ตอนที่ 310
โห่วกลายร่างเป็นคน!
“ชิ!”
เสียงสบถดังเข้ามา ทำลายพลังกดดันตรงหน้าของมู่เฉินไป และก็ทำให้เขาผ่อนคลายลงในพริบตา
มู่ชิงเกอรีบดีดเม็ดยาเข้าไปในปากของมู่เฉินในทันทีและลากเขาไปยังด้านหลังของตนเอง
‘เด็กน้อย เจ้าปล่อยข้าออกไปเถอะ’ เสียงของโห่วดังขึ้นในหัวของมู่ชิงเกอ
เสียงสบถเมื่อครู่ หากไม่ใช่เขาลงมือแล้วจะเป็นใคร?
“เป็นใครกัน!” มู่เทียนอินเอ่ยถามด้วยเสียงเย็นยะเยือก นัยน์ตาเยียบเย็นเต็มไปด้วยความระมัดระวัง
เสียงสบถที่ดังขึ้นอย่างฉับพลันนี้ทำให้ลูกน้องของเขาทั้งสามคนเก็บท่าทางดูถูกดูแคลนกลับไป แล้วมองไปรอบด้าน สามารถใช้เพียงเสียงเดียวทำลายพลังกดดันของพวกเขาได้จะต้องไม่ใช่ยอดฝีมือธรรมดาแน่
เพียงแต่ว่าภายในช่องว่างแห่งนี้ แม้ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งขนาดไหนก็สามารถใช้กำลังได้เพียงระดับสีทองชั้นหกเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้กังวลใจสักเท่าไหร่
มู่ชิงเกอสะบัดมือปล่อยกระต่ายตัวเล็กน่ารักตัวหนึ่งตกลงไปบนพื้นหิมะ
มันมีตัวสีขาวล้วน ที่พิเศษก็คือมันมีหูสีดำและดวงตาคู่นั้นกลับไม่เหมือนกระต่ายธรรมดาทั่วไปเพราะมันเป็นแสงสีทองวาววาบดุจดั่งไฟเผา การปรากฎตัวของเขาทำให้คนของทั้งสองฝ่ายล้วนแต่ตกตะลึงไป
คนทั้งสามคนของฝั่งมู่เทียนอิน หลังจากที่มองเห็นกระต่ายที่มู่ชิงเกอปล่อยออกมาตัวนั้นแล้ว ชั่วขณะนั้นก็หัวเราะเสียงดังอย่างดูแคลนขึ้นมา กลุ่มคนที่มาจากโลกแห่งยุคกลางเหล่านี้คือมาเล่นตลกกันใช่ไหม?
แม้แต่มู่เฉินและมู่เผิงก็ไม่แน่ใจว่าเหตุใดมู่ชิงเกอจึงได้ปล่อยกระต่ายตัวหนึ่งออกมา
ส่วนหยวนหยวนผู้ที่รู้ซึ้งถึงความสามารถของโห่ว ก็เผยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัยออกมา ราวกับกำลังรอจะดูละครสนุก
“โห่ว!” ทันใดนั้นสองตาของมู่เทียนอินก็หดตัวลง สีหน้าเปลี่ยนไปในทันที
เขานึกสถานะที่แท้จริงของกระต่ายที่น่ารักตัวนี้ได้
โห่ว!
ถึงกับเป็นโห่ว!
