อย” มู่เฉินร้องเรียกมู่ชิงเกอเบาๆ

มู่ชิงเกอค่อยๆ หันไป เอ่ยกับมู่เฉินว่า “พวกเจ้าไม่ต้องสอดมือ”

นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของนาง ที่พาพวกเขาสองคน มาก็เพราะสนใจในความสามารถของพวกเขา หลีกเลี่ยงไม่ให้นางถูกควบคุมในระหว่างที่เผชิญหน้ากับตระกูลซาง

ประโยคนี้ของนางทำให้มู่เฉินและมู่เผิงนิ่งเงียบ

ในใจของพวกเขา มู่ชิงเกอไม่ใช่มู่ลั่วฟง ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาออกหน้าแก้ไขให้ทุกเรื่อง มู่ชิงเกอก็สามารถแก้ไขทุกอย่างได้ด้วยตนเองเป็นอย่างดีแล้ว เพียงแต่ ตอนที่เขาต้องการ พวกเขาค่อยลงมือ

ซางซุ่นหวางนิ่งเงียบลง เขามองเห็นร่องรอยความไม่พอใจที่ไม่คิดปิดบังในสายตาของมู่ชิงเกอ

นางไม่ได้กำลังเสแสร้ง แต่เป็นไม่ชอบตระกูลซางจริงๆ

ยิ่งไม่คิดอยากจะยุ่งเกี่ยวกับตระกูลซางแม้แต่น้อย

บรรยากาศภายในห้องโถงกลายเป็นเงียบสงบแบบแปลกๆ

มู่ชิงเกอยืนขึ้นมา ทำลายความเงียบ “ถ้าหากว่าท่านประมุขไม่อาจจะตัดสินใจได้ เช่นนั้นขอเชิญคนที่สามารถตัดสินใจได้มาพูดคุยเถอะ หลังจากนี้สามวันข้า จะมารับคน อีกอย่างโปรดบอกนางไว้ด้วยว่า ในเมื่อมู่เหลียนเฉิงอยู่ข้างกายนางมาสิบกว่าปียังไม่ฟื้น เช่นนั้นก็แสดงให้เห็นแล้วว่านางไม่มีความสามารถนี้ นางไม่มี แต่ข้ามี!”

พูดจบ มู่ชิงเกอก็ตัดสินใจจะจากไป

“รอเดี๋ยว” อยู่ดีๆ ซางซุ่นหวางก็เอ่ยปากขัดขวางการ จากไปของนาง

มู่ชิงเกอหันมอง นางขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย

ซางซุ่นหวางเหลือบมองนาง สายตาของคนทั้งสองปะทะกันกลางอากาศ กระตุ้นประกายแห่งการแข่งขัน ครู่หนึ่งเขาก็เงยหน้าหัวเราะเสียงดังขึ้นมา

เสียงหัวเราะนี้มาอย่างกะทันหัน ทำให้มู่เฉินและมู่เผิง ลอบระมัดระวัง

ส่วนนัยน์ตาของมู่ชิงเกอก็ฉายแววลึกล้ำ แต่กลับวาบร่องรอยครุ่นคิด

หัวเราะแล้ว ซางซุ่นหวางถึงได้มองมู่ชิงเกอด้วยสายตาวาววาบ “เจ้าน่าสนใจเสียยิ่งกว่าพี่น้องสองคนนั้นของเจ้าเสียอีก เจ้าไม่ยอมรับตาเช่นข้าก็แล้วไป แต่ข้าจะไม่ไปส่งข่าวให้เจ้า เจ้าอยากจะพูดกับนางว่าอย่างไร ก็ไปพูดเอง”

มู่ชิงเกอไม่รู้จะทำอย่างไรกับคำว่า ‘ตา’ ที่เขาใช้เรียกแทนตัวเอง

น่าจะพูดได้ว่าคำว่า ‘ตา’ นี้เป็นเหมือนกับสายลมพัดผ่านไม่ได้เข้าไปในหูของนาง ยิ่งไม่ได้ทำให้หัวใจของนางรู้สึกอะไรขึ้นมา

แต่ว่า นางกลับเข้าใจความหมายในคำพูดของเขา

เขาอยากให้นางไปพบกับซางหลันรั่ว!

พบไหม?

เมื่อวานก็ได้พบแล้ว เพียงแต่นางกลับไม่ได้มองมารดาผู้นี้อย่างจริงจังสักแวบเดียว

ไม่พบงั้นหรือ?

หากว่าไม่พบ แล้วนางจะมาตระกูลซางทำไมกัน?

“เช่นนั้นขอให้ท่านประมุขโปรดบอกทางด้วย” ทันใดนั้น มู่ชิงเกอก็ได้ตัดสินใจ

“ข้าจะนำทางเจ้าไปด้วยตนเอง” ใครจะรู้ว่าซางซุ่นหวางจะยืนขึ้นมาจากที่นั่งประธาน เอ่ยออกมาเอง

การกระทำของเขาทำให้มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น เดาไม่ถูกว่าเขาคิดอยากจะทำอะไร? เหตุใดจึงดูกระตือรือร้นถึงขนาดนี้?

“นายน้อยไม่ได้นะ!” มู่เฉินก้าวออกมา เขาขวางอยู่ตรงหน้าของมู่ชิงเกอ ขวางไม่ให้เขาไปกับซางซุ่นหวาง

มู่เผิงก็ก้าวออกมาเช่นเดียวกัน คุ้มครองมู่ชิงเกออยู่อีกทาง นัยน์ตาฉายแววระแวดระวัง

พวกเขาไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างมู่ชิงเกอและตระกูลซางว่าคืออะไร

แต่ว่าจากท่าทีของมู่ชิงเกอ พวกเขาก็สามารถคาดเดาออกได้ว่ามู่ชิงเกอไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับตระกูลซาง อีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะมีบุญคุณความแค้นบางอย่างที่พูดได้ไม่ชัดเจนอีก ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเขาก็ไม่อาจจะปล่อยให้มู่ชิงเกอไปเสี่ยงได้ มู่ชิงเกอมองไปที่พวกเขาทั้งสองคน ไม่ได้พูดจาใดๆ

ซางซุ่นหวางมองมา เอ่ยกับพวกเขาทั้งสองด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมว่า “อย่างไร? พวกเจ้ากลัวว่าข้าจะทำร้ายหลานของตนเองอย่างนั้นหรือ?”

ในใจของมู่เฉินและมู่เผิงเกิดอาการตกตะลึง แต่พวกเขาก็ยังมองไปทางมู่ชิงเกอรอให้เขาตัดสินใจ

มู่ชิงเกอไม่พูดจา

มู่เฉินรีบเอ่ยว่า “นายน้อย…”

เขาส่ายหน้าเป็นเพราะอยากบอกมู่ชิงเกอว่าอย่าได้ไปกับซางซุ่นหวางง่ายๆ อย่างน้อยก็ให้นำพวกเขาทั้งสองคนไปด้วย

ความกังวลของพวกเขา มู่ชิงเกอมองเห็นแล้ว ภายในนัยน์ตาที่สดใสของนาง ผละออกจากพวกมู่เฉินสองคน ไปที่ซางซุ่นหวาง ครู่หนึ่งนางถึงได้ยกมือ ดันมือที่ขวางตรงหน้าของตนเองของมู่เฉินออก นางสั่งคนทั้งสองว่า “พวกเจ้ารอข้าที่นี่”

“นายน้อย!”

