Skip to content

พลิกปฐพี 302

ตอนที่ 302

มู่ชิงเกอ เจ้าแน่มาก!

“ธารนํ้าแข็งนี้มีกลไกอย่างไรกัน?” เจียงหลียื่นมือออกไปลูบกำแพงนํ้าแข็งแล้วก็ส่ายหน้าพึมพำออกมา

มู่ชิงเกอกวาดตามองโลกสีขาวรอบด้านนัยน์ตาฉายแววสงสัย

ที่นี่เป็นสถานที่ที่อยู่บนแผนที่จะต้องมีเครื่องหมายบางอย่างอย่างแน่นอน จะต้องมีอะไรที่ข้าไม่ทันได้สังเกตเห็น นางพูดกับตัวเองในใจ

มู่ชิงเกอเก็บความคิดนั้น จากนั้นก็มองไปรอบๆ ค้นหาอย่างละเอียด

เกล็ดหิมะสดใสพลิ้วลอยลงมาจากกลางอากาศตกลงมาบนหน้าผากของนาง

ความเย็นบนหน้าผากทำให้นางเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้าที่ไร้ขอบเขต นางยกมือขึ้นใช้นิ้วมือลูบไปที่เกล็ดหิมะที่กลายเป็นนํ้าหิมะ

ทันใดนั้นนัยน์ตาของนางก็ฉายแววแปลกใจ นางมองไปที่นิ้วมือของตนเอง นํ้าหิมะที่เห็นได้อย่างชัดเจนในตอนแรกมาตอนนี้กลับไม่เห็นแม้แต่ร่องรอย

“หายไปแล้ว?” มู่ชิงเกอพึมพำออกมาด้วยนํ้าเสียงที่ฉายแววสงสัย

นิ้วมือของนางไม่มีร่องรอยของนํ้าหิมะเลย

การค้นพบในครั้งนี้ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า หากมองขึ้นไปเพียงแวบเดียว ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่แตกต่าง แต่ว่าหากว่ามองอย่างละเอียดไปสักครู่แล้ว ก็จะค้นพบอะไรที่แตกต่าง

นัยน์ตาสดใสของมู่ชิงเกอหดตัวลง เกล็ดหิมะที่ตกลงมาจากอากาศ…ไม่ควรพูดว่าที่ตกลงมาจากยอดเขาเห็นได้อย่างชัดเจนตรงหน้าของนาง

เกล็ดหิมะเหล่านั้นค่อยๆ เปลี่ยนเป็นใหญ่ขึ้นภายในดวงตาของนาง ราวกับเปลี่ยนเป็นตัวอักษรตัวหนึ่ง เพียงแต่นางไม่รู้ว่าตัวอักษรนี้มีความหมายแอบแฝงอะไรกันแน่

เกล็ดหิมะตกลงบนหน้าผากของนางอีกครั้ง นางสัมผัสได้อย่างชัดเจน แต่ว่าเมื่อยื่นมือไปแตะกลับพบว่าเป็นเหมือนดั่งเช่นครั้งก่อนที่นิ้วมือแห้งสนิท

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้?” ในใจของมู่ชิงเกอฉายแววสงสัย

นางไม่ค่อยเข้าใจ เพียงคิดว่าแปลกประหลาด

“เจียงหลี” ทันใดนั้น นางก็ถอนสายตากลับมาจากกลางอากาศ แล้วก็ร้องเรียกเจียงหลีที่ยืนค้นหาอยู่ไม่ไกล

เจียงหลีหันกลับมานัยน์ตาสีทองฉายแววไม่เข้าใจ

“มานี่หน่อย” มู่ชิงเกอพยักหน้าให้นาง

เจียงหลีเดินไปตามคำเรียก จ้องมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสับสนของนางแล้วก็เอ่ยถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง? พบอะไรหรือไม่?”

