Skip to content

พลิกปฐพี 288

ตอนที่ 288

ปลุกสายเลือดให้ตื่นอีกครั้ง การแข่งขันครั้งใหญ่ของตระกูล!

“กลับมาแล้วหรือ?”

มู่ชิงเกอเพิ่งจะกลับมาถึงเรือนพักชั่วคราวในตระกูลซาง ก็ได้ยินเสียงถามของเจียงหลีดังขึ้น นางเงยหน้ามองไปเห็นเพียงบริเวณใต้ต้นไม้ในตัวเรือนมีเก้าอี้โยกวางอยู่ตัวหนึ่ง ส่วนเจียงหลีก็กำลังนั่งอย่างเกียจคร้านอยู่บนนั้น โยกไปโยกมา

ท่าทางที่เกียจคร้านนั้นดูมีเสน่ห์อย่างมาก

มู่ชิงเกอยิ้มเอ่ยว่า “หากว่าข้าเป็นผู้ชายแล้วข้าพบเจ้าทำท่าเช่นนี้ เกรงว่าคงถูกเจ้าล่อลวงให้หลงใหลจนวิญญาณหลุดลอยเป็นแน่”

เจียงหลีกลับขบริมฝีปาก “มายกยอข้าอีกแล้ว”

มู่ชิงเกอมองไปรอบด้านแล้วเอ่ยถามว่า “มีเจ้าเพียงคนเดียวงั้นหรือ?”

เจียงหลีพยักหน้า “สาวใช้สองคนของเจ้าไปส่งคุณหนูซูจากไป พูดว่าจะได้ไปซื้อของใช้พอดี ส่วนเจ้าเด็กหยวนหยวนคิดว่าการรอคอยนั้นน่าเบื่อ งอแงอยากจะไปกับพวกนาง ส่วนศิษย์พี่เหมย เขาไปตรวจร่างกายให้มารดาเจ้า ราชครูนั้นบอกว่าไม่อยากถูกรบกวน เก็บตัวคำนวณหาตำแหน่งของหานชุ่นอยู่ จึงเหลือข้าแค่เพียงคนเดียวที่ไม่มีธุระอะไรเผ้าอยู่ที่นี่”

“ยังคงเรียกนางว่าฮูหยินเถอะ” นัยน์ตาของมู่ชิงเกอดูครึ้มขึ้น พูดจบแล้วนางก็เดินเข้าไปในห้อง

เจียงหลีมองนางด้วยสายตาที่หวั่นไหว พูดว่า “ถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่ยอมรับ แต่ว่าบุญคุณที่ให้กำเนิดก็ยากที่จะตอบแทนอยู่ดี เจ้าจะทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไร? อีกอย่าง หากว่าเจ้าช่วยบิดาของเจ้าให้พื้นขึ้นมาได้จริงๆ แล้ว ก็ไม่อาจจะให้พวกเขาสามีภรรยาแยกจากกันได้กระมัง? เจ้าให้พวกเขามีความสุขกันไปส่วนเจ้าก็หมกมุ่นหงุดหงิดอยู่กับตัวเองงั้นหรือ? เจ้าจะลำบากขนาดนี้ไปทำไม?”

มู่ชิงเกอเดินออกมาจากในห้องอีกครั้ง ส่วนในมือก็มีเก้าอี้อีกตัว

หลังจากวางเก้าอี้ไว้ตรงกันข้ามกับเจียงหลีแล้ว นางก็นั่งลง จัดเสื้อผ้าของตนเอง แล้วก็เอ่ยถามอย่างไม่สนใจว่า “เป็นใครให้ผลประโยชน์อะไรกับเจ้ากัน? ถึงได้ทำให้เจ้าพูดให้เช่นนี้ได้”

“เจ้าคิดว่าข้าจะถูกซื้อตัวได้ง่ายดายถึงขนาดนั้นเชียวหรือ!” เจียงหลีตบพนักวางมือ จ้องมองนางแล้วเอ่ยออกมา

มู่ชิงเกอขบริมฝีปากเล็กน้อยไม่ได้ทำอะไร

เจียงหลีถอนหายใจส่ายหน้าเอ่ยว่า “ข้าเพียงแค่คิดว่า ในเมื่อเจ้าเข้ามาแล้วก็อย่าได้อายเลย ไม่อยากเรียกนางก็ไม่ต้องเรียก แต่หากว่าในใจของเจ้าไม่มีความหวั่นไหวเลยสักนิด แล้วจะให้ศิษย์พี่เหมยไปดูแลร่างกายนางอย่างดีเช่นนี้ทำไม?”

มู่ชิงเกอนิ่งไป

ครู่หนึ่ง นางถึงได้แก้ต่างให้กับตัวเองออกมาว่า “ข้าเพียงแต่ไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณคนก็เท่านั้น บนโลกนี้สิ่งที่ยากจะตอบแทนมากที่สุดก็คือหนี้บุญคุณคน” เจียงหลีพิงเก้าอี้โยก มองไปยังมู่ชิงเกอ “ข้ารู้ความหมายของเจ้า เจ้านั้นปิดกั้นจิตใจของตัวเองไว้แน่นหนาเกินไป สามารถเข้าไปในใจของเจ้าได้สามารถให้เจ้าเป็นห่วงได้นั้นก็มีเพียงแต่เหล่าคนที่ทำให้เจ้ารู้สึกได้ถึงความจริงใจเท่านั้น”

“ในเมื่อรู้แล้วเหตุใดต้องมาถามอีก?” มู่ชิงเกอเงยหน้ามองนาง

เจียงหลียิ้มๆ เอ่ยว่า “ข้าเพียงแค่สงสัย ในตอนที่เจ้ารู้ว่านางลักลอบถ่ายทอดวิชาหลอมศาสตราให้เจ้าทั้งยังถูกทรมานจนเป็นเช่นนี้นั้น เจ้ารู้สึกได้ถึงความจริงใจหรือไม่?”

“จริงใจงั้นหรือ…” มู่ชิงเกอพืมพำเบาๆ นางพิจารณา ตามคำพูดของเจียงหลีอย่างละเอียดแล้วถึงได้ส่ายหน้า เอ่ยตอบว่า “จริงใจนั้นอาจจะมี แต่ข้าคิดว่าเป็นเพราะ รู้สึกติดค้างมากกว่า บางทีนางอาจคิดว่าติดค้างมู่ชิงเกอมากไป ดังนั้นจึงอยากจะทำอะไรให้นางบ้าง”

ในที่นี่ ที่นางระบุถึงก็คือมู่ชิงเกอตัวจริง ไม่ใช่ตัวนางเอง

แน่นอนว่าเจียงหลีไม่เข้าใจ เพียงแต่คิดว่ามู่ชิงเกอกำลังพูดถึงตัวเองอยู่

โน้มกายมาข้างหน้า เจียงหลียิ้มเอ่ยว่า “รู้สึกผิดแล้วก็รู้ว่าตนเองผิดที่ตรงไหน อย่างน้อยก็ยังดีกว่าบรรดาเหล่าบิดามารดาเลือดเย็นที่ไม่รู้สึกผิด ทั้งยังโทษว่าเจ้าไม่เข้าใจ”

มู่ชิงเกอเงยหน้ามองนาง มุมปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มล้อเล่น “ประโยคนี้ของเจ้าดูเหมือนว่าซ่อนความหมายลึกซึ้งเอาไว้”

เจียงหลีหยักไหล่ไม่ได้อธิบายต่อ

นางไม่ยอมพูดอย่างละเอียด มู่ชิงเกอก็ไม่ได้ซักไซ้ไล่ถามต่อ

ทั้งสองนั่งจิบชาพูดคุยเล่นกันอยู่ใต้ต้นไม้ ดูสบายอารมณ์รู้สึกสบายไปทั้งตัว หลังจากมู่ชิงเกอเข้ามาในโลกแห่งยุคกลางแล้วก็ดูเหมือนจะไม่ได้รู้สึกเช่นนี้มานานแล้วที่ได้อยู่กับเจียงหลีอย่างสบายใจเช่นนี้ ซึ่งเป็นความรู้สึกคนละอย่างกับตอนอยู่กับซือมั่ว

“ใช่แล้ว แม้ว่าผลลัพธ์จะได้กำหนดไว้แล้ว แต่ข้ายังต้องถามเสียหน่อย เป็นอย่างไรบ้างการทดสอบในวันนี้ของเจ้าได้ตบหน้าเหล่าศิษย์ตระกูลซางพวกนั้นไปบ้างหรือไม่?” นัยน์ตาสีทองของเจียงหลีฉายแวววาววาบ

มู่ชิงเกอวางจอกชาลงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เจ้าจะไปสนใจอะไรคนเหล่านั้น?”

