Skip to content

พลิกปฐพี 323

ตอนที่ 323

หลอมทวนหลิงหลง

เครื่องหน้าของเขาชัดเจน แม้ไม่ได้โกรธเกรี้ยวแต่ก็ให้ ความรู้สึกน่าเกรงขาม หว่างคิ้วดูเปี่ยมไปด้วยภูมิปัญญา

เขามองมู่เทียนอินแล้วค่อยๆ เอ่ยว่า “นำคนไปสี่คน แต่ตอนนี้กลับมีแค่เจ้าเพียงคนเดียวที่รอดกลับมา เจ้าพบเจออะไรภายในหานชุ่นกันแน่? แล้วเหตุใดถึงได้บาดเจ็บไปทั้งตัวขนาดนี้?”

ในใจของเขาดูเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่าที่มู่เทียนอินอยู่ในสภาพสะบักสะบอมได้ถึงขนาดนี้ ทั้งยังถูกบีบให้ใช้อาคมโดยไม่สนใจภาวะสะท้อนกลับของพลัง ทั้งยังฝืนเพิ่มระดับพลังฝึกปรือ จนถึงกับแขนขาดไปข้างหนึ่งจะเป็นเพราะนายน้อยตระกูลมู่คนอื่น

เพราะว่า เท่าที่เขาดูมา ในการแข่งขันครั้งนี้ไม่มีใครที่มีระดับพลังสูงกว่ามู่เทียนอินอีกแล้ว

หากว่าสภาพสะบักสะบอมไปทั้งตัวนี้ล้วนแต่เป็นคู่มือของเขาเป็นคนทำ เช่นนั้น…

นัยน์ตาของเขาฉายแววแข็งกร้าวดุดันขึ้น ส่วนลึกของนัยน์ตาวาววับ เขาเอ่ยกับมู่เทียนอินที่สลบอยู่ว่า “ทางเลือกของข้าไม่มีทางผิด! ไม่ว่าเป็นใครที่ทำให้เจ้าถูกทำ ร้ายจนเป็นเช่นนี้ ข้าก็ล้วนแต่จะช่วยเจ้ากลับมา ทำให้เจ้าแข็งแกร่งยิ่งขึ้น!”

โลกแห่งยุคกลาง ภาคตะวันตก เมืองฝูซา

การจากไปและกลับมาของมู่ชิงเกอ ไม่ได้ทำให้คนในตระกูลซางแตกตื่นแต่อย่างใด

คนที่รู้เรื่องราวที่นางจากไปและกลับมาในครั้งนี้ ก็มีเพียงแค่ซางซุ่นหวาง ซางหลันรั่วและมู่เสวี่ยอู่สามคนเท่านั้น ดังนั้นพูดได้ว่า คนอื่นๆ ของตระกูลซางไม่เคยรู้เรื่องราวที่นางจากไปแล้วก็ได้รับบาดเจ็บหนักทั้งยังกระทบกระเทือนจิตใจกลับมาเลย

มาถึงเป็นวันที่สาม มู่ชิงเกอก็เดินเข้าไปยังห้องหลอมยุทธภัณฑ์ที่มีเฉพาะประมุขของตระกูลซางเท่านั้นที่จะสามารถใช้ได้

สามวันมานี้นอกจากวันที่นางตื่นขึ้นมาแล้วทำเรื่องที่สมควรทำไปแล้วนั้น ที่เหลืออีกสองวัน นางก็ไม่พบใครทั้งสิ้น นั่งสมาธิสองวันเต็มๆ

จากนั้นนางก็ไปพบซางซุ่นหวาง ขอใช้ห้องหลอมยุทธภัณฑ์

ซือมั่วบอกนางว่าต้องหลอมทวนหลิงหลงขึ้นมาใหม่ แต่ไม่สามารถหลอมอยู่ในช่องว่างของนางได้ เพราะว่าโลกภายในช่องว่างไม่อาจทำให้ขั้นตอนสุดท้ายเสร็จสมบูรณ์ได้

