Skip to content

พลิกปฐพี 292

ตอนที่ 292

เกี้ยวธิดาเทพโดยไม่ได้ตั้งใจ!

เรือนเล็กอันเงียบสงบ บนเก้าอี้โยกใต้ต้นไม้

มู่ชิงเกอนั่งอยู่ว่างๆ ดวงตาหรี่ปรือ ท่าทางดูเกียจคร้าน ในมือของนางถือเทียบเชิญงามประณีตอยู่ใบหนึ่ง นางพัดไปมา บนนั้นมีอักษรที่งดงามแวบไปแวบมาปรากฎอยู่

เจียงหลีกลับมาจากด้านนอก มองเห็นฉากนี้พอดี นางเลิกคิ้วขึ้น เดินไปหามู่ชิงเกอที่อยู่ใต้ต้นไม้ เอ่ยว่า “ได้ยินมาว่าเจ้าออกจากการเก็บตัววันนี้ ออกไปเดินเล่น อย่างไรถึงได้กลับมาด้วยสภาพที่เหนื่อยล้าเช่นนี้?”

มู่ชิงเกอยิ้มบางๆ ดวงตาหรี่ปรือมองมายังนาง

“มองอะไร?” เจียงหลีที่ถูกนางมองมาอย่างกะทันหันก็ ทำตัวไม่ถูกลูบๆ แก้มของตนเอง

มู่ชิงเกอยิ้มเอ่ยว่า “ไม่เจอกันหลายวัน ฮ่องเต้หญิงดูงดงามขึ้นมาก ทำให้คนใจสนได้จริงๆ!”

เจียงหลีถูกคำพูดของนางทำให้อารมณ์ดีขึ้น เดินไปข้างกายนาง พาเรือนร่างอันทรงเสน่ห์นั่งลงไปบนตักของนาง เลิกคิ้วถามว่า “ในที่สุดสายตาของคุณชายก็มองเห็นความงามของข้าแล้วหรือ? ข้ายังคิดว่าในสายตาของเจ้าจะมีเพียงแต่ท่านผู้นั้นเสียอีก”

พูดจบนางก็ยื่นมือออกไปคว้าเทียบเชิญในมือของมู่ชิงเกอแล้วกระโดด ขึ้นมาจากตักของนาง

เทียบเชิญถูกแย่งไป มู่ชิงเกอก็ไม่ได้โมโห ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้โยก โยกเบาๆ

เจียงหลีเปิดเทียบเชิญ กวาดตามองเนื้อหาด้านในอย่างรวดเร็ว เงยหน้าขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามว่า “ซีเซียนเสวี่ยผู้นี้มีที่มาอย่างไรกัน? หากข้าจำไม่ผิด นางเป็นคนที่อยู่อันดับที่ห้าบนทำเนียบชิงอิง คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลซีผู้นี้มาโผล่อยู่ที่เมืองฝูซาอย่างกะทันหันได้อย่างไร แล้วยังท้าเจ้าไปประลองอีก? แล้วเทียบเชิญนี้เจ้าได้มาอย่างไร?”

ในที่สุดมู่ชิงเกอก็ลืมตาขึ้น นัยน์ตาฉายแววขี้เล่น “เมื่อครู่ข้ากลับมาจากข้างนอก เจอสาวใช้ที่หน้าตางดงามคนหนึ่งอยู่หน้าประตูใหญ่ รบกวนให้ข้านำเทียบเชิญนี้มามอบให้แก่คุณชายมู่”

เจียงหลีกะพริบตา หัวเราะออกมาในทันที “เจ้าแกล้งหลอกคนมางั้นหรือ?”

มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างไร้เดียงสาว่า “ไม่ถือว่าเป็นการแกล้ง นางถามเพียงว่าข้าใช่คนของตระกูลซางหรือไม่ แล้วก็เคยได้ยินถึงคุณชายที่มีแซ่มู่หรือไม่ ไม่ได้ถามว่าข้านั้นคือคุณชายมู่ที่นางพูดถึงหรือเปล่า!”

นางแบมือ ออกอย่างจนใจ

“ชิ!” เจียงหลีกลอกตาขาวใส่นาง ขี้เกียจจะโต้เถียง

นางรู้ว่ามู่ชิงเกอกำลังมีเวลาว่างทำเรื่องเหล่านี้ เพราะว่านางหลอมยุทธภัณฑ์สำเร็จแล้ว งานใหญ่ในใจได้สำเร็จไปชิ้นหนึ่ง

นางถอนหายใจแล้วก็เขย่าเทียบเชิญในมือ “ซีเซียนเสวี่ย นี่ก็ถือว่าช่างเลือกเวลาดีจริงๆ มาหาตอนที่เจ้าเพิ่งจะออกมาจากการเก็บตัวพอดี ระหว่างเจ้ากับนางมีบุญ คุณความแค้นอะไรกัน?”

มู่ชิงเกอแสดงท่าทางไร้เดียงสา “ข้าเพียงแต่รู้ว่าเป็นคุณหนูของตระกูลซีแห่งภาคกลาง เป็นธิดาเทพแห่งตำหนักเทพ ทั้งยังเป็นอันดับที่ห้าบนทำเนียบชิงอิง นอกจากนี้ ก็ไม่รู้อะไรอีก และก็ไม่เคยเกี่ยวข้องอะไรกัน ที่นางมาหาอย่างนี้ ทั้งยังส่งเทียบมาท้าประลอง ข้าก็รู้สึกไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน”

“ธิดาเทพ? คืออะไรกัน?” เจียงหลีชะงัก เอ่ยออกมา

มู่ชิงเกอมองนาง หัวเราะขึ้นมาครู่หนึ่ง “ธิดาเทพคืออะไร ใช่แล้ว นี่ก็เป็นคำถามที่สมควรจะศึกษา พูดกันว่าภายในตำหนักเทพนั้นมีสถานะพิเศษซึ่งดูเหมือนว่าจะสามารถสื่อสารกับเหล่าบรรดาเผ่าเทพบนแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารได้”

“ร้ายกาจขนาดนั้นเชียว!” ดวงตาทั้งคู่ของเจียงหลีสว่างวาบ

คำว่าร้ายกาจที่นางพูดออกมา ในความเป็นจริงที่เผยออกมาก็คือสนใจอยากรู้เกี่ยวกับความสามารถของธิดาเทพในการสื่อสารกับเผ่าเทพ

“ข้าก็เพียงแต่ได้ยินมา” มู่ชิงเกอรีบเอ่ย นางคิดว่า ถ้าหากตนเองไม่พูดอะไรบ้าง เกรงว่าเจียงหลีอาจจะมีความคิดแปลกๆ ออกมา

เดาไม่ผิด หลังจากเสียงของนางเพิ่งหลุดออกไป เจียงหลีก็พูดอย่างสนอกสนใจว่า “ไม่สู้พวกเราลักพาตัวนางมา สอบสวนสักหน่อยว่านางติดต่อกับเผ่าเทพอย่างไร? จะได้ถามว่าแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารนั้นอยู่ไหนแล้วก็ไปอย่างไร?”

มู่ชิงเกอชะงัก ยิ้มอย่างขมขื่นแล้วเอ่ยว่า “ข้าคิดว่าตัวข้าเองนั้นใจกล้ามากพอแล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเมื่อเทียบกับเจ้าแล้ว ความกล้าเล็กน้อยของข้านี้ไม่อาจเทียบเจ้าได้เลย ฮ่องเต้หญิง ผู้น้อยในตอนนี้นั้นปีกยังไม่กล้าแข็งพอ ยังไม่อยากจะยั่วให้ถูกทั้งตำหนักเทพไล่ล่าสังหารหรอกนะ”

ล้อเล่นอะไรกัน ลักพาตัวธิดาเทพ? นางรู้สึกว่าตนเองอยู่มานานเกินไปแล้วงั้นหรือ?

ตำหนักเทพมีความเกี่ยวข้องกับแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารอย่างแยกไม่ออก ทั้งยังสามารถยืนหยัดอยู่ในโลกแห่งยุคกลางมานานนับแสนปี จะต่อกรง่ายๆ ได้อย่าง ไร?