“นี่ไม่เหมือนกันรีบบอกข้ามา” เจียงหลีซักไซ้

มู่ชิงเกอพยักหน้า รินชาให้ตนเอง ในระหว่างที่เจียงหลีกำลังรอคอยก็เอ่ยว่า “คะแนนไม่เลว แต่ว่า ได้ทำให้เสาทดสอบระดับความเข้มสายเลือดตระกูลซางระเบิดพังไป”

“ทำพังแล้ว!” เจียงหลีอ้าปากค้างมองนาง

มู่ชิงเกอพยักหน้า ท่าทางดูสบายใจ ดูไม่เหมือนคนที่รู้สึกผิดเพราะเพิ่งทำลายอุปกรณ์ตรวจสอบสายเลือดของคนอื่นไปเลยสักนิด

“พวกเขา…ไม่ได้มาหาเรื่องเจ้างั้นหรือ?” เจียงหลีเอ่ยถามอย่างสงสัย

มู่ชิงเกอส่ายหน้า ยกชาขึ้นมาไว้จิบที่ริมฝีปาก ชะงักครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ดูท่าทีของพวกเขาแล้วดูเหมือนว่าจะดีใจมาก”

พูดจบแล้วนางถึงได้หลุบตาจิบชา

เจียงหลีมุมปากกระตุก ถอยร่างเอนไปด้านหลัง พิงกับเก้าอี้โยก เอ่ยอย่างหมดหนทางว่า “เจ้าไม่กลัวว่าเป็นเช่นนี้แล้วพวกเขาจะยิ่งไม่ยอมปล่อยตัวเจ้าไปอย่างนั้นหรือ?”

“กลัวอะไร?” มู่ชิงเกอวางจอกชาลงมองนาง “ข้ากับซางซุ่นหวางมีข้อตกลงสัญญากันอยู่ก่อน เมื่อถึงเวลาที่สมควรไป ใครจะสามารถขวางข้าได้?”

“เจ้ามีแผนการไว้ในใจก็ดีแล้ว” เจียงหลีพยักหน้า

มู่ชิงเกอเอ่ยกับนางว่า “เวลานี้ ข้าก็จะอยู่ที่นี่เรียนวิชาหลอมศาสตรา หากว่าเจ้าไม่อยากจะรออยู่ที่นี่ก็สามารถไปลั่วซิงเฉิงได้ เจ้าที่เป็นฮ่องเต้หญิงช่วยไปดูแลจัดการเมืองจะได้จัดการได้ดีหน่อย”

“น้อยๆ หน่อย! อย่าคิดจะหลอกใช้งานข้า” เจียงหลีปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด นางโบกมืออย่างเกียจคร้าน ส่งสายตาดูแคลนไปให้มู่ชิงเกอ “ข้าอยู่ในแคว้นกู่วู่ก็ทำแต่ตามใจตนเองแล้ว เจ้าให้ข้าไปจัดการเมืองของเจ้า ก็ไม่กลัวว่าข้าจะทำให้เมืองเละเทะหรืออย่างไร? หากว่าข้าชอบเรื่องราววุ่นวายพวกนี้แล้วข้าก็คงจะไม่มาหาเจ้าที่โลกแห่งยุคกลาง”

“เช่นนั้นเจ้าจะอยู่ทำอะไรที่นี่?” มู่ชิงเกอแบมือออกอย่างหมดปัญญา นางต้องการฝึกหลอมยุทธภัณฑ์ทั้งยังต้องฝึกปรือวิชา ไม่สามารถคอยอยู่เป็นเพื่อนเจียงหลีได้ตลอด อิงตามนิสัยของนางแล้วหากจะให้อยู่ในตระกูลซางไปทุกวัน นางก็คงรับไม่ได้แน่

“เจ้ายุ่งเรื่องของเจ้าไป ไม่ต้องสนใจข้า ข้าก็ต้องฝึกปรือวิชาเช่นกัน ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นการถ่วงเจ้ามิใช่หรือ?” เจียงหลีพูด

เห็นนางยืนยันแล้วมู่ชิงเกอก็ทำได้แต่เพียงปล่อยตามใจ พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ก็ดี เช่นนั้นก็ตามใจเจ้าเถอะ แต่ว่า หากว่าเจ้าเบื่อก็สามารถออกไปท่องเที่ยวได้ เจ้ากับศิษย์พี่เหมยเพิ่งจะมาถึงโลกแห่งยุคกลาง ก็สามารถอาศัยช่วงเวลานี้ไปท่องเที่ยวดูว่าโลกแห่งยุคกลางว่าเป็นอย่างไร”

“อืม ข้าก็คิดไว้เช่นกัน เตรียมรอให้เจ้าจัดการเรื่องที่อยู่ทางนี้เสร็จแล้ว ข้าก็จะไปเมืองอูอิ๋นกับศิษย์พี่เหมยของเจ้าสักครั้ง เจ้าไม่ใช่ว่าเคยพูดว่าเมืองที่เป็นเมืองหลักจะทำให้รู้จักภาคๆ หนึ่งได้เร็วที่สุดมิใช่หรือ” เจียงหลีพูดแผนการของตนเองออกไป

มู่ชิงเกอพยักหน้าเอ่ยว่า “ดี ถึงเวลานั้นแล้วข้าจะให้เซวี่ยนหยาไปเป็นเพื่อนพวกเจ้า อย่างน้อยนางก็เคยไปเมืองอูอิ๋นและรู้จักเรื่องราวที่นั้นอยู่บ้าง”

“เช่นนั้นข้างกายของเจ้าก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีใครแล้ว?” เจียงหลีเอ่ยถาม

เมื่อถูกมู่ชิงเกอวางแผนไว้เช่นนี้ ในตอนที่พวกเขาจากไป ข้างกายของมู่ชิงเกอก็จะเหลือแค่เสวี่ยหยาคนเดียว ส่วนราชครูก็เก็บตัวคำนวนอยู่ในห้องทุกวัน ซึ่งไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร ไป๋สี่กับหยวนหยวนดูแล้วก็ไม่เหมือนจะดูแลใครได้

“จะใช้คนเยอะแยะไปทำไม? ข้าก็มีแขนมีขา สามารถดูแลตนเองได้” มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ

เจียงหลีขบริมฝีปาก “ตามใจเจ้าเถอะ”

“นายน้อย”

“นายน้อย”

“ลูกพี่ พวกเรากลับมาแล้ว”

ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังคุยกัน พวกเซวี่ยนหยาสามคนก็กลับมาพอดี ด้านหลังของพวกเขายังมีบ่าวรับใช้ตระกูลซางตามมาส่วนหนึ่ง ในมือ ถือบรรดาเครื่องใช้ในเรือนชุดใหม่มาด้วย

มู่ชิงเกอเงยหน้ามองพวกเขา หยวนหยวนพุ่งมาที่ข้างกายของนาง ยิ้มหวานให้กับนาง ใบหน้าที่ดูคมคายนั้นดูสว่างจ้า

“ส่งคนไปแล้วหรือ?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม

หยวนหยวนพยักหน้า

เสวี่ยหยาย่อกายลงเอ่ยตอบว่า “ใช่แล้วได้ส่งรถสัตวอสูรวิญญาณของคุณหนูซูออกจากเมืองฝูซาไปแล้ว แต่ว่านางไม่ได้บอกว่าจะไปที่ใด เพียงพูดว่าต้องการท่องเที่ยวต่อ ไม่ได้กลับไปเมืองอันม๋อเฉิงในตอนนี้”

มู่ชิงเกอพยักหน้า “ตามใจนางเถอะ”

มู่ลั่วฟงตายไป ระหว่างนางกับซูหนวนหน่วนก็อาจจะไม่ได้พบเจอกันอีกแล้ว แล้วจะไปเป็นห่วงอะไรอีก?

“นายน้อย ที่ท่านได้สั่งเอาไว้พวกเราได้ซื้อของใช้ในเรือนชุดใหม่มาเปลี่ยนชุดเก่าแล้ว แต่ว่าของเก่าจะทำอย่างไรดี?” เซวี่ยนหยาเอ่ยถาม

“ทิ้งไปเลย” มู่ชิงเกอเอ่ยโดยไม่ต้องคิด

ทิ้งงั้นหรือ?

เซวี่ยนหยาและเสวี่ยหยาสบตากันแวบหนึ่ง รู้สึกลังเล พวกนางเข้ามาอยู่ที่นี่ ก็เข้าใจแล้วว่ามู่ชิงเกอมีความสัมพันธ์กับตระกูลซาง ตอนนี้สถานที่ที่พวกเขาอยู่ก็เคยเป็นที่อยู่ที่มารดาของนายน้อยซึ่งอยู่มาสิบกว่าปี สิ่งของที่อยู่ที่นี่ก็ล้วนแต่มีความหมายสำหรับนาง มาตอนนี้จะทิ้งไปเช่นนี้น่ะหรือ? พวกนางกลัวว่าฮูหยินจะเอาโทษเอาน่ะสิ!

