Skip to content

พลิกปฐพี 291

ตอนที่ 291

ข่าวสารจากเทพธิดาเทพมาถึงแล้ว!

เปรี้ยง!

ครืน ครืน ครืน!

ก้อนเมฆลอยเข้าซ้อนกัน ดูหนักอึ้งราวกับจะร่วงตกลงมาจากฟากฟ้า

มู่ชิงเกอเงยหน้ามองไปยังสายฟ้าที่แล่นผ่านไปมาวาว วาบอยู่ท่ามกลางกลุ่มเมฆ ในใจก็สบถ ‘เวรเอ้ย!’ ขึ้นมา

ไม่เห็นมีใครเคยบอกนางเลยว่าเมื่อหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะออกมาได้แล้วจะทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ขึ้น

“ศาสตราใช้สำหรับฆ่าล้าง การจุติของยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะหนึ่งชิ้นจะทำให้สิ่งมีชีวิตมากมายสักเพียงใดต้องถูกสังเวยชีวิตให้กับมัน? ดังนั้นในทุกๆ ครั้งที่ยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะจุติก็จะต้องได้รับการลงทัณฑ์จากสายฟ้าสวรรค์ การลงทัณฑ์จากสายฟ้าสวรรค์แท้จริงแล้วก็คือการทำลายอาวุธแห่งการฆ่าล้างนี้ แต่หากว่าสามารถรับการลงทัณฑ์จากสายฟ้าสวรรค์ได้ เช่นนั้นคุณภาพของยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะขึ้นนี้ก็จะสูงยิ่งขึ้น สายฟ้าสวรรค์ฟาดลงมามากเท่าไหร่ ก็หมายความว่าคุณภาพของยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะยิ่งสูงเท่านั้น! ยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะที่ข้าเคยพบมาตลอดทั้งชีวิตอย่างมากที่สุดก็คือรับสายฟ้าสวรรค์ฟาดลงมาสามสาย” ผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับที่สอง เอ่ยขึ้นมา

เป็นการบอกคนของตระกูลซางคนอื่นๆ และก็บอกมู่ชิงเกอถึงที่มาของทัณฑ์สายฟ้า

‘พูดเช่นนี้ก็หมายถึงว่าเพียงแค่รับได้ก็หมดเรื่องสินะ’ นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ ลอบเอ่ยในใจ สายตาของนางตกไปอยู่ที่ศาสตราที่ถูกพญาเพลิงอัคคี แรกกำเนิดโอบอุ้มไว้ ภายในเปลวไฟที่ร้อนแรงปกคลุมมันเอาไว้ทำให้มองไม่เห็นรูปร่างใดๆ ของมัน นอกจากมู่ชิงเกอแล้ว ใครก็ไม่รู้รูปลักษณ์ที่แท้จริงของยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะชิ้นนี้

เปรี้ยง!

ทัณฑ์สายฟ้าสายแรกฟาดลงมา ฟาดตรงเข้าใส่พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดตรงๆ แสงจากสายฟ้าที่เพิ่มเข้ามายิ่งทำให้แสงของพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดสว่างขึ้นไปอีกจนทำให้แสบตาจนไม่อาจมองตรงๆ ได้อีก จากมุมของผู้ชมทั้งยังมีมุมของเหล่าผู้ตัดสินล้วนแต่พากันยกมือขึ้นมาบังสายตาไว้

มู่ชิงเกออยู่ใกล้ที่สุด และได้รับผลกระทบมากที่สุด ในตอนที่แสงวาบขึ้นนั้น นางก็หันหน้าหลับตายกแขนขึ้นใช้แขนเสื้อบังสายตาของตนเองในทันที

“เกอเอ๋อร์…” ซางหลันรั่วปิดบังดวงตาจากแสงแสบตา ลุกขึ้นยืนอย่างกังวลใจ

มู่อี้เฉินตาไวคว้านางเอาไว้ได้ทันรีบปลอบว่า “ท่านแม่ ท่านอย่าได้กังวลไปเลย ลูกพี่จะต้องไม่เป็นอะไร”

“เกอเอ๋อร์อยู่ใกล้เกินไป เกรงว่าจะได้รับผลกระทบ” ซางหลันรั่วยังคงเอ่ยอย่างเป็นกังวล

มู่เสวี่ยอู่ก็รีบเอ่ยว่า “ท่านแม่ ลูกพี่มีความสามารถมาก ทัณฑ์สายฟ้าสายนี้ฟาดเข้าใส่ยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะเท่านั้น ลูกพี่จะไม่เป็นอะไร”

ซางหลันรั่วกลับส่ายหน้า “ก็เป็นเพราะว่าฟาดเข้ามาใส่ยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะ ข้าถึงได้เป็นกังวล ตามนิสัยของเกอเอ๋อรจะต้องไม่ยอมให้ทัณฑ์สายฟ้าเข้าทำลาย ยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะที่นางหลอมออกมาอย่างแน่นอน!”

ประโยคนี้ของนางทำให้มู่อี้เฉินและมู่เสวี่ยอู่มีสีหน้านิ่งขรึมขึ้นมา

พวกเขาไม่อาจไม่ยอมรับว่าที่มารดาเป็นกังวลนั้นมีเหตุผล แต่ว่าด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ หากคิดจะให้มู่ชิงเกอถอยมาที่ปลอดภัยนั้นก็ไม่สามารถจะทำได้

มู่เสวี่ยอู่หมดทางเลือกทำได้เพียงปลอบมารดาว่า “ท่านแม่ ลูกพี่นั้นมีขอบเขตอยู่ในใจ พวกเราต้องเชื่อใจนาง”

ความกังวลในนัยน์ตาของซางหลันรั่วเผยร่องรอยของความหวั่นไหว นางครุ่นคิดครู่หนึ่งถึงได้ค่อยๆ นั่งลง พึมพำอย่างปวดใจ “ใช่แล้ว เกอเอ๋อร์ไม่ใช่เด็กที่ต้องการการปกป้องจากมารดามานานแล้ว”

นางปวดใจมาก ปวดใจที่ลูกของตนเองใช้ชีวิตอยู่คนเดียวเร็วจนเข้าใจหลักที่ต้องพึ่งพาตนเองบนโลกนี้

นางรู้สึกผิดต่อลูกของตนเองมาก และก็ไม่รู้ว่าลูกของตนเอง…

ในที่สุดแสงที่แสบตาก็หายไป ยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะที่ถูกพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดปกคลุมไว้ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ แต่ว่าพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดที่ปกคลุมมันดูอ่อนลงไปหลายส่วน

แสงที่เดิมสว่างจ้าดุจแสงตะวัน ตอนนี้ดูริบหรี่ลง มู่ชิงเกอลดมือที่บังสายตาลง สีหน้าดูเคร่งขรึมขึ้น

เปรี้ยง!

บนฟ้ามีเสียงดังขึ้นอีก สายฟ้าที่วาววาบอยู่ท่ามกลางกลุ่มเมฆ ครั้งนี้ดูเหมือนจะมีความโกรธแค้นที่ครั้งแรกไม่สำเร็จ

‘การโจมตีครั้งนี้พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดรับไม่ไหวแน่!’ นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหดตัวลง เอ่ยขึ้นในใจอย่างรวดเร็ว

นางเพิ่งจะพูดจบ ก็มองเห็นทัณฑ์สายฟ้าสายนั้นฟาดลงมาที่พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดที่มีรูปทรงคล้ายลูกบอล พยายามดิ้นรนอยู่หลาย ครั้ง แต่ทันใดนั้นก็เต็มไปด้วยรอยแตกร้าวแล้วก็ระเบิดออกในทันที

เปลวไฟที่ระเบิดออกมาเหล่านี้พุ่งกระจายไปรอบบริเวณ

หยวนหยวนลงมือเก็บบรรดาเปลวเพลิงที่หลุดออกจากการควบคุมเหล่านี้ให้กลับมา

ส่วนมู่ชิงเกอยืนอยู่ที่เดิม ตรงหน้าของนางปรากฎกำแพงเปลวเพลิงสีขาวป้องกัน เหล่าพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดที่พุ่งมาที่นาง

ฉากนี้ทำให้คนจำนวนไม่น้อยหวาดผวาจนหยุดหายใจ และก็มองมาทางมู่ชิงเกออย่างตึงเครียดยิ่งขึ้น

พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดถูกสายฟ้าโจมตีสลายไป แต่ทัณฑ์สายฟ้าก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน มู่ชิงเกอสะบัดมือสลายกำแพงเปลวเพลิงตรงหน้าของนางออก สองตามองจ้องไปยังยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะที่เผยโฉมออกมา

ยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะชิ้นนั้นยังคงมองไม่เห็นลักษณะที่แท้จริงของมัน เพียงแต่สามารถฝืนมองเห็นลักษณะรูปร่างคลุมเครือของมันได้เท่านั้น

และในตอนนี้ ยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะชิ้นนั้นก็ส่งเสียงกึกก้องออกมา ราวกับกำลังแค้นเคืองที่ถูกทัณฑ์สายฟ้าจากสวรรค์ฟาดเข้าใส่ และพยายามจะต่อต้าน

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอพลันเปล่งแสงประกาย ในตอนที่ทัณฑ์สายฟ้าสายที่สามกำลังจะฟาดลงมานั้น ทั้งสองมือก็รีบประสานกันอย่างรวดเร็ว ร่ายอาคมมากมายเข้าไปในยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะทันที

การใส่อาคมต้องห้ามเข้าไปในระหว่างการหลอมศาสตราเป็นวิธีเฉพาะของนาง

การเคลื่อนไหวของนางดึงดูดความสนใจของคนรอบด้านในทันที

“เขากำลังทำอะไรน่ะ?”