“ข้าก็พูดไปงั้นๆ เอง เจ้ากลัวอะไร?” เจียงหลีเอ่ย

ท่าทีของนางนั้นทำให้มู่ชิงเกออดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าหากว่ามีโอกาส นางจะต้องทำให้ความคิดที่ใจกล้าก่อนหน้านี้ของนางเป็นจริงขึ้นมาอย่างแน่นอน

“กลับเข้าเรื่อง เจ้าคิดจะต่อกรกับธิดาเทพซีผู้นี้อย่างไร?” เจียงหลีวางเทียบเชิญในมือลงบนโต๊ะข้างเก้าอี้โยก เอ่ยถามอย่างจริงจัง

มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว เอ่ยด้วยท่าทีที่สงบว่า “ในเมื่อเทียบเชิญก็ได้มาถึงมือของข้าแล้ว ก็ต้องไปสักครั้ง เห็นตัวคนแล้วถึงจะรู้ว่าเหตุใดนางถึงได้ส่งเทียบเชิญนี้มา”

“ดูแล้ว เจ้าได้ตัดสินใจจะไปตามคำเชิญแล้วใช่หรือไม่?” เจียงหลีเอ่ยถาม

มู่ชิงเกอพยักหน้า ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้โยก บิดๆ เอว หันคอไปเอ่ยว่า “เก็บตัวหลอมศาสตรามาตั้งนาน ก็ถึงเวลาที่จะขยับตัวขยับกระดูกเสียบ้าง ในเมื่อมีถึงอันดับที่ห้าแห่งทำเนียบชิงอิงมาเป็นคู่ซ้อมให้ แล้วข้าจะไม่ไปเพื่ออะไร?”

“เจ้าช่างมั่นใจจริงๆ คิดว่าตนเองจะชนะแน่แล้วงั้นหรือ? บนเทียบเชิญนี้บอกว่าให้ใช้กำลังเต็มที่ ไม่ได้เข้ากับวิธีของเจ้าที่สามกระบวนท่าไม่แพ้หรือทำให้นางบาดเจ็บภายในสามร้อยกระบวนท่านะ” เจียงหลีเอ่ยเตือน

แต่มู่ชิงเกอกลับเอ่ยอย่างมั่นใจว่า “สู้ได้หรือไม่ สู้แล้วถึงจะรู้”

“เวลาก็คือเช้าตรู่พรุ่งนี้ เจ้าฉวยโอกาสฝึกฝนสักหน่อยเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะไปกับเจ้า” เจียงหลีเอ่ยอย่างเป็นห่วง

มู่ชิงเกอกลับส่ายหน้าเอ่ยว่า “ถึงจะพูดกันว่าลับอาวุธก่อนการต่อสู้ถึงไม่เร็วก็จะเปล่งประกาย แต่ว่าในตอนนี้ห่างจากเวลาต่อสู้เพียงแค่ไม่ถึงสิบสองชั้วยาม ข้าจะ ฝึกปรืออย่างไรก็ไม่สามารถทะลวงถึงระดับสีเงินชั้นสี่ได้อยู่ดี ไม่สู้ผ่อนคลายเสียหน่อย”

“ระดับพลังของธิดาเทพซีผู้นั้นน่าจะถึงระดับสีเงินชั้นสี่แล้วกระมัง?” เจียงหลีเอ่ยอย่างเคร่งขรึม

มู่ชิงเกอพยักหน้า “พูดกันว่าห้าอันดับแรกบนทำเนียบชิงอิงล้วนแต่อยู่ระดับสีเงินชั้นสี่ขึ้นไป ธิดาเทพซีผู้นี้รั้งอยู่อันดับห้า ถึงแม้ว่าจะไม่ถึงระดับสีเงินชั้นสี่ก็น่าจะห่างไม่มากแล้ว”

“เช่นนั้นเจ้ายังจะไม่สนใจอีกหรือ?” เจียงหลีขมวดคิ้ว

หากว่าเป็นตัวนางเองพบเจอกับเรื่องเช่นนี้บางทีอาจจะไม่ได้เป็นกังวล แต่ตอนนี้เป็นมู่ชิงเกอ เพื่อนรักของนาง นางกลับไม่สามารถกดความเป็นห่วงนางลงไปได้

“วางใจเถอะ คลื่นลมอะไรก็ข้าผ่านมาได้แล้ว จะมาพลิกกลับลำเรือต่อหน้าธิดาเทพแค่คนเดียวได้อย่างไร?” มู่ชิงเกอเอ่ยปลอบ

“เทพอสรพิษน้อย เจ้าก็อย่าได้กังวลใจเกินไปเลย คู่มือของชิงเกอ ตลอดมาก็ล้วนแต่มีระดับพลังสูงกว่านางทั้งนั้น แต่ว่าผลลัพธ์สุดท้ายก็ไม่ใช่ว่าถูกชิงเกอจัดการ หมด? กำลังการรบของนางนั้นไม่สามารถใช้ระดับพลังมาวัดได้” ไป๋สี่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน เอ่ยออกมาอย่างเกียจคร้าน

นางกับเจียงหลีนั้นไม่เหมือนกัน ตัวนางนั้นเชื่อใจมู่ชิงเกอมาก ไม่ได้เป็นกังวลกับการนัดประลองในวันพรุ่งนี้ของนางเลยสักนิด

ทางกลับกันจากที่นางมองธิดาเทพอะไรนั้นอย่าได้พูดว่ามีระดับพลังอยู่ระดับสีเงินชั้นสี่เลย ถึงแม้ว่าจะเป็นสีเงินชั้นห้า ก็ไม่ใช่คู่มือของมู่ชิงเกอ

ระดับพลังแสดงถึงพลังจิตที่มีอยู่และที่สามารถใช้ได้ ถึงแม้ว่าระดับพลังฝึกปรือของมู่ชิงเกอจะด้อยกว่านางเล็กน้อย แต่ในด้านพลังป้องกัน แรงของพลังโจมตี ทั้งยังมีความดุดันของกระบวนท่าก็ห่างไกลกับคนธรรมดาทั่วไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางยังมีเล่ห์เหลี่ยมที่สามารถใช้ได้อีกมากมายไม่สิ้นสุด?

“อย่าเรียกช้าว่าเทพอสรพิษน้อยนะ!” เจียงหลีพูดด้วยสีหน้าทีดำทะมึน

ไป๋สี่กลับไม่สนใจ

มู่ชิงเกอฉวยโอกาสเอ่ยว่า “ใช่แล้ว พรุ่งนี้ไป๋สี่ก็ต้องไปแล้ว ทั้งยังต้องพาเซวี่ยนหย่าไปด้วย วันนี้ทุกคนก็มาจัดงานเลี้ยงอำลากัน! ตอนเย็นกินอะไรกันดี?”

เพียงพูดถึงเรื่องกิน ไม่เพียงแต่นัยน์ตาของไป๋สี่เปล่งประกายขึ้นมา แม้แต่หยวน

หยวนก็กระโดดออกมา

เจียงหลีมองหยวนหยวนอย่างแปลกใจ พึมพำว่า “ช่วงนี้ไม่ใช่ว่าเจ้ามักจะไปเล่นอยู่กับเจ้าเด็กมู่อี้เฉินทั้งวันมิใช่หรือ? มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

หยวนหยวนยังไม่ทันได้พูด คนที่ออกมาจากด้านหลังของหยวนหยวนก็ยิ้มหวาน หากไม่ใช่มู่อี้เฉินแล้วจะเป็นใครได้อีก?

มู่ชิงเกอกวาดตามองเขา พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “คืนนี้ พวกเจ้าอยากกินอะไรก็ไปพูดกับเสวี่ยหยา ข้าจะไปหาศิษย์พี่เหมยก่อน”

“ลูกพี่ คืนนี้สามารถให้เสวี่ยอู่มาด้วยได้หรือไม่?” ก่อนที่มู่ชิงเกอจะจากไป มู่อี้เฉินก็ถามขึ้นในทันที

มู่ชิงเกอหันหน้ามามองเขา เห็นท่าทางที่ดูทำตัวไม่ถูกของเขาแล้ว ก็หัวเราะเบาๆ เอ่ยว่า “แน่นอนว่านางไม่ได้มีใบหน้าที่หนาเช่นเจ้า ที่ทุกคืนไม่เชิญก็มา”

มู่อี้เฉินงงเล็กน้อย แต่ก็เข้าใจในความหมายของมู่ชิงเกอในทันที พูดอย่างตื่นเต้นว่า “เช่นนั้นข้าจะไปเรียกนางเดี๋ยวนี้!”