และในตระกูลซางทั้งหมดนั้น ห้องหลอมยุทธภัณฑ์ของซางซุ่นหวางนั้นดีที่สุด แน่นอนว่านางก็ต้องเลือกอันนี้

“เกอเอ๋อร์เพิ่งจะกลับมา ร่างกายยังไม่ฟื้นฟูดี เหตุใดจึงต้องเริ่มหลอมยุทธภัณฑ์ด้วย?” ซางซุ่นหวางยืนอยู่นอกห้องหลอมยุทธภัณฑ์ พึมพำออกมา

วันนี้ เขาได้เห็นซือมั่วอีกครั้ง

เพราะคาดเดาว่าเขานั้นเป็นคู่หมั้นของมู่ชิงเกอ ดังนั้นจึงลอบมองหลายๆ ครั้ง ยิ่งมองก็ยิ่งชอบ รู้สึกว่ามีเพียงชายที่มีรูปโฉมงดงามเช่นนี้เท่านั้น ถึงจะเหมาะสมกับ หลานสาวของเขา

เพียงแต่น่าเสียดาย ไม่กี่วันมานี้ เขาไม่มีโอกาสเข้าไปถามมู่ชิงเกอ ว่าชายที่อยู่ข้างกายของนางคนนี้ใช่คู่หมั้นของนางหรือไม่

อีกทั้งชายคนนี้ ก็ราวกับไม่มีความรู้สึกอะไร เพียงแต่คอยตามมู่ชิงเกอไป ไม่ได้ทักทายเขาเลย

ซางซุ่นหวางคิดแล้วก็หันกายไปจากห้องหลอมยุทธภัณฑ์ มุ่งหน้าไปยังเรือนหลังเล็กที่มู่ชิงเกออาศัยอยู่

“ประมุขตระกูลซาง!” โย่วเหอมองเห็นคนที่มาก็เอ่ยขึ้นอย่างตกตะลึง

ซางซุ่นหวางพยักหน้า เดินไปยังเก้าอี้ด้านข้างแล้วนั่งลง โย่วเหอรีบนำนํ้าชาพร้อมทั้งของว่างเข้ามา

ซางซุ่นหวางยกนํ้าชาขึ้นจรดที่ริมฝีปากแล้วเอ่ยกับโย่วเหอว่า “โย่วเหอ เจ้าเติบโตขึ้นมาพร้อมกับเกอเอ๋อร์ใช่ไหม? ข้าได้ยินมาว่า เจ้าติดตามข้างกายเกอเอ๋อร์มา ตั้งแต่เด็กและนางก็ค่อนข้างให้ความสำคัญกับเจ้าพอตัว”

“เจ้าค่ะ” โย่วเหอค่อยๆ ย่อกายลง เผยรอยยิ้มออกมา ในความเป็นจริงนั้น ในใจของนางกลับเกิดความระแวง นางไม่รู้ว่าวันนี้ซางซุ่นหวางมีจุดมุ่งหมายอะไร แน่นอนว่าต้องตอบรับอย่างระมัดระวัง มีเรื่องบางเรื่องที่มู่ชิงเกอก็ไม่ต้องการให้ใครรู้ นางก็ไม่คิดที่จะเปิดเผยออกไปเป็นอันขาด

“ไม่ต้องตื่นตกใจไป ข้ามาเพียงเพื่อจะถามเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” ซางซุ่นหวางนั้นเป็นใครกัน? เหตุใดจึงจะมองไม่ออกถึงความระแวงในใจของโย่วเหอ จึงปลอบให้นางสบายใจ

โย่วเหอยิ้มเอ่ยว่า “ประมุขตระกูลซางล้อเล่นแล้ว ประมุขตระกูลซางมีอะไรจะถามก็เชิญถามมาเถอะเจ้าค่ะ หากว่าโย่วเหอรู้ ที่สมควรพูดก็จะไม่ปิดบัง”

ความหมายนอกคำพูดก็คือ เรื่องที่ไม่สมควรพูดนางก็ต้องขอโทษด้วย ไม่สามารถบอกท่านได้!