“นายน้อย!”

มู่เฉินกับมู่เผิงรู้สึกไม่ยอม

แต่ว่าการตัดสินใจขอมู่ชิงเกอไม่เคยเปลี่ยนได้ง่ายๆ นางเพียงแต่เอ่ยปลอบคนทั้งสองประโยคหนึ่งว่า “หากประมุขตระกูลซางคิดอยากจะทำร้ายใครก็ไม่จำเป็นจะ ต้องวุ่นวายมากมายขนาดนี้ ที่นี่คือตระกูลซาง เพียงแค่เขาตะโกนออกไปพวกเราสามคนก็หนีออกไปได้ยากแล้ว”

คำพูดของเขามีเหตุผล ในที่สุดมู่เฉินและมู่เผิงก็ยอม

“นายน้อย โปรดระมัดระวังตัวด้วย หากว่ามีอะไรไม่ถูก

ต้อง ก็ตะโกนออกมาพวกเราจะรีบไปในทันที!” มู่เฉินเตือนสติมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอพยักหน้า

ในความเป็นจริง หากว่ามีอันตรายอะไรจริงๆ นางก็แค่ไปซ่อนตัวในช่องว่างก็จะปลอดภัยแล้ว

ในที่สุดมู่เฉินกับมู่เผิงก็ถอยออกไป

มู่ชิงเกอเดินไปทางซางซุ่นหวาง เอ่ยกับเขาว่า “ประมุขตระกูลซางนำทางเถอะ”

ซางซุ่นหวางกวาดตามองพวกเขาทั้งสามคนอีกรอบ แล้วถึงได้พยักหน้า นำมู่ชิงเกอเดินออกไปจากห้องโถง เดินไปทางเรือนที่ซางหลันรั่วพักอาศัยอยู่

ระหว่างทางมีคนของตระกูลซางจำนวนไม่น้อยที่มองมู่ชิงเกอที่เดินอยู่ด้านหลังซางซุ่นหวางอย่างสนใจ

ส่วนมู่ชิงเกอที่อยู่ภายใต้สายตาของเหล่าบรรดาคนที่จ้องมองเหล่านี้นั้นยังคงภาพลักษณ์ที่ดูสง่าผ่าเผยอยู่ตลอด ไม่ได้ดูลังเลใจ นี่ทำให้ซางซุ่นหวางที่ลอบสังเกตนางเงียบๆ พยักหน้าในใจอยู่ตลอด

“เจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับคนสองคนนั้น? เมื่อวานพวกเจ้ายังดูเหมือนเป็นศัตรูกันแต่มาวันนี้พวกเขากลับจงรักภักดีต่อเจ้า?” ซางซุ่นหวางไม่เข้าใจ เมื่อวานนี้ นางเพิ่งจะฆ่าเจ้านายที่ชื่อมู่ลั่วฟงของพวกเขาไปต่อหน้าของพวกเขา แต่เหตุใดมาวันนี้พวกเขากลับมาอยู่ภายใต้การปกครองของหลานสาวตนเองเสียแล้ว?

อีกอย่าง เขาก็ไม่ได้ลืมว่านับจากเมื่อวานที่หลานสาวของเขาปรากฎตัวออกมานั้น ทั้งสองคนนี้ก็แสดงท่าทีที่ดูเคารพเป็นพิเศษ

“ท่านประมุขสนใจเรื่องราวเกินขอบเขตไปหน่อยหรือไม่?” เพียงแต่ว่า คำถามของเขากลับไม่ได้รับการอธิบาย ที่ดีมู่ชิงเกอทำเพียงแต่พูดเยาะเย้ยไปประโยคหนึ่ง

ซางซุ่นหวางเบิกตากว้าง แต่ก็กลับคืนสู่ปกติในพริบตา เขาค่อยๆ ส่ายหน้า ถอนหายใจเอ่ยว่า “นิสัยนี้ของเจ้า ช่างเหมือนกับมารดาของเจ้าจริงๆ”

มู่ชิงเกอนิ่งเงียบไม่พูดจา ไม่อยากจะโต้เถียงอะไรกับเขา

นิสัยของนางเหมือนกับซางหลันรั่วงั้นหรือ? ขอร้องล่ะ นางไม่ใช่มู่ชิงเกอตัวจริงเสียหน่อย นิสัยของนาง นับตั้งแต่ชีวิตก่อนก็เป็นเช่นนี้ ที่เหมือนก็คือเหมือนตัวเอง!

เดินไปครู่หนึ่ง ซางซุ่นหวางก็เอ่ยว่า “เมื่อวาน ข้าได้ถามมารดาของเจ้าว่าเจ้าได้สืบทอดสายเลือดของตระกูลซางหรือไม่ คำตอบของนางก็คือไม่”

ตอนที่เขาพูดประโยคนี้ออกมานั้น ก็จับตามองท่าทางของมู่ชิงเกออยู่ตลอด ดูเหมือนว่าจะต้องการรับรู้เบาะแสจากการเปลี่ยนแปลงบนท่าทางของนาง

แต่ว่า มู่ชิงเกอกลับไม่ได้มีท่าทีที่เปลี่ยนไป ดูเหมือนกับว่าไม่ได้ยินคำพูดประโยคนี้เลย

ปฏิกิริยาเช่นนี้ทำให้ซางซุ่นหวางรู้สึกแปลกใจ อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น

ส่วนในใจของมู่ชิงเกอกลับครุ่นคิดว่าเหตุใดซางหลันรั่วถึงได้โกหก?

พูดกันว่า เรื่องของสายเลือดนี้เป็นสิ่งที่เมื่อคลอดออกมาก็มีแล้ว แต่ก่อนนางเป็นคนไร้ประโยชน์ไม่สามารถฝึกฝนได้ก็จริง แต่นั่นก็เป็นอีกเรื่อง ซึ่งเรื่องของสายเลือด ไม่ควรจะไม่มี

แต่มาตอนนี้ คำพูดของซางหลันรั่วคือเป็นเพราะว่า ก่อนนางจะจากไปนั้นไม่รู้จริงๆ? หรือว่านางโกหกซางซุ่นหวาง?

แต่ว่า หากว่าไม่รู้ นางก็สามารถบอกกับซางซุ่นหวางได้ ว่านางไม่รู้ ไม่ควรตอบว่า ‘ไม่มี’ คำตอบเช่นนี้จะมีมาได้ เมื่อตรวจสอบแล้วเท่านั้น

แต่ทว่า ไม่ว่าซางหลันรั่วจะคิดอย่างไร ที่นางตอบซางซุ่นหวางไปเช่นนั้นก็ถือว่าลดความยุ่งยากของตนเองออกไป

“แต่น่าเสียดายที่ในพวกเจ้าสามคนพี่น้องมีเพียงแต่เสวี่ยอู่ที่สืบทอดสายเลือดของตระกูลซาง” ซางซุ่นหวางจ้องมองนาง ยังคงใช้คำพูดลองเชิง

มู่ชิงเกอดูออกว่าเขากำลังลองเชิง ในใจก็ยิ้มเยาะ คิดว่านางเป็นเด็กจริงๆ งั้นหรือ? คิดว่านางจะโมโห เพราะตัวเองพ่ายแพ้จากนั้นก็รีบแก้ต่างว่าตนเองก็สืบทอดสายเลือดตระกูลซางด้วยงั้นหรือ?