เขาไม่กล้าพูดถึงมารดาต่อหน้ามู่ชิงเกอ กลัวว่าจะทำให้ลูกพี่โมโห

แต่ว่าคนส่วนมากที่กินข้าวร่วมกันในตอนเย็นล้วนแต่เป็นคนหนุ่มสาว คิดแล้วว่าถึงมารดามาก็คงจะไม่คุ้นเคย มู่อี้เฉินเอ่ยกับตนเองในใจ รีบไปหามู่เสวี่ยอู่

มู่ชิงเกอยังไม่ทันได้ไปไกล ก็ได้ยินหยวนหยวนร้องตะโกนเสียงดังว่า “วันนี้ข้าอยากกินหม้อไฟ แล้วก็เนื้อย่าง”

หัวเราะอย่างไร้เสียงแล้ว มู่ชิงเกอก็เดินไปทางห้องของเหมยจื่อจ้ง

“เข้ามา” เสียงเคาะประตูเพิ่งจะดังขึ้น ก็มีเสียงของเหมยจื่อจ้งดังออกมาจากด้านในห้อง

มู่ชิงเกอผลักประตูเข้าไป ก็มองเห็นชายคนหนึ่งนั่งอยู่ในห้องภายใต้แสงไฟ

“ศิษย์พี่เหมย” มู่ชิงเกอร้องเรียก

เหมยจื่อจ้งเผยรอยยิ้มที่อ่อนโยนและเป็นมิตรแก่มู่ชิงเกอ พยักหน้าให้นาง “ชิงเกอมาหาข้ามีเรื่องอะไรงั้นหรือ?”

มู่ชิงเกอพยักหน้า เดินไปถึงด้านหน้าของเขาแล้วนั่งลง สายตาของนางตกไปอยู่ที่ขวดยาหลายขวดบนโต๊ะ กลิ่นหอมจางๆ ของยา ทำให้นางรู้ว่าด้านในนั้นบรรจุอะไร

เหมยจื่อจ้งยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ยาเหล่านี้เป็นยาที่ช่วยฟื้นฟูร่างกาย ใช้มันแล้ว ร่างกายของฮูหยินก็จะหายดีเป็นปกติ”

มู่ชิงเกอพยักหน้า เอ่ยออกไปประโยคหนึ่งว่า “รบกวนศิษย์พี่แล้ว”

“ชิงเกอกับข้าจะต้องเกรงใจไปทำไม? หลอมยาแต่เดิมก็เป็นความถนัดของข้าอยู่แล้ว” เหมยจื่อจ้งยิ้มแล้วเอ่ยออกมา

มู่ชิงเกอถอนสายตากลับ เอ่ยกับเหมยจื่อจ้งว่า “ที่ข้ามาหาในวันนี้ก็เพื่อคุยเรื่องบางอย่างกับท่าน”

“ชิงเกอ เชิญเอ่ย” เหมยจื่อจ้งพูด

หว่างคิ้วก็เกิดร่องรอยของความจริงจังขึ้น มู่ชิงเกอเกริ่นเล็กน้อยถึงพูดว่า “คืออย่างนี้ พรุ่งนี้ไป๋สี่กับพวกมู่เฉินแล้วก็ยังมีเซวี่ยนหย่าจะกลับไปยังลั่วซิงเฉิง ด้วยกัน ลั่วซิงเฉิงนั้นเป็นเมืองของข้า ศิษย์พี่ก็ทราบ ทางฝั่งนั้นกำลังซ่อมแซมเมือง มีหลายอย่างที่ต้องทำให้เสร็จ ไม่ทราบว่าศิษย์พี่อยากจะไปชมดูหรือไม่? แน่นอนว่า หากไม่อยากไป ข้าก็จะไม่ฝืน ศิษย์พี่ยังคงสามารถอยู่ที่นี่ต่อได้ หรือจะไปที่ที่อยากไปก็ได้”

เหมยจื่อจ้งฟังมู่ชิงเกอพูดจบแล้ว ก็ไม่ได้ตอบในทันที นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง

มู่ชิงเกอก็ไม่ได้เร่ง

ครู่หนึ่ง เหมยจื่อจ้งถึงได้เงยหน้าขึ้นมา มองไปที่นางแล้วเอ่ยว่า “ข้าจะทำตามที่เจ้าจัดการ”

มู่ชิงเกอหัวเราะขึ้นมา นางส่ายหน้าเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ ท่านไม่ใช่ลูกน้องของข้า ไม่จำเป็นต้องฟังคำสั่งของข้า ที่ข้ามาก็เพียงแค่เพื่อพูดคุยกับท่าน ไม่ได้มีความคิดที่จะบังคับ ท่านอยากจะไปก็ไปหรือไม่อยากจะไปก็ได้”

เหมยจื่อจ้งมองนาง มองเงาร่างของตนเองที่สะท้อนอยู่ในดวงตาที่สดใสของนาง “ข้าอยากจะอยู่กับชิงเกอ แต่ก็คิดว่าบางทีลั่วซิงเฉิงอาจจะต้องการข้ามากกว่า ดังนั้น ข้ายินยอมไปลั่วซิงเฉิง” เพราะว่าที่นั้นเป็นเมืองของชิงเกอ ข้าอยากจะช่วยปกปักษ์มันแทนเจ้า

คำพูดของเขาทำให้มู่ชิงเกอชะงัก ความรู้สึกแปลกๆ บางอย่างเกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสองในทันใด

นางยิ้มๆ ยืนขึ้นแล้วก็เอ่ยกับเหมยจื่อจ้งว่า “ในเมื่อศิษย์พี่ตัดสินใจแล้ว เช่นนั้นก็เตรียมของเถอะ พรุ่งนี้ออกเดินทางพร้อมกันกับพวกไป๋สี่”

“ได้” เหมยจื่อจ้งพยักหน้า

มู่ชิงเกอรีบถอยออกมาจากห้องของเหมยจื่อจ้ง กำลังคิดจะถอนหายใจก็มองเห็นท่าทางยิ้มเยาะของเจียงหลีเข้าก่อน ทั้งยังส่งสายตามาให้นางอีก จากนั้นทั้งสองคนถึงได้จากไปด้วยกัน

นางกลับไม่รู้เลยว่า ภายในห้อง เหมยจื่อจ้งจ้องมองแผ่นหลังของนางที่จากไปไม่วางตา

“เป็นอย่างไรถึงได้ดูทุลักทุเลถึงขนาดนี้?” เจียงหลียิ้มเยาะ

ท่าทางที่ดูมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นนั้น เห็นได้ชัดว่ารู้ดีทุกอย่าง แล้วก็มาเยาะเย้ยมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอไอออกมาเบาๆ พึมพำว่า “ข้ารู้สึกว่าวันนี้ศิษย์พี่เหมยดูแปลกๆ”

คำพูดที่พูดเหมือนมีความนัยน์ เจียงหลีหัวเราะขึ้นมา “เจ้าอย่ามาแกล้งโง่ หรือว่าเจ้ามองไม่ออกว่าเจ้าคนเฉื่อยชานั่นชอบเจ้า?”

“อย่าพูดจาเหลวไหล!” มู่ชิงเกอตกตะลึงจนหน้าถอดสี ศิษย์พี่เหมยชอบนางงั้นหรือ? เหตุใดนางจึงไม่เคยรู้มาก่อน? เพียงแต่คิดว่าคำพูดของเขาในวันนี้ดูแปลกๆ ก็เท่านั้น

เจียงหลีมองนางแล้วส่ายหน้าอย่างหมดคำจะพูด “คนหนึ่งงี่เง่า อีกคนโง่เง่า พวกเจ้าทั้งสองคนดูๆ แล้วก็ถือว่ามีโชคแต่เสียดายไร้วาสนาต่อกัน อีกอย่างตอนนี้เจ้าก็มีท่านเทพผู้หนึ่งเฝ้าอยู่ด้วย”

“มีโชคแต่ไร้วาสนาอะไร เจ้าอย่าพูดมั่วๆ” มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว

เจียงหลีถอนหายใจเอ่ยว่า “ดีที่ศิษย์พี่เหมยของเจ้าคนนี้นั้นรู้จักขอบเขต แม้ว่าในใจจะชอบเจ้าแต่ก็ไม่เคยแสดงออก รอคอยอยู่เคียงข้างเจ้าอย่างเงียบๆ ทำเฉพาะ เรื่องที่สามารถทำได้เพื่อแบ่งเบาภาระของเจ้า”

มู่ชิงเกอยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้น “หากเจ้าพูดเช่นนี้ต่อไปอีก นับจากนี้ข้าก็ไม่รู้จะไปเผชิญหน้ากับเขาอย่างไรแล้ว”

“มีอะไรไม่รู้อีก ก็ทำอย่างที่เคยเป็น สมควรทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น อีกอย่างเขาก็รู้อยู่แล้วว่าหัวใจของเจ้ามีเจ้าของ และก็รู้ว่าเจ้ามองเขาในฐานะศิษย์พี่เท่านั้น ไม่ทำอะไรอื่นหรอก” เจียงหลียักไหล่เอ่ยออกมา