“ทำอะไร? เหตุใดข้าจึงดูไม่เข้าใจ?”

“นี่ก็เป็นการหลอมศาสตราด้วยงั้นหเรือ? เหตุใดข้าจึงไม่รู้!”

“นี่เป็นวิธีหลอมศาสตราของพวกเราตระกูลซางด้วยงั้นหรือ?”

เสียงพูดคุยดังขึ้นรอบทิศ ส่วนมู่ชิงเกอก็ดูเหมือนกับไม่ได้ยิน มือของนางเคลื่อนไหวเร็วขึ้นเรื่อยๆ อาคมต้องห้ามก็ถูกสร้างขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆ เมื่ออาคมต้องห้ามเหล่านี้ไปถึงร่างของยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะแล้ว ทุกๆ อาคม ก็เข้าไปเพิ่มเติมพลังให้มัน ทำให้แสงบนร่างของมันสว่างจ้าขึ้นมากกว่าเดิม

“นี่เป็น…อาคมต้องห้าม!” ภายในกลุ่มคน ผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับที่สองที่มีชีวิตอยู่มาอย่างยาวนานที่สุดตกตะลึงจนหลุดเสียงออกไป เขาจดจำสิ่งที่มู่ชิงเกอทำได้ว่าคืออะไร แต่กลับคิดไม่ถึงว่านางจะใช้อาคมต้องห้ามลงไปบนศาสตรา หากเป็น เช่นนี้จะทำให้เกิดผลลัพธ์อย่างไรกันแน่ แม้แต่เขาก็ยังรู้สึกสนใจอยากจะรู้

“เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยม! เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!” ผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับที่สองตื่นเต้นจนมือสั่น

ดูเหมือนว่าการเคลื่อนไหวของมู่ชิงเกอจะเปิดโลกทัศน์ใหม่ให้แก่เขา ทำให้เขารู้สึกได้ในทันทีว่ายังมีวิชาหลอมศาสตราอีกทางหนึ่งอยู่

“ผู้อาวุโสไท่ซ่าง อะไรคืออาคมต้องห้ามหรือ?” ผู้อาวุโสสามเอ่ยถามอย่างสนใจ

ผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับที่สองสูดหายใจเข้าลึก นัยน์ตาเปล่งประกายจ้องมองมู่ชิงเกอ รีบอธิบายว่า “มีคนประเภทหนึ่งที่เชี่ยวชาญในการใช้อาคมต้องห้าม พวก เขาสามารถใช้อาคมต้องห้ามในการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งได้ เพื่อใช้ในการเตรียมการป้องกันหรือโจมตีที่แตกต่างกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีหรือว่าป้องกัน ก็ล้วนแต่ปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม แต่ว่ายังไม่เคยมีใครใช้วิธีนี้บนตัวยุทธภัณฑ์มาก่อน พวกเจ้าลองคิดดูว่า หากยุทธภัณฑ์ชิ้นหนึ่งมีความสามารถทางอาคมนั้นจะมีความแข็งแกร่งถึงขนาดไหนกัน!”

คำพูดนี้ทำให้พวกซางซุ่นหวางสามคนตกตะลึง พวกเขามองไปทางมู่ชิงเกอพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ตกใจกับการเปลี่ยนแปลงในทุกๆ ครั้งของนาง อาคมต้องห้าม…

วิชาที่เก่าแก่ที่ได้สาบสูญหายไปกับกาลเวลาไปนานแล้ว นางเรียนรู้มาได้อย่างไรกัน? ส่วนในตอนนี้นางได้ใช้อาคมต้องห้ามอะไรใส่เข้าไปในยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะที่กำลังจะจุติกัน?

‘…สายที่แปดสิบเอ็ด!’ มู่ชิงเกอลอบคำนวนจำนวนของอาคมต้องห้ามที่ใส่เข้าไปในใจ

อาคมต้องห้ามของนางล้วนแต่เรียนมาจากเหล่าหนังสือโบราณที่เหมิงเหมิงหามาให้ทั้งนั้น ภายหลังก็ได้จากซือมั่วมาบางส่วน

ตอนนี้ นางลงอาคมต้องห้ามให้กับยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะก็เพื่อใช้พลังของทัณฑ์สายฟ้าทำให้พวกมันผสานเข้าภายในยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะได้ดีมากยิ่งขึ้น

นี้เป็นโอกาสครั้งหนึ่งที่หาได้ยากยิ่ง นางจะพลาดไปได้อย่างไร!

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเปลี่ยนเป็นสว่างสดใสขึ้นเรื่อยๆ มือวาดอาคมต้องห้าม มากขึ้นเรื่อยๆ

นางที่เพิ่มพลังให้กับยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะไม่หยุดเช่นนี้ ดูเหมือนว่าจะทำให้ทัณฑ์สายฟ้าโมโหหนัก หลังจากพวกมันสะสมพลังแล้วจึงฟาดสายฟ้าลงมาอีกสองสาย!

เปรี้ยง เปรี้ยง!

ครืน ครืน ครืน ครืน!

แสงสองสายวาววาบ ฟาดผ่าลงมาพร้อมกันลงไปยังยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะที่ยังไม่ได้จุติ

ทัณฑ์จากสายฟ้านั้นเห็นได้ชัดว่าอยากจะทำลายความพยายามที่ตนเองสร้างขึ้นมา! นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววอำมหิต เม้มริมฝีปากแน่นเงยหน้าขึ้นไปมองบนฟ้า การเคลื่อนไหวในมือกลับยิ่งรวดเร็วกว่า วาดอักษรอาคมต้องห้ามเข้าไปใส่ในยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะเรื่อยๆ ไม่หยุด

ทัณฑ์สายฟ้าฟาดลงมาแล้ว!

นัยน์ตาทั้งคู่ของมู่ชิงเกอหรี่เล็กลง กำลังคิดจะเข้าไปขวางทัณฑ์สายฟ้า แต่คิดไม่ถึงเลยว่ายุทธภัณฑ์ชั้นเทวะที่ยังไม่ทันได้จุติจะเร็วกว่านางเสียอีก มันพุ่งขึ้นไปบนฟ้า เข้าไปสู่กลุ่มเมฆ เข้าไปรับทัณฑ์สายฟ้าด้วยตัวมันเอง

เจียงหลียืนขึ้นมาในทันใด นัยน์ตางดงามเปล่งแสงประกายแวววาว นางคลี่มุมปากออกเล็กน้อย ค่อยๆ เอ่ยว่า “เข้ารับศึกด้วยตนเองอย่างไม่ลังเลเช่นนี้สมกับ เป็นยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะที่ข้าชอบ!”

นี่เป็นยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะที่มู่ชิงเกอหลอมขึ้นมาให้นางเป็นพิเศษนางไม่อาจนั่งอยู่เฉย!

