Skip to content

พลิกปฐพี 299

ตอนที่ 299

จะจัดการอย่างไรเมื่อมีความแตกต่างทางพลัง

“มีคนเข้ามาอีก!”

เมื่อลืมตาขึ้น นัยน์ตาของมู่ชิงเกอดูเย็นยะเยือก ทั้งนํ้าเสียงก็ยังดูอำมหิต คนไม่กี่คนที่ถูกสัตว์ประหลาดตรงหน้าทำให้แตกตื่น เมื่อได้ยินคำพูดของนางนี้แล้วก็เบิกตากว้างขึ้น ในใจเกิดความหนักอึ้ง ก่อนที่จะเข้ามา ราชครูได้เคยพูดเอา ไว้ว่า นอกจากพวกเขาแล้ว คนที่สามารถเข้ามาได้อีกนั้น มาจากที่ไหน

มู่เฉินเงยหน้าขึ้น มองไปรอบด้าน เอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “ช่องว่างแห่งนี้ไม่รู้ว่าจะมีขอบเขตของพลังกดดันไว้อยู่หรือไม่ หากว่าไม่มีแล้วละก็ พวกเราต่อสู้กับพวกเขา เกรงว่า…”

‘เกรงว่าคงตายอย่างแน่นอน’ มู่ชิงเกอต่อประโยคนี้ของเขาในใจ สีหน้าของนางเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ต้องพบเจอกับคู่มือเร็วถึงขนาดนี้นางไม่คาดคิดมาก่อน เดิมคิดว่าแข่งขันกันเข้ามาก็คงจะไม่บังเอิญพบเจอกันได้ง่ายๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว นางคิดว่านางคงได้พบเจอกับคู่มือจากแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารแล้วละ!

‘ที่นี่มีขอบเขตพลังกดดันอยู่ คนที่มาจากแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร จะถูกกดพลังให้อยู่ในระดับพลังสีทองชั้นหก แต่ทว่าถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นสำหรับพวกเจ้าแล้วก็มีโอกาสที่จะตายสูง’ เลียงของโห่วดังขึ้นภายในหัวของมู่ชิงเกอ

ในใจของมู่ชิงเกอเย็นเฉียบ ‘ระดับพลังสีทองชั้นหก!’

นางยิ้มเย็น ‘จะพูดอย่างไรก็ตาม อย่างน้อยถ้าเจ้าไม่อยากจะตายก็จะต้องไม่ยอมให้ข้าตายอยู่ดี’

ประโยคนี้ของนางทำให้โห่วนิ่งเงียบลงมา

ก็ไม่รู้ว่าโมโหจนพูดไม่ออกหรือว่าขี้เกียจจะต่อปากต่อคำกับนางกันแน่

มู่ชิงเกอมองไปทางเจียงหลี ในใจเกิดความรู้สึกเสียใจที่ไม่ยืนหยัดไม่ยอมให้นางมา ทั้งยังลากนางเข้ามาด้วยอีก

เรื่องนี้แต่เดิมก็ไม่เกี่ยวข้องกับเจียงหลี

‘ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ไม่อาจให้เจียงหลีเป็นอะไรไปได้’ หลังจากที่ในใจของมู่ชิงเกอได้ตัดสินใจแล้ว ถึงได้เอ่ยกับทุกคนว่า “ที่นี่มีขอบเขตพลังกดดันอยู่ แต่ทว่าขอบเขตของมันก็คือระดับพลังสีทองชั้นหก”

“ระดับพลังสีทองชั้นหก!” มู่เผิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สีหน้าเปลี่ยนสี อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปยังมู่เฉิน

ลีหน้าของมู่เฉินก็ไม่น่าดูเป็นอย่างมาก เขาเอ่ยด้วยนํ้าเสียงที่ดูเคร่งเครียดว่า “ระดับพลังของแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารนั้นพวกเราไม่คุ้นเคยด้วย แต่แน่นอนว่าจะต้อง เป็นยอดฝีมือระดับพลังสีทองชั้นหก หากว่าปะทะกัน…”

เขาเงยหน้าขึ้นมองไปทางมู่ชิงเกอ เอ่ยด้วยแววตาที่ดูหนักใจว่า “สรุปแล้ว ถึงพวกเราจะตายก็ต้องคุ้มครองนายน้อยให้ปลอดภัยให้ได้ขอให้นายน้อยวางใจ”

มู่ชิงเกอส่ายหน้า “อย่าเพิ่งพูดเรื่องราวให้ดูเลวร้ายจนเกินไป พวกเราไปเอาเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางมาอยู่ในมือให้ได้ก่อน”

“ดี!”

