Skip to content

พลิกปฐพี 287

ตอนที่ 287

สายเลือดถูกยืนยัน ตกตะลึงทั้งตระกูล

ตระกูลซางไม่เคยให้คนนอกเข้าสู่จวนส่วนใน

ที่นี่เป็นสถานที่ที่ทุกคนในตระกูลซางล้วนแต่เคยมาเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก และก็เป็นต้นนํ้า ยามเมื่อครั้งห้าขวบ หากว่าสามารถวัดออกมาได้ว่ามีสายเลือดของอาจารย์ หลอมศาสตราแล้ว ก็จะสามารถอยู่ในจวนส่วนในต่อ เพื่อเรียนวิธีที่จะกลายเป็นอาจารย์หลอมศาสตรา หากว่าไม่มีสายเลือดของอาจารย์หลอมศาสตราอยู่ ก็จะ ไม่สามารถเข้ามาได้อีก ทำได้แต่เพียงอาศัยอยู่นอกจวนเท่านั้น

หลังจากเติบโตแล้ว หากว่าไม่มีเรื่องอื่น ก็ทำได้แต่เพียงจัดการเรื่องทั่วไปหรือจัดการกับภารกิจต่างๆ ของตระกูล

“สถานที่แห่งนี้ ข้าเคยมาครั้งหนึ่งกับเสวี่ยอู่ในตอนที่มีอายุห้าขวบ หลังจากนั้นข้าก็ไม่ได้มาอีกเลย” มองดูอาคารที่อยู่ในความความทรงจำแล้ว มู่อี้เฉินก็กระซิบอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอก็ลอบพิจารณารอบด้าน นางได้รู้จากคำพูดของซางซุ่นหวางมาก่อนแล้วว่าที่นี่คือสถานที่รวบรวมอาจารย์หลอมศาสตราของตระกูลซาง

วันนี้เป็นวันที่ต้องเข้าทดสอบสายเลือด

เพราะว่านางได้พลาดเลยวันเวลาทดสอบสายเลือดมานานแล้ว ดังนั้นวันนี้ การทดสอบสายเลือดจึงจัดขึ้นเป็นพิเศษเพื่อนางโดยเฉพาะ ส่วนคนที่รับทดสอบก็มีแค่นางเพียงคนเดียว

อิงตามที่ซางซุ่นหวางพูด วันนี้เป็นโอกาสที่นางจะพิสูจน์ตนเองต่อหน้าคนทั้งหมดของตระกูลซาง

เพียงแค่ผลลัพธ์เผยออกมาว่านางสืบทอดสายเลือด เช่นนั้นนางที่จะได้เรียนวิชาหลอมศาสตราและก็จะไม่มีใครสามารถพูดตำหนิได้อีก

ดังนั้น วันนี้จึงมีการยกเว้นให้คนในตระกูลทุกคนสามารถเข้ามาในจวนส่วนในเพื่อร่วมดูการทดสอบได้ทั้งหมด แน่นอนว่า พูดอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ห้องทดสอบของจวนส่วนในนั้นสามารถรับรองคนได้ไม่ถึงแสนคน ดังนั้นคนที่มาส่วนมากจึงเป็นคนที่มีสายเลือดสืบทอด มากพรสวรรค์ ทั้งยังรวมถึงอาวุโสบางคนที่มีตำแหน่งสูงด้วย

ที่ทำให้คนตกตะลึงก็คือ ผู้อาวุโสไท่ซ่างทั้งหกที่เก็บตัวไม่ยุ่งเรื่องภายนอกมาโดยตลอด กลับส่งหนึ่งคนเข้ามาร่วมดูผลสรุปของการทดสอบด้วย

ดูแล้วการทดสอบสายเลือดของมู่ชิงเกอในครั้งนี้ได้ดึงดูดความสนใจของคนเป็นจำนวนมาก

“ลูกพี่ เหตุใดท่านกับเสวี่ยอู่ล้วนแต่สามารถสืบทอดความสามารถทางสายเลือดของตระกูลซางแต่ข้ากลับไม่สามารถ? หรือเป็นเพราะว่าข้าเป็นผู้ชายอย่างนั้น หรือ?” มู่อี้เฉินส่ายศีรษะอย่างไม่เข้าใจ

เขาคิดไม่ออกจริงๆ!

มู่ชิงเกอมองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยเสียงเรียบว่า “ไม่มีสายเลือดสืบทอดก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรจะไปสนใจทำไม?

ความสามารถทางสายเลือดอะไรก็ไม่สู้ความขยันหมั่นเพียรและความตั้งใจ”

มู่อี้เฉินพยักหน้าอย่างหนักแน่น เอ่ยกับนางว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ลูกพี่!”

เวลานี้ในใจของเขาก็รู้สึกตื่นเต้น เขาก็อยากจะทราบเหลือเกินว่าระดับความเข้มข้นทางสายเลือดของมู่ชิงเกอนั้นมีมากแค่ไหน “เมื่อก่อนตอนครั้งที่เสวี่ยอู่ทดสอบนั้น ความเข้มข้นทางสายเลือดของนางอยู่ระดับหก พูดกันว่าเป็นคนที่มีความสามารถทางสายเลือดตระกูลซางที่เข้มข้นที่สุดแล้วในเกือบร้อยปีที่ผ่านมา”

“ระดับความเข้มข้นทางสายเลือดอย่างนั้นหรือ?” มู่ชิงเกอพูดเบาๆ ออกมาอย่างไม่เข้าใจ

มู่อี้เฉินพยักหน้า ชี้มือไปยังเสาหินสีขาวข้างหน้าแล้วอธิบายกับมู่ชิงเกอว่า “ลูกพี่ มองเห็นเสาหินนั้นหรือไม่? ก็ไม่รู้ว่าทำขึ้นจากวัสดุอะไร เพียงแต่ยื่นมือไปคลำที่รูด้านล่างสุดของมัน หยดเลือดจากปลายนิ้วหยดหนึ่งออกมา มันก็จะสามารถวัดระดับความเข้มข้นของระดับความสามารถทางสายเลือดได้ทั้งหมดมีสิบระดับ แต่พูดกัน ว่านอกจากบรรพบุรุษรุ่นที่หนึ่งที่ขึ้นไปถึงระดับสิบแล้ว หลังจากนั้นมาหลายหมื่นปีก็ไม่เคยมีอีกเลย ปกติพูดกันว่าสามารถไปถึงระดับเจ็ดได้ก็ถือว่าเก่งกาจแล้ว ท่านตา ก็ดูเหมือนว่าจะไปถึงระดับที่เจ็ดเท่านั้น ท่านแม่ก็อยู่ระดับเจ็ดเช่นเดียวกัน แต่ท่านตาก็ได้พูดแล้วว่า สิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ท่านแม่ได้ละเลยสายเลือดไปแล้ว”

มู่ชิงเกอมองไปยังเสาหินนั่น นางก็รู้สึกแปลกใจเช่นเดียวกันว่ามันถึงกลับสามารถวัดระดับความเข้มชันของสายเลือดได้เลยหรือ

เหตุใดนางจึงไม่รู้สึกว่าสายเลือดของนางนั้นมีอะไรแตกต่างจากคนอื่นละ?

เดินออกจากเฉลียง มู่ชิงเกอกับมู่อี้เฉินก็ปรากฎตัวต่อหน้าของทุกคน

ที่นี่มีคนที่คิดอยากจะดูผลสรุปของการทดสอบสายเลือด นางรออยู่ แน่นอนว่าไม่ได้มีเป็นแสนคน แต่ว่ามีจำนวนคนประมาณสองสามหมื่นคนได้ภายในนั้นส่วนมากเป็นกลุ่มที่เป็นรุ่นเยาว์

“ตระกูลซางมีอาจารย์หลอมศาสตราเยอะขนาดนี้เชียวหรือ?” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ

มู่อี้เฉินพยักหน้า “ที่สามารถหลอมยุทธภัณฑ์ได้ ส่วนมากก็มีจำนวนเท่านี้แหละ แต่พวกเขาส่วนมากสามารถหลอมได้แต่เพียงยุทธภัณฑ์ชั้นจิตวิญญาณ แต่เมื่อ เทียบกับอาจารย์หลอมศาสตราข้างนอกแล้ว อาวุธที่คนของตระกูลซางหลอมออกมาจะมีระดับที่สูงและดีกว่าหน่อย”

มู่ชิงเกอพยักหน้า

ตอนนี้การปรากฎตัวของพวกเขาได้ดึงดูดสายตาของทุกคน ทุกคนล้วนแต่เงียบลง มองมาทางมู่ชิงเกอด้วยสายตาที่แฝงความตลก อิจฉา ดูถูกเหยียดหยามหรือไม่ก็รอดูเรื่องสนุก

สายเลือดตระกูลซางที่โผล่ออกมาอย่างกะทันหัน ทั้งยังเลยช่วงอายุในการทดสอบสายเลือด ยังคิดจะตรวจดูว่าตัวเองนั้นสืบทอดความสามารถทางสายเลือดหรือไม่อีก ช่างน่าขบขันจริงๆ

“พวกเจ้าว่ามู่ชิงเกอจะมีสายเลือดอาจารย์หลอมศาสตราของตระกูลซางจริงหรือไม่?”