เจียงหลีกระโดดลงจากอัฒจันทร์เงาร่างวาบไปพุ่งลอยขึ้นไปกลางอากาศ

ตอนนี้ ทัณฑ์สายฟ้าก็ได้ฟาดเข้าไปยังยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะแล้วสายหนึ่ง ทัณฑ์สายฟ้าสั่นไหวเกิดเสียงดังกัมปนาทออกมา อาคมต้องห้ามหลายสายที่ยังไม่ทันได้ผสานตัวดีถูกทัณฑ์จากสายฟ้าสวรรค์ทำลายลงไป ด้านหลังร่างของเจียงหลีปรากฎเงาของงูสายหนึ่ง มันคำรามอย่างโกรธแค้นพุ่งเข้าใส่ทัณฑ์สายฟ้าอีกสายหนึ่ง นางหันไปมองมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยว่า “เจ้าหลอมศาสตรา อย่างสบายใจเถอะ ที่เหลือมอบให้ข้าจัดการเอง”

มู่ชิงเกอสบสายตากับนาง พยักหน้าเล็กน้อย สงบจิตใจ วาดอาคมต้องห้ามใส่เข้าไปในยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะต่อ การระเบิดของทัณฑ์สายฟ้าสองสายกลางอากาศ ฉากอันงดงามนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึงจนทยอยลุกขึ้นมา

สถานการณ์เช่นนี้ภายในหมู่พวกเขาก็เพิ่งเคยเห็นกันเป็นครั้งแรก ความตกตะลึงนี้ประทับเข้าไปในหัวใจของทุกคน เกรงว่าคงไม่อาจลืมเลือนไปได้ชั่วชีวิต

มีทัณฑ์สายฟ้าสองสายฟาดลงมาอีกครั้ง แต่ก็ยังถูกเจียงหลีกับยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะเข้าไปขวางเอาไว้

ทัณฑ์สายฟ้าถูกขวางอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางหมู่เมฆที่หนักอึ้งราวกับมีเสียงคำรามของอสูรร้ายบรรพกาลดังแว่วมา

มันกำลังโมโห และกำลังสะสมไอสังหารอันเข้มข้น!

ทันใดนั้น ทัณฑ์สายฟ้าสามสายก็ฟาดแยกกันลงมาสามเส้นทาง แบ่งเป็นทางยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะ เจียงหลีและก็มู่ชิงเกอ!

เจียงหลีจ้องมอง กระตุ้นสายเลือดเทพอสรพิษในร่างกลายเป็นร่างครึ่งคนครึ่งงู ใช้สายเลือดของเทพอสรพิษบรรพกาล เข้าต่อต้านการทำลายของทัณฑ์สายฟ้า

“สายสุดท้าย!” มู่ชิงเกอร้องออกมา อาคมต้องห้ามอันสุดท้ายที่วาดออกมาลอยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศไปยังยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะชิ้นนั้น

อาคมต้องห้ามอันสุดท้ายนี่ทำให้ยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะเก็บรวบรวมแสงประกายรอบตัวในทันใด ในตอนที่มันกำลังจะเผยลักษณะที่แท้จริงของมันออกมานั้น ทัณฑ์สายฟ้า ก็ตกลงมา มันไม่แม้แต่จะหลบเข้ารับทัณฑ์สายฟ้าสายนี้ทันที ชั่วขณะนั้นแสงสายฟ้าก็ปกคลุมไปทั่วร่าง เชื่อมสวรรค์และพิภพด้วยสายฟ้า ทำให้ทั้งอากาศเต็มไปด้วยสายฟ้าเจิดจ้า

ตอนนี้ ทัณฑ์สายฟ้าที่พุ่งไปยังมู่ชิงเกอนั้นก็ได้บีบเข้าไปใกล้นางแล้ว

สายตาของทุกคนมองเห็นว่ามู่ชิงเกอกำลังจะถูกทัณฑ์สายฟ้าฟาดเข้าใส่ ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน นางก็กำหมัดใช้กำลังของร่างกายชกเข้าไปใส่สายฟ้าสายนั้น

ปัง!

เสียงดังสะท้าน หมัดของมู่ชิงเกอปะทะเข้ากับทัณฑ์สายฟ้า เกิดเป็นแสงแสบตาสว่างจ้า

เกอเอ๋อร์!”

“ชิงเกอ!”

“ลูกพี่!”

“เจ้าเด็กคนนี้เหตุใดจึงวู่วามถึงขนาดนี้? ใช้มือเปล่าต้านรับทัณฑ์สายฟ้า นี่ไม่ใช่ว่ารนหาที่ตายแล้วงั้นหรือ?” ผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับที่สองร้อนใจประหนึ่งไฟเผา ตอนนี้ คิดจะไปช่วยก็สายไปแล้ว

ที่สำคัญก็คือ ใครก็คิดไม่ถึงว่ามู่ชิงเกอจะใช้มือเปล่าเข้ารับทัณฑ์สายฟ้า ไม่ยอมแม้แต่จะหลบ!

“เกอเอ๋อร์!” ซางหลันรั่วปวดใจดั่งใจสลาย คิดอยากจะพุ่งเข้าไป แต่กลับถูกมู่อี้เฉินและมู่เสวี่ยอู่ดึงรั้งเอาไว้

อาศัยระดับพลังฝึกปรือของนาง คิดจะหลุดรอดออกมาการควบคุมของทั้งสองคนนั้น แท้จริงแล้วไม่ยาก แต่ว่านางเพิ่งได้รับบาดเจ็บหนักมา พลังในตอนนี้เหลือเพียงไม่เท่าไหร่ ไม่สามารถหลุดออกมาจากการควบคุมของทั้งสองพี่น้องได้

“ท่านแม่ ท่านสงบใจหน่อย ลูกพี่ทำเช่นนี้ก็จะต้องมีความมั่นใจ ลูกพี่ไม่ได้หาเรื่องตายแน่นอน!” มู่อี้เฉินรีบเอ่ย

ในที่สุดแสงวาววาบของสายฟ้าก็สลายหายไป

ก้อนเมฆจากทัณฑ์สายฟ้าบนท้องฟ้าในที่สุดก็เหมือนว่าจะละทิ้งความตั้งใจที่จะทำลายยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะชิ้นนี้สลายหายไป ท้องกลับคืนสู่ความสดใสอีกครั้ง

หมอกควันสลายหายไป ทุกคนล้วนแต่จับจ้องมองไปยังที่ๆ มู่ชิงเกอยืนอยู่

เงาร่างของผู้หนึ่งค่อยๆ ปรากฎขึ้นต่อหน้าทุกคน

ร่างกายของมู่ชิงเกอยังคงเหยียดตรงสง่างาม ไพล่มือไว้ด้านหลัง ทัณฑ์สายฟ้าที่ปะทะกับนางสายนั้นสลายหายไปหมดสิ้นแล้ว มีเพียงแขนเสื้อด้านขวาของนางที่ถูกทำลายไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ราวกับไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เลย

“ให้ตายเถอะ! ถูกสายฟ้าฟาดใส่แล้วยังไม่ตาย! แข็งแกร่งถึงขนาดนั้นเชียว!” “ร่างเนื้อเช่นนี้ดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่ง เสียยิ่งกว่าสัตว์อสูรวิญญาณเสียอีก กล้าเผชิญหน้ากับทัณฑ์สายฟ้าได้!

“นับถือแล้ว! น่านับถือแล้วจริงๆ!”

“สุดยอด! เช่นนี้ยังมีชีวิตอยู่ได้อีกหรือ? สัตว์ประหลาดเช่นนี้เกิดมาเพื่อเอาชนะทุกคน!”

“ความสามารถสูง สายเลือดก็มี หลอมยุทธภัณฑ์ชิ้นแรกออกมาก็เป็นชั้นเทวะ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็ถือว่าแล้วไปเถอะ แต่ตัวเองกลับยังแข็งแกร่งถึงขนาดนั้นอีก นี่เป็น สัตว์ประหลาดโผล่มาจากไหนกัน!”

“อัจฉริยะเช่นนี้ทำคนไม่อาจไม่ยอมศิโรราบได้โดยแท้!”

“ร่างกายของเขาสร้างขึ้นมาจากอะไรกัน?”

ภายในตระกูลซาง เกิดเสียงพูดคุยถกเถียงกันขึ้นมา พวกเขา ต่างตกตะลึงที่มู่ชิงเกอสามารถต้านทานทัณฑ์สายฟ้าได้ แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางถูกสายฟ้าฟาดเข้าใส่

นางไม่เพียงแต่มักจะฝึกปรืออยู่ในบ่อสายฟ้าภายในช่องว่าง แต่ยังเคยช่วยหยินเฉินต้านเคราะห์อัสนีทางสายเลือดที่ดุดันมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ร่างของนางแต่เดิมก็เป็นผู้มีพลังพิเศษทางสายฟ้าแล้วจะถูกสายฟ้าฟาดตายได้อย่างไร?

ที่นางสามารถใช้มือเปล่าในการรับสายฟ้าในวันนี้ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล

“เกอเอ๋อร์…” เมื่อมองเห็นว่ามู่ชิงเกอไม่เป็นอะไรแล้ว ซางหลันรั่วก็นั่งลงบนเก้าอี้ นัยน์ตาผุดไอหมอกพร่าเลือน

ซางซุ่นหวางก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ในใจนึกตำหนิ ยัยเด็กผู้นี้ที่ทำอะไรเหลวไหลไปแล้ว!