มู่เฉินและมู่เผิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

แล้วก็มองไปยังเหล่าสัตว์ประหลาดที่อยู่บนธารนํ้าแข็งอีกครั้ง ทั้งห้าคนตัดสินใจที่จะลอบจากไป

“ลูกพี่ อย่ากลัวไป มีหยวนหยวนคอยปกป้องท่าน!” หยวนหยวนค่อยๆ ยกมือของมู่ชิงเกอขึ้นมา ในตอนที่นางหันหน้ากลับมาแล้วก็เอ่ยกับนางอย่างจริงจัง

มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มออกมา พยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าเชื่อว่าหยวนหยวนสามารถปกป้องข้าได้”

ประโยคนี้ทำให้นัยน์ตาของหยวนหยวนเปล่งประกาย ความเชื่อใจที่มาจากมู่ชิงเกอทำให้เขาไม่อาจไม่ยืดอก ออกมาหน่อย

“เพ้ย เจ้าอย่าได้รู้สึกหดหู่หรือเสียใจเพราะพาข้าเข้ามาด้วยเชียวนะ แม้ว่าจะรู้ว่าจะเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่ง ข้าก็จะตามเข้ามาอยู่ดี ข้าไม่ใช่คนใจเสาะขี้ขลาด?” เจียงหลีเดินไปข้างกายของมู่ชิงเกอ แล้วก็เลิกคิ้วยิ้มให้นาง

“เจียงหลี แต่เดิมเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าเลย” นํ้าเสียงของมู่ชิงเกอดูขรึมขึ้น

ถ้าหากว่าทำได้นางแทบอยากจะส่งตัวเจียงหลีออกไปก่อน

“หากว่ายังจะพูดอย่างนั้นอีก ข้าก็จะโกรธแล้วนะ หากเปลี่ยนเจ้าเป็นข้า เจ้าจะหนีไปในช่วงเวลานี้หรือไม่?” นํ้าเสียงของเจียงหลีดูสบายๆ ไม่ได้ดูทุกข์ร้อนอะไร

แต่ว่าในใจของมู่ชิงเกอกลับหนักอึ้งขึ้นมาโดยไม่รู้สึกตัว

เจียงหลีไม่รู้เลยว่าตัวนางเองนั้นได้ตายเพราะตัวเองมาครั้งหนึ่งแล้วตอนอยู่ในช่องว่างฝึกฝนของอาณาจักรเซิ่งหยวน…หากไม่ใช่เพราะว่าซือมั่วใช้ศาสตร์ต้องห้ามหวนคืน สูญเสียพลังฝึกปรือของตนเองไปหมื่นปีแลกมาแล้ว เกรงว่า…

นางไม่คาดหวังให้เจียงหลีเสี่ยงเพราะนางอีก

“สรุปแล้ว ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเป็นอะไรไปเป็นอันขาด” มู่ชิงเกอรับรองกับเจียงหลี

เจียงหลีไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแต่เผยรอยยิ้มหวานให้กับนาง

ทั้งห้าคนก้าวเข้าไปในดินแดนหิมะ ชั่วขณะนั้นก็สัมผัสได้ถึงความหนาวเสียดกระดูก “สถานที่นี้ดูแปลกประหลาดมาก เพียงแค่เส้นบางๆ แบ่งเขต ข้างหนึ่งอบอุ่นสบาย แต่อีกด้านกลับเย็นยะเยือก” เจียงหลีลูบๆ แขนแล้วบ่นออกมา

“นายน้อย ดูเหมือนว่าพวกเราจะไม่สามารถเดินทางกลางอากาศได้แล้ว” ทันใดนั้นมู่เฉินก็เอ่ยกับมู่ชิงเกอ

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววเยียบเย็น พยายามรวบรวมพลังจิตในร่างกายและนางก็รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองหนักอึ้งดุจก้อนหิน ไม่สามารถลอยขึ้นไปในอากาศได้