“เหอ เหอ คิดว่าแค่เป็นลูกของท่านอาหลันรั่วแล้วจะสามารถมีสายเลือดสืบทอดได้อย่างนั้นหรือ? ช่างไม่เจียมตัวจริงๆ”

“นั้นสิ ไม่เห็นเจ้าเด็กซางอี้เฉินผู้นั้นหรือ นั่นก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้สืบทอดความสามารถทางสายเลือดจากซางหลันรั่ว”

“เจ้ากล้าเรียกชื่อท่านอาหลันรั่วตรงๆ ได้อย่างไร? ไม่กลัวผู้คุมกฎตระกูลได้ยินแล้วจับเจ้าไปลงโทษงั้นหรือ?”

“เหอะ มีอะไรเกี่ยวกัน? เพียงตำแหน่งสูงกว่าเล็กน้อยเท่านั้น พูดกันว่า 19 ปีมานี้นางหยุดอยู่ที่อาจารย์หลอมศาสตราระดับสมบัติมาโดยตลอด ส่วนข้านั้นก็ได้ ทะลวงผ่านระดับมาเมื่อไม่นานมานี้กลายเป็นอาจารย์หลอมศาสตราระดับสมบัติ ในเมื่อมีระดับเท่ากันเรียก ชื่อตรงๆ แล้วจะเป็นอะไร?”

“อ้า? เจ้ากลายเป็นอาจารย์หลอมศาสตราระดับสมบัติแล้วงั้นหรือ?”

“แน่นอน”

“ยินดีด้วย ยินดีด้วย!”

“เกรงใจไปแล้ว เกรงใจไปแล้ว!”

เสียงแสดงความยินดีดังขึ้นมาจากมุมๆ หนึ่ง

เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ของตระกูลซางไม่ว่าจะมีความสามารถหรือไม่ก็ล้วนแต่ผ่านการทดสอบทางสายเลือด แล้วมีสิทธิ์ที่จะยืนอยู่ในจวนส่วนใน สำหรับมู่ชิงเกอที่ อยู่ดีๆ ก็บุกเข้ามานั้นต้องเกิดความไม่พอใจในใจอยู่แล้ว

นี่ถือว่าเป็นความหยิ่งผยองของรุ่นเยาว์ ทั้งบรรดาผู้ที่มีอายุแก่กว่าภายในตระกูลก็ไม่ได้ห้ามปราม

ก็เหมือนกับคนที่เมื่อครู่เรียกชื่อซางหลันรั่วตรงๆ ทั้งยังเป็นอาจารย์หลอมศาสตราระดับสมบัติแล้วคนนั้น ในกลุ่มคนที่รุ่นราวคราวเดียวกันก็ถือว่ามีความสามารถ เพียงพอให้ภาคภูมิใจได้

“ซางชิงอี่ว์เจ้าหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นสมบัติได้แล้วงั้นหรือ?” ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา

ทุกคนค่อยๆ แหวกออกเปิดทางให้ซางจื่อหลันและซางเหย่เดินเข้ามา

“ที่แท้ก็เป็นน้องจื่อหลันนี่เอง!” ซางชิงอี่ว์เผยรอยยิ้มให้กับซางจื่อหลัน แล้วก็พูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ไม่ผิด ข้าสามารถหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นสมบัติออกมาได้แล้ว ทั้งยังผ่านการประเมินระดับจากตระกูลแล้วอีกด้วย”

ซางจื่อหลันกลอกดวงตาไปมา จำไว้ในใจ นางโบกมือให้ซางชิงอี่ว์ ฝ่ายแรกเป็นหลานสาวแท้ๆ ของผู้อาวุโสรอง ฝ่ายหลังเป็นเพียงรุ่นหลังของสายรองธรรมดา ใครเหนือกว่าเพียงแค่มองแวบเดียวก็รู้แล้ว

ซางชิงอี่ว์พุ่งมาที่ตรงหน้าของซางจื่อหลัน ฝ่ายหลังลดเสียงลงกระซิบที่ข้างหูของเขาว่า “รอเดี๋ยวหลังจากการ ทดสอบสิ้นสุด หากว่าไม่มีสายเลือด เจ้าก็ทำเช่นนี้..” นางกระซิบที่ข้างหูของซางชิงอี่ว์อยู่ครู่หนึ่ง

สีหน้าของซางชิงอี่ว์เปลี่ยนไปในทันที เอ่ยถามว่า “หากว่าเขามีสายเลือดละ?”

“หากว่ามีสายเลือด…” ซางจื่อหลันขมวดคิ้วครุ่นคิดแล้วก็เอ่ยว่า “หากว่าเขามีสายเลือดก็ไม่ต้องร้อนใจ เดือนหน้าไม่ใช่ว่ามีวันทดสอบหลอมยุทธภัณฑ์ของตระกูลมิใช่หรือ ถึงตอนนั้นเจ้าก็ไปท้าประลองกับเขา”

“แต่ว่า…ซางเสวี่ยอู่เป็นน้องสาวของเขานะ” ซางชิงอี่ว์รู้สึกลำบากใจ ถึงแม้ว่าเขาจะพูดจาดูหยิ่งผยองไปบ้าง แต่ว่าในใจก็รู้ดีว่าตนเองเป็นเพียงแค่รุ่นเยาว์ของสาย รองคนหนึ่ง ไม่สามารถไปล่วงเกินคนสายหลักได้ อีกอย่างตอนนี้ซางเสวี่ยอู่นั้นเป็นอันดับหนึ่งของรุ่นเยาว์ตระกูลซาง ไปล่วงเกินพี่น้องของนางนั้นไม่ใช่ว่าเป็นการรนหาทีตาย?

“ซางเสวี่ยอู่แล้วจะอย่างไร?” ซางจื่อหลันเห็นเขาพยายามผลักภาระออกไปแล้วก็จ้องไปอย่างไม่พอใจ เอ่ยว่า “นางไม่ใช่คนตระกูลซางจริงๆ เสียหน่อย ไม่แน่ว่าอาจจะมีสักวันหนึ่งแม้แต่แช่ซางนางก็ไม่ต้องการแล้ว เจ้ายังจะลังเลอะไรอีก? อย่าลืมละว่าข้าถึงเป็นคุณหนูใหญ่ที่แท้จริงของตระกูลซาง!”

“รู้…รู้แล้ว” ซางซิงอี่ว์หมดทางเลือก ทำได้เพียงตกลงไป

เห็นเขายอมทำตามแล้ว ซางจื่อหลันก็ถึงได้พยักหน้าอย่างพอใจ “นี่ถึงถูกต้อง”

ซางจื่อหลันถอยออกไป ซางเหย่สนใจเอ่ยถามว่า “จื่อหลันเจ้าให้เขาไปทำอะไร?”

ซางจื่อหลันยิ้มเย็นออกมา ส่งสายตาไปยังที่ที่มู่ชิงเกออยู่ “เจ้ายังจำเรื่องที่พวกเราถูกรังแกในค่ายของเขี้ยวมังกรได้อยู่หรือไม่? วันนี้อยู่ในตระกูลซาง หากว่าข้าไม่ทำอะไรบ้างก็คงจะรู้สึกผิดต่อตนเองแล้ว?”

“เช่นนั้นเจ้าวางแผนไว้อย่างไร? บอกข้าด้วยสิข้าจะได้ร่วมมือด้วย” ซางเหย่เอ่ยอย่างสนใจ

ซางจื่อหลันเหลือบมองเขาแวบหนึ่งแล้วถึงได้พูดว่า “เรื่องเล็กแค่นี้จำเป็นต้องให้พวกเราลงมือเองด้วยอย่างนั้นหรือ? ข้าจัดวางแผนไว้ดีแล้ว หากว่าผลทดสอบทางสายเลือดออกมาแล้วเขาไม่มีสายเลือดอาจารย์หลอมศาสตรา ซางชิงอี่ว์ก็จะกระตุ้นให้ทุกคนไสหัวเขาออกไปจากตระกูลซาง หากว่าเขาโชคดีมีสายเลือดก็รอถึงวันทดสอบหลอมยุทธภัณฑ์ในเดือนหน้า ซึ่งซางชิงอี่ว์ก็จะท้าประลองกับเขา ข้าไม่เชื่อว่าเขายังจะสามารถเอาชนะอาจารย์หลอมศาสตราระดับสมบัติอย่างซางชิงอี่ว์ได้อีก?”