“ประมุขตระกูล เจ้ามีหลานที่ดีจริงๆ!” ผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับที่สองเอ่ยชื่นชมซางซุ่นหวาง “แม้แต่ตัวข้าก็ยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับทัณฑ์สายฟ้า นี่อายุยังน้อยกลับมี ความกล้าและความสามารถถึงขนาดนี้แล้ว พวกข้าไม่นับถือก็คงไม่ได้แล้ว”

ซางซุ่นหวางเผยรอยยิ้มยินดีออกมา ยิ้มกว้างแล้วเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับที่สองชมเกินไป เจ้าเด็กเกอเอ๋อร์ผู้นี้ใจกล้า ดีที่ความสามารถกับความกล้านั้นไปด้วยกัน ไม่ทำให้เกิดความสูญเสียขึ้น”

“ประมุขตระกูล หลานของเจ้าไม่ได้ทำให้เกิดความสูญเสียได้อย่างไร นางน่ะดูดเอาสายเลือดในบ่อสายเลือดของตระกูลพวกเราไปเสียหมดเชียว!” ผู้อาวุโสสองเอ่ยยิ้มๆ

ซางซุ่นหวางชะงัก ทั้งสามคนหัวเราะเสียงดังขึ้น

ผู้อาวุโสไท่ซ่างลำดับที่สองพึมพำเสียงเบา “ทัณฑ์สายฟ้าสิบสาย…ไม่เคยเห็นมาก่อน…”

เมฆเคลื่อนตัวไปแล้ว ยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะจะจุติ ตระกูลซางของพวกเขาจะมีอาจารย์หลอมศาสตราระดับเทวะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน

นี่เป็นเรื่องน่ายินดี เรื่องมงคลของทั้งตระกูล!

เรื่องราวทั้งหมดค่อยๆ สงบลงมา ในที่สุดยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะที่ลึกลับมาโดยตลอดก็เผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงออกมาต่อหน้าฝูงชน แสงที่โอบล้อมรอบตัวของมันค่อยๆ กระจายออกไป เผยลักษณะที่ชวนให้คนตกตะลึงออกมา

สีดำทอง รูปทรงยาวเรียวเหยียดโค้ง มีปลายแหลมคมสองด้าน ด้านบนมีสีแดงเลือดประดับเพิ่มสีสัน ใบมีดโค้งรีทรงเพชร ดูเปี่ยมเสน่ห์เหนือใดเปรียบ

นี่เป็นการหลอมรวมยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะสองชนิดเข้าด้วยกัน มันสามารถแยกออกเป็นสองส่วน กลายเป็นดาบสองด้าม สองมือแยกถือ และก็สามารถรวมเข้าด้วยกัน กลายเป็นอาวุธยาว สามารถแทงศัตรูได้ทั้งส่วนหัวและส่วนท้าย

บนคมดาบยังมีอาวุธลับเป็นห่วงสามวง หากซัดมันออกไปก็จะกลายเป็นศาสตราที่ใช้ฆ่าคน หลังจากสังหารคนที่อยู่ไกลด้วยมีดคมแล้วถึงจะลอยกลับคืนมา

บนศาสตรามีเชือกเรียวบางเส้นหนึ่งที่มีรูปร่างเหมือนงู ปลายเชือกมีกระดิ่งรูปหัวงูแขวนไว้อยู่ เพียงแค่เขย่า ก็จะเกิดเสียงที่ทำให้ประสาทหลอน ทั้งยังสามารถลด ความเร็วและปฏิกิริยาของคู่ต่อสู้ได้อีกด้วย ศาสตราที่มู่ชิงเกอสร้างขึ้นมาจะไม่มีการตกแต่งที่สวยงามแต่ไม่มีประโยชน์ ทุกๆ การออกแบบล้วนแต่จะมีความแยบยลและมีประโยชน์ทั้งสิ้น

เมื่อมองเห็นยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะที่ตนเองสร้างขึ้นมาเป็นชิ้นแรกนั้น นัยน์ตาของมู่ชิงเกอก็ฉายแววยินดี ยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะค่อยๆ ตกลงมาพร้อมกับกลิ่นไอพลัง ของยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะ

เมื่ออยู่ต่อหน้ามัน ยุทธภัณฑ์ที่อยู่ในมือของคนในตระกูลซางทุกคนล้วนแต่ส่งเสียงยอมศิโรราบออกมา

มู่ชิงเกอมองเจียงหลีที่ถูกยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะทำให้ตกตะลึงไป มุมปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม ตะโกนไปบอกนางว่า “ยังจะรออะไรอีก? ยังไม่รับเอายุทธภัณฑ์ชั้นเทวะ ของเจ้าไปอีกหรือ!”

เจียงหลีถูกเตือนสติ นัยน์ตาของนางเปล่งประกาย เผยรอยยิ้มงดงามออกมา พุ่งไปยังยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ

ในตอนที่เข้าไปใกล้นั้น นางก็บีบเลือดของตนเองออกมา สาดไปบนยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะ ชั่วขณะนั้นยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะก็สั่นไหวเล็กน้อย และส่งเสียงสดใสออกมา จากนั้น ร่างของมันก็หดเล็กลงอย่างรวดเร็ว กลายเป็นสร้อยข้อมือสีทองแดงทรงเสน่ห์ลอยมาทางเจียงหลี

เจียงหลียกมือขึ้น สร้อยข้อมือนั้นก็สวมเข้ากับข้อมือขาวผ่องของนาง แล้วแสงสว่างก็ค่อยๆ กลับคืนสู่ความสงบเงียบ

นางมองสร้อยข้อมือบนข้อมือของตนเองอย่างพึงพอใจ นัยน์ตาฉายแววยินดี

คนของตระกูลซางรอบด้านล้วนแต่มองนางอย่างอิจฉา

ใช่แล้ว เป็นความอิจฉา

ใครให้ตระกูลซางมีกฎว่าศาสตราที่อาจารย์หลอมศาสตราสร้างขึ้นมานั้นก็จะมีสิทธิ์ในสิ่งนั้นก่อนใครเล่า! แม้ว่าจะเป็นตระกูลซางอยากจะเก็บไปก็ต้องเสนอข้อ แลกเปลี่ยนที่สมนํ้าสมเนื้อเสียก่อน

ดังนั้น แม้ว่าพวกเขาจะมองเห็นมู่ชิงเกอมอบยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะที่หาได้ยากยิ่งกับเจียงหลีไปก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมู่ชิงเกอหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะออกมาแล้ว นับจากนี้ก็จะกลายเป็นอาจารย์หลอมศาสตราระดับเทวะ พวกเขาเมื่ออยู่ต่อหน้านางยังต้อง ก้มหัวให้ แล้วจะกล้าไปขัดขวางการตัดสินใจของนางได้อย่างไร?

“เขากลับหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะออกมาได้จริงๆ!” ซางจื่อหลันพึมพำออกมา

ความรู้สึกไม่ยอมและอดสูเมื่อก่อนในชั่วขณะนี้ล้วนแต่สลายหายไป นางรู้แล้วว่า นับตั้งแต่นี้ไป มู่ชิงเกอมีความสามารถเพียงพอที่จะไม่เห็นค่านาง ไม่มองนาง ดูแคลนนาง!

“ยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะชิ้นนี้ ข้าให้ชื่อว่าจูเสีย หวังว่านับจากนี้ไป มันจะอยู่คู่กับเจ้าช่วยเจ้าขจัดวิญญาณที่ชั่วร้ายให้หมดไป” มู่ชิงเกอยิ้มแล้วเอ่ยกับเจียงหลี

“จูเสีย?” เจียงหลีพึมพำออกมา เผยรอยยิ้มบอกว่า “ชื่อดี!”