นัยน์ตาของนางฉายแววดูแคลน มองซางซุ่นหวางแล้ว เอ่ยว่า “ข้าเป็นคนของตระกูลมู่แน่นอนว่าจะต้องสืบทอดสายเลือดของตระกูลมู่” ในนํ้าเสียงของนางดูภาคภูมิใจที่สืบทอดสายเลือดของตระกูลมู่ ไม่ได้รู้สึกเสียดายที่จะสืบทอดสายเลือดของตระกูลซาง

คำตอบของนางทำให้นัยน์ตาของซางซุ่นหวางฉายแวว วาววาบ นัยน์ตาดุจดั่งคิดอะไรอยู่

การลองใจของเขาไม่เคยหยุด ที่แม้แต่การจงใจถามเมื่อครู่ จุดมุ่งหมายก็ไม่ใช่แค่เพียงลองเชิงว่ามู่ชิงเกอนั้นมีสายเลือดของตระกูลซางหรือไม่ แต่อีกส่วนก็ยังคิดจะดูนิสัยของนางด้วยว่าเป็นอย่างไร

ถ้าหากว่านางถูกกระตุ้นได้ง่ายรีบแก้ต่างให้ตนเอง เช่นนั้นความประทับใจของเขาที่มีต่อหลานสาวผู้นี้ก็คงลดลงมาก

“บางที่ตอนยังเด็กก็อาจจะตรวจสอบไม่เจอ ไม่สู้ให้ข้าลองตรวจให้เจ้าดูสักครั้งเป็นอย่างไร?” ซางซุ่นหวางเอ่ยอีก

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอกลับฉายแววเย้ยหยัน เอ่ยว่า “ท่านประมุขเข้าใจผิดอะไรไปหรือไม่? ข้ามารับคนไม่ได้มาทดสอบสายเลือด”

นางปฏิเสธแล้ว!

ความไม่สนใจและการปฏิเสธของนางทำให้ซางซุ่นหวางยิ่งรู้สึกว่ามู่ชิงเกอมีโอกาสที่จะสืบทอดสายเลือดของตระกูลซางสูง อีกทั้งสายเลือดสืบทอดยังจะเข้มข้นยิ่งกว่าซางเสวี่ยอู่เสียอีก

ซางซุ่นหวางกำลังสงสัยอะไร มู่ชิงเกอมองออกอย่างชัดเจน แต่นางก็ไม่ได้สนใจ

ขอเพียงนางไม่ยินยอม ซางซุ่นหวางยังจะมัดเอาตัวนางไปทดสอบสายเลือดให้ได้อีกงั้นหรือ? ถึงแม้ว่าจะให้เขารู้ว่าตนเองมีสายเลือดอาจารย์หลอมศาสตราของตระกูลซางแล้วจะเป็นอย่างไร?

นางไม่ยอมจะอยู่ในตระกูลซาง ไม่ยอมจะยุ่งเกี่ยวอะไรกับตระกูลซาง ซางซุ่นหวางจะสามารถขวางนางไว้ได้ อย่างนั้นหรือ?

ลองเชิงไปตลอดทาง ในที่สุดทั้งสองคนก็ไปถึงเรือนเล็กที่ห่างไกลของซางหลันรั่ว

ที่นี่กับเรือนหลักของตระกูลซางช่างดูแตกต่างกันดุจดั่งเป็นคนละโลก ดูห่างไกล เงียบสงบค่อนข้างเงียบเหงา วังเวง

อีกอย่าง เพียงแค่เข้าไปใกล้ก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีไอความเย็นยะเยือกที่ทำให้คนไม่อยากจะเข้าใกล้ มู่ชิงเกอเป็นเพราะว่ามีหยวนหยวน จึงมีความรู้สึกไวต่อ อุณหภูมิมาก ห่างจากเรือนหลังเล็กยังเหลืออีกระยะหนึ่ง นางก็รับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่มีอุณหภูมิตํ่าลง

“มารดาของเจ้าเพื่อรักษาร่างของบิดาของเจ้าไม่ให้เน่าเปื่อยจึงได้หานํ้าแข็งทมิฬมาเป็นพิเศษ” คำพูดของซางซุ่นหวางดูเหมือนจะเป็นการอธิบายโดยไม่ตั้งใจ

มู่ชิงเกอนิ่งเงียบไม่พูดจา

มาถึงนอกเรือน ก็มีเสียงที่ดูยินดีดังเข้ามา “ลูกพี่! ท่านมาแล้วจริงๆ!”

ซางอี้เฉินเห็นมู่ชิงเกอเดินมา ก็รีบละทิ้งการฝึกวิชาวิ่งมาหานางในทันที

มู่ชิงเกอยังไม่ทันได้พูดเขาก็เริ่มพึมพำไม่หยุดว่า “ข้ากับเสวี่ยอู่ยังคิดว่าท่านคงจะมาหลังจากผ่านไปวันสองวันเสียอีก ไม่คิดว่าวันนี้ท่านจะมาแล้ว หากท่านแม่รู้ต้องดีใจมากแน่นอน…”

“อี้เฉิน” ซางเสวี่ยอู่ได้ยินเดินออกมาจากห้อง เรียกหยุดซางอี้เฉินไว้

ซางอี้เฉินหันมองนาง เอ่ยอย่างร่าเริงว่า “เสวี่ยอู่ เจ้าดูว่าใครมา!”

ซางเสวี่ยอู่เดินไปหาคนทั้งสอง หลังจากคำนับซางซุ่นหวางตามธรรมเนียมแล้ว ถึงได้ร้องเรียกมู่ชิงเกอ อย่างตื่นเต้น “ลูกพี่”

ซางอี้เฉินก็รีบคำนับซางซุ่นหวางตะโกนว่า “ท่านตา”

ซางซุ่นหวางพยักหน้าเอ่ยถามว่า “มารดาของพวกเจ้าล่ะ? อยู่ในห้องนํ้าแข็งอีกแล้วรึ?”