“เช่นนั้นก็ต้องใช้สองเท้าเดินแล้วใช่หรือไม่?” เจียงหลีเอ่ยอย่างตกตะลึง

พูดจบแล้วนางก็มองไปยังบรรดาสัตว์ประหลาดที่เดินไปเดินมาอยู่บนธารนํ้าแข็ง พวกเขาไม่เพียงแต่ต้องอาศัย สองเท้าเดินไปเท่านั้น ทั้งยังต้องเดินผ่านบรรดา ไดโนเสาร์เหล่านั้นไปด้วย

“ไม่รู้ว่าสัตว์ประหลาดเหล่านี้จะมีพลังเป็นเช่นไร” มู่เผิงขมวดคิ้วเอ่ยออกมา

“ให้ข้าวางเพลิงเผาสัตว์ประหลาดเหล่านี้ไปให้หมดไหม!” หยวนหยวนเสนอความคิดเห็น

“ไม่ดี” มู่เฉินกลับแย้งขึ้น “หากว่าทำเช่นนั้นเกรงว่าจะทำให้บรรดาสัตว์ประหลาดเหล่านี้โมโหได้อาจจะทำให้พวกมันยิ่งบ้าคลั่งพุ่งเข้าโจมตีพวกเรา ภายในหานชุ่นก็ไม่รู้ว่าจะยังมีสัตว์ประหลาดเหล่านี้อยู่อีกมากแค่ไหน”

“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี? ถึงแม้ว่าจะผ่านพวกมันไปก็จะ ต้องทำให้พวกมันแตกตื่นอยู่ดี ทั้งก็จะถูกไล่ฆ่าเหมือนเดิม” หยวนหยวนขมวดคิ้วเอ่ย

มู่ชิงเกอเม้มปากครุ่นคิด ‘หากว่าสัตว์ประหลาดเหล่านี้เป็นไดโนเสาร์ที่นางรู้จักจริงๆ นั่นก็ไม่จำเป็นจะต้องเป็นกังวลไป อย่างน้อยก็ไม่ได้ไม่รู้อะไรเลย แต่หากว่าไม่ใช่ล่ะ? อีกอย่างนอกจากสัตว์ประหลาดเหล่านี้แล้วนางก็ ยังต้องเผชิญกับปัญหาที่หนักมืออีก’

มู่ชิงเกอหลับตาแผนที่ของหานชุ่นปรากฎขึ้นบนหัวของนางอีกครั้ง

จุดห้าจุดบนแผนที่ ในตอนนี้ก็ได้เข้าใกล้เคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางเข้าไปอีก ส่วนระยะห่างของพวกเขานั้นกลับยังห่างไกล

ตอนที่มู่ชิงเกอลืมตาขึ้นอีกครั้งนั้น เจียงหลีก็ถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”

“พวกเขากำลังเข้าไปใกล้จุดมุ่งหมายมากขึ้นเรื่อยๆ” เมื่อมู่ชิงเกอพูดประโยคนี้ออกมา ก็ทำให้ในใจของทุกคนรู้สึกหนักอึ้ง

พวกเขาถูกสัตว์ประหลาดทำให้ชะงักอยู่ที่นี่ ส่วนฝ่ายตรงข้ามกลับเข้าไปใกล้ที่ซ่อนของเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางไม่หยุด นี่เป็นข่าวที่ดีอะไรกัน เพียงแค่ทำไม่ดีก็จะถูกคนชิงเอาความสำเร็จไปก่อน

“นายน้อยในมือของพวกเขาไม่มีแผนที่ จะเข้าไปใกล้เคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางเรื่อยๆ ได้อย่างไร?” มู่เผิงพูดความสงสัยในใจของตนเองออกมา