ตำหนักเทพ ภาคกลาง

ภายในตำหนักเทพ มีคนน้อยคนมากที่จะรู้ว่า ภายในตำหนักเทพแห่งนี้มีสถานที่ที่สำคัญมากที่สามารถสื่อสารกับแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร ได้รับข่าวสารจากแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารได้อยู่

ตำหนักหยกขาวบริสุทธิ์ สะพานหยกขาวลอยอยู่กลางอากาศ บางครั้งก็จะมีอสูรเวหาศักดิ์สิทธิ์ส่งเสียงร้องบินลอยผ่านไป ดูเหมือนกับเป็นนอกโลก ดูบริสุทธิ์ไร้มลทิน

เรือนร่างผอมเพรียวค่อยๆ เดินมาตามสะพาน นางสวมชุดสีขาวหิมะตลอดทั้งร่าง กระโปรงยาว ถูกลากอยู่ข้างหลัง ทำให้นางดูศักดิ์สิทธิ์และสูงส่ง

ผมดำยาวถูกมัดไว้บนศีรษะเป็นมวยอย่างง่ายๆ ส่วนผมที่เหลือก็แผ่สลายอยู่ด้านหลัง ปกคลุมจนถึงหัวเข่า

ด้านหลังของนางยังมีสาวใช้งดงามหกคนเดินตามมา แบ่งเป็นติดตามนางทั้งสองข้าง ก้มศีรษะตํ่าอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว

พวกนางข้ามผ่านสะพานหยก เดินเข้าไปในระเบียง เดินอยู่บนระเบียงที่คดเคี้ยวอยู่ครู่หนึ่งจนในที่สุดก็ขึ้นไปยืนบนแท่นสูง ด้านหน้าเป็นหอคอยแหลมสูงตระหง่าน หอแหลมนี้เป็นสีขาวล้วน เปล่งแสงสีเงินดูบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ ดูมีกลิ่นอายของเทพเซียน

มันสูงมาก เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปก็มองไม่เห็นยอด

พูดกันว่า หอเทวะแห่งนี้สามารถสื่อสารกับแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารได้หากว่าบรรดาเทพบนแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารส่งสารลงมา ก็จะมารับได้จากหอเทวะนี้

ผู้หญิงคนนั้นนำสาวใช้มาที่นี่ สายตากลับไม่ได้มองไปที่หอเทวะ แต่เป็นมองไปที่คนที่กำลังหันหลังให้นางยืนอยู่ตรงหน้าหอเทวะ

คนผู้นั้นก็สวมชุดสีขาวเงินเช่นเดียวกันกับสีผมที่ก็เป็นสีขาวเงิน

เขายืนอยู่หน้าหอเทวะ ดูเหมือนว่าเพิ่งจะติดต่อสื่อสารกับเทพเสร็จ

“อาจารย์” ผู้หญิงคนนั้นค่อยๆ เอ่ยปากขึ้น

คนที่ถูกนางเรียกว่าอาจารย์ค่อยๆ หันหน้ากลับมา เผยใบหน้าที่ไม่ได้ดูแก่ชรา ใบหน้านี้ดูหล่อเหลาคมคายและ ก็ดูมีกลิ่นอายที่สูงส่งเหมือนกับเทพเซียน

เขามองไปยังลูกศิษย์ของตนเอง ใบหน้าที่งามลํ้านั้นบริสุทธิ์เสียจนทำให้คนไม่กล้าล่วงเกิน

นางดูเหมือนกับเป็นเซียนจากแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร ที่หลงเข้ามาในโลกมนุษย์

เขาปกปิดความคิดแปลกๆ ที่ไม่สมควรมีเข้าไปอย่างระมัดระวัง แล้วจึงยิ้มเอ่ยกับนางว่า “เซียนเสวี่ย เจ้ามาแล้วหรือ”

ซีเซียนเสวี่ยหลุบตาพยักหน้า ทำความเคารพอาจารย์ ท่าทีที่เคารพและให้เกียรติแบบนี้ทำให้ในใจของเขารู้สึกผิดมากขึ้น คิดว่าตนเองไม่สมควรเกิดความคิดสกปรกเช่นนั้นกับลูกศิษย์ตนเอง เขาไอออกมาเบาๆ เอ่ยกับซีเซียนเสวี่ยว่า “เซียนเสวี่ย เจ้าเป็นธิดาเทพของตำหนักเทพ เจ้ายังจำกฎที่ห้ามธิดาเทพแต่งงานได้หรือไม่?”

การเตือนอย่างกะทันหันนี้ทำให้ซีเซียนเสวี่ยเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาฉายแววสงสัย

นี่เป็นเงื่อนไขที่ไม่อาจจะทำผิดได้ของคนที่เป็นธิดาเทพ แน่นอนว่านางต้องรู้อยู่แล้ว เหตุใดอาจารย์ถึงได้เอาเรื่องนี้มาถามได้? แต่ถึงแม้ว่าในใจจะไม่เข้าใจแต่นางก็ยังยอมตามพยักหน้าเอ่ยว่า “จำได้เจ้าค่ะ”

“จำได้ก็ดีแล้ว อาจารย์ขอเตือนเจ้าเอาไว้ว่าไม่อาจจะหลงใหลไปกับโลกภายนอกจนลืมสถานะของตนเอง” เขาพูดอ้างเหตุผลออกมา ที่จริงแล้วเขาเพียงแต่คิดอยากจะดูท่าทีของซีเซียนเสวี่ยเท่านั้น แม้ว่าเป็นคนที่แม้แต่เขาก็ไม่อาจจะแตะต้องได้ก็จริง แต่เขาก็ไม่คาดหวังให้คนอื่นได้แตะ ยิ่งไม่ยินยอมใหซีเซียนเสวี่ยไปตกหลุมรักคนอื่น เช่นนี้แล้ว เขาถึงจะยังคงรู้สึกได้ว่าซีเซียนเสวี่ยเป็นของเขาแค่เพียงคนเดียว

“ที่อาจารย์เตือนศิษย์เช่นนี้ เป็นเพราะมีภารกิจให้ศิษย์ไปทำใช่หรือไม่?” ซีเซียนเสวี่ยเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาสดใส บริสุทธิ์คู่นั้นมองไปที่คนตรงหน้าของนาง นัยน์ตาของเขาฉายแววเปล่งประกาย ยิ้มและพยักหน้า “เซียนเสวี่ยฉลาดจริงๆ รู้ว่าอาจารย์เรียกเจ้ามาเพราะมีเรื่องให้ทำ”

ซีเซียนเสวี่ยหลุบตาลง ยกสองมือมากุมไว้ที่ด้านหน้า หน้าอก เอ่ยกับเขาว่า “เชิญอาจารย์สั่งการมาได้”

การเคลื่อนไหวของนางทำให้ชุดกระโปรงบนร่างพลิ้วไหว ทำให้นางยิ่งดูมีเสน่ห์ดึงดูดขึ้นไปอีก ทำให้สายตาของอาจารย์นางลอบมืดมนลงอย่างอดไม่ไหว

ที่ดีเขาควบคุมได้ดีไม่ได้ให้ใครพบเห็น หลังจากเก็บอาการที่ถูกกระตุ้นโดยซีเซียนเสวี่ยไปแล้ว เขาถึงได้เอ่ยว่า “คืออย่างนี้ ข้าเพิ่งจะได้รับสารจากเทพเบื้องบน ให้พวกเราช่วยหาคนบางคน”

“หาคน?” ซีเซียนเสวี่ยเงยหน้าขึ้นอย่างสงสัย ท่าทางที่ดูมึนงงระคนแปลกใจนั้น ช่างทำให้คนอยากจะโอบนางเข้ามาไว้ในอ้อมอกจริงๆ

เขากลืนนํ้าลาย พยายามที่จะสงบใจลงมาเอ่ยว่า “ใช่แล้ว หาคน เทพเบื้องบนบอกว่าคนเหล่านั้นมีแซ่มู่ แต่ทว่า ในสารก็พูดไว้ว่าหากหาคนที่มีแซ่นั้นพบ ก็ให้ฆ่าคนที่มีความสามารถสูงที่สุดในหมู่คนนั้น”

“ฆ่าคน? เหตุใดจึงต้องฆ่าคนที่มีแซ่มู่ด้วย?” ซีเซียนเสวี่ยไม่เข้าใจความหมายในสารที่ดูแปลกประหลาดมาก

ในความทรงจำของนาง ทุกสารจากเทพที่ได้รับมาล้วนแต่ถามเกี่ยวกับกำลังความศรัทธาของผู้คน เหตุใดจึงได้ให้ตำหนักเทพไปฆ่าคนแซ่มู่ด้วยเล่า?

“นี่เป็นเจตจำนงของเทพเบื้องบน ส่วนที่ว่าเพื่ออะไรนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลใจ” อาจารย์ของนางตอบกลับมา

ร่างของซีเซียนเสวี่ยชะงัก เอ่ยว่า “เจ้าค่ะ อาจารย์”

เขาเดินเข้าใกล้นางไปอีกสองก้าว ระยะห่างเท่านี้ทำให้เขาสามารถได้กลิ่นหอมบนกายของนางได้ กลิ่นหอนนี้ ทำให้เขาหลงใหล และก็ยอมที่จะปล่อยตัวให้หลงใหลไปกับมัน

“ข้าได้สืบมาแล้วเล็กน้อย พบว่าภายในทุกภาคของโลกแห่งยุคกลางนั้น คนที่มีแซ่มู่นั้นมีน้อยมาก ในภาคตะวันออกมีตระกูลที่มีแซ่มู่อยู่ตระกูลหนึ่ง แต่ว่าก็ไม่ได้มีคนที่มีความสามารถสูงส่งอะไร แต่ว่า ก่อนหน้านี้ที่ภาคตะวันตกกลับมีอัจฉริยะที่มีแซ่มู่โผล่ออกมาคนหนึ่ง ทั้งไม่เคยอยู่ในสายตาของตำหนักเทพมาก่อน แต่กลับสามารถประลองอย่างเสมอกันกับอิ๋งเจ๋อและจีเหยาฮั่วได้หลังจากจบงานล่าสัตวัครั้งใหญ่แล้ว เขาก็จะเหมือนหายไปสักพักหนึ่ง แต่ว่าตอนนี้ข้าได้ส่งคนไปสืบแล้ว ในตอนนี้เขาอยู่ตระกูลซางในเมืองฝูซาภาคตะวันตก เจ้ารีบไปหาเขา”