พูดจบแล้วเขาก็ขมวดคิ้ว เพียงแต่ว่า ซางเสวี่ยอู่กลับส่ายหน้าเอ่ยว่า “วันนี้ท่านแม่ ไม่ได้อยู่ในห้องนํ้าแข็ง เมื่อวานหลังจากที่ท่านตาจากไป นางก็ไปห้องหลอมยุทธภัณฑ์จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ออกมา”

“ห้องหลอมยุทธภัณฑ์งั้นหรือ?” ซางซุ่นหวางแปลกใจเล็กน้อย แต่เขาก็กลอกตาไปมา แล้วก็สบถเสียงเย็นว่า “ข้าคิดว่านางเข้าใจแล้วเสียอีก แต่ตอนนี้ดูแล้วนางยังคงขุ่นเคืองข้าอยู่”

พูดแล้ว เขาก็เอ่ยกับทั้งสองคนว่า “ไปเรียกนางออกมา บอกว่าบุตรสาวที่นางคิดถึงทุกวันทุกคืนมาหานางแล้ว”

ประโยคนี้ทำให้มู่ชิงเกอขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ

นางไม่ได้มาพบซางหลันรั่ว ยิ่งไม่อยากให้ซางหลันรั่วเข้าใจผิด

ซางอี้เฉินรีบพยักหน้า พุ่งตัวไปยังห้องหลอมยุทธภัณฑ์ ส่วนซางเสวี่ยอู่อยู่ต่อ นำทั้งสองคนเข้าไปในห้อง และก็รินชาให้คนทั้งสอง

มู่ชิงเกอไม่ได้นั่งลง แต่กลับเอ่ยกับซางเสวี่ยอู่ว่า “พาข้าไปพบมู่เหลียนเฉิง”

ซางเสวี่ยอู่ชะงัก พยักหน้าขึ้นอย่างไม่รู้สึกตัว

ซางซุ่นหวางก็ไม่ได้ห้ามการจากไปของคนทั้งสอง

ทะลุผ่านทางลับในห้องของซางหลันรั่ว ซางเสวี่ยอู่นำมู่ชิงเกอเข้าไปในห้องนํ้าแข็ง ภายในห้องนํ้าแข็งมีก้อนนํ้าแข็งทมิฬขนาดใหญ่จัดวางเอาไว้

ไอ เย็นที่แผ่ออกมาทำให้ด้านในถูกคลุมไป ด้วยชั้นน้ำแข็ง

บนก้อนนํ้าแข็งทมิฬมีชายรูปร่างเพรียวนอนอยู่ร่างหนึ่ง เขาหลับตาดุจดั่งกำลังหลับอยู่

มู่ชิงเกอค่อยๆ เดินเข้าไป ยิ่งเข้าไปใกล้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกว่าหัวใจของตนเองเต้นแรงมากขึ้นเท่านั้น ความรู้สึกนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่ของนางแต่ก็เหมือนกับเป็น ของนาง!

เดินเข้าไปใกล้แล้ว ในที่สุดนางก็มองเห็นคนที่นอนอยู่บนก้อนนํ้าแข็งทมิฬได้อย่างชัดเจน โครงหน้าหล่อเหลาคมคาย!

ในใจของนางบรรยายรูปลักษณ์ของมู่เหลียนเฉิงออกมา ความหล่อเหลาของเขาดูคมคายสมชายชาตรี แม้ว่าเขาจะหลับตาอยู่แต่ก็สามารถทำให้คนจินตนาการได้ว่าใน ตอนที่เขาตื่น ร่างสวมชุดเกราะ สวมหมวกขี่ม้าเผยรอยยิ้ม เป็นความรู้สึกที่ทำให้คนสบายใจ รอยยิ้มที่ทำให้คนรู้สึกอบอุ่น

ดูเหมือนว่าเขาสามารถเปิดโลกให้แก่ทุกคน

แม่ทัพน้อยแห่งกองทัพตระกูลมู่!

เคยถูกประชาชนของแคว้นฉินเรียกว่าเป็นผู้สืบทอดของมู่ซง มู่เหลียนเฉิง แม่ทัพหนุ่มผู้องอาจกล้าหาญผู้เป็นวีรบุรุษของแคว้นฉิน

มาตอนนี้กลับมานอนสงบนิ่งอยู่ตรงหน้าของนาง!

นี่ล้วนแต่เป็นราชวงศ์เแคว้นฉินก่อเรื่องขึ้น!

ส่วนลึกนัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววอำมหิต แม้ว่านางจะแก้แค้นไปนานแล้ว ทำลายราชวงศ์แคว้นฉิน แต่มาตอนนี้เมื่อมองเห็นมู่เหลียนเฉิง ไอสังหารในใจของนางก็ลุกโชนขึ้นมาอีก

ชะตาชีวิตทั้งหมดที่เปลี่ยนแปลงล้วนแต่เริ่มต้นจากความเห็นแก่ตัวของราชวงศ์แคว้นฉิน!

มู่ชิงเกอมองมู่เหลียนเฉิง แม้ว่าทั้งสองจะมีเพศที่ต่างกัน แต่นางก็ยังรู้สึกได้ถึงความรู้สึกของสายเลือดเดียวกัน สายเลือดนี้ไม่เพียงแต่ชี้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างสายเลือดของพวกนาง แต่ยังบ่งชี้ถึงว่าพวกนางล้วนแต่เป็นทหารเช่นเดียวกัน ล้วนแต่ทุ่มเททุกอย่างเพื่อจะปกป้องแผ่นดินเช่นเดียวกัน จนในที่สุดก็ต้องจบชีวิตลงภายใต้กลอุบายชั่วร้ายเช่นเดียวกัน

พรึบ!

มู่ชิงเกอทำความ เคารพมู่เหลียนเฉิง แบบทหาร

นี่มาจากความเคารพต่อทหารคนหนึ่ง! นางยืดตัวตรงอย่างองอาจภาคภูมิอยู่ข้างกายของมู่เหลียนเฉิง เหมือนกับจะสานต่อปณิธานของเขา

ซางเสวี่ยอู่ถูกการกระทำของมู่ชิงเกอทำให้ชะงัก นางไม่อาจเข้าใจถึงการกระทำของมู่ชิงเกอได้ แต่กลับสามารถสัมผัสได้ถึงว่านี่ถึงเป็นการเคารพต่อบิดาที่ดีที่สุด

ก็ดุจดั่งในคืนนั้นบนทุ่งหญ้าอัสดงที่เสียงกลองศึกดังขึ้นยามกลางคืน

ความเลือดร้อนเช่นนั้น ความเชื่อนั้นในการปกป้อง เป็นสิ่งที่นางไม่อาจสัมผัสได้จากสภาพแวดล้อมที่นางเติบโตขึ้นมา

นางอิจฉาและก็คาดหวัง

ด้านหลังของนาง บริเวณทางเข้าของห้องน้ำแข็ง ซางหลันรั่วปรากฎตัวขึ้นกับซางอี้เฉิน

ตอนที่พวกเขามาถึงนั้นก็ได้เห็นมู่ชิงเกอทำความเคารพ มู่เหลียนเฉิงแบบทหารพอดี

ฉากนี้ทำให้ซางหลันรั่วนํ้าตาไหล ดูเหมือนกับว่าจะมองเห็นฉากภาพครั้งแรกในตอนที่นางกับมู่เหลียนเฉิงพบกัน ความองอาจกล้าหาญของเขา

มู่ชิงเกอค่อยๆ วางมือลง เอ่ยกับมู่เหลียนเฉิงว่า “ข้ามาแล้ว หากว่าท่านยังมีโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ ข้าก็จะพยายามอย่างเต็มที่”

เสียงของนางมีแววมุ่งมั่น

ด้านหลังมีเสียงฝีเท้าดังเข้ามา มู่ชิงเกอหลุบตาลง หันไปมอง นัยน์ตากระจ่างของนางสะท้อนเงาร่างของคนที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับนาง

“เกอเอ๋อร์…” มองเห็นมู่ชิงเกอหันหน้ามาทางตนเอง ซางหลันรั่วก็อดไม่ได้ที่จะมีเสียงสั่น นางยื่นมือออกไปคิดอยากจะสัมผัสแก้มของมู่ชิงเกอ

แต่ว่าในตอนที่มือของนางไปถึงครึ่งหนึ่ง เสียงของมู่ชิงเกอก็ทำให้นางชะงักอยู่กลางอากาศ

“ขอบคุณฮูหยินที่ช่วยดูแลท่านแม่ทัพของตระกูลมู่มาหลายปี”

“เกอเอ๋อร์ เจ้า…” นัยน์ตาของซางหลันรั่วเต็มไปด้วยความตกตะลึงและปวดใจ

คำพูดของมู่ชิงเกอทำให้นางรู้สึกเหมือนว่าตนเองเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกัน

แต่ว่ามู่ชิงเกอดูเหมือนจะมองไม่เห็นความเจ็บปวดใจนั้นก็ไม่ปาน เอ่ยกับนางว่า “จุดมุ่งหมายที่ข้ามาในวันนี้ก็ เพื่อพาเขาไป ฮูหยินได้ฝืนเก็บรักษาเขามา 19 ปีแล้ว ก็ไม่มีวิธี เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็สมควรที่จะกลับไปตระกูลมู่ ให้คนของตระกูลมู่จัดการ”

“เกอเอ๋อร์…เจ้าจะทำกับแม่เช่นนี้จริงๆ นะหรือ?” ซางหลันรั่วปวดใจมาก ดูเหมือนคำพูดของบุตรสาว ทำนางเหมือนถูกสับทั้งเป็น

มู่ชิงเกอกลับยังคงเอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “ฮูหยินพูดล้อเล่นแล้ว ตั้งแต่เล็กมู่ชิงเกอก็กำพร้าไร้บิดาไร้มารดา มาตอนนี้จะมีแม่มาจากไหนกัน?”

“ไม่! ไม่ใช่เช่นนั้น! เกอเอ๋อร์เจ้าฟังแม่อธิบาย!” ซางหลันรั่วปวดใจ ความเศร้าโศกและความสิ้นหวังในการสูญเสียบุตรสาวทำให้กลิ่นอายความตายบนร่างของ นางเข้มชันขึ้น

ส่วนมู่ชิงเกอก็สัมผัสได้ถึงจุดๆ นี้อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

“ท่านแม่! ท่านอย่าได้ร้อนใจเกินไป” ซางอี้เฉินรีบเข้ามาปลอบ

ซางเสวี่ยอู่ก็รีบเอ่ยว่า “ท่านแม่ ร่างกายของท่านอ่อนแอ พวกเราออกไปจากที่นี่ก่อนเถอะ”

พูดแล้วนางก็รีบอธิบายให้มู่ชิงเกอฟังอย่างรวดเร็ว “ลูกพี่ ท่านแม่ดูแลท่านพ่อมาโดยตลอด ทำให้ร่างกายถูกความเย็นกัดกิน แล้วก็ยังถูกกลิ่นอายความตายเข้ามาพัวพัน แต่เดิมก็อ่อนแอมากอยู่แล้ว อีกอย่างหลายปีมานี้ ความคิดถึงเศร้าใจของนางก็ทำให้จิตใจหดหู่มาโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่สามารถถูกกระตุ้นได้”

คำพูดของซางเสวี่ยอู่ไม่ได้ทำให้มู่ชิงเกอมีปฏิกิริยาใดๆ นางเพียงแค่มองดูท่าทางของซางหลันรั่วเงียบๆ ในใจไม่ได้รู้สึกเวทนาเลยสักนิด ‘หากรู้ว่าจะเกิดวันนี้ขึ้นแล้วจะทำแบบนั้นตั้งแต่แรกไปทำไม?’

“ลูกพี่ ข้าขอร้องท่านละ พวกเราออกไปก่อนค่อยพูดกันเถอะ” ซางอี้เฉินรีบเอ่ย

นํ้าตาของซางหลันรั่วที่ไหลออกมาจากตายังไม่ทันได้ไหลลงก็ถูกไอความเย็นแช่แข็งไว้ที่แก้มแล้ว ดวงตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดทำให้นางดูน่าสงสารมาก

มู่ชิงเกอหันไปมองมู่เหลียนเฉิงแวบหนึ่ง แล้วก็เดินออกไปจากห้องนํ้าแข็ง

นางไม่อยากจะให้เรื่องราวเหล่านี้ไปรบกวนความสงบของมู่เหลียนเฉิง

มู่ชิงเกอจากไป ซางเสวี่ยอู่และซางอี้เฉินก็รีบพยุงร่างที่ดูเหมือนไร้จิตวิญญาณของซางหลันรั่วออกจากห้องนํ้าแข็ง ออกมาจากห้องนํ้าแข็ง แล้วก็ออกจากห้องของซางหลันรั่ว มู่ชิงเกอถึงได้รู้สึกว่าไอความเย็นลดลงหน่อย

เดินกลับไปถึงเรือนด้านหน้า ซางซุ่นหวางยังดื่มชาอยู่ในห้อง

เขาเงยหน้ามองมู่ชิงเกอ แล้วก็มองไปยังคนสามคนที่รีบไล่ตามมา แล้วก็มองไปยังเกล็ดนํ้าแข็งที่ค่อยๆ ละลายบนใบหน้าของซางหลันรั่ว วางถ้วยชาในมือลง เอ่ยถามว่า “เป็นอะไรไป?”

“พวกเจ้าออกไปให้หมด ข้าอยากจะคุยกับชิงเกอตามลำพัง” ทันใดนั้นซางหลันรั่วก็ฝืนตัวออกมาจากการพยุงของซางเสวี่ยอู่และซางอี้เฉิน

ซางซุ่นหวางมองซางหลันรั่วแวบหนึ่ง สายตาสลับมองไปยังร่างนางและมู่ชิงเกอ

ครู่หนึ่งถึงได้ลุกขึ้นเอ่ยว่า “เสวี่ยอู่ อี้เฉินตามข้าออกไป”

ซางเสวี่ยอู่และซางอี้เชิงมองไปยังซางหลันรั่วอย่างไม่วางใจ แล้วก็มองไปยังมู่ชิงเกอ

“ลูกพี่ ขอร้องละ!” ซางอี้เฉินกุมมือคำนับไปทางมู่ชิงเกอเอ่ยอ้อนวอนออกมา

มู่ชิงเกอเพียงแต่กวาดตามองแวบหนึ่ง ไม่ได้เอ่ยรับประกันอะไรออกมา

ซางซุ่นหวางพาทั้งสองคนออกไปจากเรือนเล็ก ทิ้งช่องว่างที่ไม่ถูกรบกวนเอาไว้ให้แก่สองแม่ลูกที่จิตใจยากจะแก้ไข

“เกอเอ๋อร์เจ้าโตแล้ว” หลังจากทั้งสามจากไป ซางหลันรั่วถึงได้เข้าไปใกล้กับมู่ชิงเกอ มองดูนางอย่างละเอียด

อารมณ์ในนัยน์ตาของนางนั้นดูสับสนวุ่นวาย รู้สึกผิด ปวดใจ เสียใจย้อนหลัง คิดถึง…

อารมณ์ทุกอย่างในชั่วเวลานี้เหมือนกลายเป็นพู่กันและหมึกให้นางได้อธิบายลักษณะของมู่ชิงเกอ

ในตอนที่สายตาของนางตกไปอยู่ที่ต่างหูที่ติดอยู่ที่หูข้างซ้ายชิ้นนั้น นางก็ร้องขอออกมาอย่างลังเล “เกอเอ๋อร์ ข้ารู้ว่าในใจของเจ้าโกรธแม่ แค้นแม่ แต่ว่าเจ้าสามารถถอด ต่างหูออกมาให้แม่ได้ดูเจ้าชัดๆ ได้หรือไม่?”