“จื่อหลัน ช่างเป็นวิธีที่ดีจริงๆ!” ซางเหย่ยกยอชื่นชมที่ข้างหูของนาง

ซางจื่อหลันยิ้มอย่างได้ใจนัยน์ตาส่วนลึกซ่อนความชั่วร้ายเอาไว้

“ลูกพี่!” มู่เสวี่ยอู่ที่มาถึงที่นี่ก่อนเดินมาที่ข้างกายของมู่ชิงเกอ แล้วก็หันไปมองเหล่าคนในตระกูลครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ท่านตาให้ข้านำท่านขึ้นไป”

พูดแล้วนางก็เอ่ยกับมู่อี้เฉินว่า “อี้เฉิน เจ้าก็ไปหาที่รอเถอะ”

จากนั้นก็พูดเตือนอย่างไม่วางใจว่า “อย่าก่อเรื่องเด็ดขาด”

“รู้แล้ว พวกเจ้าไปเถอะ” มู่อี้เฉินพยักหน้าตกลง ถอยออกไปด้านหลัง

จากนั้นมู่เสวี่ยอู่ถึงได้พูดกับมู่ชิงเกอว่า “ลูกพี่ พวกเราไปกันเถอะ”

มู่ชิงเกอพยักหน้า สำหรับการทดสอบสายเลือดอะไรนี้ในใจของนางรู้สึกว่าน่าเบื่อมาก แต่ก็เข้าใจว่านี้เป็นกระบวนการที่ต้องเดินผ่านไป

เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า จะมีคนมากมายถึงขนาดนี้มารอหัวเราะเยาะนาง

ใช่! เป็นหัวเราะเยาะ

มู่ชิงเกอเป็นคนระดับไหน? อารมณ์ดูแคลนในสายตาของเหล่ารุ่นเยาว์ตระกูลซางเหล่านี้ เพียงแค่นางกวาดตามองแวบเดียวก็เห็นได้ชัดเจนแล้ว

ในบรรดาคนเหล่านี้ คนที่มาเพราะสนใจว่านางมีสายเลือดหรือไม่นั้นมีน้อย ส่วนคนที่หวังจะมาหัวเราะเยาะนางนั้นมีมาก

เมื่อวานนางได้ก่อเรื่องใหญ่ในพื้นที่ตระกูลซาง ทำให้คนจำนวนไม่น้อยตกตะลึง วันนี้หากว่าผลการทดสอบออกมาไม่ดีเท่าคนส่วนมาก สายตาที่พวกเขามองมาที่นางก็จะเปลี่ยนเป็นหัวเราะเยาะในทันที

ตามมู่เสวี่ยอู่ขึ้นมายังแท่นทดสอบ ซางซุ่นหวางทั้งยังมีผู้อาวุโสรองและสามล้วนแต่รออยู่ที่นี่แล้ว

มู่ชิงเกอกวาดตามองไป พบว่านอกจากพวกเขาสามคน แล้วยังมีคนแก่อีกหนึ่งคน ลักษณะนั้นก็ไม่ได้ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกแปลกหน้า เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสไท่ซ่างหกคนที่ปรากฎตัวขึ้นเมื่อวาน

“ผู้อาวุโสรองผู้นี้ปกติแล้วมักจะสร้างความลำบากให้พวกเจ้าใช่หรือไม่?” ตามทาง อยู่ดีๆ มู่ชิงเกอก็ลอบถามความจากมู่เสวี่ยอู่เบาๆ นางไม่ได้ลืมว่าเมื่อวานตอนอยู่ในพื้นที่ตระกูล ทั้งยังมีที่ห้องโถงตระกูลซาง ผู้อาวุโสรองผู้นี้มักจะพูดจากดดันอยู่ตลอด

มู่เสวี่ยอู่เอ่ยเบาๆ ว่า “สร้างความลำบากนั้นไม่มี แต่ว่าผู้อาวุโสรองไม่ชอบสิ่งที่ขัดสายตา เรื่องราวที่รู้สึกว่าขัดตาก็จะพูดออกมาเลย ส่วนหลานสาวของเขาก็คือซางจื่อหลัน”

ซางจื่อหลันงั้นหรือ?

มู่ชิงเกอคิดทบทวนเล็กน้อย แล้วก็คิดออกในทันทีว่าเป็นใคร

“ก็คือผู้หญิงที่ชอบเป็นปฏิปักษ์กับเจ้าผู้นั้นน่ะหรือ?” มู่ชิงเกอเอ่ย

มู่เสวี่ยอู่พยักหน้า “ความสามารถของนางนั้นอยู่ตํ่ากว่าข้าเล็กน้อย บางทีก็เป็นเพราะว่าการคงอยู่ของข้าได้แย่งชิงทุกอย่างที่เดิมควรจะเป็นของนางไป แต่ว่าก็ล้วนแต่เป็นเพียงทะเลาะกันทางวาจาเท่านั้น นางก็ไม่เคยทำเรื่องอะไรที่เกินเลย”

ฟังคำพูดของมู่เสวี่ยอู่จบ หากไม่ใช่ว่านางมีเรื่องราวปิดบังไว้ เช่นนั้นบรรยากาศของตระกูลซางในสายตาของมู่ชิงเกอก็ยังถือว่ามีความสามัคคีกันอยู่ ทะเลาะเล็กๆ น้อยๆ ไม่ส่งผลกระทบต่อเรื่องใหญ่ นางเป็นคนที่เคยเปลี่ยนแปลงวังหลวงมาแล้ว ยังจะกลัวอะไรอีก?

แต่ว่าหากต้องเล่นเกมส์แย่งอำนาจหรือฆ่าฟันอะไร ทางที่ดีก็คืออย่าได้มายุ่งเกี่ยวกับนาง มิเช่นนั้นอาศัยวิธีการของนาง ตระกูลซางคงจะมีคนต้องตายไปไม่น้อย

มู่ชิงเกอเงยหน้ามองท้องฟ้า ในใจเกิดความรู้สึกสูงส่งเย็นชาขึ้นมา

ไม่ใช่ว่านางหยิ่งผยอง แต่เพราะกลุ่มคนที่อยู่เบื้องล่างนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คู่มือที่อยู่ระดับเดียวกันกับนาง! ทั้งยังคิดจะหัวเราะเยาะนางอีก เรื่องตลกของนางน่าดูถึงขนาดนี้เชียวหรือ?

ถอนสายตากลับ มู่ชิงเกอได้ตามมู่เสวี่ยอู่เดินมาจนถึงเบื้องหน้าของ คนทั้งสี่แล้ว

“เกอเอ๋อร์มาแล้วหรือ” ซางซุ่นหวางมองมาที่นาง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง

“เสวี่ยอู่คำนับประมุขตระกูล ผู้อาวุโสไท่ซ่าง ผู้อาวุโสรอง ผู้อาวุโสสาม” มู่เสวี่ยอู่ทำตามธรรมเนียม คำนับคนไม่กี่คนในที่นั้น

แต่มู่ชิงเกอกลับไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ

“ชิ ไม่รู้จักมารยาท” ท่าทีของนางทำให้ผู้อาวุโสรองสบถออกมาอย่างไม่พอใจ

มู่ชิงเกอเพียงแต่กวาดตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วก็เอ่ยกับซางซุ่นหวางว่า “ไม่ใช่ว่าต้องทดสอบสายเลือดมิใช่หรือ? เช่นนั้นก็รักษาเวลาหน่อย”

ใบหน้าของซางซุ่นหวางฉายแววกระดากใจ เขาคาดเดาออกก่อนแล้วว่ามู่ชิงเกอจะไม่ยอมอ่อนน้อม แต่ไม่คิดว่าเมื่อมาอยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสไท่ซ่างแล้วนางก็ไม่ยอมแม้แต่จะทำสีหน้าให้มันดีๆ เสียหน่อย

“ก็ดี เช่นนั้นก็เริ่มเลยเถอะ” ดีที่ ผู้อาวุโสไท่ซ่างก็ไม่ได้สนใจมากมายอะไร เขามองมู่ชิงเกอด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มอบอุ่น

ผู้อาวุโสไท่ซ่างเอ่ยปาก แม้ว่าในใจของผู้อาวุโสรองจะรู้สึกไม่สบายมากแค่ไหนก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้

ซางซุ่นหวางก็ฉายโอกาสนี้เอ่ยว่า “ดี”

พูดจบ เขาก็มองไปทางผู้อาวุโสสามแล้วเอ่ยว่า “น้องสาม รบกวนแล้ว”

ผู้อาวุโสสามยิ้มพูดว่า “แต่เดิมข้าก็รับผิดชอบเรื่องการทดสอบสายเลือดรุ่นหลังของตระกูลอยู่แล้ว จะเป็นการรบกวนอะไรกัน?”