รอยยิ้มบนใบหน้าของคนทั้งสามคนฝั่งทางมู่เทียนอินแข็งค้างขึ้นในทันที เปลี่ยนเป็นดูไม่ได้เป็นอย่างมาก เบิกตากว้างมองดูกระต่ายที่หมอบอยู่ด้านข้างของมู่ชิงเกอ ในใจมีความรู้สึกที่ไม่อยากเชื่อคำพูดของนายน้อยของพวกเขาว่าเป็นความจริง
“เด็กน้อย มองไม่ออกเลยจริงๆ ว่าเจ้าที่อายุเพียงแค่ร้อยปี กลับสามารถมองออกได้เพียงแวบเดียวว่าข้าเป็นใคร” กระต่ายพูดออกมา ซึ่งนี่ทำให้ฝั่งทางของมู่เทียน อินตกตะลึงมากขึ้น
‘ร้อยปี!’ มู่ชิงเกอตกตะลึงขึ้นในใจ นางคิดไม่ถึงว่าคนที่ดูอายุรุ่นราวคราวเดียวกับนางตรงหน้าจะมีอายุถึงร้อยปีแล้ว
ทันใดนั้นกระต่ายที่หมอบอยู่บนพื้นหิมะก็เปล่งประกายแสงสีทองแสบตาออกมา
แสงสีทองนั้นค่อยๆ ถูกควันสีม่วงดำเข้าแทนที่ ภายในหมอกควันสีดำนี้แฝงไปด้วยความอำมหิตเลือดเย็น กระหายเลือด ทำให้คนรู้สึกเย็นยะเยือก อดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปหลายก้าว
มู่ชิงเกอกลับยืนอยู่ไม่ขยับ ดวงตาสดใสจ้องมองไปที่โห่ว
หมอกควันค่อยๆ จางหายไป กระต่ายที่แต่เดิมหมอบอยู่บนพื้นหายไปกลายเป็นคนหนึ่งคน!
เพียงเขาปรากฎตัวออกมา ฝั่งทางมู่เทียนอินก็อดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปสองก้าว นัยน์ตาเย็นยะเยือกขึ้นมา
ส่วนมู่ชิงเกอก็หันไปมอง เรือนร่างสูงใหญ่กว่าปกติ ภายนอกดูดุร้ายป่าเถื่อน บนร่างปกคลุมด้วยเสื้อคลุมหนังสีม่วงดำ หน้าอกเปลือยเปล่าเผยให้เห็นแผงอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม บริเวณอกของเขาห้อยสร้อยกระดูกเส้นหนึ่งเอาไว้ ส่วนตัวจี้กลับเป็นหัวมังกรที่ผ่านการหลอมมาแล้ว
บนคอของเขามีสร้อยคอห้อยอยู่เส้นหนึ่งที่เปล่งแสงสีทองวาววาบ
ผมยาวปล่อยสยาย ดูไม่สนใจและป่าเถื่อน ส่วนใบหน้าของเขานั้น…
ในตอนที่สายตาของมู่ชิงเกอกวาดมองไปยังใบหน้าของเขานั้น ดวงตาก็อดไม่ได้ที่จะหดตัวลง เต็มไปด้วยความตกตะลึง พูดอย่างจริงจังใบหน้านี้ก็นับว่าเป็นใบหน้าที่น่าดูใบหน้าหนึ่ง รูปโฉมดูป่าเถื่อนดุร้ายแต่ก็ดูมีเสน่ห์
แต่ว่า…
บนใบหน้าของเขานี้ กลับถูกปกคลุมไว้ด้วยรอยสักปิดบังไว้ถึงหนึ่งในสามส่วน ปกปิดใบหน้าส่วนใต้จมูกของเขาลงไป รอยสักสีดำเหล่านั้นแพร่กระจายจากริมฝีปาก ไปถึงส่วนหู สะท้อนให้ใบหน้าของเขายิ่งดูดุร้ายและอำมหิตมากยิ่งขึ้น
‘เหตุใดต้องสักหน้าด้วย?’ มู่ชิงเกอสงสัยอยู่ในใจ แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะถาม โห่วยิ้มอย่างเย็นชาแต่กลับยิ่งทำให้ใบหน้าเขาดูน่ากลัวมากยิ่งขึ้น “พวกเจ้าไม่กี่คนเป็นเพียงรุ่นเยาว์ที่มาจากแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร แต่กลับกล้าที่จะมาทำตัว
โอหังต่อหน้าข้า!”
เพียงคำพูดของเขาหลุดออกไปก็ทำให้คนสามคนฝั่งทางมู่เทียนอินมีสีหน้าตื่นตกใจ
พวกเขาอยู่ในแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารเหตุใดถึงจะไม่ได้ยินชื่อเสียงของโห่ว?
ท่านนี้แม้แต่สมองของเผ่ามังกรก็ยังสามารถกินได้! เป็นบรรพบุรุษของเหล่าสัตว์อสูรร้าย!
