ตอนที่ 303
เห็ดหลินจือขนโลหิตมาส่งถึงที่
“นายน้อย นี่คือ…” มู่เฉินเบิกตากว้าง พูดเสียงอู้อี้มองไปที่รอยร้าวนั่น
รอยร้าวที่แต่เดิมเป็นเพียงรอยที่ไม่สะดุดตา แต่หลังจากแผ่นดินไหวแล้ว มันก็เปลี่ยนเป็นช่องว่างขนาดใหญ่ที่เพียงพอสำหรับหนึ่งคนเดินผ่าน เป็นเหมือนประตูที่ถูกเปิดออก
ตอนนี้ดินแดนหิมะกลับคืนสู่ความสงบ การเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่เมื่อครู่ ดูเหมือนว่าจะมีขึ้นเพื่อเปิดประตูบานนี้
มู่ชิงเกอเม้มริมฝีปากแน่น เดินเข้าไปยังช่องทางที่เปิดออกช่องนั้น
คนที่เหลือรีบตามไป ไม่กล้าผ่อนคลาย
เมื่อเดินเข้าไปใกล้แล้ว ทุกคนถึงได้พบว่าที่เชื่อมต่อกับช่องว่างนี้เป็นบันไดลอย บันไดลอยโปร่งใสนี้ดูเหมือนกับสร้างขึ้นมาจากน้ำแข็ง เมื่อยืนอยู่ด้านบนก็จะ สามารถสะท้อนเงาออกมาได้
ส่วนรอบๆ ของบันไดลอยก็เป็นถํ้านํ้าแข็งขนาดใหญ่ รูปร่างของนํ้าแข็งในถํ้าดูแปลกประหลาด ส่วนจุดสิ้นสุดของบันไดก็ไม่รู้ว่าเชื่อมไปที่ไหน สรุปแล้วก็คือมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
นอกจากบันไดลอยนี้แล้วก็ไม่มีเส้นทางอื่นอีก ในขณะที่คนอื่นๆ กำลังลังเลอยู่นั้น มู่ชิงเกอก็ก้าวเข้าไปยังบันไดลอยก่อน
เพียงแค่สองเท้าของนางเหยียบลงไป ทั้งตัวบันไดก็เหมือนจะเขย่าไหว แสงด้านบนวาบผ่าน ดูเหมือนจะกลายเป็นแข็งแกร่งขึ้นหลายส่วน นางสังเกตใต้เท้าอยู่ตลอด ค่อยๆ เหยียบลงไปทีละก้าวๆ ด้านหลังของนาง คนทั้งสี่ติดตามมา
ในตอนที่พวกเขาทั้งหมดเข้ามาแล้วนั้น รอยร้าวที่ถูกเปิดออกก็รวมเข้าด้วยกันกลับคืนสู่สภาพเดิม
เสียงของการ ‘ปิดประตู’ ดึงดูดให้ทั้งห้าคนหันกลับไปมอง
ถึงแม้ว่าประตูจะถูกปิดลงแล้ว แต่ในถํ้าก็ยังคงสว่าง ก้อนนํ้าแข็งเหล่านี้ล้วนแต่เปล่งประกายส่องแสง
“นายน้อย ให้ข้าเดินข้างหน้าเถอะ”
ในตอนที่มู่ชิงเกอคิดที่จะเดินต่อนั้น มู่เฉินก็เสนอออกมา
พูดจบแล้ว เขาก็ไม่รอให้มู่ชิงเกอเอ่ยว่ายอมหรือไม่ยอม ออกมายืนอยู่ตำแหน่งตรงด้านหน้าของนาง
“ไปกันเถอะ” มู่ชิงเกอหลุบตาลงแล้วเอ่ยสั่งการ
ทั้งห้าคนเดินลงไปด้านล่างต่อ บันไดลอยนี้บางครั้งก็สูงบางครั้งก็ตํ่า แต่ก็ล้วนแต่มุ่งลงไปข้างล่าง ยิ่งลงไปต่อ เรื่อยๆ อุณหภูมิก็ยิ่งตํ่าลง ทันใดนั้นก็มีหลุมดำขนาดใหญ่ปรากฎอยู่ตรงหน้าของพวกเขาและบันไดลอยก็ยังคงยื่นลงไปในหลุมดำ มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