“ข้ายังไม่แน่ใจ” มู่ชิงเกอค่อยๆ ส่ายหน้า

มีความคิดและของบางอย่างที่นางต้องการให้เจียงหลีช่วยพิสูจน์

“เจ้ามายืนอยู่ที่นี่ครู่หนึ่งอย่าขยับ” มู่ชิงเกอลากเจียงหลีไปยืนยังตำแหน่งที่ตัวเองเคยยืน ส่วนตัวเองก็ถอยหลังออกไปก้าวนึง

เจียงหลียืนอยู่ที่นนอย่างไม่เข้าใจ แต่เป็นเพราะว่าเป็นคำพูดของมู่ชิงเกอ จึงไม่กล้าขยับโดยพลการเพียงแต่ดวงตามองไปรอบด้าน

สายตาของมู่ชิงเกอมองขึ้นไป จ้องไปยังเกล็ดหิมะที่ตกลงมาจากยอดเขาเหล่านั้น มีแผ่นหนึ่งในนั้นตกลงบนแก้มของเจียงหลี ความรู้สึกที่เย็นทำให้เจียงหลีคิดจะยื่นมือออกไปลูบ

เพียงแต่ว่า ในตอนที่นางกำลังจะยื่นมือออกไปลูบนํ้าหิมะบนแก้มนั้น ข้อมือของนางก็ถูกมู่ชิงเกอคว้าจับเอาไว้แน่น

“เจ้าเป็นอะไรไป?” เจียงหลีขมวดคิ้วเลยถาม

มู่ชิงเกอกลับเพียงแต่จ้องมองที่ปลายนิ้วของนาง บนนั้นยังมีร่องรอยของหิมะหลังจากละลายกลายเป็นนํ้าหิมะโปร่งใสอยู่

“มีปัญหาจริงๆ!” นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาบ พร้อมกับเอ่ยเสียงเข้ม

“มีปัญหาอะไร?” เจียงหลีกลับยังคงมึนงงอยู่

มู่ชิงเกอยังไม่ทันได้อธิบายกับนาง เพียงแต่เงยหน้ามองหามู่เฉินกับมู่เผิง ในตอนที่ด้นพบเงาร่างของพวกเขานั้น นางก็เรียกให้พวกเขา เข้ามาหาในทันที

“นายน้อย พบเจออะไรแล้วอย่างนั้นหรือ?” มู่เฉินเดินเข้ามาแล้วก็เอ่ยถามในทันที

“ยังไม่แน่ใจ” มู่ชิงเกอเอ่ยไปประโยคหนึ่งแล้วก็เอ่ยถามว่า “ข้าขอถามพวกเจ้าหน่อยว่าในร่างของพวกเจ้านั้นมีสายเลือดของตระกูลมู่หรือว่าเป็นสายเลือดของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของตระกูลมู่?”

“เรื่องนี้…” มู่เฉินกับมู่เผิงสบตากันแวบหนึ่งแล้วในใจก็ รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดอยู่ดีๆ มู่ชิงเกอถึงได้ถามถึงปัญหานี้ได้

แต่ว่ามู่เฉินก็ยังเอ่ยตอบ “ตามบันทึกของตระกูล ข้าถือว่าเป็นผู้สืบทอดของสายสาขาสายหนึ่งของตระกูลมู่ ส่วนมู่เผิงนั้นบรรพบุรุษของเขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ติดตามตระกูลมู่และเป็นเพราะว่าได้สร้างผลงาน จึงได้รับแซ่มู่เป็นรางวัล”

เมื่อเขาพูดจบมู่เผิงก็คำนับมู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอพยักหน้า “ก็พูดได้ว่าในร่างกายของเจ้านั้นมีสายเลือดของตระกูลมู่ไหลเวียนอยู่ ส่วนมู่เผิงนั้นไม่มี”

“ไม่ผิด” มู่เฉินพยักหน้า

“ดีมากเช่นนั้นเรื่องต่อไปนี้ก็สามารถทำได้แล้ว” มู่ชิงเกอพูดไปประโยคหนึ่งซึ่งทำให้ทุกคนรู้สึกมึนงง

พวกเขาทั้งสี่คนล้วนแต่รวมอยู่ด้วยกัน นี่ทำให้หยวนหยวนก็รู้สึกสนใจเข้ามาร่วมด้วย ใบหน้าอันงดงามแทรกเข้ามาตรงกลางระหว่างคนสองคน