พูดจบเขาก็เดินไปข้างหน้า ไปถึงข้างกายของมู่ชิงเกอยิ้มให้นางแล้วพูดว่า “ตอนนี้ข้าควรเรียกเจ้าว่าคุณชายมู่? หรือว่าชิงเกอดี?” ทั้งสองคนเคยพบกันแล้วที่ทุ่งหญ้าอัสดง พูดไม่ถึงว่าเป็นมิตรแต่ก็ถือว่าเคยพูดคุยกัน

“แล้วแต่ผู้อาวุโสสามสะดวกใจ” ท่าทางของมู่ชิงเกอเรียบเฉย ไม่ได้ต่อต้าน

ผู้อาวุโสสามพยักหน้าอย่างพอใจ เอ่ยกับนางว่า “ตามข้ามาเถอะ”

เขาหันกายไปนำทาง มู่ชิงเกอตามหลังเขา ไปยังเสาหินที่มู่อี้เฉินพูดถึงก่อนหน้านี้ เมื่อทั้งสองคนเคลื่อนไหว คนในตระกูลที่อยู่เบื้องล่างก็ตื่นเต้นขึ้นมา ทุกๆ คนต่างเงยหน้าขึ้นมาจับตาดู เหมือนกลัวว่าจะพลาดฉากอะไรไป

“ซางอี้เฉินเจ้าไม่มีแม้แต่สายเลือดสืบทอด แล้วพี่ชายที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนของเจ้าจะมีงั้นหรือ?” ด้านหลังของซางอี้เฉิน มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา

สีหน้าของซางอี้เฉินดูครึ้มขึ้น หันกายไปมองคนที่พูด ที่เห็นก็คือใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเยาะเย้ยซึ่งเขาก็รู้จักว่าเป็นใคร

“ซางเสวียฟง ลูกพี่ของข้าไม่ใช่คนที่เจ้าจะสามารถจัดการได้” ซางอี้เฉินพูดเตือนเสียงเข้ม

คนเบื้องหน้านั้นถือว่าเป็นสายรองทางสายผู้อาวุโสสาม ตอนที่ยังเด็กมักมาเล่นด้วยกันกับเขา เรียกเขาว่าคุณชายน้อยไม่หยุดปาก แต่หลังห้าขวบไป ผลการทดสอบสายเลือดออกมาแล้วเขาก็ไม่มาเล่นด้วยกันกับมู่อี้เฉินอีกเลย ทุกครั้งที่พบกันก็ชอบพูดแต่คำพูดเยาะเย้ย

“ชิ! มีอะไรที่น่าชื่นชมกัน ล้วนแต่เป็นพวกที่มาอาศัยตระกูลซางของข้าอยู่ก็เท่านั้น” ซางเสวียฟงพูดอย่างดูแคลนออกมา

“เจ้าอยากจะต่อยตีอย่างงั้นหรือ!” มู่อี้เฉินชูกำปั้นขึ้นมา

ว่าเขา เขายังสามารถอดทนได้ แต่มาพูดว่าลูกพี่ของเขานั้น เขาทนไม่ได้!

“อาศัยเศษสวะอย่างเจ้าก็คิดจะจัดการข้างั้นหรือ?” รอยยิ้มของซางเสวียฟงยิ่งดูเยาะเย้ยมากยิ่งขึ้น

“พวกเจ้าทำอะไรกัน?” ทันใดนั้นก็มีเสียงสอดขึ้นมา ขัดจังหวะของคนทั้งสอง

ซางเสวียฟงเงยหน้ามองคนที่มา แล้วก็รีบเปลี่ยนสีหน้าในทันที พูดอย่างนอบน้อมว่า “พี่ใหญ่เสวียจือ ไม่มีอะไร ข้าแค่กำลังพูดคุยเล่นกันกับน้องอี้เฉินก็เท่านั้น”

ซางเสวียจือกวาดตามองไป เมื่อมองเห็นใบหน้าที่มืดทะมึนของมู่อี้เฉินแล้วก็เอ่ยตักเตือนซางเสวียฟงว่า “วันนี้มีผู้อาวุโสไท่ซ่างอยู่ด้วย อย่าได้ก่อเรื่อง”

“ขอรับ พี่ใหญ่เสวียจือ” ซางเสวียฟงตอบไปอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน

จากนั้นหลังจากซางเสวียจือพยักหน้าให้กับมู่อี้เฉินแล้วก็หันกายจากไป ในใจของเขาก็รู้สึกแปลกใจว่าเหตุใดเมื่อวานท่านปู่ถึงได้บอกเขาว่าไม่ให้ล่วงเกินบรรดาลูกๆ ของ ท่านอาหลันรั่ว หากว่าสะดวกก็ให้ดูแลให้ดี?

ซางเสวียจือไม่เข้าใจมองไปทางท่านปู่ของตนเอง ผู้อาวุโสสามผู้ที่นำมู่ชิงเกอไปทดสอบสายเลือด

“ชิ ถือว่าเจ้าโชคดีไป” ซางเสวียฟงสบถใส่มู่อี้เฉินแล้วก็หันกายจากไป

มู่อี้เฉินกัดฟันมองเงาแผ่นหลังเขาที่กำลังจากไป นัยน์ตาฉายแววแค้นเคือง

บนแท่น มู่ชิงเกอถูกนำมาที่ด้านหน้าของเสาตรงสูงเสาหนึ่ง และนางก็มองเห็นรูเล็กๆ รูหนึ่งอยู่บริเวณระดับเดียวกับหัวเข่าของนาง

ผู้อาวุโสสามยิ้มแล้วอธิบายว่า “แต่ก่อน เด็กๆ ในตระกูลก็จะมาทดสอบที่นี่ตอนอายุห้าขวบ รูนี้ก็ทำตามส่วนสูงของเด็กอายห้าขวบเป็นที่ตั้ง สำหรับเจ้าแล้วก็จะดูเตี้ยไปหน่อย”

มู่ชิงเกอพูดเรียบๆ ว่า “ไม่เป็นไร ผู้อาวุโสสามแค่บอกข้าว่าต้องทำอย่างไรก็พอแล้ว”

“ก็ไม่ถือว่าซับซ้อนอะไร เพียงแค่ยื่นมือเข้าไป ด้านในจะมีของมีคม ใช้แทงปลายนิ้วให้เลือดไหลออกมาหยดหนึ่งก็ได้แล้ว” ผู้อาวุโสสามอธิบาย

มู่ชิงเกอพยักหน้า แสดงออกว่าเข้าใจแล้ว

นางยื่นมือออกมา ชันเข่าลง ยื่นมือเข้าไปในรู

รูนั้นก็เล็กจริงๆ เพียงวางมือเข้าไปก็เต็มแน่น

ท่าทางของนางในตอนนี้นั้นดูไม่สง่าเลย ชันเข่าข้างหนึ่ง ไปสัมผัสรูที่สูงถึงแค่หัวเข่าของตนเอง การเคลื่อนไหวนี้ ทำให้คนด้านล่างหัวเราะขึ้นมา

ผู้อาวุโสสามขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ส่งสายตาที่ดูเข้มงวดออกไปพูดว่า “เงียบ”

เมื่อเขาพูดขึ้น คนด้านล่างถึงได้สำรวมขึ้นหน่อย ในตอนที่เขาหันสายตากลับมามองที่มู่ชิงเกอนั้น กลับพบว่านางไม่ได้ถูกรบกวนจากเสียงหัวเราะเหล่านั้นเลย ท่าทีไม่ได้ มีอะไรเปลี่ยนไป ดูเหมือนกับเสียงหัวเราะเยาะเหล่านั้น ไม่ได้หัวเราะใส่นางก็ไม่ปาน

มู่ชิงเกอยื่นมือออกไป คลำอยู่ภายในรู ในที่สุดก็คลำไปถูกของมีคมอันหนึ่ง เมื่อนางสัมผัสก็มีข้อมูลอย่างหนึ่งโผล่ขึ้นมาในหัวของนาง

(กำมะถันสีเงินมีประโยชน์ในการทดสอบสายเลือด…)

ในใจของมู่ชิงเกอรู้สึกตกตะลึง ใต้เสาหินถึงกับซ่อนเข็มที่ทำขึ้นจากกำมะถันสีเงินเอาไว้อันหนึ่ง กำมะถันสีเงิน นางก็เคยอ่านเห็นแค่บนหนังสือไม่เคยเห็นด้วยตาตนเองมาก่อน

รู้เพียงแต่ว่าในกำมะถันสีเงินมีสารพิเศษชนิดหนึ่งที่สามารถตรวจจับสายเลือดเดียวกันทั้งยังตรวจสอบระดับความเข้มข้นของสายเลือดออกมาได้ ส่วนเพื่อ อะไรนั้นนางไม่แน่ใจ