มู่ชิงเกอเม้มริม’ฝีปากแล้วเอ่ยว่า “ราชครูเคยพูดว่าแผนที่นี้มีสัญลักษณ์ปรากฎอยู่ซึ่งเป็นฝีมือของศิษย์พี่ของเขา ในเมื่อเป็นเช่นนี้เกรงว่าผู้เฝ้ามองอีกคนน่าจะเคยมองเห็นแผนที่นี้แล้ว หากเป็นเช่นนี้ก็จะสามารถอธิบายได้ สองทาง ทางหนึ่งก็คือถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีแผนที่แต่ก็สามารถอาศัยความทรงจำของผู้เฝ้ามองอีกคนทำขึ้นมาใหม่อีกชุด จุดๆ นี้เป็นจุดที่จะทำปวดหัวมากที่สุด ส่วนอย่างที่สองก็คือพวกเขาก็เพียงแค่บังเอิญไม่แน่ว่าจะรู้ว่าเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางนั้นห่างจากพวกเขาไปไม่ไกล”

คนสี่คนมองหน้ากันและคาดเดาความเป็นไปได้ สองอย่างนี้

“ในตอนนี้คิดมากขนาดนั้นไปก็ไม่มีประโยชน์จะต้องรีบ เดินทางไปต่อ ทั้งยังต้องขัดขวางไม่ให้พวกเขาไปข้างหน้า” มู่ชิงเกอพูดเสียงเข้ม

“นายน้อย เช่นนั้นพวกเราจะทำอย่างไรต่อไป?” มู่เฉิน กวาดสายตาไปยังกลุ่มสัตว์ประหลาดที่อยู่บนพื้นหิมะ แล้วก็เผยนัยน์ตาที่ดูหนักใจออกมา

มู่ชิงเกอกลับยิ้มเย็นออกมา “ไม่สนว่าจะมีใจหรือไม่มีใจ ต้องการที่จะสำเร็จก่อนงั้นหรือ? กลัวแค่ว่าจะไม่ง่ายเช่นนั้น”

เมื่อพูดจบแล้วนัยน์ตาทั้งสองของนางก็หรี่เล็กลง โบกมือให้คนทั้งสี่ กระซิบบอกแผนการของตนเองออกไป

ในตอนที่นางพูดแผนการของตัวเองเสร็จ ทั้งสี่คนเงยหน้าขึ้นมานัยน์ตาล้วนแต่เผยร่องรอยที่ตกตะลึง

นัยน์ตาที่มู่เฉินและมู่เผิงมองมู่ชิงเกอก็เปลี่ยนเป็นยิ่งนับถือมากขึ้นอีก จากนั้นก็คิดไปถึงว่านายน้อยที่ตัวเองเลือกในครั้งนี้ว่าจะต้องไม่ผิดพลาดอีกแน่ แผนการที่ ชาญฉลาดเช่นนี้ ความคิดที่ลึกลํ้าเช่นนี้เป็นสี่งที่พวกเขาคาดหวัง

“ข้าว่าอยู่แล้วเชียวว่าเจ้าจะต้องมีวิธี บนโลกนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่จะยากเกินไปสำหรับเจ้า” เจียงหลียิ้มแล้วพูดออกมา

มู่ชิงเกอยิ้มแล้วก็เอ่ยกับคนไม่กี่คนนี้ว่า “การเคลื่อนไหวในครั้งนี้นั้นเสี่ยงอันตรายมาก ทุกคนต้องระมัดระวังตัวให้ดี หากจุดมุ่งหมายไม่สำเร็จ ก็ให้รีบกระจายตัวในทันที ไม่จำเป็นต้องต่อสู้”

พูดจบแล้วนางก็หยิบยาโอสถออกมาบางส่วน แบ่งให้กับคนทั้งสาม สำหรับหยวนหยวนนั้น เขาเป็นพญาเพลิง ยาโอสถสำหรับเขานั้นเป็นเหมือนกับขนมหวานไม่มีประโยชน์อะไร

“ยาโอสถเหล่านี้สามารถเติมเต็มกำลังและพลังจิตในร่างของพวกเจ้าได้ พวกเจ้าใช้ได้ตามความเหมาะสม” มู่ชิงเกอเอ่ยกับคนทั้งสาม

จากนั้นมู่ชิงเกอก็หยิบนํ้าหอมพิเศษชนิดหนึ่งออกมา แบ่งสาดออกไปบนตัวของทั้งสี่คนแล้วก็เอ่ยว่า “นํ้าหอมชนิดนี้นอกจากคนที่ใช้แล้ว คนนอกไม่สามารถได้กลิ่นได้ สาดติดไว้บนเสื้อก็จะอยู่ได้ยาวนาน หลังจากภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว ก็จะสะดวกในการหากันและกันพบ”