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วไม่พูดจา

เจียงหลีถอนหายใจเอ่ยว่า “ที่จริงแล้ว ข้าก็ชื่นชมคนที่ยอมเสียสละเช่นนี้ บางที อาจจะมีสักวันที่มีผู้หญิงที่โดดเด่นปรากฎตัวออกมา ทำให้เขาสามารถถอนหัวใจที่ถลำลึกต่อเจ้าคืนมาได้”

มู่ชิงเกอนิ่งเงียบ

ครู่หนึ่งนางถึงได้ถอนหายใจออกมา “ดูแล้ว ไปเมืองลั่วซิงเฉิงนั้นเป็นทางเลือกที่ดี”

เหมยจื่อจ้งนั้นไม่เหมือนกับหานฉายไฉ่ ฝ่ายหลังนั้นแสดงความรู้สึกต่อนาง ทั้งยังแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ดังนั้นนางจึงสามารถบอกปฏิเสธไปตรงๆ ได้ แต่ฝ่ายหน้าละ? เก็บงำความรู้สึกทุกอย่างไว้ในใจ ทั้งยังเข้าใจว่าเป็นไปไม่ได้ อารมณ์ที่คอยเสียสละอยู่เงียบๆ เช่นนี้เป็นสิ่งที่พูดให้เข้าใจได้ยากที่สุด

“ข้าจำได้ว่า จูหลิงเหมือนจะชอบศิษย์พี่เหมยมาโดยตลอด” อยู่ดีๆ มู่ชิงเกอก็พึมพำออกมา

แต่เมื่อเจียงหลีได้ยินถึงประโยคนี้ก็เอ่ยในทันทีว่า “จูหลิง? พอเถอะ หากว่าเป็นไปได้พวกเขาทั้งสองคนก็คงอยู่ด้วยกันไปนานแล้ว”

“ก็ใช่” มู่ชิงเกอพยักหน้า

สรุปแล้ว นางก็ไม่อาจจะผลักผู้หญิงไปให้เหมยจื่อจ้ง เพื่อให้เขาสามารถตัดความรู้สึกที่มีต่อนางได้ เช่นนั้นก็ทำได้แต่เพียงมั่นคงตามความรู้สึก ไม่ยอมให้เขาได้มีโอกาสคิดเป็นอื่น

อีกอย่าง อาศัยความฉลาดของเหมยจื่อจ้ง ก็น่าจะเข้าใจดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั้นเป็นได้แค่เพียงศิษย์ร่วมสำนักเท่านั้น ไม่สามารถเป็นอะไรอื่นได้!

สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็พ่นลมออกมา มู่ชิงเกอส่ายๆ หัว เอ่ยกับเจียงหลีว่า “มีแต่เรื่องไร้สาระมาวุ่นวาย!”

เมื่อก่อนนางยังรู้สึกว่ามู่สวี่ยอู่มีความรู้สึกดีให้กับเหมยจื่อจ้งอยู่เลย อย่างไรมาตอนนี้กลับกลายเป็นเหมยจื่อจ้งชอบนางไปได้?

แต่ว่า นางก็จะไม่ไปยุ่งกับเรื่องความรู้สึกของเหมยจื่อจ้ง และก็จะไม่เข้าไปยุ่งกับความคิดของมู่เสวี่ยอู่ ทั้งสองคนมีวาสนาต่อกันหรือไม่ก็ดูที่โชคชะตาฟ้าลิขิตก็ แล้วกัน!

“ไปเถอะ กลับกัน” มู่ชิงเกอเงยหน้ามองฟ้าแล้วก็สะบัดแขนเสื้อเอ่ยกับเจียงหลี

พอตกดึก ภายในเรือนเล็กก็กลับคืนสู่ความครึกครื้นอีกครั้ง

สำหรับการประลองของมู่ชิงเกอในวันที่สองนั้น คนที่รู้ก็ทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนคนที่ไม่รู้ก็ยังคงไม่รู้ต่อไป

หม้อไฟบนโต๊ะเดือดปุดอยู่ตลอดเวลา ด้านข้างยังมีเตาย่างเนื้อวางเอาไว้ทุกคนกินกันอย่างสนุกสนาน ดื่มเหล้าหมดกันไปหลายไห

หลังจากดื่มเหล้าไปครึ่งหนึ่ง อยู่ดีๆ เหมยจื่อจ้งก็เรียกมู่เสวี่ยอู่ไปอีกทาง

มู่เสวี่ยอู่ดื่มเหล้าเข้าไปนิดหน่อย ก็ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ดึงดูด เมื่อถูกเหมยจื่อจ้งเรียกไปอีกทางอย่างกะทันหัน ในใจรู้สึกวุ่นวายสับสน สองแก้มก็เหมือนกับถูกไฟเผา

“แม่นางเสวี่ยอู่ ยาเหล่านี้เป็นยาฟื้นฟูร่างกายที่เหลือ เจ้าให้ฮูหยินใช้ตามวันเวลา หลังจากกินยาหมดแล้วนางก็จะหายดี แน่นอนว่า ทุกๆ วันเจ้ายังคงต้องกำชับดูแลให้นางฝึกปรือ ร่างกายแข็งแรงดีกว่ากินยาดีหลายเท่า” เหมยจื่อจ้งเอาขวดยาหลายขวดในมือยื่นให้กับมู่เสวี่ยอู่

มู่เสวี่ยอู่ชะงัก ยื่นมือออกไปรับขวดยา ไม่รู้ว่าเหตุใด คำพูดของเหมยจื่อจ้งถึงได้ทำให้นางรู้สึกหดหู่ แก้มก็ไม่เหมือนกับถูกไฟเผาเช่นก่อนหน้า

“อาจารย์เหมยนี่คือ…” มู่เสวี่ยอู่รู้สึกแปลกใจที่อยู่ๆ เหมยจื่อจ้งมอบยาทั้งหมดแก่นาง

เหมยจื่อจ้งยิ้มแล้วเอ่ยว่า “พรุ่งนี้ข้าจะต้องจากไปแล้ว ดีที่ร่างกายของฮูหยินไม่ได้มีอาการที่ร้ายแรงแล้ว”

“อาจารย์เหมยจะไปแล้วหรือ?” มู่เสวี่ยอู่เอ่ยอย่างตกตะลึง

เหมยจื่อจ้งพยักหน้า “ใช่แล้ว รบกวนอยู่ในตระกูลซางมาตั้งนาน ตอนนี้ก็ไม่มีเรื่องอะไร ข้าก็สมควรไปได้แล้ว”

เขาไม่ได้พูดให้ชัดเจนว่าตนเองจะไปไหน เหตุผลที่สำคัญก็คือเพราะเป็นกังวลว่าทางมู่ชิงเกอจะไม่อยากให้คนรู้เรื่องลั่วซิงเฉิงมากเกินไป

“พี่สาวของข้า…ลูกพี่รู้เรื่องหรือไม่?” มู่เสวี่ยอู่เอ่ยถาม

เหมยจื่อจ้งพยักหน้า

คำตอบนี้ก็ยิ่งทำให้ในใจของมู่เสวี่ยอู่หดหู่มากยิ่งขึ้น มือของนางกำขวดยาแน่น ก้มหน้าลง กัดริมฝีปากล่าง ครู่หนึ่งถึงได้เอ่ยว่า “พี่ใหญ่เหมยจะกลับมาที่ตระกูลซางอีกหรือไม่?”

ภายในภาวะมึนงง ได้เปลี่ยนคำเรียก ไม่เรียกเหมยจื่อจ้งว่าอาจารย์อีก แต่เปลี่ยนเป็นพี่ใหญ่ คำที่เปลี่ยนไปเพียงนิดเดียวกลับแสดงถึงความคิดของนางที่แตกต่างไป

แต่เหมยจื่อจ้งกลับไม่ได้สนใจจุดๆ นี้ เพียงแต่เอ่ยตอบว่า “หากต่อไปมีโอกาสก็จะมา ไม่ใช่ว่าชิงเกอก็จะยังคงอยู่ในตระกูลซางไปสักระยะหนึ่งนี่ใช่ไหม?”