ปฏิกิริยาของพวกเขาทำให้พวกมู่เฉินผ่อนคลายลง แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าโห่วนั้นหมายถึงอะไร และก็ไม่ได้ชัดเจนว่าเหตุใดเขาจึงมาปรากฎตัวอยู่ข้างกายของมู่ชิงเกอ แต่ดูจากท่าทางของเขาแล้วดูเหมือนว่าจะมีความสามารถ สามารถที่จะหยุดชะงักคนกลุ่มนี้ได้
มีเพียงเจียงหลี นางพุ่งเข้าไปข้างกายของมู่ชิงเกอ กระซิบข้างหูของนางว่า ‘เจ้าคนนี้พึ่งได้หรือไม่?’
มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก โห่วนั้นเป็นไพ่ตายของนางแล้ว พึ่งได้หรือพึ่งไม่ได้นั้น…เหอ เหอ นางยังไม่แน่ใจจริงๆ
“ยังไม่รีบไสหัวไปอีก! ข้าเห็นพวกเจ้าแล้วรำคาญตา ที่อยู่ต่อคือคิดจะเอาสมองมาให้ข้าอย่างนั้นหรือ?” โห่วยืนอย่างอหังการ เหลือบมองพวกมู่เทียนอินสี่คน เขาคำรามออกมาในครั้งนี้ก็ทำให้คนของฝั่งทางมู่เทียนอินถอยหลังไปอีกสองก้าว ไอพลังหายไป
สีหน้าของมู่เทียนอินดำทะมึนขึ้นอย่างน่ากลัว นัยน์ตาที่เย็นชาฉายแววไม่ยินยอม
ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะเยาะขึ้นมา ในเสียงหัวเราะนั้นมีความบ้าคลั่งแล้วก็ยังมีความดูแคลน “ท่านผู้นี้หากว่าที่นี่เป็นแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร บางทีคำพูดของท่านเมื่อครู่อาจทำให้พวกเราจากไปในทันทีได้ แต่ว่าอย่าลืมไปเสียเล่าว่าที่นี่ไม่ใช่แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร แม้จะเป็นตัวท่านเอง เมื่ออยู่ที่นี่กำลังก็ถูกกำหนดไว้อยู่ที่ระดับพลังสีทองชั้นหกเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเหตุใดข้าต้องกลัวท่านด้วย?”
เมื่อพูดจบนัยน์ตาของเขาก็ฉายแววเย็นยะเยือก ความเย็นยะเยือกนั้นแฝงไว้ด้วยไอสังหาร
คำพูดนี้ของเขาทำให้ในใจของคนฝั่งทางมู่ชิงเกอรู้สึกหนักอึ้งลง ภายในนัยน์ตาสดใสของมู่ชิงเกอก็ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรเปลี่ยนไหวไปมาตลอด
ส่วนคนของเขาทางนั้นก็รู้สึกเหมือนมีกำลังใจขึ้นมา ยืดอกออกมาในทันทีไม่ได้มีทีท่าหวาดกลัวเช่นก่อนหน้านี้อีก
มู่เทียนอินพูดต่ออีกว่า “ในตอนนี้ ทางฝั่งท่านมีเพียงแค่ระดับสีทองชั้นหกเพียงคนเดียว ส่วนคนที่เหลือ…” เขากวาดตามองไปอย่างอหังการ แล้วพูดดูแคลนออกมาว่า “ล้วนไม่อยู่ในสายตา ส่วนทางฝั่งข้ามีระดับสีทองชั้นหกอยู่ถึงสี่คน เหตุใดข้าจึงต้องถอยด้วย? กลับไปที่ทางท่าน เทียนอินเคารพนับถือในชื่อเสียงของท่าน จึงขอพูดกับท่านสักคำว่าอย่าได้ขวางทางนํ้าเชี่ยวจะดีกว่า หากว่าสนใจจะชมก็สามารถมองดูอยู่ข้างๆ ได้ รอให้ข้าจัดการพวกมดปลวกเหล่านี้เสร็จแล้วกลับไปถึงแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร เทียนอินค่อยจะใช้เหล้าปลาอาหารเลี้ยง ต้อนรับท่านเป็นอย่างดี แล้วร่วมดื่มกับท่านเป็นอย่างไร?”