หลังจากประโยคนี้จบไปก็ได้ดึงดูดความสนใจของซีเซียนเสวี่ย

“อิ๋งเจ๋อและจีเหยาฮั่ว พวกเขาล้วนแต่เป็นคนที่อยู่บนอันดับหนึ่งถึงห้าบนทำเนียบชิงอิง เป็นใครกันถึงกับสามารถประลองเสมอกับพวกเขาได้?” ซีเซียนเสวี่ยเอ่ยถาม

ช่วงเวลาก่อนหน้านี้นางเก็บตัวฝึกปรือ ดังนั้นจึงไม่รู้ข่าว

อาจารย์ของนางอธิบายว่า “คนผู้นี้มีที่มาลึกลับมาก แต่เมื่อตำหนักเทพทราบแล้วก็จะต้องสืบหาแน่นอน แต่ว่าเรื่องราวเหล่านี้เจ้าไม่ต้องสนใจ เรื่องที่ข้าต้องการให้เจ้าทำก็คือไปหาเขาแล้วฆ่าเสีย”

ซีเซียนเสวี่ยเม้มริมฝีปากแน่น นิ่งเงียบครู่หนึ่งถึงได้เอ่ยขึ้นมาว่า “ในเมื่อเขาสามารถประลองเสมอกับอิ๋งเจ๋อและจีเหยาฮั่วได้ เช่นนั้นข้าก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าจะสามารถฆ่าเขาได้”

“เจ้าวางใจได้ ข้าให้เจ้าไปฆ่าเขา ไม่ได้ให้เจ้าไม่สนใจชีวิตของตนเองเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ เจ้าไปลองเชิงรอบหนึ่ง หากสามารถฆ่าได้ก็จะดีที่สุด หากว่าฆ่าไม่ตายก็ให้ถอยกลับมา” อาจารย์ของนางเอ่ย

นี่ทำให้ซีเซียนเสวี่ยยิ่งสงสัย

อาจารย์ของนางมองท่าทีที่ดูสงสัยของนางแล้ว ก็โบกมือให้สาวใช้ทั้งหกถอยออกไป แล้วถึงได้ใช้เสียงเบาเอ่ยว่า “เซียนเสวี่ย เจ้าเป็นธิดาเทพ เป็นคนที่จะต้องสื่อสารกับเทพในอนาคต เจ้าต้องเข้าใจว่า ตำหนักเทพของพวกเรานั้นไม่ได้รับใช้เพียงเทพองค์ใดองค์หนึ่งเท่านั้น แต่เป็นรับใช้เผ่าเทพทั้งเผ่าบนแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร สารจากเทพฉบับนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นความแค้นส่วนตัวของเทพองค์ใดองค์หนึ่ง พวกเราเข้าไปยุ่ง หากสามารถทำได้ก็ทำ หากทำไม่ได้ก็อย่าได้ทุ่มเทมากจนเกินไป บนแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร ความสัมพันธ์ภายในเผ่าเทพนั้นซับช้อนมาก หากว่าพวกเราทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างจริงจังจนเกินไป เกรงว่าอาจจะทำให้เผ่าเทพอื่นๆ ไม่พอใจได้”

“ความหมายของอาจารย์ก็คือให้ข้าแสร้งทำ?” ซีเซียนเสวี่ยเอ่ย

“ก็ไม่เชิง หากเจ้าสามารถฆ่าเขาได้แน่นอนว่าดีที่สุด หากฆ่าไม่ตายก็สามารถนำสถานการณ์ของเขากลับมารายงานขึ้นไป ก็ถือเป็นผลงานใหญ่ชิ้นหนึ่ง สรุปแล้ว เจ้าไปก่อน รอเจ้ากลับมาแล้วค่อยตัดสินใจ”

ซีเซียนเสวี่ยหลุบตาลง คำนับลาอาจารย์

นางเข้าใจแล้วว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร

เมืองฝูซา ภาคตะวันตก นับตั้งแต่วันที่มู่ชิงเกอหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะออกมา ได้ชื่อเสียงของนางภายในตระกูลซางก็ดังกระฉ่อนไปทั่ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่นางใช้มือเปล่าเข้าต้านรับสายฟ้า เรื่องนี้เกรงว่านอกจากนางแล้วก็ไม่มีใครกล้าทำอีก

ส่วนตัวมู่ชิงเกอเองนั้น นับตั้งแต่ที่หลอมจูเสียออกมาแล้ว นางก็ยิ่งยุ่งมากขึ้น นางจะต้องหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะครบชุดให้แก่องครักษ์เขี้ยวมังกร จุดๆ นี้นางได้คิด และก็รอมานานแล้ว

ตามปกติแล้วครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ไม่มีใครได้เห็นหน้านางเลย

นางหากไม่ได้พูดคุยกับซางซุ่นหวางเรื่องวิชาหลอมศาสตราก็หลบอยู่ในช่องว่างหลอมศาสตรา

การหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะครบชุดให้แก่องครักษ์เขี้ยวมังกรนั้นไม่เหมือนกับการหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะให้เจียงหลี ยุทธภัณฑ์ของคนทั้งห้าร้อยคนจะต้องเป็นรูปแบบเดียวกัน ทั้งยุทธภัณฑ์ขององครักษ์เขี้ยวมังกรจะต้องมีความสามารถที่หลากหลาย เพื่อให้พวกเขาสามารถปรับตัวได้กับทุกๆ สถานการณ์

ภายในยุทธภัณฑ์ทั้งเซ็ต ที่ดีที่สุดก็คือชุดเกราะชั้นเทวะ!

วัสดุที่มู่ชิงเกอใช้ก็คือหนังของมังกรเกราะทมิฬที่ได้มาจากเทือกเขาซางหลาน แล้วก็รวมกับแร่ที่แข็งแกร่งส่วนหนึ่ง แล้วก็ดำเนินการหลอม

หนังของมังกรเกราะทมิฬนั้นเป็นสีดำสะท้อนแสงสีทอง วาววาวดูแข็งแกร่งมาก

มู่ชิงเกอใช้แร่ที่มีสีทองและสีแดงเลือดผสมเข้าไป ใช้มันวาดสัญลักษณ์ที่มีเฉพาะขององครักษ์เขี้ยวมังกร

ชุดเกราะชั้นเทวะชุดนี้ทั้งเบาทั้งแข็งแกร่ง คลุมส่วนสำคัญไว้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังดูองอาจกล้าหาญ งดงามมาก

ในตอนที่มู่ชิงเกอล้วงเอาชุดเกราะชั้นเทวะห้าร้อยชุดออกมานั้นก็ทำให้ทุกคนในเรือนเล็กตกตะลึงมาก

ไป๋สี่พูดล้อเล่นว่า “ยังดีที่เจ้าหลอมอยู่ในช่องว่าง มิเช่นนั้นแค่เพียงชุดเกราะชั้นเทวะห้าร้อยชุดนี้จุติออกมา เกรงว่าภายในเมืองฝูซานี้คงจะมีเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าทุกวันเป็นแน่”

มู่ชิงเกอก็ถอนหายใจ ยุทธภัณฑ์ของคนอื่นล้วนแต่หลอมออกมาทีละชิ้น แต่นางกลับหลอมออกมาเป็นชุด

เป็นการสร้างบาปหนักจริงๆ!