มู่ชิงเกอหันมองไปที่นาง

พริบตานั้น ซางหลันรั่วก็รู้สึกเหมือนว่าร่างกายโดยเข็มทิ่มแทง

มุมปากของมู่ชิงเกอโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มดูแคลน “ฮูหยิน พูดล้อเล่นแล้ว นี่เป็นตัวข้าหรือว่ายังจะมีของปลอมอีก? นี่เป็นรูปร่างภายนอกที่มารดาของข้าให้ไว้แก่ข้าเอง”

ทันใดนั้นซางหลันรั่วก็รู้สึกตัวอ่อนยวบ คว้าจับมุมโต๊ะเอาไว้ไม่ให้ร่วงลงไป

คำพูดของมู่ชิงเกอ ทำให้นางปวดใจ แขนเสื้อก็ถูกนางจับไว้แน่น ไม่ง่ายดายเลยที่จะห้ามนํ้าตาไม่ให้ไหลลงมาอีกครั้ง

นางส่ายหน้าไม่หยุด พึมพำว่า “ล้วนแต่เป็นความผิดของข้า ความผิดของข้า”

ต่างหูเป็นนางใส่ให้บุตรสาวด้วยตนเอง และก็บอกกับนางเองว่า เจ้าเป็นนายน้อย ของตระกูลมู่ เป็นผู้ชาย ตอนนี้จะเอาหน้าที่ไหนไปขอให้นางถอดต่างหูออก?

“เกอเอ๋อร์ เจ้าสามารถยกโทษให้แม่ได้หรือไม่?” อยู่ดีๆ ซางหลันรั่วก็พุ่งเข้ามาหามู่ชิงเกอคิดจะจับชายเสื้อของนาง

แต่ว่า มู่ชิงเกอดูเหมือนจะรู้ก่อนแล้วว่านางมีจุดประสงค์อะไร สะบัดแขนเสื้อขึ้น หลีกเลี่ยงที่จะสัมผัสกับนาง

ให้อภัยงั้นหรือ?

ประโยคนี้สมควรจะไปถามมู่ชิงเกอที่จากไปแล้วมากกว่า!

ถ้าหากไม่เป็นเพราะคำโกหกของผู้หญิงตรงหน้า เดิมทีมู่ชิงเกอก็ควรอยู่ในจวนหย่งหนิงกง ถูกเลี้ยงดูเป็นคุณหนูใหญ่ อิงตามความรักและเอ็นดูที่มู่ซงมีต่อนาง และมู่เหลียนหรงที่ให้ความสำคัญต่อนาง ไม่ว่านางอยากจะได้อะไรก็น่าจะได้สิ่งนั้น จะไม่วิ่งไปที่รกร้างกันดารเพื่อตายอย่างแน่นอน จนสุดท้ายก็ยังทำให้นางได้มีชีวิตขึ้นมาใหม่

ในใจของมู่ชิงเกอในตอนนี้นั้นวุ่นวายสับสนซับซ้อนมาก หากไม่มีการตัดสินใจในครั้งนั้นของซางหลันรั่ว บางที นางในตอนนี้อาจจะยังคงเป็นวิญญาณที่โดดเดี่ยวล่องลอยอยู่ และอาจจะสูญสลายหายไปนานแล้ว นับจาก จุดนี้นางดูเหมือนว่าจะต้องขอบคุณคนตรงหน้า

แต่ว่า นางก็ไม่อาจจะลืมมู่ชิงเกอที่อยู่ใกล้ชิดกับนางในสามเดือนแรกนั้นได้

นางลืมหญิงสาวที่แบกรับคำโกหกและมีชีวิตอันสั้นจนสุดท้ายก็กลายเป็นควันหายจากไปเพื่อช่วยนางไม่ได้ หากว่าไม่มีการตัดสินใจในตอนแรกของซางหลันรั่ว บางทีนางอาจจะไม่ได้มีชีวิตขึ้นมาใหม่ แต่ว่ามู่ชิงเกอตัวจริง ก็ไม่ต้องตาย และจะได้ใช้ชีวิตที่เป็นของนางอย่างแท้จริง

ดังนั้น คำขอโทษของซางหลันรั่วไม่สมควรบอกแก่นาง แต่ควรบอกแก่มู่ชิงเกอตัวจริง

นางเคยรับปากมู่ชิงเกอว่าเมื่อแย่งร่างของนางไปแล้วก็ ต้องรับทุกอย่างของนางไว้ สถานะของนาง ครอบครัวของนาง แม้ว่าในตอนนั้น มู่ชิงเกอจะอ่อนแอแต่ก็มีจิตใจที่อยากปกป้องคนในครอบครัว

แต่ว่า ตอนนี้เผชิญหน้ากับญาติสนิทของมู่ชิงเกอ นางกลับมีความรู้สึกที่ไม่อยากเกี่ยวข้อง

“เกอเอ๋อร์ ในใจของเจ้ามีความโกรธ แม่เข้าใจ ไม่ว่าเจ้าจะยอมรับแม่หรือไม่ แต่มีบางคำที่ข้าอยากจะพูดกับเจ้า” ความเงียบของมู่ชิงเกอทำให้ซางหลันรั่วมีโอกาส พูดต่อ

ซางหลันรั่วค่อยๆ เดินไปข้างเก้าอี้ ยันพนักเก้าอี้แล้วนั่งลง เริ่มเล่าเรื่องราวในปีนั้นให้แก่มู่ชิงเกอฟัง

“ในปีนั้น ในตอนที่ข้าคลอดเจ้า ราชวงศ์แคว้นฉินระแวงตระกูลมู่ พวกเขาพูดแล้วว่า หากเจ้าเป็นหญิงจะจัดคู่หมั้นหมายให้เอง ให้เจ้าแต่งเข้าราชวงศ์ หากว่าเป็นชายจะได้สืบทอดตำแหน่งนายน้อยแล้วจะแต่งองค์หญิงให้เจ้า” ซางหลันรั่วเอ่ย

“ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน จุดมุ่งหมายของราชวงศ์ก็คือ อำนาจทางการทหารของตระกูลมู่ ดังนั้นในตอนที่เจ้าเกิด ข้ากับพ่อของเจ้าได้หารือกัน ประกาศต่อภายนอกก่อนว่าเจ้าเป็นผู้ชาย หนึ่งก็เพื่อสามารถขัดขวางไม่ให้เจ้าแต่งเข้าราชวงศ์ สองก็คือมีเวลาให้ตระกูลมู่มีช่องว่างได้หายใจจากการบีบคั้นของราชวงศ์ สามก็เพื่อให้ ตระกูลมู่มีผู้สืบทอดสามารถทำให้จิตใจของทหารสงบได้ ทำให้การบีบคั้นของราชวงศ์ย้อนกลับไปโจมตีตนเอง รอเวลาผ่านไปสักหลายปี สถานการณ์สงบ ตระกูลมู่แข็งแกร่งจนราชวงศ์ไม่กล้าล่วงเกินง่ายๆ แล้ว พวกเราค่อย ประกาศอธิบายสถานะของเจ้าต่อภายนอก เดิมพ่อของเจ้าคิดว่า ท่านปู่ของเจ้า ตัวเขา ยังมีท่านลุงของเจ้าจะสนับสนุนประคับประคองตระกูลมู่ขึ้นมา มอบความสงบสุขแก่พวกเราได้…แต่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าทุกอย่างนี้ จะยังไม่ทันได้กลายเป็นจริง ราชวงศ์ที่เต็มไปด้วยความละโมบก็อดใจไม่ไหว อาศัยคำสั่งของผู้ปกครอง สั่งย้ายท่านปูและพ่อของเจ้าให้ออกไปจากเมืองลั่วตู จากนั้นก็ อาศัยช่วงเวลาที่ท่านย่า ท่านอาและอาหญิงของเจ้าอยู่ ข้างนอก สร้างโศกนาฏกรรมขึ้นมา อาหญิงของเจ้ารอดชีวิตมาได้ แต่ท่านย่าและท่านอาของเจ้าถูกฝังไว้ใต้ หน้าผา” ซางหลันรั่วดำดิ่งลงไปในความทรงจำในปีนั้น

มู่ชิงเกอเพียงแต่นิ่งฟังเงียบๆ ไม่ได้ขัดขวางหรือตัดบท ก็เหมือนกับที่เจียงหลีพูด นางก็คิดอยากจะฟังคำอธิบายของซางหลันรั่วบ้าง ดูสิว่าหลายปีมานี้ที่นางไม่ถามไถ่ เรื่องราวคือตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ

“การตายของท่านย่ากับท่านอาของเจ้า ราชวงศ์เแคว้นฉินผ่านตระกูลมู่ ส่งข่าวแก่ท่านปู่ของเจ้าเป็นการส่วนตัว ท่านปู่ของเจ้าเสียใจมากรีบนำคนกลับเมือง เหลือพ่อเจ้าเพียงคนเดียวกับกองทัพตระกูลมู่ที่เหลือต่อต้านศัตรู เดิมทีคนเหล่านั้นเป็นเพียงแค่โจรป่า พ่อของเจ้าต่อกรกับพวกเขาก็ไม่ถือว่าเปลืองแรงอะไร แม้จะอยู่ในช่วงภาวะโศกเศร้าก็สามารถเอาชนะและกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ตัวข้าอยู่ในจวนจัดการเรื่องงานศพ ปลอบใจท่านปู่ของเจ้า รอข่าวคราวการกลับมาของพ่อเจ้า แต่ว่า…ที่ข้ารอจนพบกลับเป็นเขาโศกเศร้าหนัก นำพาทหารบุกเข้าไปเสี่ยงและตกเข้าไปในแผนการของศัตรู ทำให้ทั้งกองทัพไร้ข่าวคราวใดๆ!”

ซางหลันรั่วจับมุมโต๊ะแน่น จนมือด้านหลังของนางมีเส้นเลือดและกระดูกนูนขึ้นมา “ข้าไม่เชื่อ! ข้าไม่เชื่ออย่างเด็ดขาดว่าจะมีจุดจบเช่นนั้น! อีอย่างแม้แต่ซากร่างพวกเขาก็ไม่นำกลับมา!” ดวงตาของนางสะท้อนความเจ็บปวด

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอวาววาบ ไม่พูดอะไร

“ดังนั้น ข้าจึงตัดสินใจออกจากจวนตระกูลมู่ ไปหาพ่อของเจ้าเอง ข้าต้องการรู้ข้อเท็จจริง! หากว่าเขาตายในสนามรบจริงๆ ข้าก็จะเก็บร่างเก็บกระดูกกลับมาให้เขา หากว่าเขาถูกลอบทำร้ายจนตาย ข้าก็จะหาตัวฆาตกร และก็แก้แค้นให้เขา! จากนั้นก็ค่อยตามเขาไป!”

นัยน์ตาของซางหลันรั่ว เปลวไฟแห่งความแค้นนั้นแผดเผากลิ่นอายแห่งความตาย

แสงสว่างในนัยน์ตาของซางหลันรั่วมืดลงในทันใด อารมณ์ก็เปลี่ยนเป็นหดหู่ “ข้าใช้เวลาค้นหาถึงสามวัน สามคืนเต็ม ในที่สุดก็หาพ่อของเจ้าพบ สภาพท่าทางที่ ไร้ลมหายใจของเขาทำให้หัวใจของข้าตายซาก แม้ว่าข้าจะไม่อยากยอมรับความจริงอย่างไร เขาก็ได้ตายจากข้าไปแล้ว ในตอนที่ข้ากำลังสิ้นหวังอยู่นั้น คนของตระกูลซางที่ได้รับคำสั่งจากบิดาของข้าให้มาตามหาข้ากลับปรากฎตัวอยู่ข้างกายของข้า พวกเขาหาข้าพบและคิดจะพาตัวข้ากลับไปตระกูลซางในทันที แต่ข้าไม่ยอม บางทีอาจเป็นเพราะในตอนนั้นพวกเขาเห็นข้ามีความคิดที่จะตาย ถึงได้บอกกับข้าว่า พ่อของเจ้ายังมีทางช่วยเหลือได้ ขอเพียงแค่ตามพวกเขากลับโลกแห่งยุคกลาง กลับไปตระกูลซาง ในโลกแห่งยุคกลางมีวิธีชุบชีวิตคนตาย ขอแค่มีความหวัง ข้าเชื่อ ข้าเชื่อว่าพ่อของเจ้าเพียงแค่หลับไปเท่านั้น ขอเพียงข้าหาวิธีที่ถูกต้องได้พบก็จะสามารถทำให้เขาฟื้นกลับคืนมาได้”

“ดังนั้น ท่านถึงได้ไปจากหลินชวนไปจากตระกูลมู่โดยไม่ได้ทิ้งข่าวสารใดๆ ไว้เลยงั้นหรือ?” มู่ชิงเกอเอ่ยสอดไปประโยคหนึ่ง

นี่ถึงเป็นประเด็นสำคัญ!