มู่ชิงเกอให้มู่เฉินยืนอยู่ในตำแหน่งที่ตัวเองและเจียงหลี ล้วนแต่เคยยืน ผ่านไปไม่นานก็มีเกล็ดหิมะลอยพลิ้วตกลงมา เกล็ดหิมะตกลงมาที่หน้าผากของมู่เฉิน ชั่ว ขณะนั้นก็เปลี่ยนเป็นนํ้าหิมะ

มู่เฉินก็เป็นเหมือนพวกนางทั้งสองคน ยื่นมือออกไปลูบนํ้าหิมะที่ไหลลงมาจากหน้าผาก

“อย่าขยับ!” ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็ออกเสียงขึ้นมา ทำให้มู่เฉินหยุดชะงักการเคลื่อนไหวในทันใด

“อา! หายไปแล้ว!” หยวนหยวนเป็นคนแรกที่ค้นพบความแปลกประหลาด

แค่เขาเอ่ยเตือน เจียงหลี มู่เฉินแล้วก็ยังมีมู่เผิงถึงได้มองไปที่นํ้าหิมะบนนิ้วของมู่เฉิน บนนิ้วของเขาแห้งสนิทไม่มีร่องรอยของน้ำหิมะเลย

“มู่เผิง เจ้ามาเปลี่ยน” มู่ชิงเกอให้เปลี่ยนคน

มู่เผิงพยักหน้าแล้วก็ไปเปลี่ยนตำแหน่งกับมู่เฉิน ครู่หนึ่งก็มีผลสรุป เขากับเจียงหลีนั้นเป็นเหมือนกันที่นํ้าหิมะจะไม่หายไป

“เหตุใดถึงได้แปลกประหลาดเช่นนี้? นํ้าหิมะเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะมีเพียงแค่สัมผัสโดนคนที่มีสายเลือดตระกูลมู่เท่านั้นถึงได้หายไปงั้นหรือ?” ในที่สุดมู่เฉินก็พบจุดที่ไม่ถูกต้อง

มู่ชิงเกอพยักหน้าแล้วก็เงยหน้าขึ้นมองที่ยอดหน้าผาสูงอีกครั้ง เกล็ดหิมะที่ลอยอยู่ด้านบนนั้นมีไม่มากทำให้คนละเลยได้ง่ายๆ

นางเดินไปสองก้าวไปรอเกล็ดหิมะให้ตกลงมาอีกครั้ง

ส่วนในครั้งนี้หลังจากที่เกล็ดหิมะตกลงมาแล้วก็ไม่ได้หายไปอีก

ฉากนี้ทำให้ทุกคนแปลกใจขึ้นมา มู่เฉินพึมพำออกมา “หรือว่าเมื่อครู่นี้การคาดเดาของข้าผิดไปงั้นหรือ?”

มู่ชิงเกอไม่ได้รีบร้อนที่จะสรุป แต่กลับยังเปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อยๆ ให้เกล็ดหิมะตกลงบนร่างของตนเองผ่านไปครู่หนึ่ง นางถึงได้พ่นลมหายใจออกมา นัยน์ตาฉายแวววาว วาบแล้วเอ่ยกับไม่กี่คนนั้นว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”

เข้าใจแล้ว? เข้าใจอะไรกัน?

เหตุใดพวกเขาจึงล้วนแต่ไม่เข้าใจ?

มู่เฉินกับมู่เผิงและหยวนหยวนล้วนแต่มีลีหน้าที่ดูมึนงง

มีเพียงแต่เจียงหลีที่นัยน์ตาเผยร่องรอยครุ่นคิด ดูเหมือนว่าจะเข้าใจความหมายของมู่ชิงเกอ

“พวกเจ้าออกไปก่อน” มู่ชิงเกอเอ่ยสั่งการคนทั้งสี่

เมื่อเสียงของนางหลุดออกไป ทั้งสี่คนก็ต่างคนต่างถอยออกไปหลายก้าว เว้นช่องว่างให้แก่นางอย่างเพียงพอ