เห็นทั้งสองคนไม่ขยับ มู่ชิงเกอจึงเงยหน้ามองพวกนาง “ยังจะยืนนิ่งอยู่ทำไม?”

“เจ้าค่ะ นายน้อย” กลัวว่ามู่ชิงเกอจะโมโห พวกเซวี่ยนหยาสองคนก็ทำได้เพียงแต่ทำตามที่มู่ชิงเกอสั่งเท่านั้น แต่ว่า ทั้งสองคนก็ไม่ได้เอาของที่พวกซางหลันรั่วเคยใช้ไปทิ้งทั้งหมด เพียงแต่เปลี่ยนของในเรือนเป็นชิ้นใหม่ แล้วก็รวมของทั้งหมดไปเก็บไว้ในห้องเก็บของ พวกนางไม่ได้แอบมู่ชิงเกอทำ ส่วนมู่ชิงเกอก็ทำเป็นลืม

ตาข้างหลับตาข้าง ไม่ได้กล่าวโทษพวกนางเพราะเรื่องนี้

ของภายในเรือนได้เปลี่ยนของใหม่ทั้งหมดอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างจัดตามความชอบของมู่ชิงเกอ ทั้งของใหญ่เล็ก ก็ล้วนแต่เป็นชิ้นใหม่ไม่ได้ใช้ของๆ ตระกูลซางเลย

แม้แต่เก้าอี้ที่มู่ชิงเกอและเจียงหลีนั่งก็ถูกเปลี่ยนเป็นเก้าอี้โยกตัวใหม่ ระหว่างเก้าอี้โยกยังมีโต๊ะกลมวางไว้บนนั้นมีผลไม้สดวางไว้อยู่

เซวี่ยนหยาและเสวี่ยหยายุ่งวุ่นวายอยู่กับการจัดการเรือนเล็ก ในห้องของมู่ชิงเกอถูกเปลี่ยนไปยังห้องที่แต่ก่อนเคยว่าง เจียงหลีพักอยู่ห้องข้างๆ นาง ส่วนห้องของซางหลันรั่วนั้นมอบให้แก่หยวนหยวน เพราะใครใช้ให้ไอความเย็นในห้องนั้นรุนแรงที่สุด ส่วนหยวนหยวนก็คือผู้ไม่กลัวความเย็นมากที่สุดกันละ?

ห้องของมู่เสวี่ยอู่และมู่อี้เฉินก็คงไว้ที่เดิม แต่ทั้งสองเป็นห่วงมารดาจึงได้ย้ายตามไป ดังนั้นมู่ชิงเกอจึงปรับเปลี่ยนสิ่งของด้วยกัน จากนั้นก็แบ่งมอบสองห้องนี้ให้แก่ เหมยจื่อจ้งและพวกเซวี่ยนหยากับเสวี่ยหยาสองคน

ไป๋สี่ชอบอุโมงค์นํ้าแข็งที่เมื่อก่อนเก็บร่างของมู่เหลียนเฉิง สำหรับนางแล้วบรรยากาศเย็นยะเยือกเช่นนั้นถึงเป็นสิ่งที่นางโปรดปรานมากที่สุด

พริบตาเดียว เรือนเล็กที่เคยห่างไกลและเงียบเชียบก็ถูกมู่ชิงเกอตกแต่งจนกลายเป็นเรือนเล็กที่มีชีวิตชีวาห่างไกลจากปัญหา

“คืนนี้กินหม้อไฟกัน!” ตอนเย็นอยู่ดีๆ มู่ชิงเกอก็เกิดอารมณ์ครื้นเครงสั่งการออกมา

“เย้! เยี่ยมไปเลย! ลูกพี่ ข้าอยากกินเนื้อย่างด้วย!” หยวนหยวนกระโดดขึ้นมาจากพื้นอย่างตื่นเต้น

มู่ชิงเกอถีบออกไป “กินเนื้อย่างอะไรกัน? เยอะขนาดนี้ เจ้าจะกินหมดงั้นหรือ? ไม่รู้จักช่วยข้าประหยัดเอาเสียเลย? คืนนี้กินหม้อไฟไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยกินเนื้อย่าง”

หยวนหยวนรีบหลบอย่างรวดเร็ว เอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ลูกพี่พูดอย่างไรก็เอาตามนั้นแหละ หยวนหยวนน่ะขอแค่มีให้กินก็พอแล้ว”

“ในเมื่อกินหม้อไฟ เช่นนั้นก็ช่วยกันเตรียมของ จะได้สนุกหน่อย” เจียงหลีก็ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้โยก ขยับๆ เอว

“พวกข้าจะไปเตรียมเครื่องหม้อไฟ”

เซวี่ยนหยาและเสวี่ยหยาตื่นเต้นตามมู่ชิงเกอไปด้วย รีบถอยออกไปเตรียมของ

มู่ชิงเกอสั่งการหยวนหยวนว่า “ไปย้ายโต๊ะออกมาวางไว้กลางเรือน แล้วก็จัดวางโคมไฟทำให้ที่นี่สว่างหน่อย คืนนี้พวกเราจะกินหม้อไฟกันที่กลางเรือน”

“ได้เลย!” หยวนหยวนรับคำสั่งจากไป

เจียงหลีมองมาเอ่ยถามว่า “เช่นนั้นข้าละทำอะไร?”

มู่ชิงเกอมองนางอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วก็ขมวดคิ้ว “นอกจากกินแล้ว ข้าก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะให้เจ้าทำอะไร”

เจียงหลีถลึงตาใส่นาง สะบัดแขนเสื้อพุ่งเข้าใส่มู่ชิงเกอ “ดีเชียวนะ! เจ้าถึงกลับกล้าพูดกับข้าฮ่องเต้หญิงเช่นนี้ได้!”

มู่ชิงเกอใช้ท่าก้าวดาราก่อกำเนิด หลบหมัดของเจียงหลีอย่างง่ายดาย นางหัวเราะเสียงดังขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ฮ่องเต้หญิงโปรดไว้ชีวิตด้วย! ผู้น้อยไม่กล้าแล้ว!”

เสียงหัวเราะล่องลอยออกมาจากเรือนเล็ก

ตอนที่เหมยจื่อจ้งกลับมาถึงแล้วมองเห็นภาพบรรยากาศที่ครึกครื้นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไป หลังจากนั้นบนใบหน้าที่งดงาม ดุจเทพเซียนของเขาถึงได้ปรากฎรอยยิ้มตามออกมา มู่อี้เฉินที่ตามเขามาก็มองด้วยความอิจฉา พึมพำเอ่ยว่า “ตอนที่พวกเราอยู่ที่นี่นั้นไม่เคยมีความครึกครื้นเช่นนี้มาก่อน”

เหมยจื่อจ้งหันมองเขา ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่เอ่ยขึ้นว่า “ตามข้ามา”

เรื่องภายในครอบครัวของมู่ชิงเกอเขาไม่สะดวกที่จะเข้ายุ่งดังนั้นจึงไม่อาจพูดอะไรมากได้

มู่อี้เฉินพยักหน้าตามเหมยจื่อจ้งเข้าไปในเรือน

เพิ่งจะเข้ามากลิ่นหอมที่ทำให้คนนํ้าลายสอก็ลอยมา มู่อี้เฉินอดไม่ได้ที่จะสูดกลิ่นเข้าไปลึกๆ เอ่ยชมว่า “หอมจริงๆ!”