‘คนตระกูลซางที่ทดสอบสายเลือดล้วนแต่ทดสอบก่อนที่จะถูกปลุกสายเลือด แน่นอนว่าจะไม่มีข้อมูลใดๆ โผล่กลับออกมา เพียงแต่ไม่รู้ว่าพวกเขาจะรู้ถึงความลับภายในเสาหินทดสอบนี้หรือไม่?’ มู่ชิงเกอคิดในใจ

แต่มือก็ไม่ลืมที่จะออกแรงกดให้กำมะถันสีเงินแทงนิ้วของนาง เลือดหยดหนึ่งหยดออกมาจากปลายนิ้วของนางแล้วก็ถูกกำมะถันสีเงินดูดเข้าไป

มู่ชิงเกอถอนมือกลับ ลุกขึ้นยืน เอามือไพล่หลังใช้แขนเสื้อคลุมเอาไว้

“ต้องการใส่ยาหรือไม่?” ผู้อาวุโสสามเอ่ยถาม

มู่ชิงเกอส่ายหน้า บาดแผลเล็กน้อยแค่นี้ในตอนที่นางถอนมือกลับมาก็ได้หายดีแล้ว

ผู้อาวุโสสามพยักหน้าและไม่ได้บังคับ

“ตอนนี้ก็รอผลลัพธ์เถอะ” ผู้อาวุโสสามเอ่ยกับมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอยืนตรงอยู่อีกข้าง รอคอยอย่างเงียบสงบ ในความเป็นจริงนางก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน ในเวลาเดียวกันนี้ เสียงเบื้องล่างก็ค่อยๆ สงบเงียบลง ทุกๆ คนกำลังรอคอยผลของการทดสอบ ไม่เพียงแต่คนในตระกูลเหล่านี้ แต่ยังรวมถึงพวกซางซุ่นหวางไม่กี่คนด้วย

เวลาค่อยๆ ดำเนินผ่านไป

แต่เสาทดสอบกลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เสียงพูดคุยกันดังขึ้นมาจากกลุ่มคน

“เอ? ทำไมถึงไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลย?”

“ข้าจำได้ว่าเมื่อครั้งที่พวกเราทดสอบเพียงไม่นาน ผลลัพธ์ก็ออกมาแล้ว ครั้งนี้ทำไมถึงได้นานขนาดนี้?”

“เหอ เหอ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะไม่ได้สืบทอดสายเลือดอาจารย์หลอมศาสตราตระกูลซางของพวกเราเลยก็เป็นได้”

เสียงพูดคุยกันเหล่านี้ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ นํ้าเสียงก็เปลี่ยนเป็นเยาะเย้ยมากขึ้นเรื่อยๆ

ผู้อาวุโสสามมองไปทางมู่ชิงเกอ กลับเห็นว่านางไม่ได้มีท่าทีที่ดูร้อนรนเลยแม้แต่น้อย เงียบสงบมาก ดูเหมือนว่านางมั่นใจในตนเองมาก

“ประมุขตระกูล ดูแล้วครั้งนี้ท่านคงมองผิดไป” ผู้อาวุโสรองมองไปทางซางซุ่นหวางยิ้มแล้วพูดออกมา

สีหน้าของซางซุ่นหวางเปลี่ยนเป็นไม่อาจคาดเดา เขาไม่อาจเชื่อผลลัพธ์นี้ได้

หากว่ามู่ชิงเกอไม่ได้สืบทอดสายเลือด แล้วจะอยากได้วิชาหลอมศาสตราตระกูลซางไปทำไม?

ฝั่งทางผู้อาวุโสไท่ซ่างนั้นก็มีใบหน้าที่ดูผิดหวัง

“ลูกพี่…” มู่เสวี่ยอู่พึมพำออกมา นัยน์ตาเต็มไปด้วยความกังวล

นางกังวลว่าไม่มีสายเลือดแล้วมู่ชิงเกอจะผิดหวังและก็รู้สึกพ่ายแพ้เช่นมู่อี้เฉิน

“ลูกพี่! สู้ๆ!” มู่อี้เฉินกำกำนันแน่น ให้กำลังใจมู่ชิงเกออยู่ในใจ

ข้างหู เสียงที่ทิ่มแทงหูดังขึ้นมาอีกครั้ง “เหอ เหอ เหอ ข้าก็พูดแล้ว สายเลือดของพวกเราตระกูลซางจะเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็มีได้อย่างไรกัน? ซางอี้เฉินเป็นเศษสวะ พี่ชายคนนั้นของเขาก็เป็นเศษสวะเช่นเดียวกัน!”

คำพูดที่หยิ่งผยองนี้ไม่ได้ซ่อนเร้นจึงดึงดูดให้ทุกคนหัวเราะขึ้นมา

คำว่า ‘เศษสวะ’ นี้ก็ลอยไปจนถึงหูของมู่ชิงเกอด้วยเช่นเดียวกัน ทำให้นางมองไปทางนั้น

“เจ้าพูดอะไร! หากว่าเจ้าแน่จริงก็ลองพูดมาอีกครั้งสิ!” มู่อี้เฉินโมโหมาก คิดอยากจะพุ่งเข้าไปตีคน

ซางเสวียฟงกับเอ่ยอย่างไม่เกรงกลัวว่า “เศษสวะเช่นเจ้า ยังจะทำอะไรได้? คิดจะตีข้างั้นหรือ? หากทำข้าบาดเจ็บ แล้วเจ้าชดใช้ได้หรือไม่?”

“สารเลว!” นัยน์ตาของมู่อี้เฉินแดงกํ่ากำลังจะพุ่งเข้าไป แต่ว่าคนอื่นๆ ตรงหน้าของเขากลับขวางเขาเอาไว้ ดู เหมือนจะทั้งจงใจและไม่จงใจผลักเขา ไม่ให้เขาเข้าใกล้

“อี้เฉิน!” มู่เสวี่ยอู่ที่มองเห็นฉากนี้แล้วก็รีบลงมาจากบนแท่นในทันที เบียดเข้าไปยังข้างกายของน้องชาย เมื่อนางปรากฎตัวศิษย์ของตระกูลซางรอบด้านก็ล้วนแต่ ถอยหลังออกไปก้าวหนึ่ง สร้างระยะห่างระหว่างพวกเขา พวกเขาสามารถกลั่นแกล้งมู่อี้เฉินได้แต่กลับไม่อาจล่วงเกินมู่เสวี่ยอู่

“เสวี่ยอู่ พวกเขาทำเกินไปแล้ว!” มู่อี้เฉินเอ่ยกับมู่เสวี่ยอู่

มู่เสวี่ยอู่ขบริมฝีปาก กวาดสายตาไปยังร่างของคนเหล่านั้น แล้วก็เอ่ยปลอบมู่อี้เฉินว่า “ใจเย็นๆ”

ฉากความครึกครื้นนี้สะท้อนเข้าสู่สายตาของมู่ชิงเกอ นางเพียงแค่ยิ้มเยาะออกไปเท่านั้น

ความครึกครื้นนี้ทำให้เวลาผ่านไปอีกหน่อย แต่เสาทดสอบก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยาใดๆ แม้แต่มู่ชิงเกอก็ยังรู้สึกสงสัยว่าของสิ่งนี้คงไม่ใช่ว่าพังไปแล้วหรือไม่ จึงกวาดตาไปมองดู

โอกาสที่ซางจื่อหลันสั่งการซางชิงอี่ว์เอาไว้ก่อนหน้านี้ได้มาถึงแล้ว เขาสะบัดแขนเสื้อกำลังคิดจะตะโกนออกมา พูดว่าให้ไล่มู่ชิงเกอออกไปจากจวนส่วนในเสีย

เพียงแต่ในตอนที่เขาเพิ่งจะสูดลมหายใจอ้าปากนั้น อยู่ดีๆ เสาหินทดสอบที่สงบนิ่งมาตลอดก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น ทำให้ต้องกลืนคำที่จะพูดออกมาลงไปใหม่ จนอดไม่ได้ที่จะไอออกมาอย่างแรง

วิ้ง!

เสียงแหลมดังออกมาจากเสาหิน

เสาหินสีขาวใสพลันส่องสะท้อนแสงสีแดงวาบออกมา

ฉากนี้ทำให้คนไม่กี่คนที่เต็มไปด้วยความคาดหวังต่อมู่ชิงเกอตื่นเต้นขึ้นมา

โดยเฉพาะซางซุ่นหวาง เขาตื่นเต้นจนกำมือแน่นทั้งยังสั่นเล็กน้อย

“เขามีสายเลือดงั้นหรือ?”