“นายน้อย!” มู่เฉินหยุดฝีเท้าลง หันไปมองมู่ชิงเกอแล้วรอนางสั่งการ
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ มองไปยังหลุมดำที่ลึกจนไม่เห็นก้น ภายในหลุมดูเหมือนว่าจะมีไอเย็นยะเยือกพัดออกมาไม่หยุด ชั้นนํ้าแข็งรอบด้านก็ถูกปกคลุมไปด้วยรัศมีสีฟ้าจางๆ
“หยวนหยวน” มู่ชิงเกอร้องเรียกเบาๆ
หยวนหยวนเข้าใจถึงความหมายในทันที ‘เป๊าะ เป๊าะ เป๊าะ เป๊าะ’ เสียงดีดนิ้วมือสี่ครั้งอย่างต่อเนื่อง ตรงหน้าของเขาปรากฎเปลวไฟสี่ดวง ไอความร้อนดุจดั่งดวง อาทิตย์นี้ชั่วขณะนั้นได้ละลายไอความเย็นไปไม่น้อย
หยวนหยวนยกมือขึ้นสะบัด เปลวไฟสี่ดวงลอยไปอยู่ตรงหน้าของคนอีกสี่คน อุณหภูมินั้นสามารถโอบล้อมพวกเขาได้พอดี ปกป้องไม่ให้พวกเขาถูกไอเย็นกัดกร่อน ทั้งยังสามารถส่งแสงสว่างให้กับทางด้านหน้าอีกด้วย
ฉากนี้ทำให้มู่เฉินและมู่เผิงเผยร่องรอยความดีใจออกมา
“เดินต่อไป ข้าก็อยากจะดูสิว่า ที่นี่นั้นเชื่อมไปถึงสถานที่เช่นไร!” มู่ชิงเกอเอ่ยเสียงเข้ม
หลังจากพวกมู่ชิงเกอเข้าไปในรอยร้าวได้ครึ่งวัน มู่เทียนอินถึงได้นำคนของเขาทั้งสามคนมาถึงหน้าผานํ้าแข็ง
เพียงแต่ว่า ในโลกที่ขาวโพลนแห่งนี้ไม่มีร่อยรอยใดๆ หลงเหลืออยู่ แผ่นดินไหวก่อนหน้านี้ก็ปิดซ่อนร่องรอยว่ามีคนเคยมาก่อนหน้านี้ไปจนหมด
“นายน้อย ผู้เฝ้ามองยังให้คำบ่งชี้ใดๆ อีกหรือไม่? หากว่าไม่มี พวกเราหาเช่นนี้ต่อไป เกรงว่า…” บ่าวคนหนึ่งในนั้นทำใจกล้าพูดออกมา
เหตุผลนี้มู่เทียนอินเข้าใจดี เขานิ่งเงียบลงมา ระลึกไปถึงคำพูดทุกคำที่อาจารย์ของ ตนเคยพูดเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ ทันใดนั้น ความทรงจำหนึ่งก็ปรากฎอยู่ในหัวของเขา นั้นคือก่อนที่จะเดินทางเขากับอาจารย์ได้พูดคุยกัน ในตอนที่อาจารย์พูดถึงช่องว่างนั้น ดูเหมือนว่าจะเคยพูดขึ้นว่าสาเหตุที่เขาคิดว่าที่นี่อาจเป็นที่ซ่อนของเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางก็เพราะว่าในตอนแรกนั้นประมุขตระกูลมู่ให้เขาทำสัญลักษณ์พิเศษเอาไว้ซ่อนสัญลักษณ์อันหนึ่งเอาไว้ในช่องว่าง ส่วนหลังจากที่เขาทำภารกิจสำเร็จแล้วนั้น ก็บังเอิญเห็นแผนที่ที่ประมุขตระกูลทำขึ้นพอดี
“หน้าผา!” นัยน์ตาของมู่เทียนอินฉายแววดุดันและแข็งกร้าว
หน้าผา?