ภายในเรือน แสงเทียนสว่าง บนโต๊ะกลมมีหม้อทองแดงอันหนึ่งวางอยู่ นํ้าด้านในกำลังเดือด ส่งกลิ่นหอมเย้ายวนดึงดูดใจออกมารอบด้านอยู่ตลอดเวลา รอบหม้อถูกจัดวางเต็มไปด้วยผักและเนื้อต่างๆ ทุกอย่างที่ควรมีก็ล้วนแต่มีหมด

บนโต๊ะกลมอีกตัวมีผลไม้ล้างสะอาดวางอยู่ สามารถไปหยิบกินได้ตลอดเวลา

เสวี่ยหยาและเซวี่ยนหยายุ่งวุ่นวายอยู่บนโต๊ะกลม ส่วนหยวนหยวนในตอนนี้ก็แหวกผ้าม่าน สองมือโอบกอดไหเหล้าใหญ่เดินออกมา

ด้านหลังของเขามีมู่ชิงเกอตามมา

มู่ชิงเกอมองเห็นเหมยจื่อจ้งกลับมาถึงแล้วก็เอ่ยปากว่า “ศิษย์พี่เหมยกลับมาพอดี จะได้เริ่มกินกันเลย วันนี้พวกเราจะกินหม้อไฟกัน”

เหมยจื่อจ้งยิ้ม พยักหน้ามองไปทางมู่อี้เฉินแล้วอธิบาย กับมู่ชิงเกอว่า “อี้เฉินกลับมาเอายากับข้า”

มู่ชิงเกอพยักหน้า มองไปยังสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของมู่อี้เฉินแล้วก็เอ่ยปากว่า “เจ้ากินข้าวหรือยัง? หากว่ายังก็อยู่กินด้วยกันเถอะ”

“ขอรับๆ! ขอบคุณลูกพี่!” มู่อี้เฉินรีบพยักหน้า

ทักทายกันเล็กน้อย จากนั้นคนที่อาศัยอยู่ในเรือนเล็กทุกคนก็พากันออกมานั่งลงบนเก้าอี้ การเข้ามาใกล้ๆ ของ ไป๋สี่ทำให้เจียงหลีขนลุกขึ้นมาจนขยับไปใกล้มู่ชิงเกออย่างอดไม่ได้

ไป๋สี่หัวเราะเอ่ยว่า “วางใจเถอะ หากว่าข้ากินเจ้าแล้ว ชิงเกอคงจะถลกหนังข้าเป็นแน่ ข้าไม่กล้าทำให้นางโกรธหรอก”

เจียงหลีโต้กลับว่า “ไม่ใช่ว่าข้ากลัวเจ้าแต่เป็นเพราะแรงกดดันจากตัวของเจ้าทำให้ข้ารู้สึกอึดอัดต่างหาก”

นางก็รู้สึกจนปัญญานัก สายเลือดเทพอสรพิษในกายนางเมื่อมาอยู่ต่อหน้างูยักษ์เช่นไป๋สี่แล้วก็กลายเป็นไก่น้อยอ่อนแอในทันที

ไป๋สี่โบกมือยิ้มๆ “เช่นนั้นข้าก็หมดหนทางแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า…”

ทันใดนั้น เงาร่างของคนก็วาบมาที่ตรงหน้าของคนสองคน มู่ชิงเกอนั่งลงตรงกลางระหว่างทั้งสอง เมื่อนางสอดแทรกเข้ามา ชั่วขณะนั้นก็ทำให้เจียงหลีรู้สึกสบายขึ้นมาก

“เจ้านั่งลง อย่าได้ขยับอีก” เจียงหลีเอ่ยกับมู่ชิงเกอ

ไป๋สี่กับเอนตัวลงมาโอบมือไว้บนแขนของมู่ชิงเกอ ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ข้าก็รู้สึกว่าชิงเกอนั่งตรงนี้ดีที่สุด”

มู่ชิงเกอมองไปที่นางแล้วพูดว่า “เจ้าก็ลองชิมรสชาติดู อดทนเอาหน่อย พวกเรามีคนตั้งมากมาย ทั้งยังหิวกันมาทั้งวันแล้ว”

“รู้แล้ว รู้แล้ว” ไป่สี่เอ่ยอย่างรำคาญ

ทั้งยังมองไปยังอาหารบนโต๊ะ จำนวนน้อยแค่นี้ยังไม่เพียงพอให้อุดซอกฟันนางด้วยซํ้า

“กินอะไรกันไม่เรียกข้าเลย?”

ขณะที่ทุกคนกำลังจะเริ่มกิน อยู่ดีๆ ราชครูก็โผล่ตัวออกมาจากห้อง สายตาคู่นั้นจับจ้องไปบนหม้อไฟที่กำลังเดือดปุดๆ

“ตาเฒ่า ไม่ใช่ว่าเจ้าเองรึที่บอกว่าจะเก็บตัวไม่ให้ใครรบกวนน่ะ?” เจียงหลีเอ่ยดูแคลนออกไป “อย่างไรกันแค่หม้อไฟหม้อเดียวก็ดึงดูดเจ้าออกมาได้แล้วงั้นหรือ? กา ฝึกปรือของเจ้านี่เห็นได้ชัดๆ ว่ามีสมาธิไม่เพียงพอ!”

ราชครูก็ไม่ได้สนใจ โต้กลับว่า “แม่นางเจียงพูดถูกต้อง ผู้เฒ่าผู้นี้ฝึกปรือไม่เพียงพอถึงได้อดใจกับกลิ่นหอมเย้ายวนของอาหารไม่ไหว!”

พูดแล้ว เขาก็เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “นายน้อย เรื่องการคำนวณไม่อาจทำได้เพียงเวลาชั่วข้ามคืน ยังคงต้องทำงานและพักผ่อนควบคู่กันไป รอให้ข้าฟื้นฟูกำลังกายแล้วค่อยไปคำนวนต่อ ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถทำได้เร็วกว่าเป็นเท่าตัว”

อยากกินก็อยากกิน กลับยังถูกเขาเสาะหาเหตุผลร้อยล้านแปดออกมาอ้างอีก

มู่ชิงเกอรู้สึกตลกขึ้นในใจ เรียกเขาเข้ามาร่วมวง “ราชครูนั่งลงเถอะ กินอิ่มแล้วถึงมีกำลังไปทำงาน เหตุผลนี้ข้าเข้าใจ”

ในที่สุดทุกคนก็ได้นั่งลง

แต่พวกเขากลับไม่ได้ขยับตะเกียบ ล้วนแต่รอมู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอหยิบตะเกียบขึ้นมาเคาะๆ บนโต๊ะ ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ลงมือเถอะ”

ภายใต้เสียงนี้ทุกคนถึงได้ยกตะเกียบขึ้น เริ่มลงมือศึกแย่งชิงกันอย่างดุเดือด!

หยวนหยวนกับมู่อี้เฉินนั่งอยู่ด้วยกัน นิสัยของทั้งสองคนคล้ายกัน ทั้งยังล้วนแต่มีนิสัยเป็นมิตร จึงได้เริ่มพูดคุยกันขึ้นมา ไม่เป็นอุปสรรคในการสื่อสารเลยแม้แต่น้อย มู่อี้เฉินคีบชิ้นเนื้อจุ่มลงบนนํ้าจิ้ม ไม่สนใจความร้อนส่งเข้าปากของตนเอง ชั่วขณะนั้นความร้อนของนํ้าซุปก็ลวกลิ้นของเขา

“เจ้าเป็นร่างของพญาเพลิงจริงหรือ?” เขาเคี้ยวตุ้ยๆ พูดกับหยวนหยวนที่อยู่ข้างกาย

หยวนหยวนเห็นเขาถูกความร้อนลวกแล้วก็ใจดียื่นถ้วยเหล้าไปให้เขา แล้วตอบคำถามของเขา “ไม่ผิด! ข้าก็คือพญาเพลิง ข้าเป็นพญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวน ลูกพี่ เรียกข้าว่าหยวนหยวน ต่อไปเจ้าก็เรียกข้าว่าหยวนหยวนเถอะ”

“ร้ายกาจมาก!” มู่อี้เฉินเอ่ยชื่นชม ยกเหล้าในมือขึ้นมาดื่มลงไป

ชั่วขณะนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที หันหน้าไป พ่นเหล้าออกมา ‘พรูด’  เขาแลบลิ้นออกมา ใช้มือพัดๆ “เผ็ดๆ! เหล้านี้ทำขึ้นอย่างไรกัน?”

หยวนหยวนหัวเราะขึ้นมา ชี้ไปทางเขาเอ่ยว่า “เจ้าดูเจ้าสิ เหล้าแค่นี้ก็ทำเจ้าให้เป็นถึงขนาดนี้เชียวหรือ เจ้าเป็นน้องชายแท้ๆ ของลูกพี่จริงๆ หรือเปล่า!”