“ท่าทางที่ดูเจ็บใจเช่นนี้ของเจ้า หากว่าคนอื่นมองเห็น ไม่รู้ว่าจะแค้นจนอยากจะฉีกใบหน้านี้ของเจ้าหรือไม่!” เจียงหลียุแยง “เกรงว่าอาจารย์หลอมศาสตราชั้นเทวะส่วนมากทั้งชีวิตก็ล้วนแต่ไม่อาจจะหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะถึงห้าร้อยชิ้นออกมาได้”

มู่ชิงเกอขบริมฝีปากเบาๆ โบกมือเอ่ยว่า “นั่นเป็นเพราะว่าข้ามีชีวิตยากลำบาก ต้องทำงานหนักมาตลอดชีวิต เอาละ ไม่โต้เถียงกับพวกเจ้าแล้ว ข้ายังต้องไปหลอมศาสตราต่อ”

พูดแล้วนางก็หายตัวไปจากตรงหน้าของทุกคน ดีที่แต่ก่อนถึงแม้ว่านางจะหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะออกมาไม่ได้ แต่ก็เรียนรู้ศึกษาเกี่ยวกับมันมาเป็นเวลานาน

ไม่ว่าจะเป็นชุดเกราะ หรือว่ายุทโธปกรณ์ในการต่อสู้ ในใจของนางก็ล้วนแต่มีแผนการอยู่ในใจ

“องครักษ์เขี้ยวมังกรทุกคนนอกจากทุกคนจะมีกลีเนทลันเชอร์เแล้ว ก็ยังมีอาวุธสั้นและยาว มีดสั้นเอนกประสงค์ที่นักฆ่าขาดไม่ได้ทั้งยังสามารถรวมไว้กับอาวุธ ยาว ดาบรบเนปาล…” มู่ชิงเกอพึมพำกับตัวเอง ดูเหมือนกำลังท่องมนต์

มู่ชิงเกอเก็บตัวในครั้งนี้ก็ใช้เวลาถึงสิบวัน

นางกลับไม่รู้ว่า ภายในสิบวันนี้ มู่เฉินและมู่เผิงก็ได้กลับมาถึงเมืองฝูซาแล้ว นำคนในบังคับบัญชาทุกคน ทำตามคำสั่งของนางมารอรับคำสั่งอยู่ในเมืองฝูซา

ยังมีคนอีกกลุ่มที่มาเพื่อนาง และก็มาจากภาคกลางอันห่างไกล ผ่านทางประตูมิติ เข้ามาใกล้ภาคตะวันตกขึ้นเรื่อยๆ หลังจากเข้ามาในภาคตะวันตกแล้ว เมื่อไม่มี ประตูมิติก็ได้ขี่อสูรเวหาเดินทางมา

ภายในเรือนเล็กที่ห่างไกลในตระกูลซาง นับแต่มู่ชิงเกอเก็บตัวเป็นต้นมา ตอนเย็นก็ลดความคึกคักลงไปมาก ถึงแม้ว่าจะยังคงมีทุกคนนั่งรวมกันทานอาหารดื่มเหล้ากัน แต่ก็ไม่ได้ดูครึกครื้นมากดังเดิม

หลังจากที่ทุกคนทานอาหารเสร็จก็แยกไปทำเรื่องของตนเอง

ประตูห้องที่ถูกปิดเพราะนางเก็บตัว เมื่อเข้าสู่วันที่สิบก็ถูกเปิดออกมาอีกครั้ง

มู่ชิงเกอเดินออกมาจากห้อง ยืนอยู่ใต้แสงแดดบิดตัวไปมาอย่างเกียจคร้าน ในอ้อมแขนของนาง มีแหวนโผล่ขึ้นมาวงหนึ่งที่ใช้เก็บผลงานทั้งหมดที่นางลำบากลำบนทำออกมาภายในหนึ่งเดือนนี้

ชุดเกราะชั้นเทวะห้าร้อยชุด ยุทโธปกรณ์การต่อสู้ห้าร้อยชุด รวมถึงปืนไรเฟิลที่พวกเซวี่ยนขุยใช้ นางก็ได้หลอมออกมาไว้เสร็จหมดแล้ว เพิ่มขีดความสามารถให้แก่อุปกรณ์ทั้งหมด

นี่ทำให้กำลังการรบขององครักษ์เขี้ยวมังกร เปลี่ยนเป็นน่าหวาดกลัวขึ้นไปอีก และก็สามารถปกป้องตนเองได้ดียิ่งขึ้น!

หลังจากบิดเอวเสร็จแล้ว เนื้อตัวก็ค่อยรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาหน่อย จากนั้นมู่ชิงเกอถึงได้ร้องเรียกออกมา “ไป๋สี่”

เสียงของนางเพิ่งหลุดออกไป งูเล็กสีขาวตัวหนึ่งก็ตกลงมาบนไหล่ของนาง แลบลิ้นแผล็บๆ มาที่นาง

มู่ชิงเกอยกมือขึ้นคว้างูเล็ก แล้วก็ทิ้งลงไปที่พื้น

งูสีขาวตัวเล็กยังไม่ทันได้ตกถึงพื้น ก็กลายร่างเป็นสาวงามคนหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์แง่งอนพุ่งตัวเข้ามาพิงมู่ชิงเกอ “ชิงเกอ เหตุใดเจ้าจึงโหดร้ายกับข้าเช่นนี้?”

“ยืนดีๆ เข้าประเด็นหลัก” มู่ชิงเกอดึงมือของนางออก

“ประเด็นหลักอะไร เจ้าพูดมาข้าฟังอยู่” ไป๋สี่กลับยังคงทำตัวไร้กระดูกพิงมู่ชิงเกอต่อ

มู่ชิงเกอหมดทางเลือก ได้แต่พยุงนางไปที่เสาตรงหน้า ให้นางพิงกับเสา จากนั้นก็โยนแหวนให้นาง

ไป๋สี่ยกมือขึ้นรับ ใส่แหวนเข้าไปในนิ้วมือของตนเอง เล่นกับมันครู่หนึ่ง

“ภายในแหวนจัดเก็บนี้มีอุปกรณ์ที่ข้าหลอมให้องครักษ์เขี้ยวมังกรเก็บไว้อยู่ เจ้านำกลับไปมอบให้แก่มั่วหยาง อีกอย่างนอกจากอุปกรณ์เหล่านี้แล้ว ข้ายังหลอม ยุทธภัณฑ์ชั้นสมบัติส่วนหนึ่งแล้วก็ยังมียุทธภัณฑ์ชั้นเทวะที่มีความสามารถในการป้องกัน เจ้าก็เพียงแค่เอาให้มั่วหยาง บอกกับเขาว่าของที่เพิ่มมานี้จะเก็บไว้เฉยๆ หรือจะทำเป็นของรางวัลก็ได้ให้เขาตัดสินใจเองได้เลย” มู่ชิงเกอสั่งไป๋สี่

แม้ว่าบนใบหน้าของไป๋สี่จะมีเพียงรอยยิ้มขี้เล่น แต่ก็จดจำคำสั่งของมู่ชิงเกอไว้ในใจ

มู่ชิงเกอสอดสายตาไปบนร่างของนาง “หลังจากไปถึงลั่วซิงเฉิงแล้ว ให้เจ้าอยู่ที่นั่นชั่วคราว ดูสิว่ามีอะไรให้ช่วยบ้างไหม หากว่ามีใครกล้ามาก่อเรื่อง ก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ”

นางคิดครู่หนึ่งแล้วก็เอ่ยว่า “พาเซวี่ยนหย่าไปด้วย ความสามารถของนางเก็บไว้ที่ข้างกายข้าก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์เท่าที่ควร ตอนนี้ที่ลั่วซิงเฉิงกำลังต้องการคน นางไปที่นั่นก็จะพอดีได้ช่วยงาน”

“แต่ว่าน้องชายของนางก็อยู่ในลั่วซิงเฉิงนี่? เจ้าไม่กลัวว่าพวกเขาจะรวมตัวกันแล้วจะเกิดความคิดอะไรขึ้นมางั้นหรือ?” ไป๋สี่เอ่ยเตือน

มู่ชิงเกอกลับส่ายหน้า “หากว่าเป็นเซวี่ยนหย่าเมื่อก่อน ข้าก็จะกังวลใจเล็กน้อย แต่ว่านางในตอนนี้ก็ไม่จำเป็นจะต้องระแวงอะไรแล้ว อีกอย่างถึงแม้ว่านางจะมีความคิดเป็นอื่น เซวี่ยนขุยก็ไม่แน่ว่าจะไปทางเดียวกันกับนาง”

“เอาเถอะ เรื่องเดาใจคนนั้น เจ้าฉลาดกว่าข้ามาโดยตลอด”ไป๋สี่เอ่ย

มู่ชิงเกอกลับส่ายหน้ายิ้มๆ “เจ้าผิดแล้ว บนโลกนี้เรื่องที่เดายากที่สุดก็คือหัวใจคน อย่าพูดว่าข้าเลย แม้แต่จิตใจของตนเองข้าก็ยังมองไม่ทะลุ”

ไป๋สี่พยักหน้าอย่างเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง

มู่ชิงเกอก็ไม่ได้มีความคิดที่จะอธิบายให้นางฟัง เพียงแต่พูดต่อว่า “เมื่อไปถึงลั่วซิงเฉิงแล้ว ก็บอกให้โย่วเหอมาสักครั้ง นำรายงานล่าสุดมาด้วย ยังมีอีก ฝั่งทางเจียงหลีมีของบางอย่าง เจ้าก็นำมาด้วยมอบให้กับหยินเฉิน”

แต่ก่อน นางให้เจียงหลีไปคิดว่าจะสร้างเครือข่ายข่าวกรองของเขี้ยวมังกรขึ้นมาได้อย่างไร และก็ยังมีโรงประมูลของลั่วซิงเฉิง

หนึ่งเดือนผ่านไปแล้ว หากว่านางยังออกแบบอะไรออกมาไม่ได้ ก็เสียชื่อฮ่องเต้หญิงเจียงแล้ว

“รู้แล้ว ยังมีอะไรจะสั่งอีกไหม?” ไป๋สี่เอ่ยถามอย่างเกียจคร้าน

มู่ชิงเกอครุ่นคิดแล้วก็เอ่ยกับนางว่า “รอพวกมู่เฉินกลับมากันแล้ว เจ้าก็ออกเดินทางไปกับพวกเขาเลย”

“พวกเขามาถึงแล้ว รอเจ้ามาหลายวันแล้วด้วย” ไป๋สี่เอ่ย

มู่ชิงเกอชะงัก เอ่ยอย่างแปลกใจว่า “ถึงแล้วหรือ? เร็วขนาดนี้เชียว!”