“ช่างทำให้คนรู้สึกเหนือความคาดหมายจริงๆ ถึงกับมีสายเลือดของพวกเราตระกูลซาง เพียงแต่ไม่รู้ว่าความเข้มข้นของสายเลือดจะอยู่ระดับไหน”

“ระดับไหนอะไร? เจ้าไม่เห็นหรือว่าเมื่อครู่นี้เกือบจะไม่มีผลทดสอบออกมาแล้ว? ข้าว่าเช่นนี้ต้องมีสายเลือดที่เจือจางมากแน่ๆ อย่างมากถึงระดับสองก็ไม่เลวแล้ว”

“ระดับสองงั้นหรือ? ข้าว่าประมาณระดับหนึ่ง”

แสงสีแดงบนเสาหิน ขจัดความสงสัยในสายเลือดของมู่ชิงเกอออกไป แต่กลับนำประเด็นมาที่ระดับความเข้มชันของสายเลือดนางแทน

ซางจื่อหลันมองแสงบนเสาหินด้วนลีหน้าที่ดำทะมึน ขบกัดฟันเอ่ยว่า “มีสายเลือดจริงๆ!”

ซางเสวียจือยืนอยู่ในมุมดูเงียบๆ และก็กำลังรอคอย

มู่อี้เฉินเห็นมู่ชิงเกอมีสายเลือดตระกูลซางก็ได้ใจขึ้นมา เขาพูดข้ามหัวกลุ่มคนไปพูดกับซางเสวียฟงว่า “เบิกตาอันแหลมคมของเจ้าดูให้ชัดๆ ว่านั่นคืออะไร”

ซางเสวี่ยฟงเอ่ยอย่างไม่ยอมว่า “เจ้าก็อย่าเพิ่งดีใจเร็วเกินไป ความเข้มข้นของสายเลือดบนร่างของเขานั้นแย่จนเกือบทดสอบออกมาไม่ได้ แค่สายเลือดระดับหนึ่ง หรือระดับสองก็สามารถมาหยิ่งผยองต่อหน้าข้าได้อย่างนั้นหรือ?”

“เจ้า!” มู่อี้เฉินหมดทางตอบโต้ในทันใด เพียงแต่สบถด้วยนํ้าเสียงที่เย็นชาออกมาว่า “คอยดูเถอะ”

“อา!”

ทันใดนั้นในกลุ่มคนก็มีเสียงแตกตื่นดังขึ้น

เหตุผลที่พวกเขาส่งเสียงก็คืออยู่ดีๆ แสงสีแดงนั้นก็พุ่งขึ้นไปอยู่ในขั้นที่ความเข้มชันทางสายเลือดระดับห้าเท่า และก็ยังสามารถขึ้นไปได้สูงยิ่งกว่านั้นไม่มีแนวโน้มที่จะหยุดลงแต่อย่างใด…

“ระดับหกแล้ว!”

“ระดับเจ็ดแล้ว!”

ทุกครั้งที่แสงสีแดงเพิ่มขึ้นไปหนึ่งระดับ ก็ต้องมีคนร้องส่งเสียงออกมา

“ระดับเจ็ด! ระดับเจ็ด!” ซางซุ่นหวางตื่นเต้นจนพูดไม่เป็นประโยค

นัยน์ตาของผู้อาวุโสไท่ซ่างก็เปลี่ยนจากผิดหวังเป็นคาดหวัง จ้องมองเสาหินทดสอบอย่างไม่กะพริบตา แม้ว่าแสงสีแดงนั้นจะเสียดแทงนัยน์ตาเพียงใดแต่เขาก็ไม่ยอมละสายตาเลยแม้แต่น้อย

“ยินดีกับประมุขตระกูลด้วย” ตอนนี้เองผู้อาวุโสรองก็ประสานมือ เอ่ยแสดงความยินดีกับซางซุ่นหวาง

ซางซุ่นหวางกลับยกมือขึ้นขวาง มองไปทางเขายิ้มแล้วเอ่ยว่า “น้องรอง รอทุกอย่างจบลงแล้วเจ้าค่อยแสดงความยินดีกับข้าก็ไม่สาย”

“ระดับแปด!”

“พุ่งถึงระดับแปดเชียวหรือ?”

“นี่เป็นไปได้อย่างไร? เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่นี้เกือบจะตรวจสอบออกมาไม่ได้เลยด้วยซํ้า”

“นี่เป็นไปไม่ได้! นี่เป็นไปไม่ได้!” ซางเสวียฟงส่ายหน้าด้วยใบหน้าที่ซีดขาว มองไปยังภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา

ในตำแหน่งของระดับแปด แสงสีแดงสะท้อนสายตากลับทำให้คนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกเหมือนกับตกเข้าไปอยู่ในถํ้านํ้าแข็ง

“ระดับแปด! มีคนที่มีสายเลือดเข้มข้นถึงระดับแปดได้อย่างไร!” ซางจื่อหลันตกตะลึงมาก สีหน้าเปลี่ยนเป็นดำทะมึนอย่างไม่น่าดู

“นั่นสิ! เป็นไปได้อย่างไร? โกงหรือเปล่า!” ซางเหย่ก็ตะโกนพูดออกไป

ซางจื่อหลันเหลือบตาจ้องมองเขา ด่าว่า “เจ้าเป็นหมูหรืออย่างไร! ตระกูลซางในตอนนี้ไม่มีคนที่มีความเข้มข้นทางสายเลือดถึงระดับแปดอยู่เลย เขาจะหาใครมาโกง?”

“ระดับแปด…ระดับแปด…” ผู้อาวุโสไท่ซ่างก็ตื่นเต้นขึ้นมา

ผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสสามก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก

ในใจของซางซุ่นหวางรู้สึกอธิบายไม่ถูก พึมพำพูดกับตนเองว่า “ระดับแปด หลายปีแล้วที่ตระกูลซางไม่มีความเข้มข้นทางสายเลือดถึงระดับแปดโผล่ออกมา!”

ครืน!

“อ้า! ”

ในตอนที่ทุกคนล้วนแต่คิดว่าระดับความเข้มข้นของสายเลือดมู่ชิงเกอนั้นอยู่ที่ระดับแปดแล้วนั้น คิดไม่ถึงว่าแสงสีแดงที่เริ่มสงบลงจะขยับขึ้นอย่างกะทันหัน จากระดับ แปดพุ่งขึ้นไปยังระดับเก้าจากนั้นก็พุ่งขึ้นไม่หยุด พุ่งตรงขึ้นไปถึงระดับสิบ!

ระดับสิบ!

ระดับสิบ!

นั้นมีเพียงแต่บรรพบุรุษรุ่นที่หนึ่งของตระกูลซางเท่านั้นที่ มีความเข้มชันของสายเลือดระดับนี้!

ส่วนมู่ชิงเกอที่เป็นลูกหลานนอกแซ่ แต่กลับมีความเข้มชันของสายเลือดในร่างกายสูงถึงขนาดนี้ได้!

นี่เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายมาก!

“สวรรค์…สวรรค์มีตาแล้ว! สวรรค์เมตตาตระกูลซางของข้าแล้ว!” ผู้อาวุโสไท่ซ่กงรู้ลึกตื่นเต้นจนน้ำตาไหลและมือสั่นระริกไปหมด

ซางซุ่นหวางได้ตกตะลึงจนยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ความสามารถของหลานนอกแซ่ของเขา คนนี้เหนือกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้มากนัก

อีกอย่าง แสงสีแดงนั้นพุ่งไปถึงระดับสิบแล้วก็ไม่ได้หยุดลง ยังคงพุ่งขึ้นไปต่อ ดูเหมือนคิดจะออกจากขอบเขตของเสาหิน

ฉากนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึง พวกเขาเบิกตากว้างอ้าปากค้างมองดู

ปัง!

ทันใดนั้น ก็มีเสียงดังสะท้านออกมาจากเสาหินทดสอบ เสาหินระเบิดออกกลายเป็นฝุ่นและแสงสีแดงก็กระจายหายไป

มู่ชิงเกออยู่ใกล้ในตอนที่ระเบิดนั้น ก็ยกแขนเสื้อขึ้นบังได้ทันเวลาพอดี พอนางสะบัดเสื้อ ลมสายหนึ่งก็พัดฝุ่นข้างกายของนางให้กระจายออกไป และข้างกายก็มีเสียงไอของสามผู้อาวุโสดังขึ้นมา

ฝุ่นกระจายหายไป แต่ท่าทีตกตะลึงของทุกคนก็ยังไม่เปลี่ยน

“นี่เกิดอะไรขึ้น? เสาหินทดสอบแตกได้อย่างไร?”