มู่อี้เฉินชะงัก เงยหน้าขึ้นมองมู่ชิงเกอ

เพียงเห็นนางกินอาหารพร้อมทั้งดื่มเหล้า เหล้าอันร้อนแรงนั่นเมื่ออยู่ต่อหน้านางแล้วก็เหมือนกับเป็นนํ้าเปล่า

ทันใดนั้น หยวนหยวนก็วางมือลงบนไหล่ของเขา เข้าใกล้มู่อี้เฉิน เอ่ยที่ข้างหูของเขาว่า “เด็กน้อย แม้ว่าเจ้าจะเป็นน้องชายแท้ๆ ของลูกพี่ แต่ว่าเจ้ายังห่างนางไกลนัก หากว่าเจ้าคิดจะเรียนรู้จากนางก็เริ่มเรียนว่าจะดื่มเหล้าอย่างไรก่อนเถอะ”

มู่อี้เฉินหน้าแดงเอ่ยว่า “ข้าจะดื่มเหล้า”

“เหล้าผลไม้นั้นไม่นับ อย่างน้อยก็ต้องเหมือนกับลูกพี่ ดื่มเหล้าร้อนแรง สีหน้าไม่เปลี่ยนสี” หยวนหยวนเอ่ย

มู่อี้เฉินมองมู่ชิงเกอแวบหนึ่ง มองไปเห็นนางชนแก้วกับเจียงหลีพอดี

สองคนสบตากันยิ้ม ดื่มเหล้าร้อนแรงในถ้วยนั้นลงไปในคำเดียว

ท่าทางของนางดูเหมือนไม่มีอะไรไม่สบายเกิดขึ้น

ฉากนี้ทำให้มู่อี้เฉินมองแล้วกัดฟัน วางถ้ายเปล่าไว้ตรงหน้าของหยวนหยวน เอ่ยกับเขาว่า “มารินเหล้า!”

หยวนหยวนยิ้ม เผยฟันขาวออกมา รินเหล้าจากไหแก่เขาถ้วยใหญ่ ยื่นถ้วยเหล้าไปตรงหน้าของเขา

มู่อี้เฉิน สูดลมหายใจเขาลึกๆ รวมรวมความกล้าหาญกรอกเหล้าเข้าไปในปาก ความรู้สึกเผ็ดร้อนทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าปากและลำคอของเขาถูกไฟไหม้ ทั้งร่างเปลี่ยนเป็นร้อนขึ้น แม้แต่สติก็เปลี่ยนเป็นเลือนราง ภาพข้างหน้าดูเหมือนจะลอยๆ

แต่ความรู้สึกลอยๆ เช่นนี้กลับทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน เหมือนสามารถปลดปล่อยได้ทุกอย่าง ปล่อยตัวปล่อยใจให้เพริดไป

เขาหัวเราะขึ้นมารินเหล้าให้ตัวเองถ้วยหนึ่ง แล้วก็รินให้หยวนหยวนที่อ้าปากค้างถ้วยหนึ่ง

จากนั้นก็ชูถ้วยขึ้น เอ่ยกับหยวนหยวนว่า “หมดถ้วย!”

หยวนหยวนพึมพำ “เดิมคิดว่าจะมอมเหล้าเจ้าเด็กคนนี้เสียหน่อย ไหนมาตอนนี้กลับกลายเป็นทำให้เขาติดเหล้าขึ้นมาได้เนี่ย?”

อาหารเย็นมื้อนี้ กินกันมาจนถึงพระจันทร์ขึ้นตรงหัว

ตอนแยกกัน มู่อี้เฉินได้ถูกมอมเหล้าจนเมาไปแล้ว ทำได้แต่เพียงอาศัยหยวนหยวนพยุงเดินไป

มู่ชิงเกอนั่งอยู่บนต้นไม้ใหญ่ในเรือน มือหนึ่งใช้หนุนหัว อีกมือ ถือกาเหล้าเล็ก ผมยาวร่วงตกลงมา ชายเสื้อห้อยลงอยู่บนกิ่งไม้ที่หนาแน่น ดูมีเสน่ห์มาก

นางพิงต้นไม้ เหลือบตามองมู่อี้เฉินที่กำลังเมา

หยวนหยวนพยุงเขา ยิ้มออกมาเอ่ยปากฟ้องมู่ชิงเกอด้วยท่าทีไร้เดียงสา

มู่ชิงเกอกระตุกมุมปากขึ้น เอ่ยอย่างสะใจว่า “คนนั้นถูกเจ้ามอมจนเมา ก็ต้องรับผิดชอบจนถึงที่สุดพาเขากลับไป”

“ลูกพี่ ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเขาจะคออ่อนขนาดนี้ ถ้ารู้ก่อนข้าก็คงจะไม่มอมเหล้าเขา” หยวนหยวนเอ่ยอย่างอดสู

มู่ชิงเกอยิ้มและเอ่ยว่า “ความสามารถในการดื่มเหล้าของเขาจะสู้เจ้าได้อย่างไร? เจ้าเป็นพญาเพลิง เหล้าที่ร้อนแรงตกเข้าไปในท้องของเจ้าก็ล้วนแต่ถูกเผาไหม้ไป จนหมด”

ชั่วขณะนั้นหยวนหยวนก็ขมวดคิ้วยิ้มเอ่ยว่า “ลูกพี่กำลังชมข้าใช่หรือไม่?”

“ถือว่าใช่เถอะ” มู่ชิงเกอเอ่ยตามเขา “ดึกแล้วรีบพาเขากลับไปส่งเถอะ”

“ทราบแล้ว” หยวนหยวนก้มหัวลงอย่างหมดหนทาง

หลังจากพูดกับมู่ชิงเกอจบ เขาก็แบกมู่อี้เฉินออกไปนอกเรือน

“รอเดี๋ยว ข้าจะไปกับเจ้า” ทันใดนั้น เหมยจื่อจ้งก็บอกออกมา ในมือมีขวดยาสีเขียวใสขวดหนึ่ง

เมื่อมองเห็นขวดยาในมือของเขาแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้คิดขึ้นมาได้ว่า มู่อี้เฉินตามเหมยจื่อจ้งมาเดิมก็เพื่อเอายา ไม่คิดว่าอาหารค่ำเพียงมื้อเดียวจะทำให้เมาถึงขนาดนี้ ได้แม้แต่เรื่องหลักก็ยังลืมไปหมด

มู่ชิงเกอส่ายๆ หน้าไม่ได้มองสามคนนั้นต่อ

นางพิงอยู่บนกิ่งไม้ยกกาเหล้าในมือขึ้นส่งเหล้าเข้าปากไป มองดวงดาวบนฟ้าผ่านรอยแยกของใบไม้ แสงดาวเหล่านี้ทำให้นางนึกไปถึงคืนที่ไปถึงลั่วซิงเฉิงเป็นครั้งแรก

คืนนั้นนางเต้นรำกันกับซือมั่วภายใต้ดวงดาวนับพันนับล้านดวง…

ไม่ทันรู้ตัวมู่ชิงเกอก็ใช้นิ้วเกี่ยวเชือกของกระดิ่งขึ้นมาพันไว้บนนิ้วของนาง ดวงตาทั้งคู่ของนางดูพร่าเลือนไม่แจ่มใส ไม่รู้ว่าเพราะความมืดหรือว่าเพราะเริ่มเมาแล้วกันแน่

กระดิ่งอยู่ในมือของนาง พอนางเขย่าเบาๆ กระดิ่งก็สั่นไหวเล็กน้อย เสียงสดใสของกระดิ่งล่องลอยเคล้าสายลมไปไกล

ผ่านสวรรค์เก้าชั้นฟ้าและช่องว่างเป็นชั้นๆ ขึ้นไป

ภายในตำหนักใหญ่อันงดงามเสียงกระดิ่งก้องกังวานเข้ามาในหู

เสียงกระดิ่งดังกล่าวได้ทำลายบรรยากาศที่แต่เดิมตึงเครียด และทำให้คนที่อยู่เต็มตำหนัก ล้วนแต่มองไปยังราชาที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานอย่างสงสัย

สายตากวาดมองไปยังกระดิ่งที่แขวนอยู่ตรงเอว

บรรดาเหล่าคนที่คุกเข่าอยู่ในตำหนักและรอที่จะรับใช้ ล้วนแต่เงยหน้าขึ้นมองอย่างลังเลใจไปยังราชาผู้ที่สามารถตัดสินความเป็นความตายของพวกเขาได้

ใบหน้างดงามหล่อเหลาไร้ที่ติ พลันผุดกระแสความอ่อนโยนที่แทบจะมองไม่เห็นออกมา ดวงตาของเขามองไปยังกระดิ่ง ราวกับว่าจะสามารถมองทะลุกระดิ่งไปยังอีกคนที่อยู่อีกดินแดนหนึ่งได้ คนที่ทำให้เขาห่วงหาและคิดถึงผู้นั้น

“คุมตัวพวกเขาไปยังทะเลมั่วไห่ ห้ามออกมาอีกชั่วชีวิต” คำพูดเย็นชาไร้นํ้าใจนั้นพลิ้วลอยออกมาจากกลีบปากสีแดงของเขา

ทะเลมั่วไห่ สถานที่ที่ทำให้กู่หยาและกู่เย่สีหน้าเปลี่ยนได้ มาตอนนี้กลับกลายเป็นความเมตตาสูงสุดที่พวกเขาได้รับ!

คนในตำหนักล้วนแต่ตกใจ

แต่เดิมพวกเขาคิดว่า เหล่าขุนนางที่กล้าทรยศเหล่านี้ วันนี้คงต้องตายอย่างแน่นอน อีกอย่างน่าจะตายด้วยวิธีที่โหดร้ายทารุณที่สุด เพื่อเตือนคนอื่นๆ!