ซางซุ่นหวางฟังออกถึงความหมายในคำพูดนี้ และก็ไม่ได้โมโห เพียงแต่หัวเราะเอ่ยว่า “ข้าคิดจะถามว่าผู้ชายชุดดำที่คอยอยู่ข้างกายเจ้านายของเจ้านั้น เป็นคนที่ หมั้นหมายกับเจ้านายของเจ้าที่หลินชวนใช่หรือไม่?”

‘ที่แท้ก็มาเพราะนายท่านมั่ว’ โย่วเหอเข้าใจในทันที

เกี่ยวกับนายท่านมั่ว มู่ชิงเกอก็ไม่ได้มีอะไรปิดบัง เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มอธิบายได้ตั้งแต่ตอนไหน

โย่วเหอยิ้ม แล้วถึงได้พยักหน้า “ประมุขตระกูลซางดูไม่ผิด ใต้เท้าท่านนี้เป็นคู่หมั้นของคุณชาย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทุกคนในหลินชวนต่างรู้ดี”

เริ่มแรกฉากที่ซือมั่วขอแต่งงานนั้นยิ่งใหญ่มาก ซึ่งก็ได้กระจายไปทั่วทุกมุมของหลินชวนแล้ว

ตอนนี้ใครจะไม่รู้บ้างว่านายหญิงแห่งจวนตระกูลมู่ แคว้นฉินนั้นเป็นดวงใจของมหาปราชญ์ เป็นว่าที่ภรรยาของเขา?

เป็นเช่นนั้นจริงๆ!

นัยน์ตาของซางซุ่นหวางฉายแววเปล่งประกาย แล้วก็เอ่ยถามอีกว่า “เช่นนั้นคุณชายท่านนี้มีชื่อว่าอะไร บ้านอยู่ที่ไหน? มีที่มาเป็นอย่างไร เจ้ารู้หรือไม่?” “เรื่องนี้..โย่วเหอส่ายหน้าอย่างลำบากใจ

นัยน์ตาของซางซุ่นหวางเข้มขึ้น เอ่ยกับโย่วเหอว่า “เจ้านายของเจ้าต้องแต่งงานกับเขา เจ้าไม่รู้เรื่องอะไรเลยได้อย่างไร? คงไม่ใช่ว่าเจ้านายของเจ้าเคยบอกเอาไว้ว่าไม่ให้เจ้าบอกข้ากระมัง?”

“ประมุขตระกูลซางโปรดอย่าเข้าใจผิดไป คุณชายไม่เคยพูดเช่นนั้น เพียงแต่ว่าที่มาของท่านเขยผู้นี้ค่อนข้าง ลึกลับมาก บ่าวก็ไม่แน่ใจ ดังนั้นจึงไม่รู้จะพูดอย่างไรดีเจ้าค่ะ” โย่วเหอรีบอธิบาย

“เจ้าเอาที่รู้พูดออกมา เรื่องราวเป็นอย่างไร ข้าจะตัดสินเอง” ซางซุ่นหวางเอ่ย

โย่วเหอหมดทางเลือก ทำได้เพียงพูดว่า “ท่านเขยนั้น…ก่อนที่จะหมั้นหมายกับคุณชาย พวกเราล้วนแต่เคารพท่านเป็นมหาปราชญ์ ทั้งหลินชวนล้วนแต่เป็นเช่น นี้ สำหรับพวกเราแล้ว มหาปราชญ์ก็คือเทพเพียงหนึ่งเดียวของหลินชวน อย่าพูดแต่ข้าเลย แม้ว่านายท่านผู้เฒ่าของข้าก็พูดไม่ถูกเรื่องที่มาของมหาปราชญ์ เพียง แต่รู้ว่าในตอนก่อนที่หลินชวนจะปรากฏเช่นในปัจจุบันนั้น เขาก็คงอยู่มาโดยตลอด มักจะอยู่ในเงามืดลึกลับมาก ที่ลากรถให้เขาก็ไม่ใช่สัตว์อสูรวิญญาณของหลินชวน มหาปราชญ์นั้นเก่งกาจมากแม้แต่คุณชายของพวกเราก็พูดว่าเขานั้นมีฝีมือลํ้าลึกจนหยั่งไม่ถึง”