บ่าวทั้งสามคนของเขาได้ยินแล้วกลับรู้สึกสับสน
มู่เทียนอินหรี่ตาลงมา ฉายแววมั่นใจ “เคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางซ่อนอยู่ใต้หน้าผานํ้าแข็งแห่งหนึ่ง หน้าผานั้นดูพิเศษมาก เป็นเหมือนดาบคม สามารถจดจำได้ง่าย”
หน้าผานํ้าแข็งที่มีรูปร่างเหมือนดาบคมงั้นหรือ?
ทั้งสามคนมองออกไปรอบด้านเพื่อค้นหาในทันที ดู เหมือนว่าจะในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็มองเห็นหน้าผาอันเดียวกัน
หน้าผาแห่งนั้นดูโดดเด่นมาก ตั้งตระหง่านราวกับดาบ ความรู้สึกที่พุ่งตรงไปบนท้องฟ้านั้นไม่สอดคล้องกับธารนํ้าแข็งโดยรอบ
“นายน้อย อยู่ที่นั่น!” หนึ่งคนในนั้นชี้นิ้วออกไปอย่างตื่นเต้น
มู่เทียนอินเผยรอยยิ้มที่ได้ใจออกมา เงาร่างพุ่งไปข้างหน้า ทำให้พื้นหิมะเกิดเกล็ดหิมะพุ่งขึ้นและพัดจนทำให้ด้านหน้าของทั้งสามคนมืดมัวไป
รอจนตรงหน้าของพวกเขากลับมาชัดเจนแล้วนั้น มู่ เทียนอินก็ได้ไปถึงใต้ธารนํ้าแข็งนั้นพอดี
ทั้งสามคนไม่กล้าชักช้ารีบตามไป
เมื่อไปถึงด้านหน้าของหน้าผาธารน้ำแข็ง มู่เทียนอินก็ได้เริ่มค้นหาแล้ว สองมือของเขาสัมผัสไปที่ธารนํ้าแข็ง ค้นหาอย่างละเอียด และก็ออกคำสั่งไปพร้อมว่า “พวกเจ้ายังจะนิ่งอยู่ทำไมอีก? ยังไม่รีบค้นหากลไกให้ข้าอีก”
พูดจบแล้ว เขาก็พูดกับตัวเองไปว่า “เคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางจะต้องอยู่ใต้ที่นี่แน่นอน ที่นี่จะต้องมีกลไกอะไรสักอย่างที่สามารถให้ข้าได้เข้าไป เคล็ดวิชาเทวะ เจ้าเป็นของข้า!”
ภายในถํ้าที่มืดมิด บันไดลอยยังคงยื่นลงไปด้านล่าง เปลวไฟสี่ดวงของพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดลอยไปอย่างโดดๆ ภายใต้การส่องของพวกมัน มีเงาร่างคน ปรากฎอยู่อย่างวับๆ แวมๆ
“นายน้อย ไม่รู้ว่าพวกเราเดินอยู่ในนี้นานแค่ไหนแล้ว ช่องว่างแห่งนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ได้แยกกลางวันกลางคืน ส่วนในถํ้าแห่งนี้ก็ยิ่งแยกเวลาไม่ออก” มู่เฉินที่เดินอยู่ ข้างหน้าเอ่ยกับมู่ชิงเกอเบาๆ
มู่ชิงเกอหยิบเอาธูปหอมที่ราชครูมอบให้นางออกมา ในตอนนี้ธูปหอมที่แต่เดิมมีความยาวเท่านิ้วมือก็ได้ลดลงไปถึงหนึ่งในสามส่วนแล้ว
มู่ชิงเกอเก็บธูปหอมเงียบๆ แล้วเอ่ยกับมู่เฉินว่า “พวกเราเข้ามาได้อย่างน้อยสองสามวันแล้ว”
“เร็วถึงขนาดนั้นเชียว!” มู่เฉินตกใจ แล้วเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ตอนนี้พวกเรามีเวลาไม่มาก ต้องรีบหาเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางให้พบ แล้วก็ยังต้องเหลือเวลาไว้ยาม กลับไปด้วย”
“ใช่” มู่ชิงเกอพยักหน้าเบาๆ
คนทั้งห้าเร่งความเร็วก้าวลงไปบนบันไดที่คดเคี้ยว
ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม หรือสองชั่วยาม…ในที่สุดพวกเขาก็เดินออกมาจากถํ้ามืดมิดได้ ใต้เท้าก็ไม่ใช่บันไดลอยอีกต่อไป แต่เป็นชั้นนํ้าแข็งหนา
“นี่เป็นสถานการณ์อะไรกัน? หรือว่าพวกเราเดินวนไปรอบหนึ่งแล้วกลับมาที่ถํ้านํ้าแข็งเหมือนเดิมงั้นหรือ?” เจียงหลีมองไปยังฉากนี้อย่างแปลกใจ
ตรงหน้าไม่ใช่ความมืดมิดอีกต่อไป แต่ว่าที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าของพวกเขานั้นกลับเป็นถํ้านํ้าแข็งธรรมดา
นั้าแข็งที่อยู่ด้านในห้อยย้อยควํ่าลงมา มีเสานํ้าแข็งตั้งตรง ดูเหมือนกับเป็นวังน้ำแข็งแก้ว
“ในเมื่อบันไดลอยนำมาที่นี่พวกเราก็เดินไปด้านในกันเถอะ” เดินออกจากถํ้ามืด ก็ไม่พบสิ่งที่ตามหาปรากฎออกมา ในใจของมู่ชิงเกอรู้สึกหนักอึ้ง นางไม่มีเวลามากพอที่จะสิ้นเปลืองอยู่ที่นี่จริงๆ และก็ไม่รู้ว่าบรรพบุรุษของตระกูลมู่คิดอย่างไรถึงได้จัดวางเส้นทางยาวไกลถึงขนาดนี้
“ไปกันเถอะ หากไม่ไปด้านหน้าต่อแล้วจะทำอย่างได้?” เจียงหลีพยักหน้าถอนหายใจออกมา
ทั้งห้าค่อยๆ มุ่งหน้าไปภายใน ‘วังนํ้าแข็งแก้ว’ แม้ว่าจะมาถึงที่นี่แล้วสายตาจะกลับคืนสู่ปกติ แต่ว่าไอเย็นก็ยังคงอยู่ ดังนั้นหยวนหยวนจึงไม่ได้เก็บพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดที่ปล่อยออกไปกลับมา
“นี่คืออะไรกัน? สวยงามจริงๆ!” เดินไปเพียงไม่นาน ทัน ใดนั้นเจียงหลีที่มองไปด้านหน้าก็ร้องตกตะลึงออกมา
มู่ชิงเกอมองออกไปตามเสียง เป็นสีแดงสดงดงามสะท้อนเข้ามาในนัยน์ตาของนาง สองตาของนางอดไม่ได้ที่จะหดตัวลง พริบตาเดียวก็เบิกตากว้างออกมา รีบ เดินไปยังสีแดงเลือดนั้นอย่างรวดเร็ว ปฏิกิริยาที่ผิดปกติของมู่ชิงเกอทำให้ทั้งสี่คนที่เหลือรู้สึกสงสัย
“ต้องตื่นเต้นถึงขนาดนั้นเลยหรือ?” เจียงหลีพึมพำออกไปหนึ่งประโยค
พวกเขาเดิมตามมู่ชิงเกอมา ในตอนนี้มู่ชิงเกอได้มาถึงตรงหน้าของพืชนั้นแล้ว ค่อยๆ ก้มลง จ้องมองพืชที่ทั้งดูเหมือนเห็ดและไม่เหมือนอันนั้นไม่ขยับ
มันมีเพียงแต่ดอกเดียวที่เติบโตอยู่ในซอกของนํ้าแข็ง หากไม่ใช่เพราะว่ามีสีสด เกรงว่าคงจะไม่มีคนสังเกตเห็น
บนตัวยังลวดลายอันงดงามดุจดงแนวเมฆทั้งยังดูเหมือนกับขนนก
“เป็นเห็ดหลินจือขนโลหิตจริงๆ!” มู่ชิงเกอพูดอย่างยินดี
“เห็ดหลินจือขนโลหิต? ใช้ทำอะไร?” เจียงหลีโน้มกายไปข้างหน้า เอ่ยถามกับมู่ชิงเกออย่างสนใจ นัยน์ตาของนางก็จ้องเห็ดหลินจือขนโลหิตอันนั้น แต่ว่า สำหรับนางแล้ว ก็เป็นเพียงแค่สวยงามเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในโลกอันขาวโพลนแห่งนี้ก็ยิ่งดูโดดเด่น
“เห็ดหลินจือขนโลหิตเป็นสิ่งสำคัญที่จะฟื้นคืนชีพให้แก่มู่เหลียนเฉิง” มู่ชิงเกออธิบายเสียงเบาออกมา
ในตอนนี้นางสบายใจเป็นอย่างมาก ของที่หายากสำหรับซือมํ่ว ในตอนนี้นางบังเอิญพบเจออยู่ในหานชุ่นแล้วอันหนึ่ง
ไม่! ไม่ใช่นางค้นพบเป็นเจียงหลีต่างหาก!