แต่พวกเขากลับผ่านเคราะห์ครั้งนี้ไปได้ถูกส่งไปยังทะเลมั่วไห่

แม้ว่าทะเลมั่วไห่จะเป็นสถานที่ที่ไม่มีใครคิดอยากจะไปก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ยังสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้!

“ขอบคุณองค์ราชาที่เมตตา! ข้าขอสาบานไว้ ณ ที่นี่ว่าจะไม่คิดคดทรยศต่อองค์ราชาอีกชั่วชีวิต ข้าจะรอรับคำสั่งองค์ราชาอยู่ที่ทะเลมั่วไห่!” ในตำหนักดังก้องไปด้วยเสียงขอบคุณของหัวหน้าเหล่าขุนนางกบฏ

แต่คนที่เป็นราชานั้นกลับไม่ได้ฟังเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ดีดนิ้วก็ทำให้คนกลุ่มนั้นหายไปจากสายตาของพวกเขา ทิ้งไปอยู่ในทะเลมั่วไห่

คนที่เหลือในตำหนักก็ล้วนแต่พากันคาดเดาว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้องค์ราชาเปลี่ยนความตั้งใจได้

แต่ไม่ว่าใครก็คงคิดไม่ถึง ว่าจะเป็นเพียงเพราะเสียงกระดิ่งนั้นที่ทำให้อารมณ์ของเขาดีขึ้นจนไม่อยากให้ที่นี่ต้องแปดเปื้อนกลิ่นคาวเลือด

ข่าวขุนนางทรยศถูกละเว้นโทษตาย ได้แพร่กระจายออกไปนอกตำหนักอันงดงามอย่างรวดเร็ว ถ่ายทอดออกไปทั่วทั้งวัง

“องค์ราชาถึงกลับไว้ชีวิตของพวกเขางั้นหรือ? ก่อนหน้านี้หลายวันข้าไปคุกเข่าขอร้องที่หน้าตำหนัก พูดจนปากเปียกปากแฉะ องค์ราชาก็ยังไม่ยอมพบข้าเลย ยิ่งไม่ยอมอภัยให้พวกเขาด้วย เหตุใดมาวันนี้ถึงได้ละเว้นโทษตายแก่พวกเขาได้?”

หมอกสีดำปรากฎขึ้นระหว่างซอกหิน รูปร่างดูคลุมเครือไม่ชัดเจน

“นายท่าน บางทีอาจจะเป็นเพราะองคราชาได้ฟังคำพูดของท่านถึงได้เปลี่ยนความคิดไปก็ได้นะเจ้าคะ? คนอื่นๆ แทบไม่กล้าไปพูดขอร้องแทนเหล่าขุนนางกบฏพวกนั้นด้วยซํ้า มีแค่ท่านคนเดียวเท่านั้นที่มีเมตตากรุณา เห็นแก่ความสัมพันธ์ครั้งเก่าก่อนอีกทั้งครอบครัวของพวกเขายังมาขอร้องอ้อนวอนท่าน ท่านถึงได้ไปช่วยพูดขอร้องกับองคราชา ตามที่บ่าวมอง องค์ราชาคงเปลี่ยน ความคิดเพราะท่านแน่นอนเจ้าค่ะ” เสียงอีกเสียงดังลอยมา

“งั้นหรือ? การตัดสินใจขององค์ราชาไม่เคยมีใครเปลี่ยน

แปลงได้มาก่อน หากว่าองค์ราชาทำเพราะข้าจริงๆ…”

“เช่นนั้นบ่าวก็ขอแสดงความยินดีล่วงหน้าแก่ท่านแล้ว องค์ราชายอมเปลี่ยนความคิดเพราะท่าน ก็พูดได้ว่าในใจขององค์ราชา ท่านแตกต่างไปจากคนอื่นๆ”

“หากว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ…”

“ไม่แน่ว่าท่านขุนนางจะสามารถเข้าไปอาศัยในวังซานไห่ในไม่ช้านี้อย่างแน่นอน และกลายเป็นนายหญิงเพียงผู้เดียวของวังซานไห่”

“อย่าพูดจาเหลวไหล! แต่ไหนแต่ไรมาองค์ราชาไม่เคยใกล้ชิดกับหญิงใด ข้าไม่ได้คาดหวังจะเข้าสู่วังซานไห่ ขอเพียงแต่มีตำแหน่งในหัวใจขององค์ราชาได้ก็ดีมากแล้ว”

“ท่านขุนนางเจ้าคะ บ่าวจะพูดจาเหลวไหลได้อย่างไรเล่า? แม้ว่าองค์ราชาจะไม่ลุ่มหลงในอิสตรี ไม่ใส่ใจหญิงใด แต่สุดท้ายแล้วก็จำต้องมีบุตรเพื่อสืบทอด ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องเรียกคนเข้าสู่วังซานไห่อยู่ดี ถึงตอนนั้นท่านขุนนางก็ไม่ใช่ว่าจะมีโอกาสมากที่สุดหรือเจ้าคะ”

“เอาละ ไม่ต้องพูดแล้ว หากว่าเป็นอย่างที่เจ้าพูดจริงๆ หากต่อไปข้างหน้าข้ามีโอกาสได้มีบุตรสืบทอดให้แก่องค์ราชา ข้าจะไม่ลืมเจ้าเลย”

“บ่าวขอบคุณท่านขุนนางเจ้าค่ะ”

มู่อี้เฉินที่ร่างกายเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้าและเมามายไม่ได้สติถูกส่งกลับไปข้างกายของมู่เสวี่ยอู่

“เหตุใดถึงได้เมาเช่นนี้ได้?” นางยืนอยู่ใต้ชายคา มองคนทั้งสามคนอดไม่ได้ที่จะถามออกไป

เหมยจื่อจ้งยิ้มและอธิบาย “ตอนที่กลับไป พอดีกับเวลาทานอาหารเย็น อี้เฉินจึงอยู่กินต่อ ทั้งยังดื่มไปหลายจอก”

“พี่เสวี่ยอู่ อย่าเพิ่งถามตอนนี้ได้หรือไม่ ให้ข้าส่งเขากลับไปห้องก่อน เขาตัวหนักมาก” หยวนหยวนอดไม่ได้สอดคำขึ้นมา

มู่เสวี่ยอู่ถึงได้รีบนำหยวนหยวนพามู่อี้เฉินไปส่งห้อง

เมื่อวางเขาลงบนเตียง จัดท่าทางดีแล้ว เหมยจื่อจ้งถึงได้เอาขวดยาในมือมอบให้แก่มู่เสวี่ยอู่ “นี่เป็นยาบำรุง รักษาร่างกายให้ฮูหยิน ทุกวันกินวันละเม็ด ร่างกายของฮูหย็นถูกไอเย็นกัดกินมาเป็นเวลานานเกินไป หากว่าใช้ยาแรงเกินไปกลับจะทำให้อาการหนักกว่าเดิม เพียงแต่ต้องค่อยๆ ฟื้นฟูต้องใช้เวลาสักหน่อยเท่านั้นถึงจะได้”

มู่เสวี่ยอู่รับขวดยาแล้วก็เอ่ยขอบคุณเหมยจื่อจ้ง “ขอบคุณอาจารย์เหมยแล้ว”

เหมยจื่อจ้งส่ายหน้ายิ้มๆ “ไม่ต้องเกรงใจ”

พูดแล้ว เขาก็ล้วงเอายาออกมาอีกเม็ด แล้วเอ่ยกับมู่เสวี่ยอู่ว่า “นี่เป็นยาแก้เมาค้าง หากว่าพรุ่งนี้อี้เฉินมีอาการปวดหัวไม่สบายก็ให้เขาใช้ยานี้”

“ได้” มู่เสวี่ยอู่รับมา

“ของที่ควรให้ก็เอาให้หมดแล้ว พวกเราก็ไม่ขออยู่ต่อนานแล้ว ขอตัวลา” เมื่อเหมยจื่อจ้งพูดจบ ก็พาหยวนหยวนออกไปจากที่พักของมู่เสวี่ยอู่

มู่เสวี่ยอู่ใช้สายตาส่งทั้งสองคนจากไปแล้วก็หันไปมองมู่อี้เฉินที่หลับอีกครั้ง จากนั้นถึงไปกลับไปยังห้องของมารดา

“อี้เฉินกลับมาแล้วงั้นหรือ?” ซางหลันรั่วนั่งลงบนเตียง มองไปยังมู่เสวี่ยอู่ที่เดินเข้ามาแล้วเอ่ยออกไป