กลุ่มคนเริ่มสับสนวุ่นวายขึ้นมา

“เงียบ เงียบให้หมด” ซางซุ่นหวางก้าวออกมาได้ทันเวลา ทำให้ทุกคนสามารถสงบสติอารมณ์ลงได้

มู่ชิงเกอกลับโค้งกายก้มลง ยื่นมือไปหยิบกำมะถันสีเงินที่มีความยาวขนาดหนึ่งนิ้วขึ้นมาจากพื้นที่เต็มไปด้วยฝุ่นผง หลังจากหยิบขึ้นมาพิจารณาในมืออย่างละเอียดแล้ว นางถึงได้ยื่นให้แก่ผู้อาวุโสสาม “เพียงแค่กำมะถันสีเงินยังอยู่ก็สามารถสร้างเสาทดสอบขึ้นมาได้อีก”

“กำมะถันสีเงิน! เจ้าถึงถับรู้ว่านี่คือกำมะถันสีเงิน!” ผู้อาวุโสสามเอ่ยอย่างตกตะลึง

มู่ชิงเกอไม่ได้ตอบคำถามนี้ของเขา เพียงแค่กะพริบตาเอ่ยว่า “เช่นนั้นตอนนี้ถือว่าเป็นอย่างไร?”

เสาทดสอบ พังลงแล้วซึ่งนี่ก็อยู่นอกเหนือความคาดหมายของนางด้วยเช่นกัน

สำหรับความเข้มชันของสายเลือดตนเองนั้น ใจนางก็พอจะรู้อยู่แล้ว ร่างกายของนางเคยได้รับการดัดแปลง ก็เปรียบเสมือนว่าสายเลือดของนางนั้นได้รับการขัดเกลาใหม่ ดังนั้นความเข้มชันของเลือดนางจึงมีความบริสุทธิ์สูง

แต่ว่าสูงจนระเบิดออกมาเช่นนี้ก็เหนือความคาดหมายของนาง

เสียงของนางเพิ่งจะหลุดออกไป ก็มีเงาร่างของคนไม่กี่คนวาบมาตรงหน้า

ผู้อาวุโสไท่ซ่าง ซางซุ่นหวาง แล้วก็ยังมีผู้อาวุโสรองล้วน แต่มาปรากฎอยู่ตรงหน้าของนาง

“เจ้าบอกข้ามา สายเลือดของเจ้าได้เคยตื่นแล้วครั้งหนึ่งใช่หรือไม่? มีเพียงแค่สายเลือดที่ตื่นแล้วเห่านั้นถึงจะข้ามผ่านขอบเขตที่เสาทดสอบจะรับได้เช่นนี้” ผู้อาวุโสไท่ซ่างรีบเอ่ยถาม

อะไรนะ! สายเลือดของมู่ชิงเกอตื่นแล้วครั้งหนึ่งอย่างนั้นหรือ?

เขาปลุกให้ตื่นได้อย่างไร?

ไม่ได้อยู่ในตระกูลก็สามารถปลุกให้ตื่นได้อย่างนั้นหรือ?

ทุกคนในตระกูลซางตกตะลึงแล้ว ดูเหมือนว่า ทุกๆ เรื่องที่เกิดบนตัวของมู่ชิงเกอล้วนแต่ข้ามผ่านการรับรู้ของพวกเขาไปไกล

เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของผู้อาวุโสไท่ซ่าง มู่ชิงเกอก็ เพียงแต่พยักหน้าเท่านั้น

เขายอมรับแล้ว!

เขาถึงกับยอมรับแล้ว!

ปฏิกิริยาของมู่ชิงเกอทำให้ทุกคนตกตะลึง

“เจ้าปลุกสายเลือดให้ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วตื่นได้อย่างไร?” ผู้อาวุโสไท่ซ่างถามขึ้นอีกครั้ง ท่าทีของเขาทั้งดูตื่นเต้นและเร่งร้อน

มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยด้วยนํ้าเสียงที่เรียบเฉยว่า “ตอนอายุได้สิบหกปี ก็สัมผัสได้ว่าสายเลือดแตกต่างออกไปจากคนอื่น พูดกันว่าหากดึงดูดพญาเพลิงเข้าสู่ร่างกาย จะสามารถปลุกสายเลือดให้ตื่นได้ข้าจึงได้ลองดู”

เฮือก!

ดึงดูดพญาเพลิงเข้าสู่ร่างกายงั้นหรือ?

ทุกคนในตระกูลซางที่แม้แต่ผู้อาวุโสไท่ซ่างยังมีผู้อาวุโสรองและคนอื่นๆ ล้วนแต่สูดลมหายใจเข้าอย่างอดไม่ได้ พวกเขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าการดึงดูดพญาเพลิงเข้าสู่ร่างกายเพื่อปลุกสายเลือดให้ตื่นนั้นเป็นเรื่องที่อันตรายแค่ไหน?

ไม่เพียงแต่ต้องรับความเจ็บปวดที่คนปกติไม่สามารถทนรับได้ อีกทั้งยังต้องระมัดระวังเป็นอย่างมากหากขาดสติไปเพียงเล็กน้อยก็จะถูกพญาเพลิงเผาทำลายจนกลายเป็นเถ้าถ่านได้

“ดึงดูดพญาเพลิงเข้าสู่ร่างกาย! เส้นทางนี้ของลูกพี่เดินมาอย่างไรกันแน่? ข้าไม่อาจจะจินตนาการได้เลยจริงๆ” มู่เสวี่ยอู่ก็รู้สึกตกตะลึง

ทุกคนของตระกูลซางเงียบลง สายตาที่มองดูมู่ชิงเกอฉายแววซับซ้อนวุ่นวาย

นางนำมาซึ่งความตกตะลึงมากจนเกินไป ทำลายสิ่งที่พวกเขาเคยเรียนรู้มาโดยตลอด

อย่างน้อยพวกเขาเหล่านี้ส่วนมากก็ล้วนแต่ไม่กล้าดึงดูดพญาเพลิงเข้าสู่ร่างกาย

“ดี! ดีมาก!” ผู้อาวุโสไท่ซ่างพยักหน้าชื่นชม แล้วก็เอ่ยถามอออกไปคำถามหนึ่งว่า “เช่นนั้นตอนนี้เจ้าสามารถหลอมยุทธภัณฑ์ได้ถึงชั้นไหนแล้ว?”

พูดไปเขาก็พูดกับตัวเองอย่างนั้นใจว่า “ไม่มีการแนะนำจากตระกูลทั้งยังไม่รู้เรื่องวิชาหลอมศาสตราที่ถ่ายทอดมา สามารถหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นจิตวิญญาณออกมาได้ก็ถือว่ายาก…”

“ยุทธภัณฑ์ชั้นสมบัติ”

“หา! เจ้า…เจ้าพูดว่าอะไรนะ?” ผู้อาวุโสไท่ซ่างมองมู่ชิงเกออย่างตกตะลึง

ด้านล่างแท่นได้ตกเข้าสู่บรรยากาศเงียบสงัดแปลกประหลาดแล้วในตอนนี้

บนแท่นนอกจากมู่ชิงเกอแล้ว คนอื่นๆ ล้วนตัวแข็งทื่อไปหมด

มู่ชิงเกออธิบายจุดมุ่งหมายของตนเองเป็นครั้งแรก “ตอนนี้ข้ากำลังเผชิญหน้ากับอุปสรรคการเลื่อนระดับ ไม่สามารถหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะออกมาได้ข้าคิดว่า วิชาหลอมศาสตราของตระกูลซางอาจช่วยให้ข้าข้ามผ่านอุปสรรคนี้ไปได้”

ในเมื่อได้พูดไปแล้วก็ไม่มีอะไรจำเป็นต้องปิดบังอีก จึงพูดจุดมุ่งหมายออกไปเพื่อจะทำให้จุดมุ่งหมายของนางสำเร็จได้เร็วยิ่งขึ้น

บนแท่น สีหน้าแข็งทื่อของผู้คนที่อยู่บนแท่นเริ่มปรากฎรอยร้าวออกมาเป็นริ้วๆ ด้านล่างแท่น บรรดาคนที่เคยเยาะเย้ยมู่ชิงเกอล้วนแต่รู้สึกเหมือนกำลังตกลงไปในหลุมที่ตนเองขุดเอาไว้

พวกเขายังมีหน้าหัวเราะเยาะอีกงั้นหรือ?

พวกเขานั้นเติบโตอยู่ในตระกูล ใช้วิธีที่ปลอดภัยที่สุดปลุกสายเลือดให้ตื่นขึ้น เริ่มเรียนวิชาหลอมศาสตรามาตั้งแต่เด็ก แต่ถึงตอนนี้ในบรรดาพวกเขามีคนที่เข้าสู่อาจารย์หลอมยุทธภัณฑ์ชั้นสมบัติสักกี่คนกัน?