ในใจของมู่เสวี่ยอู่รู้สึกชาวาบ แม้นางจะรู้ว่าตนเองไม่ใช่เหตุผลที่เหมยจื่อจ้งจะมาตระกูลซางอีก แต่ในใจกลับไม่ได้เกิดความไม่พอใจแต่อย่างไร นางเงยหน้าขึ้นเผยรอยยิ้มให้กับเหมยจื่อจ้ง “เช่นนั้นก็ดี ไม่ว่าพี่ใหญ่เหมยจะมาตระกูลซางเมื่อไหร่ เสวี่ยอู่ก็จะคอยต้อนรับอยู่เสมอ”

เหมยจื่อจ้งยิ้มพยักหน้าแล้วหันกายจากไป

ความสง่างามของเขา ตกอยู่ในสายตาของมู่เสวี่ยอู่ และทำให้นางปวดใจขึ้นหลายส่วน

วันที่สอง ภายในเรือนเล็ก ทุกคนยังไม่ทันตื่น

ไป๋สี่นำเหมยจื่อจ้งแล้วก็ยังมีเซวี่ยนหย่าไปรวมตัวกับพวกมู่เฉิน มู่ชิงเกอไปส่งพวกเขา และแล้วกลุ่มคนก็ค่อยมุ่งเดินทางไปลั่วซิงเฉิง

หลังจากส่งพวกเขาไปแล้ว มู่ชิงเกอก็ไม่ได้ย้อนกลับไปตระกูลซาง แต่ไปยังสถานที่ประลอง

สถานที่ที่ซีเซียนเสวี่ยนัดนางไปนั้นเป็นป่าต้นปรงนอกเมืองฝูซาไปทางทิศเหนือห้าสิบลี้ ป่าต้นปรงเป็นบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองฝูซา

ต้นปรงไม่ออกดอก

ป่าต้นปรงนอกเมืองฝูซา หากมองจากระยะไกลก็จะดู เหมือนเป็นต้นสายของแม่นํ้าสีดำ ต้นปรงของที่นี่มีต้นสีดำตลอดต้น เหมือนดงเหล็กแข็ง มีทั้งก้านและกิ่ง แต่กลับไม่มีใบและดอก

ใต้ต้นปรง ถูกปกคลุมไปด้วยทราย เมื่อลมแรงพัดผ่าน ก็จะพัดพาเอาทรายละเอียดลอยม้วนขึ้นไปบนอากาศ

ในตอนนี้ภายในป่าต้นปรง มีหญิงสาวงดงามอยู่สามคน

พวกนางล้วนแล้วแต่สวมชุดกระโปรงผ้าโปร่ง ดูงดงาม สองคนในนั้นสวมชุดกระโปรงธรรมดามีสีชมพูแซมระหว่างกระโปรง ดูสดใสมีชีวิตชีวา เพิ่มความสวยงามให้แก่ป่าต้นปรง พวกนางล้วนแต่ปิดหน้าด้วยผ้าโปร่งแสง เผยให้เห็นเพียงดวงตา

ทั้งสองคนเฝ้าอยู่ใต้ต้นไม้ คอยระมัดระวังรอบด้าน

ส่วนบนต้นปรงที่พวกนางเฝ้าอยู่นั้น ก็มีหญิงสาวสวมชุดสีขาวหิมะนั่งอยู่คนหนึ่ง ถึงแม้ว่ารูปโฉมของนางจะถูกบดบังไว้ด้วยผ้าคลุม แต่ก็ยากที่จะเก็บงำความงดงามของนางเอาไว้ได้

เพียงแค่มองเห็นท่วงท่าที่สง่างามมีเสน่ห์และน่าดึงดูดใจของนาง ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนหลงใหลหัวใจสั่นไหว

นางนั่งอยู่บนกิ่งไม้ในมือถือกระบี่ที่ยังไม่ได้ออกจากฝักเล่มหนึ่ง กระบี่เล่มนั้นเปล่งแสงสดใส เพียงแค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ยุทธภัณฑ์ชั้นตํ่าอย่างน้อยก็ต้องเป็นชั้นเทวะ

เพียงแต่นางถืออาวุธโดยตรงไม่ใช่การจำแลงของยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะ จุดๆ นี้ก็ทำให้คนสนใจแล้ว

“อู่เอ๋อร์ตอนนี้กี่ยามแล้ว” ซีเซียนเสวี่ยค่อยๆ เอ่ยปาก

นํ้าเสียงดูน่าฟังมาก สาวใช้คนหนึ่งใต้ต้นไม้เงยหน้าเอ่ยว่า “เรียนธิดาเทพ ถึง เวลาที่นัดหมายแล้ว แต่กลับไม่เห็นคนๆ นั้น คงไม่ใช่ว่ากลัวที่จะประลองกับธิดาเทพ จึงหนีไปแล้วหรอกกระมัง?”

การคาดเดาของนางทำให้ซีเซียนเสวี่ยส่ายหน้า “หากว่าเขาเป็นคนขี้ขลาดแล้ว ข้าก็คงไม่จำเป็นต้องมา”

“เช่นนั้นแล้วเหตุใดจึงไม่มา?” อู่เอ๋อร์เอ่ยอย่างไม่เข้าใจ

ทันใดนั้น ลิ่วเอ๋อร์ก็ยกมือชี้นิ้วออกไปเอ่ยอย่างตกใจว่า “รีบดูทางนั้นเร็ว มีคนเดินมา!”

คำพูดของนาง ดึงดูดความสนใจของซีเซียนเสวี่ยและอู่เอ๋อร์

พวกนางมองไปทางที่ลิ่วเอ๋อร์ชี้พร้อมกัน แล้วก็มองเห็นว่าภายในสีดำของป่าต้นปรงนั้น มีคนสวมชุดสีแดงกำลังเดินมา

ห่างออกไปไกลเกินไป พวกนางจึงมองเห็นเพียงโครงร่าง แต่กลับรู้สึกว่าคนๆ นั้นเดินมาอย่างผ่อนคลาย จังหวะที่ก้าวเดินมาดูไม่เหมือนท่าทางที่จะมาพบศึกใหญ่เลย

‘ใช่เขาหรือไม่?’ ซีเซียนเสวี่ยขมวดคิ้วขึ้น ในใจสงสัย

ท่าทางที่ดูผ่อนคลายของคนที่มา ทำให้นางไม่กล้ายืนยันสถานะ

“เอ?” ทันใดนั้น อู่เอ๋อร์ก็แปลกใจเล็กน้อย ขยี้ตาของตนเอง แล้วก็เงยหน้าเอ่ยกับซีเซียนเสวี่ยที่อยู่บนต้นไม้ว่า “ธิดาเทพ คนๆ นั้นดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่ข้าพบที่นอกประตูใหญ่ตระกูลซางเมื่อวานคนนั้น”

นัยน์ตาของซีเซียนเสวี่ยฉายแวววาววาบ เอ่ยถามว่า “อู่เอ๋อร์เจ้าแน่ใจงั้นหรือ?”

อู๋เอ๋อร์พยักหน้า “ถึงแม้ว่าจะไกลไปบ้าง มองเห็นไม่ชัดเจน แต่ว่าท่าทางนั้นกลับดูเหมือนกันมาก เมื่อวานข้ายังพูดถึงกับลิ่วเอ๋อร์อยู่เลยว่าข้าได้พบกับคุณชายที่หน้าตางดงามอยู่ผู้หนึ่งที่ทางเข้าตระกูลซาง เป็นเขาที่ช่วยข้าเอาเทียบเชิญส่งเข้าไปในตระกูลซาง”

“ไอ้หยา! อู๋เอ๋อร์ทึ่ม ในเมื่อเป็นเขาที่รับเอาเทียบเชิญ ทั้งวันนี้ก็มาปรากฎตัวที่นี่ ดูแล้วเขาก็คือคนที่พวกเราต้องการหาคนนั้น!”