มู่ชิงเกอหันมองนาง นัยน์ตาสดใสเปล่งประกาย
“ไม่ต้องมาซาบซึ้งใจให้ข้าจนเกินไป ตัวข้านั้นมีโชดที่ไม่เลวเสมอมา” เจียงหลีเข้าใจถึงความรู้สึกขอบคุณในแววตาของนาง จึงเล่นผมของตนเองไปมาอย่างภาคภูมิใจ
มู่ชิงเกอยิ้มยื่นมือลงไปเก็บเห็ดหลีนจือขนโลหิตแล้วก็ใช้กล่องหยกเก็บเอาไว้อย่างระมัดระวัง แล้วก็วางไว้ในช่องว่าง
หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว นางก็โล่งใจ ยืนขึ้นมา ท่าทางดูปลอดโปร่งเอ่ยว่า “เดินทางต่อกันเถอะ”
ได้รับเห็ดหลินจือขนโลหิตมาแล้ว โอกาสที่จะฟื้นคืนชีพให้มู่เหลียนเฉิงได้ก็ค่อยเพิ่มขึ้นมาหน่อย
นางคิดไม่ถึงว่าในการเดินทางมาหานชุ่นในครั้งนี้กลับยังได้รับกำไรที่เหนือความคาดหมายอันหนึ่งด้วย
ทั้งห้าคนเดินไปตามทางครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ไปถึงจุดสิ้นสุด
จุดสิ้นสุดที่ว่านั้นดูเหมือนเป็นถํ้าแห่งหนึ่ง บนชั้นนํ้าแข็งตรงหน้าดูเหมือนว่ามีการสร้างประตูขึ้น ใต้ประตูมีบันไดสามชั้นเชื่อมต่อกัน นอกชั้นบันไดมีรูปแกะ สลักนํ้าแข็งขนาดใหญ่สองรูปยืนอยู่ทางด้านซ้ายและขวา
“นี่ดูเหมือนเป็นสัตว์อสูรเทวะเลย!” มู่เผิงมองไปที่รูปแกะสลักนํ้าแข็งสองรูปแล้วก็คาดเดาออกมา
รูปแกะสลักนํ้าแข็งทั้งสองดูเหมือนว่าจะกำลังปกป้อง มู่ชิงเกอมองเห็นฉากนี้ในใจก็เกิดลางสังหรณ์ขึ้นมาว่า ของที่นางต้องการต้องอยู่ในถํ้าแห่งนี้แน่
‘ดูเหมือนว่าข้าจะได้กลิ่นของหยาจื้อ’ ทันใดนั้นเสียงของโห่วก็ดังขึ้นในหัวของนาง
หยาจื้อ*[1]!
[1] ‘หยาจื้อ เป็นสัตว์เทพโบราณของชาวจีน ส่วนร่างกายคล้ายหมาป่า ส่วนหัวเป็นมังกร หยาจื้อมีนิสัยดุร้าย ชอบการต่อสู้ กล้าหาญ รูปของหยาจื้อมักจะถูกสลักไว้ที่ปลายของฝักดาบเพื่อเพิ่มความกล้าหาญฮึกเหิมให้แก่ผู้คน’