“ผู้สืบทอดที่แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารเลือกออกมาคนนี้ ไม่ใช่คนที่ต่อกรได้ด้วยง่ายๆ” มู่เผิงกระซิบข้างหูของมู่เฉิน
นับจากมู่เทียนอินปรากฎตัวจนถึงตอนนี้ ความสามารถที่แสดงออกมาก็ล้วนแต่ทำให้คนไม่กล้าที่จะดูแคลน นี่ทำให้มู่เฉินและมู่เผิงกังวลใจแทนมู่ชิงเกอ
สองคนนี้คนหนึ่งอยู่ในโลกแห่งยุคกลางอีกคนหนึ่งอยู่ในแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร ความแตกต่างระหว่างพลังของคนทั้งสองนั้นมีช่องว่างมาก พวกเขาไม่รู้ว่าหากต่อสู้กับศัตรูเช่นนี้ มู่ชิงเกอจะยังมีโอกาสชนะอยู่หรือไม่
โห่วหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เขาดูแคลนคำพูดของมู่เทียนอิน แล้วเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “หรือเจ้าไม่รู้เลยว่าแม้จะเป็นระดับพลังสีทองชั้นหกเช่นเดียวกันก็มีความแตกต่างกัน? แม้ว่าพลังของข้าในตอนนี้จะถูกกดให้อยู่ในระดับพลังสีทองชั้นหก แต่หากคิดจะบีบพวกเจ้าไม่กี่คนให้ตายก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายนัก”
เมื่อพูดจบแล้วเขาก็ส่งเสียงไปหามู่ชิงเกอในทันที ‘เด็กน้อย คู่มือของเจ้าพวกนี้ยากที่จะต่อกรกว่าที่คาดคิดไว้ เกรงว่าข้าอาจจะทำให้พวกเขาหวาดกลัวไม่ได้ ขอบอกความจริงแก่เจ้า อาการบาดเจ็บของข้ายังไม่ฟื้นฟูดี หากต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ ก็สามารถต่อสู้ได้เพียงแค่คนเดียว สามารถรับรองได้ว่าเจ้าจะไม่ตาย แต่คนที่เหลืออีกสามคน ยังมีเพื่อนและคนของเจ้าเหล่านั้นก็…”
โห่วยังไม่ทันพูดจบ มู่ชิงเกอก็เข้าใจความหมายในทันที
ความหมายของเขาก็คือเขาทำได้เพียงคุ้มครองความปลอดภัยของนางแล้วก็ต่อสู้กับคนได้แค่คนเดียว ส่วนคนที่เหลือก็มอบให้แก่มู่เฉิน เจียงหลี หยวนหยวนแล้วก็มู่เผิงจัดการ!
ในใจของมู่ชิงเกอรู้สึกหนักอึ้ง หากต่อสู้เช่นนี้ ก็คือไม่มีโอกาสที่จะชนะแล้ว
“อา? ท่านคิดจะสอดมือมายุ่งกับเรื่องนี้จริงๆ หรือ?” มู่เทียนอินกลับไม่ได้ถูกโห่วทำให้หวาดกลัว แต่กลับยิ้มออกมากว้างขึ้น “หากว่าข้าไม่ได้ดูผิดแล้วละก็ ตอนนี้ ท่านน่าจะมีอาการบาดเจ็บอยู่ใช่หรือไม่”
นัยน์ตาของโห่วฉายแววเย็นชา รวมทั้งท่าทางที่ดูอหังการก็ถูกเก็บงำเข้ามาในทันที
ปฏิกิริยาเช่นนี้ทำให้มู่เทียนอินยิ่งแน่ใจในการคาดเดาของตนเอง เขาพูดต่อว่า “หากว่าท่านไม่มีอาการบาดเจ็บ อิงตามอารมณ์ของท่าน จะมาต่อปากต่อคำอยู่กับข้าอยู่ที่นี่ทำไม?”