คำพูดของสาวใช้ทั้งสอง ซีเซียนเสวี่ยไม่ได้ฟังแล้ว นางเพียงแต่มองไปยังมู่ชิงเกอ เงาสีแดงดุจเลือดค่อยๆ ชัดเจนขึ้นในสายตาของนาง ในตอนที่มองเห็นรูปโฉมของมู่ชิงเกอชัดเจนนั้น นางก็อดไม่ได้ที่จะลอบสูดลมหายใจเข้าในใจ นัยน์ตาฉายแววตกตะลึง นางไม่เคยพบเห็นผู้ชายที่งดงามขนาดนี้มาก่อน ความงดงามนี้เพียงพอแล้วที่จะทำให้ทั้งชายและหญิงตกหลุมรัก

อีกอย่าง เขาไม่เพียงแต่หล่อเหลา แม้แต่อารมณ์บนใบหน้าก็ยังทำให้คนยากที่จะลืมเลือน ง่ายดายมากที่จะทำให้รู้สึกลุ่มหลง

ซีเซียนเสวี่ยปิดตาลงแน่น แล้วตอนที่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาของนางก็กลับคืนสู่ความสดใส ไม่มีร่องรอยของความตกตะลึงหลงเหลืออยู่อีก

“คนที่อยู่บนต้นไม้คือธิดาเทพซีใช่หรือไม่? มู่ชิงเกออยู่ที่นี่แล้ว” มู่ชิงเกอเดินอย่างผ่อนคลายมาตลอดทาง แน่นอนว่าได้มองเห็นคนทั้งสามที่ทั้งอยู่บนและอยู่ล่างต้นไม้ต้นนี้มานานแล้ว

“เจ้าเป็นมู่ชิงเกอจริงๆ! เช่นนั้นเหตุใดเมื่อวานเจ้าถึงได้หลอกข้า!” ซีเซียนเสวี่ยยังไม่ทันได้พูด อู่เอ๋อร์ก็สร้างความลำบากให้ก่อนแล้ว

มู่ชิงเกอมองนางแล้วยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นงดงามชวนลุ่มหลง “แม่นางท่านนี้กล่าวหนักไปแล้ว แม่นางเคยถามข้าแล้วหรือว่าข้านั้นใช่หรือไม่ใช่มู่ชิงเกอ แล้วจะหาว่าข้าหลอกลวงได้อย่างไร? อีกอย่างจุดมุ่งหมายของแม่นางก็คือมอบหนังสือท้าประลองให้แก่มู่ชิงเกอ ตอนนี้ข้าก็ได้มาแล้ว ภารกิจของแม่นางก็ถือว่าได้สำเร็จลุล่วงแล้ว”

“เจ้า เจ้า…” อู่เอ๋อร์ถูกคำพูดของเขาทำให้พูดไม่ออก ไม่พอใจเป็นอย่างมาก

ทันใดนั้น บนต้นไม้ก็มพลังจิตที่แข็งแกร่งสายหนึ่งตกลงมา

มู่ชิงเกอเงยหน้ามองขึ้นไป ก็เห็นซีเซียนเสวี่ยพลิกตัวลงมาจากต้นไม้ ดุจดั่งนางเซียนที่กำลังลอยพลิ้วตัวลงมาจากท้องฟ้า พลังจิตสีเงินพุ่งมาจากรอบด้าน มู่ชิงเกอหันกายหลบ ในตอนที่เคลื่อนสายตามองกลับมานั้น ซีเซียนเสวี่ยก็ได้ยืนอยู่ตรงหน้าของนางแล้ว ส่วนสาวใช้ทั้งสองคนก็ยืนอยู่ด้านหลังของซีเซียนเสวี่ย

มู่ชิงเกอมองไปยังซีเซียนเสวี่ยก็เห็นนัยน์ตาที่ดูเย็นชาดุจนํ้า ฝ่ายหลังชักกระบี่เทวะออกมา เสียงดังกังวานไปทั่วป่าต้นปรง

กระบี่อันแหลมคมชี้ไปทางมู่ชิงเกอ ซีเซียนเสวี่ยเอ่ยเสียงเรียบว่า “เริ่มเถอะ”

“ช้าก่อน” มู่ชิงเกอเอ่ยปาก “อยากจะต่อสู้นั้นได้ แต่อย่างน้อยเจ้าก็ต้องบอกข้าก่อนว่าเหตุใดต้องมาต่อสู้กับข้าด้วย?”

แต่ว่าซีเซียนเสวี่ยกลับเอ่ยเสียงเรียบว่า “ชนะก่อนแล้วค่อยพูด หากว่าเจ้าแพ้ คนตายก็ไม่จำเป็นต้องรู้ หากว่าเจ้าชนะถึงจะได้รู้คำตอบ”

มู่ชิงเกอหรี่ตาลง หัวเราะอย่างขบขันขึ้นมา “พูดเช่นนี้ก็แปลว่าการต่อสู้ในครั้งนี้จะต้องมีคนตายคนหนึ่งงั้นหรือ?”

“ไม่ผิด” ซีเซียนเสวี่ยพยักหน้า

สิ้นเสียง สองเท้าของนางก็ออกจากพื้น ร่างงดงามพุ่งเข้าไปหามู่ชิงเกอ

กระบี่ในมือของนาง ชี้ตรงไปที่คอของมู่ชิงเกอ หากว่าไม่หลบก็สามารถแทงลำคอได้ในกระบี่เดียว

พูดว่าสู้ก็ลงมือเลย ความง่ายและตรงไปตรงมาเช่นนี้ทำให้มู่ชิงเกอเลิกคิ้วสูงขึ้น หลบกระบวนท่านี้ไปอย่างสบายๆ พริบตาเดียวมู่ชิงเกอก็ไปอยู่ที่ด้านหลังของซีเซียนเสวี่ย

สองเท้าของซีเซียนเสวี่ยถีบไปที่บนลำต้นของต้นปรง เปลี่ยนทิศทางพุ่งไปยังมู่ชิงเกออีกครั้ง

มู่ชิงเกอใช้ท่าก้าวดาราก่อกำเนิด หลบไปมาท่ามกลางป่า สองมือไพล่ไว้ด้านหลังอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้โจมตีกลับ

นับตั้งแต่ทั้งสองเริ่มต่อสู้มา สาวใช้ทั้งสองของซีเซียนเสวี่ยก็ถอยไปอยู่ยังที่ไกลออกไป ไม่ได้เข้ามายุ่งกับการต่อสู้ระหว่างพวกนางทั้งสองคน และก็คอยระวังไม่ให้คนอื่นบุกเข้ามารบกวนคนทั้งสอง

กระโปรงของซีเซียนเสวี่ยพลิ้วลอย เปลี่ยนท่าร่างอยู่ตลอด แต่ก็ไม่สามารถจะเข้าใกล้มู่ชิงเกอที่ใช้ท่าก้าวดาราก่อกำเนิดได้

ทั้งสองคนประลองกันมาหลายสิบกระบวนท่า ในที่สุดซีเซียนเสวี่ยก็หยุดลง วาดกระบี่ออกไปเอ่ยถามว่า “เหตุใดเจ้าถึงไม่ลงมือโจมตีกลับ? คงไม่ใช่ว่าดูถูกข้า กระมัง?”

มู่ชิงเกอส่ายหน้า นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าอันดับห้าบนทำเนียบชิงอิงของซีเซียนเสวี่ยนี่มาได้อย่างไร

แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะซีเซียนเสวี่ยไม่แข็งแกร่ง แต่เป็นเพราะการเคลื่อนไหวของนาง ที่มู่ชิงเกอมองว่ามันดูหวือหวาเกินไป สวยงามนั้นสวยงามแต่ไม่ค่อยมีประโยชน์ เสียโอกาสในการทำลายการป้องกันของนางอยู่หลายครั้ง เทียบกับพวกอิ๋งเจ๋อและจีเหยาฮั่วไม่ได้เลย นางส่ายหน้าอย่างผิดหวัง ทำให้นัยน์ตาของซีเซียนเสวี่ย ฉายแววดุดัน นางชูกระบี่ขึ้น เข้าโจมตีมู่ชิงเกออีกครั้ง

ครั้งนี้ดูเหมือนว่านางโกรธเข้าแล้วจริงๆ มาพร้อมกับพลังกดดัน พลังจิตอันแข็งแกร่งพุ่งเข้ามายังสถานที่ที่มู่ชิงเกอยืนอยู่

มู่ชิงเกอไถลหลบการโจมตี บนบริเวณที่นางเคยยืนอยู่ปรากฎรอยลึกสายหนึ่ง นางหลบการโจมตีของซีเซียนเสวี่ย มือขวาที่ไพล่อยู่ด้านหลังในที่สุดก็ถูกเอาออกมา ใช้นิ้วออกแรงดีดไปที่กระบี่ของซีเซียนเสวี่ย

กำลังที่ดีดนิ้วทำให้ซีเซียนเสวี่ยลอยออกไป ส่วนนางกลับใช้พลังจิตพลิกตัวกลับมาจากบนอากาศ แทงเข้ามาใส่มู่ชิงเกออีกครั้ง

กระบวนท่าของนางยังคงดูหวือหวาเช่นดั่งก่อน แต่กลับเปลี่ยนเป็นดุดันและพลิกแพลงขึ้นในที่สุดก็ดึงดูดความสนใจของมู่ชิงเกอได้

ในที่สุด มู่ชิงเกอก็ยื่นมือขวาเปล่าออกมา มือขวาเกิดแสงวาบขึ้น ทวนหลิงหลงถูกนางกำไว้ในมือ ชูขึ้นบนฟ้า สกัดกั้นกระบี่ของซีเซียนเสวี่ย