ซางเสวี่ยอู่พยักหน้า “เขาไปเอายาที่ที่พักของพี่สาว ดื่มเหล้ามาหลายจอก ตอนนี้หลับไปแล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาหา เคารพท่านแม่”

ซางหลันรั่วส่ายๆ หน้า “เคารพนั้นไม่จำเป็น เพียงแต่เขาไม่ก่อเรื่องข้าก็วางใจแล้ว”

พูดแล้วนางก็ลังเลเล็กน้อยถึงได้เอ่ยว่า “พี่สาวของเจ้า พักกันดีแล้วหรือยัง? พรุ่งนี้เจ้าไปดูหน่อย หากว่ามีอะไรที่ต้องการความช่วยเหลือจะได้ช่วยได้ทันที เจ้าอยู่ในตระกูลซางมานาน มีบางเรื่องเมื่อจัดการขึ้นมาก็จะทำให้สะดวกขึ้นหน่อย อย่าให้พี่สาวเจ้ารู้สึกอดสูในตระกูลซางได้”

“ท่านแม่วางใจเถอะ พี่สาวไม่มีทางได้รับความอยุติธรรมอย่างแน่นอน” มู่เสวี่ยอู่ห่มผ้าห่มให้ซางหลันรั่ว “จากความสามารถของพี่สาวแล้ว ในตระกูลซางคงไม่มีใครกล้าล่วงเกินแน่ อีกอย่าง ความสามารถของพี่สาวก็ไม่ใช่สิ่งที่บรรดาศิษย์ในตระกูลเหล่านั้นจะท้าทายได้?”

ซางหลันรั่วพยักหน้า “ข้ารู้ว่าพี่สาวของเจ้าไม่ยอมพบหน้าข้า ข้าก็ไม่สะดวกจะไปรบกวนอารมณ์ของนาง ตอนนี้ก็เอาเช่นนี้ไปก่อน ทำตามที่นางต้องการเถิด”

“ท่านแม่ พี่สาวจะต้องคิดได้อย่างแน่นอน สุดท้ายแล้ว พวกเราก็จะได้กลับมาเป็นคนในครอบครัวเดียวกันอีกครั้ง” มู่เสวี่ยอู่เอ่ย

ซางหลันรั่วเผยรอยยิ้มออกมา นางเองก็หวังว่าจะมีวันนั้น ที่ลูกของนางทั้งสามล้วนแต่อยู่กันพร้อมหน้า

เวลาสามวันผ่านไปในพริบตา

มู่ชิงเกอต้องเข้าไปในพื้นที่ตระกูลเพื่อปลุกสายเลือดให้ตื่นอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ได้มีคนมากมายมาดูความครึกครื้นอีก มีเพียงแต่ซางซุ่นหวางที่เป็นประมุขตระกูลซางแค่คนเดียว ที่ส่งนางเข้าไปในพื้นที่ตระกูล

“เกอเอ๋อร์ มีเรื่องหนึ่งที่ข้าจะต้องเตือนเจ้าเอาไว้” ตอนที่เข้าไปในพื้นที่ตระกูลนั้น ซางซุ่นหวางก็เอ่ยขึ้นมาในทันใด

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วมองเขา

“ตอนที่สายเลือดถูกปลุกขึ้นมา สถานะหญิงสาวของเจ้าก็จะปิดบังผู้อาวุโสไท่ซ่างไม่ได้อีกแล้ว” ซางซุ่นหวางเอ่ย

มู่ชิงเกอชะงักฝีเท้า นัยน์ตาฉายแวววาววาบ เอ่ยถามว่า “การปลุกสายเลือดให้ตื่นขึ้นจะทำให้อุปกรณ์มายาไม่ทำงานอย่างนั้นหรือ?”

ซางซุ่นหวางพยักหน้า “ดังนั้น ข้าจะบอกสถานะความเป็นหญิงของเจ้ากับผู้ อาวุโสไท่ซ่างก่อนเพื่อไม่ให้ตอนที่เขาเห็นแล้วเกิดตกใจมากเกินไป”

มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “แล้วแต่เถอะ”

ที่นางใส่อุปกรณ์มายาตลอดก็เป็นเพราะคุ้นเคยกับสถานะผู้ชาย และก็รู้สึกว่ามันสะดวกดี ลดปัญหาลงไปได้เยอะ ที่ปิดบังไม่ใช่เพราะเหตุผลพิเศษอื่นใด

เห็นนางไม่ถือสา ซางซุ่นหวางก็วางใจ เขายืนยันว่า “เจ้าวางใจได้ ข้าจะพูดกับผู้อาวุโสไท่ซ่างให้เข้าใจทุกอย่าง จะไม่เผยเรื่องสถานะของเจ้าออกไป นอกจากเจ้าจะยินยอม คนของตระกูลซางคนอื่นๆ ก็จะไม่มีใครรู้สถานะความเป็นหญิงของเจ้า”

ในความเป็นจริง มู่ชิงเกอไม่ได้อยากได้คำรับรอง แต่ว่าในเมื่อซางซุ่นหวางพูดรับรองออกมาเอง นางก็พยักหน้าตามนํ้าไป

“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” ซางซุ่นหวางเอ่ยออกมาอีกครั้ง “เดือนหน้าก็เป็นการแข่งขันหลอมยุทธภัณฑ์ครั้งใหญ่ของตระกูลแล้ว เจ้าก็เตรียมตัวให้ดี ของรางวัลในปีนี้แม้แต่ข้าก็ยังสนใจเลย”

“ของรางวัลอะไร?” มู่ชิงเกอสนใจขึ้นมา

ซางซุ่นหวางใช้นัยน์ตาอันลุ่มลึกมองนาง อธิบายกับนางว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าการเป็นอาจารย์หลอมศาสตราคนหนึ่งนั้น นอกจากต้องรู้วิชาหลอมศาสตราแล้วยังต้องการอะไรอีก?”

มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้นไม่ได้ตอบออกมา

อาจารย์หลอมศาสตรายังต้องการอะไรอีก? สำหรับคนในตระกูลซางแล้ว พวกเขาเพียงแค่สืบทอดสายเลือดก็ล้วนเป็นอาจารย์หลอมศาสตราโดยกำเนิดแล้ว ล้วนแต่ เข้าใจได้อย่างชัดเจนถึงวัสดุทุกอย่างที่ใช้ในการหลอมยุทธภัณฑ์ทั้งยังสามารถใช้วัสดุเหล่านี้หลอมยุทธภัณฑ์ที่ดีที่สุดออกมาได้

อาจารย์หลอมศาสตราต้องการพรสวรรค์ คนของตระกูลซางนั้นมีแล้ว เช่นนั้นยังต้องการอะไรอีก?

“คืออะไร?” นิ่งคิดไปครู่หนึ่งมู่ชิงเกอก็หาคำตอบไม่เจอ

“นํ้ายาเคลือบศาสตรา” ซางซุ่นหวางพูดคำตอบออกมา

“นํ้ายาเคลือบศาสตรา?” มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว นางไม่รู้ว่าของสิ่งนี้มีประโยชน์อะไร

ซางซุ่นหวางอธิบายว่า “เจ้าน่าจะรู้ว่าเมื่อหลอมยุทธภัณฑ์ออกมาชิ้นหนึ่ง การตัดสินคุณภาพของมันก็จะขึ้นอยู่กับช่วงพริบตาเดียวที่จะขึ้นรูป หากว่าล้มเหลว เพียงนิดก็จะได้ยุทธภัณฑ์ชั้นตํ่า ส่วนนํ้ายาเคลือบศาสตราจะชดเชยความสูญเสียนี้ มันสามารถควบคุมคุณภาพของยุทธภัณฑ์ในช่วงเวลานั้นได้ จะไม่ทำให้ คุณภาพของยุทธภัณฑ์ด้อยลง”

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเปล่งประกาย นางเข้าใจแล้ว!

“นํ้ายาเคลือบศาสตราเป็นสมบัติลํ้าค่าจริงๆ!” มู่ชิงเกอเอ่ย

ซางซุ่นหวางพยักหน้า “น้ำยาเคลือบศาสตราหาได้ยากมาก แม้ว่าจะเป็นตระกูลซางก็มีเก็บไว้ไม่มาก ในการแข่งขันครั้งใหญ่นี้ คิดไม่ถึงว่าเหล่าผู้อาวุโสไท่ซ่างจะเสนอออกมาเอง ใช้นํ้ายาเคลือบศาสตราสิบหยดเป็นรางวัลแก่ผู้ชนะ นํ้ายาเคลือบศาสตราสิบหยดก็เพียงพอแล้วที่จะหลอมยุทธภัณฑ์พันชิ้นขึ้น ดังนั้น เจ้าจะต้องเอามาให้ได้”

มู่ชิงเกอไม่พูดอะไร นัยน์ตาฉายแวววาววาบ ตัดสินใจแล้ว นางที่ได้รับรู้คุณสมบัติของนํ้ายาเคลือบศาสตราแล้วจะไม่ไปแย่งชิงได้อย่างไรกัน? ที่จริงแล้วซางซุ่นหวางไม่ต้องพูดมากความ นางก็ต้องเอานํ้ายาเคลือบศาสตราสิบหยดนี้มาให้ได้อยู่แล้ว!