ตัวนางนั้นมีแผนที่สามารถด้นหาคนอื่นพบได้ แต่ว่าคนอื่นกลับไม่สามารถหาได้ ดังนั้นนํ้าหอมนี้จึงมีประโยชน์ดีมากสำหรับการเสริมจุดอ่อนนี้

“ยังมีอีก เกราะที่ข้ามอบให้แก่พวกเจ้าก่อนหน้านี้ ก็ให้สวมใส่ให้หมด ระมัดระวังไว้ก่อนเป็นเรื่องดี” มู่ชิงเกอเอ่ยเตือน ก่อนที่นางจะออกเดินทางนั้นได้ตั้งใจมอบเกราะระดับเทวะให้พวกเขาใส่ เป็นของที่เหลือจากตอนที่นางหลอมให้กับองครักษ์เขี้ยวมังกร ส่วนตัวนางเองนั้นสวมเกราะที่ซางซุ่นหวางมอบให้

“ขอรับ นายน้อย”

มู่เฉินและมู่เผิงเอ่ย

“รู้แล้ว ชิงเกอ” เจียงหลีก็พยักหน้า

“ลูกพี่ ข้าไม่จำเป็นต้องสวมใส่ใช่ไหม” หยวนหยวนยิ้มหวาน หากว่าเขาได้รับการโจมตีแล้วรับไม่ได้ก็จะเปลี่ยนตัวเองกลายเป็นเปลวเพลิงหลบหนีไปเลย เกราะป้องกัน สำหรับเขานั้นไม่ค่อยมีประโยชน์สักเท่าไหร่ มู่ชิงเกอครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วก็พยักหน้า “ตามใจเจ้าเถอะ แต่ว่าถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นพญาเพลิงที่ร่างกายมีความโดดเด่นโดยกำเนิดแต่ก็อย่าได้ชะล่าใจไป รู้หรือไม่?”

“อืม อืม” หยวนหยวนพยักหน้าเหมือนลูกไก่จิกข้าว

มู่ชิงเกอกวาดตามองคนทั้งสี่จากนั้นก็เอ่ยสั่งว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เคลื่อนตัวเถอะ”

ทุกคนพยักหน้าแล้วก็ทำตามแผนการของมู่ชิงเกอทันที ต่างพากันแยกย้ายกันออกไปคนละทาง เมื่อไปถึงระยะห่างที่เหมาะสมแล้ว ก็เริ่มทำตามแผนที่มู่ชิงเกอวางไว้

มู่ชิงเกอยืนอยู่ที่เดิม ในใจคำนวณเวลาของพวกเขาแล้ว ก็สูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็รีบพุ่งไปด้านนอก เข้าไปใกล้บรรดาสัตว์ประหลาดบนพื้นหิมะนั้นไม่หยุด

“โฮก!” มีสัตว์ประหลาดค้นพบร่องรอยของนางได้อย่างรวดเร็วแล้วก็ส่งเสียงคำรามเตือนออกมา

มู่ชิงเกอไม่ได้สนใจ แต่กลับพุ่งไปยังจุดที่มีสัตว์ประหลาดเยอะขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนคิดที่จะดึงดูดความสนใจของสัตว์ประหลาดเหล่านี้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ สามารถเดินทางกลางอากาศได้ แต่ก็ยังสามารถใช้พลังจิตเพิ่มความเร็วของตนเองบนพื้นได้

“โฮก! โฮก!”

มีสัตว์ประหลาดที่ค้นพบเงาร่างของมู่ชิงเกอมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อหน้าสัตว์ประหลาดที่ใหญ่โตดุจขุนเขาเหล่านี้ เงาร่างของมู่ชิงเกอดูเล็กเหมือนกับมดตัวนึงก็ไม่ปาน นางกระโดดไปกระโดดมาด้านหลังเท้าของสัตว์ประหลาดไม่หยุด การเคลื่อนไหวนั้นดูยั่วยุมาก

“โฮก!” สัตว์ประหลาดตัวหนึ่งที่มีรูปร่างเหมือนเพลสิโอซอร์โค้งคอยาวๆ ของมันลงมา อ้าปากกว้างดูเหมือนคิดอยากจะกลืนมู่ชิงเกอลงไปในท้อง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!