ซีเซียนเสวี่ยออกกระบวนท่าหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีวิธีที่จะเข้าใกล้มู่ชิงเกอได้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะเอาชีวิตเขา นัยน์ตาของนางเปลี่ยนเป็นเฉียบคมขึ้น เม้มริมฝีปากแน่น กระบี่เทวะในมือก็มีการเปลี่ยนแปลงในทันใด ตัวกระบี่ที่แหลมคม ดูเหมือนเปลี่ยนเป็นสายนํ้าไหลอย่างฉับพลัน เหมือนเป็นกระแสนํ้าเชี่ยวกรากที่พุ่งมาทางมู่ชิงเกอ

รอบกายของซีเซียนเสวี่ยดูเหมือนกับเกิดคลื่นยักษ์ สายนํ้าที่ดูบ้าคลั่งนั้นกู่ร้องเข้ามาใส่มู่ชิงเกอ

“นี่มันรากวิญญาณนํ้าโดยกำเนิด!” ในใจของมู่ชิงเกอเกิดความตกตะลึง นางแปลกใจอยู่บ้างว่าศาสตราของซีเซียนเสวี่ยถึงกับสามารถเข้ากันได้พอดีกับราก

วิญญาณนํ้าโดยกำเนิดของนาง ซือมั่วเคยพูดไว้ว่าธิดาเทพของตระกูลซีนั้นเป็นรากวิญญาณน้ำโดยกำเนิด แต่เดิมนางคิดว่ารากวิญญาณน้ำนั้นก็จะเหมือนกับผู้มี พลังพิเศษนํ้าที่นางเคยเห็นในชาติก่อน ที่สร้างดาบน้ำ โล่น้ำหรือว่ามีความสามารถทางการรักษา

กลับคิดไม่ถึงว่า วันนี้เมื่อเห็นซีเซียนเสวี่ย นางกลับสามารถสร้างฉากที่ยิ่งใหญ่ถึงขนาดนี้ได้!

ภายในพริบตา ตรงหน้าของมู่ชิงเกอก็ถูกกระแสนํ้าที่โถมกระหนํ่าเหล่านั้นคลุมเอาไว้ ตัวนางเหมือนว่าอยู่ในใจกลางกระแสนํ้าวน พลังกายและพลังจิตในร่างก็เหมือนกับถูกดูดลงไปในนํ้าวน เปลี่ยนเป็นเชื่องช้าลง

นางกุมทวนหลิงหลง ดิ้นรนต่อต้านกระแสนํ้าวนที่คิดจะดูดพลังของนาง และก็สังเกตเห็นว่าสายนํ้าทั้งหมดของซีเซียนเสวี่ยนั้นล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามด้ามกระบี่ที่อยู่ในมือนาง

ในความเป็นจริง คลื่นยักษ์เหล่านี้ดูเหมือนว่าจะเป็นการกลายร่างของกระบี่ที่นางเคยถือเอาไว้เล่มนั้น

การค้นพบนี้ทำให้นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ สองมือกุมทวนหลิงหลง ใช้กระบวนท่าทวนดูดวิญญาณออกไปอย่างไร้ปราณี โจมตีพุ่งไปยังซีเซียนเสวี่ย

ทวนดูดวิญญาณไปพร้อมกับพลังกดดันที่บดขยี้ทุกอย่าง พลังนี้กดดันบรรดาคลื่นยักษ์เหล่านั้นลงได้สำเร็จ ส่วนมู่ชิงเกอกลับเหมือนกับได้นำกองทัพทหารนับพันนับหมื่น พุ่งเข้าใส่ซีเซียนเสวี่ย มู่ชิงเกอทำลายการโจมตีได้ทำให้ซีเซียนเสวี่ยตกตะลึง จากนั้นเงาร่างของมู่ชิงเกอก็เข้ามาใกล้นางอย่างรวดเร็ว มาพร้อมกับแรงกดดันที่ทำให้นางหลีกหนีไม่พัน

เคร้ง!

เสียงโลหะปะทะกันอย่างรุนแรง

ซีเซียนเสวี่ยรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ข้อมือ ด้ามกระบี่ที่กำอยู่ในมือหลุดลอยออกจากมือไป

ด้ามกระบี่หลุดออกจากมือ บรรดาคลื่นยักษ์บ้าคลั่งก็หายไปในพริบตา ตัวกระบี่ก็ปรากฎอยู่บนด้ามกระบี่อีกครั้ง

ซีเซียนเสวี่ยตกตะลึง ยื่นมือออกไปคิดจะไปจับกระบี่เทวะของตนเอง

แต่ว่าในตอนที่มือของนางกำลังจะสัมผัสถึงด้ามกระบี่นั้น ปลายทวนสีเงินก็แทงเข้ามา ปะทะเข้ากับส่วนล่างของด้ามกระบี่ ทำให้มันลอยสูงขึ้นไปอีกครั้งขึ้นไปในอากาศ

ซีเซียนเสวี่ยคว้าได้มือเปล่า สายตาที่มองไปยังมู่ชิงเกอฉายแววร้อนใจ

สองฝั่งสู้กัน อาวุธหลุดมือก็คืออันตราย!

นางหลบการโจมตีของมู่ชิงเกอ แล้วก็ไปคว้ากระบี่ของตนเองอีกครั้ง แต่ว่า ในทุกๆครั้งที่นางจะสัมผัสโดน มู่ชิงเกอก็ดูเหมือนกับว่าจงใจ แทงทวนออกมาหลากหลายมุม ทำให้กระบี่เทวะลอยสูงขึ้น ทำให้นางพบแต่ความว่างเปล่า

การต่อสู้ในครั้งนี้ซีเซียนเสวี่ยยิ่งสู้ยิ่งร้อนใจ ส่วนมู่ชิงเกอกลับยิ่งต่อสู้ยิ่งคุ้นมือ

การประลองเป็นตายในครั้งนี้กลับถูกมู่ชิงเกอจงใจทำให้เหมือนเป็นการหยอกเย้าธิดาเทพเล่นอย่างนั้น

สาวใช้ทั้งสองคนของซีเซียนเสวี่ยยืนมองการต่อสู้ของทั้งสองคนจากที่ไกลๆ มองเห็นอาวุธของธิดาเทพหลุดมือ กระบี่ที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์สถานะของนางนั้นก็ทำได้เพียงแต่ลอยไปลอยมากลางอากาศไม่หยุด ส่วนตัวนาง ก็ทำได้เพียงแต่ใช้มือเปล่าเข้าสู้กับมู่ชิงเกอ นี่ทำให้พวกนางล้วนแต่ร้อนใจมาก

เคร้ง!

มู่ชิงเกอใช้ทวนหลิงหลงทำให้กระบี่เทวะลอยขึ้นไปอีกครั้ง ยิ้มให้ซีเซียนเสวี่ยอย่างขี้เล่น

ในที่สุดนัยน์ตาของซีเซียนเสวี่ยก็เกิดอารมณ์โมโหขึ้น นางไม่สนใจความปลอดภัยของตนเอง ใช้มือเปล่าเข้าสู้ กับมู่ชิงเกอ

นางยื่นมือออกมา ก็ถูกมู่ชิงเกอจับข้อมือไว้ได้อย่างง่ายดาย

หากเป็นการต่อสู้ระยะประชิดนั้น มู่ชิงเกอไม่เคยกลัวใคร!

ซีเซียนเสวี่ยถูกจับมืออย่างกะทันหัน ทำให้นางโกรธแค้นมากแต่ก็ไร้ประโยชน์

ตอนนี้กระบี่เทวะก็ตกลงมาอีกครั้ง มู่ชิงเกอใช้มือเดียวตวัดทวนออกไป โจมตีเข้าที่ตัวกระบี่เทวะตรงๆ ทำให้มันปลิวลอยออกไป ตกเข้าไปภายในป่าต้นปรง แล้วมู่ชิงเกอก็ยกทวนหลิงหลงขึ้นและออกแรงปักมันไว้กับพื้น ทิ้งอาวุธของตนเองเช่นเดียวกัน เข้าต่อสู้ระยะประชิดกับซีเซียนเสวี่ย คนทั้งสองที่ไม่มีอาวุธดูเหมือนว่าจะกลับสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง

แต่หลังจากที่ซีเซียนเสวี่ยประมือกับมู่ชิงเกอแล้ว ถึงได้พบว่า คนผู้นี้ต่อสู้ระยะประชิดได้ดุดันและลํ้าลึกยิ่งกว่า!