นัยน์ตาสีทองของโห่วฉายแววสังหาร
ตอนนี้มู่ชิงเกอกลับยื่นมือออกไปลากเขาเข้ามาข้างๆ ส่วนตนเองนั้นก้าวออกไป
“คู่มือของเจ้าก็คือข้า” มู่ชิงเกอมองไปที่มู่เทียนอินแล้วก็พูดออกมาด้วยนํ้าเสียงที่เรียบเฉย
มู่เทียนอินกวาดตามองนางอย่างดูถูก นัยน์ตาก็ฉายแววดูแคลน “เจ้างั้นหรือ? เป็นเพียงแค่ระดับสีเงินชั้นสาม คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าพวกไร้ประโยชน์อย่างตำหนักเทพทำเรื่องกันอย่างไรถึงฆ่าเจ้าไม่ได้”
เรื่องของตำหนักเทพเกี่ยวกับเขาจริงๆ!
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ การคาดเดาในใจเมื่อครั้งก่อนได้รับการยืนยันแล้วว่าการที่อยู่ดีๆ ตำหนักเทพส่งซีเซียนเสวี่ยมาสร้างความลำบากให้แก่นางนั้น เป็นเพราะเขาสร้างเรื่องขึ้น
มู่ชิงเกอหัวเราะเยาะ “ความกล้าของเจ้า ทำให้ข้ารู้สึกนับถือยิ่งนัก ตระกูลมู่ในแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารต้องใช้ชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น แต่เจ้ากลับยังสามารถลอบเข้าไปในตึกเทวะ และส่งคำสั่งให้ตำหนักเทพได้ เกรงว่าตำหนักเทพน่าจะสงสัยถึงคำสั่งนี้ว่าเป็นของจริงหรือของปลอม ถึงไม่ให้ความใส่ใจมากเท่าไหร่ ก็ไม่รู้ว่าจะมีใครในตำหนักเทพที่สามารถส่งผ่านข้อสงสัยนี้กลับคืนขึ้นไปได้หรือไม่? เพื่อที่จะกำจัดคู่ต่อสู้แล้วกลับไม่สนใจว่าจะเปิดเผยตนเอง การค้าขายที่ไม่คุ้มค่าเช่นนี้ก็มีแต่เจ้าเท่านั้นที่สามารถทำลงไปได้”
“ชิ” นัยน์ตาของมู่เทียนอินฉายแววอำมหิต นัยน์ตาส่วนลึกเกิดความมืดดำม้วนพัดขึ้นมา เขาสบถอย่างเย็นชา สายตาที่มองไปยังมู่ชิงเกอเต็มไปด้วยไอสังหาร
เรื่องที่มู่เทียนอินลักลอบเข้าไปในตึกเทวะนั้น นอกจากเขาและอาจารย์ที่เป็นผู้เฝ้ามองท่านนั้นแล้วก็ไม่มีคนอื่นรู้เรื่องอีกเลย
ในตอนนี้ถูกมู่ชิงเกอเปิดโปง ทำให้คนของเขาทั้งสามคนตกตะลึงไปชั่วขณะ ในใจเกิดความแค้นเคืองขึ้นมา ตอนนี้พวกเขานั้นอยู่ด้วยกันกับมู่เทียนอิน หากว่ามู่เทียนอินถูกเปิดเผยแล้วเช่นนั้นก็เท่ากับว่าพวกเขาก็ถูกเปิดเผยเช่นเดียวกัน ถึงตอนนั้นแล้วก็อาจจะถูกครึ่งนึงของเผ่าเทพไล่ล่าสังหารได้
ที่สำคัญก็คือคนที่เขาเสี่ยงภัยอันตรายขนาดนี้เพื่อกำจัดตอนนี้ก็มายืนอย่างปลอดภัยอยู่ตรงหน้าของพวกเขา ทั้งยังได้รับเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางไปแล้วด้วย
เพียงแต่ถึงพวกเขาจะโมโหแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา แม้ว่าในใจจะมีความแค้นแต่ก็ไม่กล้าเปิดเผยออกมา เพราะกลัวว่าจะถูกมู่เทียนอินรับรู้
ทั้งสองคนยืนเผชิญหน้ากัน บนร่างเกิดเป็นไอพลังพวยพุ่ง
ไม่ว่าจะเป็นมู่เทียนอิน หรือว่ามู่ชิงเกอ ตอนนี้ก็ล้วนแต่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นอีกฝ่าย เพียงแต่ เพียงแค่ครั้งแรกกลับเป็นการพบกันในหานชุ่น แล้วก็ได้พบกันใน สถานะศัตรู
‘ฆ่าเขาซะ! มีเพียงแต่ฆ่าเขาเท่านั้น ข้าถึงจะได้นั่งบนตำแหน่งประมุขตระกูลมู่ได้อย่างมั่นคง!’ นัยน์ตาที่ดูอำมหิตคู่นั้นของมู่เทียนอินเหลือบมองมู่ชิงเกอแล้วพูด กับตัวเองในใจ
เกรงว่าแม้ปากของเขายังไม่กล้ายอมรับ แต่ว่าในใจก็ไม่อาจไม่ยอมรับได้ว่ามู่ชิงเกอนั้นเป็นคู่มือที่รับมือยากมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้อยู่บ้าง
โดยเฉพาะในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าฝั่งทางเขานั้นเหนือกว่า แต่เขากลับยังสามารถเผยท่าทีที่ดูสบายๆ เช่นนั้นออกมาได้ท่าทางที่ดูไม่หวาดกลัวเช่นนั้นไม่ได้เผยความรู้สึกอับจนหนทาง ยิ่งไม่มีท่าทีสับสนวุ่นวายหรือหวาดกลัวออกมาเลยแม้แต่น้อย
อารมณ์และสติเช่นนี้เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาสนใจ!