มีรุ่นเยาว์จำนวนไม่น้อยของตระกูลซางที่รู้สึกว่าแก้มคันแสบร้อนขึ้นมา

ซางเสวียจือสูดหายใจเข้าลึกๆ เอ่ยชื่นชมว่า “ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าเหตุใดท่านปู่ถึงบอกข้าว่าอย่าได้ล่วงเกินเขา ทั้งยังให้พยายามตีสนิทด้วยอีก”

สีหน้าของซางจื่อหลันดูขาวซีด แผนการที่มีก่อนหน้านี้ ตอนนี้กลายเป็นความว่างเปล่า

นางได้สัมผัสแล้วว่าอะไรที่เรียกว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพลังที่แข็งแกร่งจริงๆ นั้นแผนการร้ายทุกอย่างก็กลายเป็นฝุ่นผงไป

“ผู้อาวุโสไท่ซ่าง ชิงเกอไม่เพียงแต่มีพรสวรรค์ในการหลอมยุทธภัณฑ์เท่านั้น แต่พรสวรรค์ในการฝึกปรือของเขาก็สูงมากอีกด้วย ตอนนี้เป็นยอดฝีมือระดับสีเงินชั้นสาม ก่อนหน้านี้ไม่นานบนทุ่งหญ้าอัสดง ยังได้เคยประลองกับอิ๋งเจ๋อแห่งตระกูลอิ๋งและจีเหยาฮั่วแห่งตระกูลจี ซึ่งล้วนแต่ได้รับชัยชนะทั้งสิ้น” ผู้อาวุโสสามเอ่ยขึ้นมาในทันใด

นี่ทำให้นัยน์ตาของผู้อาวุโสไท่ซ่างเปล่งประกายขึ้นมา

ทั้งยังทำให้เหล่ารุ่นเยาวของตระกูลซางตกตะลึงขึ้นอีก

ตระกูลซางของพวกเขามีซางเสวี่ยอู่ที่สร้างชื่อเสียงโดดเด่น มาตอนนี้ก็มีอัจฉริยะขึ้นมาอีกคนแล้วงั้นหรือ? อีกทั้งคนผู้นี้ยังสามารถทั้งเสมอกันกับอันดับต้นๆ บน ทำเนียบชิงอิงได้งั้นหรือ?

“สวรรค์คุ้มครองตระกูลซางของข้า! สวรรค์คุ้มครองตระกูลซางของข้าแล้ว!” ผู้อาวุโสไท่ซ่างรู้สึกตื่นเต้นเหนือใดเปรียบ

มู่ชิงเกอกลับส่งสายตาไปตกที่ร่างของผู้อาวุโสสาม จะยิ้มก็ไม่คล้ายยิ้ม ทำจนผู้อาวุโสสามได้แต่ยิ้มอย่างกระดากใจออกมา ไม่พูดอะไรอีก

“เด็กน้อย! เจ้านี่แหละคืออนาคตของตระกูลซาง!” ผู้อาวุโสไท่ซ่างเอ่ยกับมู่ชิงเกอ

อนาคตของตระกูลซางงั้นหรือ?

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้นเอ่ยปากว่า “ผู้อาวุโสไท่ซ่าง ข้าคิดว่าท่านเข้าใจผิด…”

“ผู้อาวุโสไท่ซ่าง ข้าจำได้ว่าไม่ว่าสายเลือดจะตื่นขึ้นแล้วหรือไม่ก็ตาม เพียงแต่ยังไม่ได้ผ่านวิธีของตระกูลปลุกให้ตื่นก็สามารถปลุกให้ตื่นอีกครั้งได้เช่นกันใช่หรือไม่?” ซางซุ่นหวางเอ่ยปากขึ้นในทันใด ตัดบทพูดของมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอรู้ว่าเขาจงใจ แต่ก็ไม่ได้พูดต่อ แต่ว่านางกลับรู้สึกสนใจในคำพูดที่ว่าปลุกสายเลือดให้ตื่นขึ้นอีกครั้งของเขาขึ้นมา

“ไม่ผิด ไม่ผิด! เจ้าถือว่าได้เตือนข้าแล้ว หากว่าสามารถเข้าไปในพื้นที่ตระกูล แล้วปลุกสายเลือดให้ตื่นอีกครั้ง คิดว่าความสามารถในการหลอมยุทธภัณฑ์ก็จะสูงขึ้นอีก สายเลือดก็ยิ่งจะบริสุทธิ์ขึ้นอีก” ผู้อาวุโสไท่ซ่างตื่นเต้นจนลืมคำพูดที่มู่ชิงเกอยังพูดไม่จบไป

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องของการปลุกสายเลือด…” ซางซุ่นหวางเอ่ยถาม

ผู้อาวุโสไท่ซ่างรีบเอ่ยในทันทีว่า “กำหนดเป็นหลังจากนี้สามวัน การปลุกสายเลือดในครั้งนี้ข้าจะจัดการดูแลเอง! ”

“ผู้อาวุโสไท่ซ่างจะดูแลเองอย่างนั้นหรือ?” ซางซุ่นหวางเอ่ยอย่างตกตะลึง

ผู้อาวุโสไท่ซ่างพยักหน้าอย่างแน่ใจ เอ่ยชื่นชมว่า “ไม่รู้รอมานานแค่ไหนแล้ว ตระกูลซางของพวกเราถึงได้มีอัจฉริยะเช่นนี้โผล่ออกมาได้ จะต้องไม่ให้มีข้อผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้น ข้าจะดูแลด้วยตนเอง”

ซางซุ่นหวางดีใจมาก เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “เกอเอ๋อร์ยังไม่รีบขอบคุณผู้อาวุโสไท่ซ่าง?”

หลังจากนี้สามวันยังต้องอาศัยคนตรงหน้าดูแล ทั้งตนเองก็ไม่ได้มีข้อพิพาทอะไรกับเขา มู่ชิงเกอย่อมไม่ทำสีหน้าไม่ดีใส่อยู่แล้ว นางโค้งกายคำนับผู้อาวุโสไท่ซ่าง “ขอบคุณผู้อาวุโสไท่ซ่าง”

“ไม่จำเป็น ไม่จำเป็น เจ้าเพียงแต่ตั้งใจเรียนวิชาหลอมศาสตราก็ถือว่าได้ตอบแทนข้าแล้ว” ผู้อาวุโสไท่ซ่างยิ้มเอ่ยออกมา

“ชิงเกอจะไม่ทำให้ผิดหวัง” มู่ชิงเกอยิ้มแล้วเอ่ย

เรียนวิชาหลอมศาสตราแต่เดิมก็เป็นจุดมุ่งหมายของนาง แล้วนางจะไม่ตั้งใจเรียนได้อย่างไร?

หลังจากการทดสอบสิ้นสุดลงก็ไม่มีเรื่องของนางอีก

แต่ว่า บรรดาศิษย์ของตระกูลซางเหล่านั้นกลับยังคงไม่ยอมแยกกระจายตัวไป ยังคงยืนกันที่ด้านล่างแท่น

มู่ชิงเกอบอกลาคนบนแท่น ลงมาจากแท่น มู่เสวี่ยอู่และมู่อี้เฉินรีบมาที่ข้างกายของนางในทันที

“ลูกพี!”

“ลูกพี่!”

สองคนอยู่ข้างกายซ้ายขวาของนาง ท่าทีดูตื่นเต้นไม่คลาย ล้วนแต่ดีใจกับนาง

มู่ชิงเกอพยักหน้าให้กับพวกเขา

จากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้น สายตาที่กระจ่างใสมองไปด้านหน้า ทุกคนที่อยู่ในสายตาของนางต่างพากันแหวกออกไป เกิดเป็นเส้นทางเดินสำหรับนางและเผยตำแหน่งของซางเสวียฟงออกมา

สีหน้าของเขาซีดขาวยืนอยู่ที่เดิม มองมู่ชิงเกอด้วยสีหน้าที่หวาดกลัว สองขาสั่น เหงื่อเย็นซึมไปทั่วแผ่นหลังจนเสื้อเปียกชื้น

ท่าทางเช่นนี้ทำให้มุมปากของมู่ชิงเกอคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ค่อยๆ เอ่ยอย่างดูแคลนออกมาว่า “เศษสวะ”

คำนี้เกือบจะทำให้ซางเสวียฟงล้มนั่งลงกับพื้น เมื่อเผชิญหน้ากับมู่ชิงเกอ เขากลับไม่กล้าแม้แต่จะตอบโต้ ความกล้าหายไปหมด แม้กระทั่งความกล้าที่จะเงยหน้า สบสายตากับมู่ชิงเกอก็ไม่มี

ฉากนี้ตกอยู่ภายใต้สายตาของซางซุ่นหวางแล้วก็ผู้อาวุโสไท่ซ่าง ซึ่งก็ล้วนแต่ถอนหายใจส่ายหน้าออกมา

เป็นเพราะรุ่นเยาว์ไร้ความสามารถเช่นนี้ ตระกูลซางถึงได้ตกต่ำลงไปเรื่อยๆ

ถอนสายตากลับ มู่ชิงเกอนำมู่เสวี่ยอู่กับมู่อี้เฉินหมุนกายจากไป

สำหรับเศษสวะเช่นซางเสวียฟง นางไม่สนใจแม้แต่จะสั่งสอนด้วยซํ้า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!