‘พลาดแล้ว!’ ใบหน้าด้านหลังผ้าคลุมของซีเซียนเสวี่ยเผยร่องรอยของความตกตะลึง อีกทั้งมู่ชิงเกอก็ไม่ได้สนใจเลยว่านางเป็นผู้หญิง ไม่ได้มีการหลีกเลี่ยงเลยสักนิด แต่กลับทำให้นางต้องคอยหลบหลีกจุดอ่อนไหวอย่างทุลักทุเล ซีเซียนเสวี่ยยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งรู้สึกทั้งอับอายทั้งโมโห เพียงแต่ว่านางมีนิสัยดื้อรั้น ไม่ยินยอมที่จะพูดออกไป เพียงแต่ลงมือโจมตีกลับอย่างดุดันกว่าเดิม คิดอยากจะสั่งสอนมู่ชิงเกอให้หนัก

แต่นางกลับไม่รู้ว่ามู่ชิงเกอไม่ได้ตระหนักถึงจุดที่ว่านางเป็นผู้หญิงเลย พูดให้ชัดเจนก็คือ ตัวมู่ชิงเกอเองก็เป็นผู้หญิงแล้วจะต้องมีอะไรต้องหลบเลี่ยงกันอีก?

การต่อสู้ระยะประชิด เป็นการต่อสู้ที่โจมตีเข้าจุดสำคัญโดยตรง โจมตีเข้าที่จุดอ่อนอย่างรุนแรง

ตอนที่ต่อสู้กับผู้ชาย ล้วนแต่ใช้การต่อสู้ที่มีลูกเล่นแพรวพราว เช่นการตัดขา หรือโจมตีเข้าจุดกลางลำตัวเหล่านี้เป็นต้น แล้วนี่คือต่อสู้กับผู้หญิง?

ซีเซียนเสวี่ยยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งมีข้อจำกัด ส่วนมู่ชิงเกอกลับยิ่งต่อสู้ยิ่งเปิดกว้างพลิกแพลง

ทุกกระบวนท่าที่ต่อสู้ล้วนแต่เป็นซีเซียนเสวี่ยที่ต้องล่าถอย

“อา!” ทันใดนั้น ซีเซียนเสวี่ยก็รู้สึกว่าตรงหน้าอกมีเงาดำโจมตีเข้ามา นางร้องขึ้นอย่างตกใจ ถอยไปด้านหลัง ภายใต้ความรีบร้อนทำให้เท้าลื่น ทั้งตัวคนร่วงลงสู่พื้น ในตอนที่นางคิดว่าตนเองจะต้องล้มลงไปบนพื้นแล้ว นางก็สัมผัสได้ว่าช่วง เอวของตนเองรู้สึกแน่นขึ้น

นางเงยหน้าขึ้นไปมอง กลับเห็นว่ามู่ชิงเกอกำลังคว้าจับอยู่ที่สายคาดเอวของนาง ดึงนางเอาไว้ไม่ให้ล้มลง

ส่วนเอวของผู้หญิงเป็นส่วนที่อ่อนไหว ไหนเลยจะให้ผู้ชายสัมผัสได้ง่ายๆ?

ซีเซียนเสวี่ยทั้งอับอายและโมโห เอ่ยว่า “เจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!”

มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยอย่างขบขันว่า “สาวงามเช่นเจ้า หากว่าตกลงไปแล้วเกิดว่าใบหน้าเป็นรอยขึ้นมาแล้วจะไม่น่าเสียดายอย่างนั้นหรือ?”

พูดจบแล้วนางก็ออกแรงยก ยกซีเซียนเสวี่ยขึ้นมาจากพื้น ทั้งตัวคนสูญเสียการควบคุมลอยพุ่งมาที่นาง

“อา!” ภายใต้ความฉุกละหุกนี้ทำให้ซีเซียนเสวี่ยตกใจจนร้องออกมา

เดิมคิดว่า นางจะพุ่งเข้าไปในอ้อมอกของมู่ชิงเกอ นี่ทำให้นางอายจนหลับตาลง คิดไม่ถึงว่า เพียงพริบตาเดียว กลับตกลงยังพื้นอย่างปลอดภัย ใบหน้าสัมผัสถึงความเย็น ผ้าคลุมหน้าถูกดึงลงมา

“เป็นสาวงามคนหนึ่งจริงๆ!” เสียงพูดดังขึ้นมา

ซีเซียนเสวี่ยลืมตาขึ้น สองมือแตะเข้าที่ใบหน้าของตนเอง

นางมองไปยังมู่ชิงเกออย่างตกตะลึง แต่กลับมองเห็นเขาปล่อยมือทิ้งผ้าคลุมหน้าของตนเองให้ร่วงลงกับพื้น

บอกว่านางเป็นสาวงาม แต่ซีเซียนเสวี่ยกลับไม่เห็นอารมณ์ความหลงใหลในสายตาของเขาเลย นัยน์ตาคู่นั้นยังคงสดใสสงบไร้คลื่นลมอยู่เช่นเดิม

เมื่อถูกดวงตาที่สงบนิ่งเช่นนี้มอง หัวใจของซีเซียนเสวี่ยก็เต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

มู่ชิงเกอกลับหันกายเดินไปเก็บทวนหลิงหลงของตนเอง แสงสีเงินวาบไป ทวนหลิงหลงกลายเป็นปลอกนิ้วมือบนมือของนาง

มู่ชิงเกอลูบๆ ปลอกนิ้วเลิกคิ้วมองมายังซีเซียนเสวี่ย “ธิดาเทพซี พูดๆ มาเถอะว่าเหตุใดจึงมาหาข้า?”

นัยน์ตาของซีเซียนเสวี่ยฉายแวววาววาบ เอ่ยตอบอย่างสงบว่า “ข้าออกมาจากการเก็บตัวฝึกวิชา ได้ยินเรื่องราวการต่อสู้ของเจ้าบนทุ่งหญ้าอัสดง จึงคิดจะมาขอคำแนะนำ”

คำตอบนี้ทำให้มู่ชิงเกอส่ายๆ หน้า หัวเราะอย่างขบขัน “ดูแล้ว ธิดาเทพซีไม่ยอมพูดความจริง ไม่เป็นไร ในเมื่อเจ้าไม่อยากพูด ข้าก็จะไม่บีบบังคับเจ้า กลับไปเถอะ หากยังคิดอยากจะฆ่าข้าก็มาได้ตลอด”

“เจ้าไม่ฆ่าข้างั้นหรือ?” ซีเซียนเสวี่ยชะงัก มองมู่ชิงเกออย่างแปลกใจ

การต่อสู้ของนางกับมู่ชิงเกอ ดูแล้วก็เหมือนกับการเล่นกัน แต่ในใจของนางกลับสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าหากมู่ชิงเกออยากจะฆ่านาง นางก็คงตายไปแล้ว!

“ฆ่าเจ้างั้นหรือ?” มู่ชิงเกอหัวเราะขึ้นมา “เจ้าก็เพียงแต่ถูกคนสั่งมา หากฆ่าเจ้าแล้วก็ยังจะมีคนอื่นมาอีก เทียบกับคนอื่นข้ารู้สึกว่าเจ้านั้นถูกใจข้ามากกว่า”

พูดจบแล้วมู่ชิงเกอก็กระโดดขึ้นไปยืนกลางอากาศ ก้มลงมามองซีเซียนเสวี่ย “ครั้งหน้าหากว่าจะฆ่าคน ก็อย่าได้ใช้วิธีการที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้อีกเลย วิธีเช่นนี้นั้นแม้ว่าจะทำเป็นร้อยครั้ง เจ้าก็ฆ่าข้าไม่ได้”

พูดจบแล้วมู่ชิงเกอก็หายตัวไปจากสายตาของนาง ซึ่งระดับความเร็วนั้นทำให้นางตกตะลึงมาก

มู่ชิงเกอย้อนกลับไปยังเรือนเล็กที่พักชั่วคราวตระกูลซาง เดินตรงไปยังห้องของราชครู

นางยกเท้าถีบเปิดห้องของราชครู ท่าทางที่ดูเคร่งขรึมของนาง ทำให้ราชครูชะงัก “นายน้อย เกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นหรือ?”

มู่ชิงเกอเอ่ยด้วยสีหน้าทีมืดทะมึน “คนของตำหนักเทพอยากจะฆ่าข้า เจ้าคิดว่าจะถูกใครสั่งการมา?”

นัยน์ตาส่วนลึกของนาง ดูเหมือนว่าจะมีคำตอบแล้ว!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!