มู่ชิงเกอยืนอยู่ที่เดิมแล้วก็เงยหน้าขึ้นมองยอดหน้าผา จากนั้นก็ยื่นสองมือของตัวเองออกไป แบมือทั้งสองข้าง แล้วก็เหยียดมือขวาตรงไปหน้าหน้าอก ส่วนมือซ้ายก็ยืดออกไปเช่นเดียวกันแต่ชี้ไปด้านซ้าย

มู่ชิงเกอจ้องมองมือของตนเอง มองเกล็ดหิมะเหล่านั้นที่พลิ้วลอยลงมาตกลงบนมือของนาง แล้วนางก็ขยับตำแหน่งไปเรื่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าค่อยๆ เข้าไปใกล้กับกำแพงนํ้าแข็งมากยิ่งขึ้น

“เป็นการจัดวางที่ละเอียดถี่ถ้วนมาก!” เจียงหลีถอนหายใจเอ่ยออกมา

“พี่สาวเจียง หมายความว่าอย่างไร?” หยวนหยวนพุ่งเข้ามายังข้างกายของนางแล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย

เจียงหลีเอ่ยกับหยวนหยวนว่า “เจ้าไม่ได้สังเกตบนมือของมู่ชิงเกองั้นหรือว่า มือซ้ายของนางรับเอาเกล็ดหิมะมาสัมผัสแล้วก็ไม่ได้หายไปไหน แต่มือขวาเมื่อสัมผัสกับเกล็ดหิมะแล้วกลับหายไปงั้นหรือ? อีกทั้งชิงเกอก็ยัง คอยเคลื่อนไหวไปตามทิศทางที่มือข้างขวาชี้ไปโดยตลอด”

หยวนหยวนได้รับคำชี้แนะแล้วก็กะพริบตา แต่ยังคงเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจเหมือนเดิม “นั่นหมายความว่าอย่างไร?”

“เจ้าช่างโง่เง่านัก!” เจียงหลีอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกไป “เกล็ดหิมะเหล่านี้ตกลงมาจากยอดเขา ดูเหมือนว่าจะเป็นอาคมอะไรบางอย่าง มีเพียงเฉพาะคนของตระกูลมู่ เท่านั้นถึงจะสามารถแยกแยะความหมายได้พวกมันกำลังนำทางให้ชิงเกอหาเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางพบ”

“อา!” หยวนหยวนอ้าปากค้าง เงยหน้าขึ้นมองฟ้าแล้วก็บ่นว่า “อาคมอะไรยากขนาดนี้ คนธรรมดาจะหาได้อย่างนั้นหรือ?”

เจียงหลีพยักหน้า “ดังนั้นถ้าหากว่าไม่ใช่คนของตระกูลมู่ มาถึงที่นี่ได้ก็ถือว่ามาอย่างเสียเปล่า หนึ่งคือสัมผัสไม่ได้ถึงการคงอยู่ของอาคม ส่วนถึงแม้ว่าจะเป็นคนรุ่นหลังของตระกูลมู่มาแล้ว หากว่าไม่มีความฉลาดเฉลียวหรือความละเอียดรอบคอบ ไม่มีความสามารถในการสังเกตและแยกแยะก็จะไม่ค้นพบถึงความแตกต่างในนี้”

พูดแล้ว นัยน์ตาของนางก็ฉายแววนับถือออกมาแล้วก็ เอ่ยกับหยวนหยวนว่า “บรรพบุรุษของตระกูลมู่เป็นคนที่แน่มากและลูกพี่ของเจ้าก็เป็นคนที่แน่มากกว่า”

“แน่นอน! ลูกพี่ของข้าเก่งที่สุด!” หยวนหยวนเอ่ยอย่างได้ใจ

เจียงกลอกตาขาวใส่เขาแวบหนึ่ง “รู้แล้ว ใต้ฟ้านี้ลูกพี่ของเจ้าสุดยอดที่สุด ใช้ได้หรือยัง!”