ซางซุ่นหวางฟังจบแล้ว ไม่เพียงแต่ขมวดคิ้ว ยังใช้เสียงเบาเอ่ยว่า “สถานะที่ดูคลุมเครือเช่นนี้ ทางนั้นตกลงเรื่องงานแต่งงานนี้ได้อย่างไร?”

เมื่อฟังเขาพูดจบ โย่วเหอก็รีบเอ่ยว่า “มหาปราชญ์มาขอแต่งงานด้วยตนเอง และก็เป็นคุณชายเองที่ตอบตกลงเจ้าค่ะ”

ความหมายก็คือบอกแก่ซางซุ่นหวางว่า เรื่องการแต่งงานของมู่ชิงเกอนั้น มู่ซงไม่ได้เข้ามาก้าวก่าย เพียงแต่ให้นางตัดสินใจด้วยตนเอง

ซางซุ่นหวางชะงักไป และก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “อารมณ์ของเจ้านายเจ้า หากว่าไม่อยากแต่งก็ไม่มีใครสามารถบังคับได้จริงๆ แต่ก็ไม่รู้ว่านางยอมมอบตัวเอง

ให้แก่คนเช่นใดกันแน่ ตัวนางเองรู้ดีแล้วหรือไม่” ภายในนํ้าเสียงของซางซุ่นหวาง แฝงไว้ด้วยความเป็นห่วง

กลัวว่าหลานสาวไม่เข้าใจในเรื่องราวแล้วก็โดนคนหลอก

ครู่หนึ่งเขาถึงได้มองไปยังโย่วเหอแล้วถามขึ้นว่า “เช่นนั้นเขาดีต่อเจ้านายของเจ้าหรือไม่? เขาติดตามมาโลกแห่งยุคกลางพร้อมกันกับเจ้านายของเจ้างั้นหรือ?”

โย่วเห่อยิ้มเอ่ยว่า “เรื่องราวระหว่างคุณชายกับนายท่านมั่วนั้น บ่าวก็ไม่รู้แล้ว แต่ว่าที่บ่าวคิด ก็น่าจะดี มิเช่นนั้นหากอิงตามนิสัยของคุณชายแล้ว ก็คงจะไม่ตอบ ตกลงไป ส่วนคำถามข้อที่สองของประมุขตระกูลซาง บ่าวไม่มีปัญญาจะตอบได้จริงๆ เจ้าค่ะ นายท่านมั่วไป มาไร้ร่องรอย เมื่อไหร่มา เมื่อไหร่ไป เกรงว่าคงมีแต่ เฉพาะตัวเขาเองกับคุณชายเท่านั้นที่รู้”

“ลึกลับถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?” ซางซุ่นหวางกดเสียงต่ำลง

ท้ายที่สุดเขาถึงได้ถอนหายใจเอ่ยว่า “เอาเถอะ กับเจ้า ข้าก็คงจะถามอะไรออกมาไม่ได้แล้ว รอให้เจ้านายของเจ้าจัดการเรื่องวุ่นวายไม่กี่วันนี้เสร็จ ข้าค่อยจะไปถาม นางเอง”

นี่เป็นเรื่องใหญ่ทั้งชีวิตของหลานสาว เขาไม่อาจไม่สอบถามให้ชัดเจนได้

พูดแล้ว เขาก็ลุกขึ้นคิดจะจากไป

โย่วเหอรีบย่อกายคำนับส่งเขาออกไป

ภายในห้องหลอมยุทธภัณฑ์ของซางซุ่นหวาง มู่ชิงเกออหยิบเอาทวนหลิงหลงที่หักออกเป็นสองท่อนออกมาวางไว้ตรงหน้า