ร่างของซางหลันรั่วสั่นสะท้าน ดูเหมือนจะรู้เช่นเดียวกันว่าในใจของมู่ชิงเกอนั้นโกรธเรื่องอะไร นางปวดใจหลับตาลง อธิบายกับมู่ชิงเกอว่า “เกอเอ๋อร์ เจ้าจงเชื่อข้า ไม่ใช่เช่นนั้น ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด…ข้าตกลงจะจากไปกับพวกเขา แต่ก็คิดจะส่งข่าวให้ตระกลมู่ ให้ท่านปู่รู้ว่าข้ากับพ่อของเจ้าไปที่อื่น และก็คิดอยากจะบอกพวกเขาถึงสถานะที่แท้จริงของข้า แต่ว่าสามคนนั้นกลัวข้ากลับคำ คุมตัวข้าอย่างเข้มงวดไม่ให้ข้าใกล้ชิดกับใคร ในวันที่สองตอนบ่ายพวกเขาก็เตรียมการทั้งหมดเสร็จ นำข้าและพ่อของเจ้าไป หลังจากที่ข้าพยายามขอร้องอย่างหนัก พวกเขารับปากข้าว่าจะส่งข่าวให้ตระกูลมู่ แต่หลังจากกลับมาถึงตระกูลซาง ข้าถึงได้รู้ว่าพวกเขาทำเพียงเพื่อให้ข้าสงบใจ หลอกลวงข้าก็เท่านั้น”

ทุกอย่างล้วนแต่เป็นเรื่องบังเอิญพอดีอย่างนั้นหรือ?

ในใจของมู่ชิงเกอรู้สึกไม่อยากจะยอมรับคำอธิบายนี้ “เช่นนั้นภายใน 19 ปีมานี้ทุกคนล้วนแต่หลอกท่าน ให้ท่านหมดหนทางที่จะส่งข่าวกลับตระกูลมู่แห่งหลินชวนงั้นหรือ?” นางถามอย่างบีบคั้นเอาความ

ซางหลันรั่วนํ้าตาไหลส่ายหน้า สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้ว นางถึงได้พูดต่อ “กลับมาถึงตระกูลซางข้าก็พบว่าถูกหลอก จิตใจถูกทำร้าย สลบไป พอข้าตื่นขึ้นมา บิดาของข้าก็บอกข้าว่าข้าได้ตั้งครรภ์แล้ว นั่นเป็นบุตรของพ่อเจ้า ข้าจำเป็นต้องคลอดพวกเขาออกมาอย่างดี เวลานั้น ข้าทำได้เพียงแต่ขอร้องบิดาของข้าให้ส่งข่าวของข้ากับเรื่องของเจ้ากลับไปยังตระกูลมู่ บอกกลับไปว่ารอให้ข้าช่วยให้พ่อเจ้าฟื้นได้แล้ว ก็จะกลับตระกูลมู่พร้อมกับเขา แต่ว่าเขากลับบอกข้าว่า เพื่อค้นหาข้าและช่วยข้าแก้ไขเรื่องของตระกูลอิ๋งแล้ว ตระกูลซางได้สูญเสียไปมากเกินไป คนในตระถูลเริ่มจะไม่พอใจ ไม่อาจส่งข่าวสารให้ข้าได้ เขาไม่ช่วย ข้าจึงทำได้เพียงแต่ขอร้องคนอื่น แต่ว่าทุกครั้งที่ข้าใช้ยุทธภัณฑ์เป็นเงื่อนไขเพื่อขอให้คนเหล่านั้น ช่วยข้าส่งข่าวสารนั้น สุดท้ายทุกอย่างก็เหมือนจมหายไปในทะเล…จากนั้นก็ถูกบิดาของข้ารู้เรื่อง เขาเพียงแต่เตือนข้าว่า ‘เจ้าคิดว่าประตูมิติระหว่างหลินชวนกับโลกแห่งยุคกลางเปิดได้ง่ายดายงั้นหรือ? เหล่าคนที่เอายุทธภัณฑ์ที่เจ้าหลอมไปนั้นจะเสี่ยงชีวิตเพียงเพื่อยุทธภัณฑ์ชั้นสมบัติอย่างนั้นหรือ?’ นับแต่นั้นมาข้าก็รู้ แล้วว่าพวกเขาล้วนแต่เป็นพวกต้มตุ๋นหลอกลวง!”

โลกแห่งยุคกลางส่งข่าวสารให้แก่หลินชวนนั้นยากระดับไหนกัน?

มู่ชิงเกอครุ่นคิดในใจ นอกจากครั้งหนึ่งที่ใช้โอสถระดับเทวะแลกเปลี่ยนกับหานฉายไฉ่ เพื่อใช้ประตูมิติของตระกูลหานส่งมู่ยี่กลับไปแล้ว ก็มีเพียงครั้งที่ซือมั่วมอบยันต์ส่งสารให้แก่นาง

แต่ก่อน ซางอี้เฉินก็เคยพูดว่า ประตูมิติของตระกูลซางเสียหายไปนานแล้ว ไม่สามารถใช้ได้

“เวลาผ่านไปนานแล้ว ข้าก็คิดว่าตระกูลมู่ก็คงคิดว่าข้าตายแล้ว บางที่ก็เพราะว่าเจ้าอายุยังน้อย เก็บความลับไม่อยู่บอกทุกอย่างแก่ท่านปู่และท่านอาของเจ้า ข้าส่ง หรือไม่ส่งข่าวก็ล้วนแต่คงไม่มีประโยชน์แล้ว จึงเพียงแต่ตั้งใจหาวิธีช่วยพ่อของเจ้าให้กลับคืนมา จากนั้นก็ไปตระกูลมู่เพื่อรับผิดพร้อมกัน แต่ข้ากลับคิดไม่ถึงว่า เจ้า กลับ…กลับ…” ซางหลันรั่วปวดใจมาก

ในตอนที่บุตรสาวเดินมาถึงตรงหน้าของนางในสถานะของผู้ชายนั้น นางก็คาดเดาได้ถึงความเป็นไปได้หนึ่ง นั่นก็คือตลอดระยะ 19 ปีมานี้ มู่ชิงเกอได้ใช้ชีวิตอยู่

ในสถานะของผู้ชายมาโดยตลอด

ความคับข้องใจและอันตรายภายในนั้นก็สามารถจินตนาการได้เลยว่ามีมากแค่ไหน

“เกอเอ๋อร์ขอโทษด้วย! เป็นแม่ผิดต่อเจ้า!” ซางหลันรั่วร้องไห้เสียงดังขึ้นมา

“ท่านกับตระกูลอิ๋งมีความสัมพันธ์อะไรกัน?” มู่ชิงเกอกลับไม่ได้หวั่นไหวไปกับการร้องไห้ของนาง เอ่ยถามออกไป

ซางหลันรั่วชะงัก เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ก่อนที่ข้าจะออกจากตระกูลซางไปนั้น บิดาของข้าก็ได้หมั้นหมายข้าไว้ให้กับตระกูลอิ๋ง เพียงแต่หลังจากนั้นเขารู้ว่าข้าได้แต่งงานแล้วทั้งยังมีครรภ์ดังนั้นเพื่อเป็นการชำระความผิดต่อตระกูลอิ๋ง และยกเลิกการหมั้นหมายครั้งนั้น ตระกูลซางจึงสูญเสียไปมากมาย สูญเลียโอกาสที่ดีที่สุดในการฟื้นตัวไป”

มู่ชิงเกอนิ่งเงียบ

สิ่งที่ควรฟังก็ได้ฟังจบแล้ว

“หลังจากนี้สามวัน ข้าจะมารับมู่เหลียนเฉิง” มู่ชิงเกอทิ้งไว้เพียงประโยคเดียวแล้วก็ออกจากเรือนหลังเล็กของซางหลันรั่วไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!