ไอสังหารในใจของนู่ทียนอินค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเข้มชันขึ้น
ส่วนมู่ชิงเกอจะพยายามคิดอย่างหนักว่าจะถอนตัวออกไปอย่างไรดี บนตัวของนาง ธูปหอมที่ราชครูมอบให้แก่นางนั้นเหลือไม่มากแล้ว หากว่าไม่สามารถสลัดการไล่ฆ่าของมู่เทียนอินไปได้ เกรงว่าพวกเขาคงล้วนแต่ต้องอยู่ที่นี่ต่อไปแล้ว
‘เขาก็คือเคราะห์ใหญ่ที่ราชครูคำนวณออกมาอย่างนั้นหรือ?’ มู่ชิงเกอพูดกับตัวเองในใจ
ราชครูพูดเอาไว้ว่านางจะมีเคราะห์ที่เกี่ยวพันถึงความเป็นความตาย ตอนนี้ดูแล้วเกรงว่าจะเป็นวันนี้
เคราะห์?!
ภายในนัยน์ตาอันสดใสของมู่ชิงเกอฉายจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้
แม้ว่าจะเป็นเคราะห์จริงๆ นางก็จะไม่ยอมอย่างเด็ดขาด! ยิ่งจะไม่ยอมให้เคราะห์ในครั้งนี้ได้เปรียบเป็นอันขาด!
“ไม่ว่าเจ้าจะกะล่อนอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ต่อหน้าพละกำลังที่แท้จริงแล้ว เจ้าทำได้เพียงแต่ต้องส่งเคล็ดวิชาเทวะออกมาเสียดีๆ บางทีถ้าข้าอารมณ์ดีอาจจะให้เจ้า ตายอย่างสบายๆ หน่อย” มู่เทียนอินยกดาบหนักชี้ตรงไปทางมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอกุมทวนหลิงหลงในมือเตรียมพร้อมเช่นเดียวกัน
ทั้งสองคนเผชิญหน้าต่อสู้เป็นตายตัดสินเพียงกระบวนท่าเดียว!
“ข้าขอถามเจ้าอีกสักประโยค เจ้าจะมอบเคล็ดวิชาเทวะออกมาเอง หรือจะให้ข้าฆ่าเจ้าก่อนจากนั้นก็หาเอาเอง!” มู่เทียนอินยกดาบหนักขึ้น
เพียงแค่เขาเคลื่อนไหวคนทั้งสามคนข้างกายของเขาก็รวบรวมพลังในทันที
ฝั่งทางมู่ชิงเกอ แม้ว่ากำลังจะสู้ไม่ได้แต่ก็ไม่ได้สับสนอลหม่าน รวบรวมพลังเช่นเดียวกัน แม้แต่โห่วก็เก็บท่าทีล้อเล่นกลับไป มองพวกมู่เทียนอินอย่างเย็นชา
“ไม่ให้! หากมีความสามารถก็มาแย่งเอาเอง” มุมปากของมู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มโอหังออกมา