“อืม!” หยวนหยวนพยักหน้าอย่างภาคภูมิใจ

ขนาดที่พูดคุยกัน มู่ชิงเกอก็ได้เดินไปหยุดอยู่ที่ตรงหน้าของกำแพงนํ้าแข็งแล้ว ด้านหน้าของนางนั้นมีร่องรอยของชั้นนํ้าแข็งร้าว ร่องรอยร้าวนี้พบเห็นได้ทั่วไป มองไปตรงไหนก็มีมองไม่เห็นถึงจุดที่แปลกประหลาด

มู่ชิงเกอเก็บมือกลับมา แล้วก็มองไปที่รอยร้าวนั้นครู่หนึ่ง จากนั้นก็บีบเลือดหยดหนึ่งออกมาจากมือแล้วใส่เข้าไปในรอยร้าว

เลือดสีแดงสดนั้นตกลงมาจากปลายนิ้วมือของนางแล้วก็พุ่งไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของรอยร้าว จากนั้นมู่ชิงเกอก็ค่อยๆ รู้สึกเหมือนว่าตัวเองได้ยินเสียง หยดเลือดตกพื้น

ทันใดนั้นพื้นใต้เท้าของนางก็สั่นไหวขึ้นมา แม้แต่กำแพงนํ้าแข็งก็เริ่มที่จะสั่นไหว มีเศษนํ้าแข็งจำนวนไม่น้อยตกลงมา

“นายน้อยระวัง!”

“นายน้อย!”

มู่เฉินและมู่เผิงรีบพุ่งเข้ามาอย่างตกใจ แล้วก็ลากมู่ชิงเกอถอยไปด้านหลัง

ขณะที่ถอยหลังออกไป ดวงตาทั้งคู่ของมู่ชิงเกอก็จ้องมองไปที่รอยร้าวที่ได้สัมผัสเลือดของนาง…

ครึน ครึน!

ทั่วทั้งดินแดนหิมะดูเหมือนว่าจะสั่นไหวอย่างรุนแรงไปชั่วขณะ ดูเหมือนกับแผ่นดินไหว

‘เกิดเรื่องอะไรขึ้น?’ มู่เทียนอินที่เพิ่งจะรักษาบาดแผลเสร็จ ยืนขึ้นมาในทันที นัยน์ตาที่เย็นยะเยือกมองลงไปใต้เท้า ส่วนลึกของดินดูเหมือนว่าจะสั่นไหวไม่หยุด

“นายน้อย!”

“นายน้อย!”

“นายน้อย!”

คนที่เหลืออยู่ทั้งสามคนของเขา ทยอยพากันมายังข้างกายของเขา ดูเหมือนจะไม่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้

“คงไม่ใช่ว่าพวกเดรัจฉานเหล่านั้นมาอีกกระมัง?” คนหนึ่งในนั้นคาดเดาออกมา

เพียงแต่ว่า เมื่อคำพูดของเขาหลุดออกมา ชั่วขณะนั้นก็ทำให้สีหน้าของคนอื่นๆ ไม่น่าดูขึ้นมา พวกเขาเพิ่งจะหลุดพ้นออกมาจากเงื้อมมือของบรรดาสัตว์อสูร ประหลาดเหล่านั้น หากว่าจะต้องไปต่อสู้อีกครั้ง นี่ไม่ใช่ว่าจะต้องเสียสละไปอีกคนหนึ่งถึงจะสามารถหนีออกมาได้หรือ?

“ออกไปจากที่นี่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน” มู่เทียนอินตัดสินใจออกมา

“นายน้อย เช่นนั้นพวกเราจะไปไหนดี? ทางที่เคยมายังมีสัตว์อสูรประหลาดคอยเฝ้าอยู่และก็ไม่รู้ว่าพวกมันจะยอมไปตอนไหน” คนหนึ่งพูดออกมา

ภายในดวงตาอันเย็นชาของมู่เทียนอินฉายแววลึกลํ้า “อ้อมพวกมันกลับไปหาเคล็ดวิชาเทวะแล้วค่อยว่ากัน”

เขาต้องได้รับเคล็ดวิชาเทวะมาก่อน ส่วนเวลาที่เหลือจะมาสั่งสอนพวกเดรัจฉานชั้นต่ำที่กล้ามาล่วงเกินเขาให้หนัก!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version