ไป๋สี่กลอกตาขาวใส่นาง “เจ้าเก็บตัวหลอมศาสตราทั้งวัน แน่นอนจะต้องรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็ว” แต่นางก็ยัง เอ่ยขึ้นมาอย่างเป็นห่วงอีกว่า “หากว่าพวกเราไปแล้ว ข้างกายของเจ้าก็จะไม่มีคนมิใช่หรือ?”

แต่มู่ชิงเกอกลับเอ่ยอย่างไม่สนใจว่า “ตอนนี้ข้าอยู่ในตระกูลซาง และก็ไม่ได้มีเรื่องอะไร อีกอย่างหากว่ามีเรื่องอะไร ก็มีบรรดาผู้อาวุโสไท่ซ่างคอยปกป้องข้าอยู่?”

ตอนนี้ คนที่ไม่คาดหวังไม่ให้นางเกิดเรื่องมากที่สุดเกรงว่าน่าจะเป็นบรรดาผู้อาวุโสไท่ซ่างแล้ว

ไป๋สี่พยักหน้า เอ่ยถามว่า “ศิษย์พี่เหมยของเจ้าละ? ลั่วชิงเฉิงเกรงว่าน่าจะต้องการอาจารย์หลอมโอสถอย่างเขายิ่งกว่า”

มู่ชิงเกอครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วก็ส่ายหน้าเอ่ยว่า “สำหรับเรื่องเกี่ยวกับการอยู่หรือไปของศิษย์พี่เหมย ก็ต้องดูที่ตัวเขาเอง ข้าจะไม่เข้าไปยุ่ง”

“เข้าใจแล้ว” ไป๋สี่เข้าใจเรื่องราวไม่ไปซักไซ้ต่อ

“เอาละ ข้าจะไปหาพวกมู่เฉิน” มู่ชิงเกอสั่งการไป๋สี่เสร็จแล้ว ก็ออกไปจากตระกูลซางคนเดียว มุ่งหน้าไปทางที่พักของพวกมู่เฉิน

ตอนที่มู่ชิงเกอเห็นพวกมู่เฉินนั้นถึงได้รู้ว่าในเริ่มแรกตอนที่พวกเขาออกจากตระกูลซางนั้นมีทั้งหมดสามร้อยคน สามร้อยคนนี้นอกจากมู่เฉินและมู่เผิงแล้ว ล้วนแต่มีระดับพลังที่ระดับสีเงินขึ้นไป

เรื่องนี้สำหรับมู่ชิงเกอแล้วก็เป็นความมั่งคั่งที่หาได้ยากยิ่งก้อนหนึ่ง!

มองดูคนเหล่านี้แล้ว ในใจของมู่ชิงเกอก็ตกตะลึง แต่เพียงแค่คิดก็รู้ว่า ภายในโลกแห่งยุคกลางถึงแม้ตระกูลมู่จะเจียมเนี้อเก็บตัวมาโดยตลอดแต่ก็ได้ลอบเพาะเลี้ยง ขุมกำลังที่ร้ายกาจถึงขนาดนี้ไว้อยู่ คนเหล่านี้ถึงแม้ว่าจะอยู่เพียงระดับสีเงินชั้นหนึ่ง หรือชั้นสองเท่านั้น แต่ว่าหากนับเฉพาะพลังฝึกปรือของแต่ละคนก็ถือได้ว่าเหนือกว่าองครักษ์เขี้ยวมังกรของนางแล้ว

เป็นถึงเจ้านายคนใหม่ แน่นอนว่ามู่ชิงเกอต้องนำของฝากมาฝาก

ส่วนของฝากของนางก็คือนางใช้วัสดุที่เหลือจากการหลอมอุปกรณ์ให้องครักษ์เขี้ยวมังกร หลอมยุทธภัณฑ์ออกมาบางส่วน

ยุทธภัณฑ์เหล่านี้ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ชั้นเทวะแต่ก็เป็นชั้นกึ่งเทวะแล้ว

“วันนี้วุ่นวายมาก ข้าก็ไม่ได้เตรียมตัวอะไร ยุทธภัณฑ์เหล่านี้พวกเจ้าก็เอาไปก่อน ต่อไปข้าค่อยจะหลอมอุปกรณ์ที่ดีกว่านี้ให้แก่พวกเจ้า” มู่ชิงเกอเอ่ยรับรอง

มู่เฉินมองยุทธภัณฑ์ที่อยู่ตรงหน้า ก็ดีใจมาก! เขาสามารถสร้างองครักษ์ที่โดดเด่นออกมาได้ แต่ไม่สามารถหลอมยุทธภัณฑ์ที่ดีเช่นนี้ออกมาได้ ไม่เพียงแต่เขาที่ตื่นเต้น มู่เผิงแล้วก็ยังมีคนอีกสามร้อยคนที่เหลือก็ตื่นเต้นมากเช่นเดียวกัน พากันคุกเข่าลงขอบคุณ

มู่ชิงเกอโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ เรียกมู่เฉินไปอีกทาง “ในเมื่อพวกเจ้ามาได้หลายวันแล้ว เช่นนั้นก็อย่าได้ชักช้าอีกเลย พรุ่งนี้เช้า พวกเจ้าก็เดินทางกับไป๋สี่ไปลั่วซิงเฉิงก่อน ถึงที่นั้นแล้ว มั่วหยางก็จะจัดการให้พวกเจ้า ส่วนเรื่องการเตรียมการบางอย่าง รอให้ข้ามีเวลาไปถึงลั่วซิงเฉิงแล้วค่อยว่ากัน ถ้าหากว่าทางราชครูมีความคืบหน้า ข้าก็จะส่งข่าวไปให้เจ้า ให้เจ้ามาเพื่อช่วยเหลือ”

“ขอรับ นายน้อย!” มู่เฉินรับคำสั่ง

หลังจากที่พวกมู่เฉินออกไปจากที่พักแล้ว มู่ชิงเกอก็คิดคำนวณในใจ ใช้โอกาสวันนี้หลอมยาระดับเทวะที่จะช่วยทะลวงระดับให้องครักษ์เขี้ยวมังกร ใช้อุปกรณ์ที่ได้รับการเสริมระดับแล้ว ระดับพลังก็ไม่อาจจะตํ่ากว่าได้

เมื่อกลับไปถึงตระกูลซาง เพิ่งจะถึงประตูใหญ่ ด้านหลังของนางก็มีเสียงของผู้หญิงดังขึ้น

“ขอถามคุณชายว่าเป็นคนของตระกูลซางหรือไม่?”

มู่ชิงเกอหยุดเท้าที่กำลังจะก้าวขึ้นบันได หันกลับไปมองก็พบเห็นหญิงสาวรูปร่างหน้าตางดงามแต่งชุดสาวใช้อยู่คนหนึ่ง จากการแต่งกายของนางแลดูสง่างาม บนใบหน้าถูกคลุมไว้ด้วยผ้าคลุมหน้าโปร่ง ดูเหมือนว่าจะใช้เพื่อบังทรายในเมืองฝูซา

“ข้าไม่ใช่คนของตระกูลซาง” มู่ชิงเกอเอ่ยตอบ

“เอ?” นัยน์ตาของสาวใช้คนนั้นฉายแววผิดหวังออกมา แต่ก็ยังถามว่า “ถึงแม้คุณชายจะไม่ใช่คนของตระกูลซาง แต่ในเมื่อสามารถเข้าไปในตระกูลซางได้ คิดว่าคงมีความสัมพันธ์กับตระกูลซาง ไม่ทราบว่าเคยได้ยินชื่อคุณ ชายที่มีแซ่มู่หรือไม่?”

แซ่มู่?

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ เอ่ยถามว่า “เจ้ามาเพื่อคุณชายมู่อย่างนั้นหรือ?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!