เข้าไปในพื้นที่ตระกูล มู่ชิงเกอก็ถูกซางซุ่นหวางนำไปยังสถานที่ที่ดูเหมือนถํ้า

ที่นี่ถูกคุ้มครองเป็นชั้นๆ ทุกครั้งที่ผ่านประตูหนักก็ล้วนมีเส้นทางเจ็ดแปดสาย

“เจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าจะไปพบผู้อาวุโสไท่ซ่าง” หลังจากซางซุ่นหวางกำชับมู่ชิงเกอแล้วก็หันกายจากไป

หลังจากเขาไปแล้วมู่ชิงเกอถึงได้มองไปรอบๆ ที่นี่ดูเหมือนกับเป็นถํ้าที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ด้านบนก็ มีหินย้อยห้อยลงมา เพียงแต่ว่าของเหลวที่หยดลงมากลับไม่ได้เป็นของเหลวสีขาว เพียงแต่เป็นของเหลวที่มีสีคล้ายเลือด

ของเหลวนี้หยดลงมาในบ่อขนาดใหญ่ข้างเท้าของนาง นํ้าในบ่อแดงดุจนํ้าเลือด เพียงแต่ไม่มีกลิ่นคาวเลือดเท่านั้น

ความรู้สึกที่แปลกประหลาดนี้ทำให้มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว และก็สงสัยว่าสายเลือดของตระกูลซางนั้นถูกปลุกขึ้นอย่างไรกันแน่

รอไม่นาน ผู้อาวุโสไท่ซ่างที่แต่ก่อนมู่ชิงเกอเคยพบในการทดสอบสายเลือดคนนั้นอยู่ๆ ก็ปรากฎตัวขึ้นตรงหน้าของนาง ทำให้นัยน์ตาของนางหดตัวลง

ผู้อาวุโสไท่ซ่างยิ้มให้กับนางแล้วเอ่ยว่า “ไม่ต้องตกใจไป รอให้เจ้าเข้าสู่ระดับสีทองแล้วก็จะทำได้เอง”

พูดจบแล้ว ก็ถอนหายใจเอ่ยว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่ความสามารถมีสายเลือดเข้มข้นระดับเดียวกันกับบรรพชนรุ่นที่หนึ่งได้ จะไม่เพียงแต่เป็นหลานนอกแซ่ แต่ยังเป็นผู้หญิงคนหนึ่งอีก”

มู่ชิงเกอยิ้ม ในเมื่อรู้แล้ว หากนางปกปิดความจริงอีกก็จะกลายเป็นมีเจตนาเคลือบแฝงไป

นางยกมือขึ้น ปลดอุปกรณ์มายาที่หูข้างซ้ายลงมา ฟื้นคืนสู่สถานะผู้หญิงต่อหน้าผู้อาวุโสไท่ซ่าง ที่จริงแล้วรูปร่างที่แท้จริงของมู่ชิงเกอก็เพียงแต่เพิ่มกลิ่นอายงดงาม อ่อนโยนของผู้หญิงเข้าไปเท่านั้น ลักษณะทั้งหมดก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากมาย เพียงแต่ส่วนเว้าส่วนโค้ง ชัดเจนขึ้นหน่อย

ผู้อาวุโสไท่ซ่างมองนางด้วยสายตาที่วาววาบ พยักหน้าเบาๆ

ครู่หนึ่งถึงได้เอ่ยว่า “ตอนนี้ก็เริ่มเลยเถอะ”

มู่ชิงเกอมองเขา ต้องเริ่มอย่างไร นางไม่รู้

ผู้อาวุโสไท่ซ่างชี้นิ้วไปที่บ่อเลือดเอ่ยว่า “เจ้าเข้าไปในบ่อ ตั้งสมาธิ เมื่อจิตใจสงบแล้ว ข้าก็จะใช้ตราประทับของตระกูลซางเปิดผนึกสายเลือดของเจ้า จากนั้นเจ้าก็จะมีพลังสามารถดูดซับพลังจากนํ้าในบ่อได้ สามารถดูดได้เท่าไหร่ก็ได้เท่านั้น”

“ในบ่อนํ้านี้คืออะไรกันแน่?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามอย่างสนใจ

ผู้อาวุโสไท่ซ่างมองนางแล้วสุดท้ายก็ถอนหายใจเอ่ยว่า “ที่นี่สร้างขึ้นมาจากเลือดของบรรพชนตระกูลซาง”

อะไรนะ!

มู่ชิงเกอตกตะลึง

“ปลุกสายเลือดให้ตื่นที่นี่ก็จะได้รับพลังสูงสุด ทั้งการดูดซับก็จะเพิ่มระดับความเข้มชันของสายเลือดขึ้นได้อีก เพิ่มความสามารถในการหลอมยุทธภัณฑ์แต่ว่าเจ้าต้องจำเอาไว้ว่า พลังที่แข็งแกร่งนั้นเพียงพอที่จะทำให้คนเป็นบ้าได้ เจ้าสามารถพยายามดูดซับได้ แต่ต้องรักษาสติเอาไว้ให้มั่น หากว่าเจ้าถูกพลังนั้นควบคุม ไม่สนใจความสามารถของตน ดูดซับพลังอย่างบ้าคลั่ง เช่นนั้นผลลัพธ์ก็คือร่างระเบิดตาย กลายเป็นส่วนหนึ่งของบ่อนํ้า” ผู้อาวุโสไท่ซ่างเตือนมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอขบริมฝีปากนิ่งเงียบลง

ผู้อาวุโสไท่ซ่างเอ่ยขึ้นอีกว่า “ข้าจะอยู่ริมบ่อคอยคุ้มครองเจ้า หากพบว่าเจ้าเลยขีดจำกัดที่จะรับได้แล้วแต่ไม่สามารถควบคุมได้ข้าก็จะลากเจ้าออกมา”

มู่ชิงเกอพยักหน้า กุมมือคำนับผู้อาวุโสไท่ซ่าง “รบกวนแล้ว”

ผู้อาวุโสไท่ซ่างหัวเราะเสียงดังขึ้นมา เอ่ยกับนางอย่างชอบใจว่า “ข้าว่าเด็กน้อยอย่างเจ้านี่นะ สามารถอ่านเรื่องราวได้อย่างปรุโปร่ง และไม่ใช่พวกรุ่นเยาว์ที่หยิ่ง ผยอง ตอนที่สมควรมีมารยาทก็ยังคงมีมารยาทมาก”

มู่ชิงเกอถูกเขาหยอกล้อก็หัวเราะตามอย่างใจกว้าง “ผู้ อาวุโสไท่ช่างตั้งใจคุ้มครองข้า เป็นธรรมดาที่ข้าจะต้องมีมารยาทและจดจำบุญคุณ”

“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องยกยอข้าเลยรีบเข้าไปในบ่อเถอะ อย่าเสียเวลาเลย เจ้ามีเวลาเพียงแค่วันเดียว สามารถดูดซับพลังมากแค่ไหนก็ต้องดูที่ตัวเจ้าเองแล้ว”

ผู้อาวุโส ไท่ซ่างงอนิ้ว มู่ชิงเกอก็ลอยจากริมฝั่งตกลงไปกลางบ่อ

ในทันที

เพียงแค่เข้าไปในบ่อ มู่ชิงเกอก็รู้สึกได้ถึงความเหนียวและเย็น

ผู้อาวุโสไท่ซ่างนั่งสมาธิอยู่ริมฝั่ง ใช้สองมือวาดสัญลักษณ์อักษรสีทองที่ดูลึกลับลอยออกมาจากหว่างนิ้วของเขา และก็เปลี่ยนเป็นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ลอยไปที่หัว ของมู่ชิงเกอ คลุมตัวของนางไว้ แสงสีทองวาบครั้งหนึ่ง อักษรหายไปดูเหมือนว่าเข้าไปในร่างกายของมู่ชิงเกอ

ขณะเดียวกัน มู่ชิงเกอก็รู้สึกว่าร่างกายของตนเป็นเหมือนประตูที่ถูกเปิดออก ร่างกายนางนั้นเหือดแห้งราวกับไม่ได้ดื่มนํ้ามานานแสนนาน และพยายามดูดซับพลังจากบ่ออย่างเอาเป็นเอาตาย…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!