นางนั้นเป็นอาจารย์หลอมศาสตราระดับเทวะแล้ว ภายในวิชาหลอมศาสตราของตระกูลซาง มีศาสตร์เกี่ยวกับระดับยุทธภัณฑ์หลังจากระดับเทวะอย่างยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพ สำหรับวิธีการหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพนั้นนางได้มาไว้ในมือเรียบร้อยแล้ว

ตอนแรกเพียงแต่คิดว่าเพิ่งจะหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะออกมา ก็ไม่ง่ายที่จะหลอมระดับถัดไปออกมา ต้องผ่านเวลาตกตะกอนไปสักระยะหนึ่งแล้ว ถึงได้ศึกษาการ หลอมยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพ

แต่ไม่คิดว่า ตอนนี้ผ่านเรื่องเช่นนั้นมา ทำให้นางไม่อาจที่จะไม่เริ่มศึกษาทดลองหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพ

“ไม่รู้ว่าการหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพครั้งแรกของข้าจะสามารถสำเร็จได้หรือไม่” มู่ชิงเกอมองทวนหลิงหลง ในใจรู้สึกลังเล หากว่าหยิบเอาวัสดุอย่างอื่นมา แน่นอนว่านางจะไม่เป็นเช่นนี้

เพียงแต่เป็นเพราะวัสดุนั้นเป็นทวนหลิงหลง นับตั้งแต่เริ่มแรกมามันได้บุกตะลุยไปในทุกศึกกับนาง สุดท้ายก็เป็นเพราะไม่ยินยอมที่จะทำร้ายนาง ถึงได้หักตนเอง

หากว่าการหลอมในครั้งนี้นางไม่ประสบผลสำเร็จ นางรู้สึกกลัวว่าอาจจะทำให้ทวนหลิงหลงถูกทำลายลงไป

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ อย่าได้คิดมากเกินไป” ซือมั่วเข้าใจความรู้สึกของนาง เอ่ยปลอบโยนเสียงเบาไปว่า “เจ้าทำตามที่ควรทำ แต่เดิมทวนหลิงหลงก็เป็นยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะชั้นยอด ตอนนี้เจ้าเพียงแต่หลอมมันขึ้นมาใหม่ เพิ่มของใหม่บางอย่างเข้าไป เพิ่มระดับของมัน ไม่น่าจะมีปัญหามาก อีกอย่างยังมีข้าอยู่ข้างกาย”

มู่ชิงเกอสูดหายใจเข้าลึกๆ พยักหน้า

หลังจากที่สงบจิตใจแล้ว มู่ชิงเกอก็หยิบแร่สะเก็ดดาวมาวางไว้ข้างทวนหลิงหลง

“แร่สะเก็ดดาว!” นัยน์ตาของซือมั่วเปล่งประกายขึ้น เพียงแวบเดียวก็จดจำที่มาของถ่านสีดำอันนี้ได้

มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมองเขา “เจ้านี่รู้ทุกอย่างจริงๆ”

ซือมั่วยิ้มๆ ใช้ข้ออ้างเดียวที่ใช้มาเสมอ “อยู่มานานแล้ว ก็ต้องรู้มากเป็นธรรมดา”

มู่ชิงเกอมุมปากกระตุกเล็กน้อย ถอนสายตากลับ ขี้เกียจที่จะไปสนใจเขา นางมองไปยังแร่สะเก็ดดาว พึมพำเอ่ยว่า “แร่สะเก็ดดาวนั้นแข็งแกร่งมาก ข้าคิดจะใช้สักเล็กน้อยเพิ่มเข้าไปในทวนหลิงหลง เพิ่มระดับความแข็งแกร่งของมัน แล้วก็ยังมีระดับความคมด้วย”

“ความคิดไม่เลว” ซือมั่วพยักหน้า

มู่ชิงเกอเม้มริมฝีปาก มองไปยังวัสดุที่วางอยู่ตรงหน้า ดีดนิ้วขึ้นมา พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดปรากฎขึ้นมา ตรงหน้าของนาง แสงสีแดงสดทำให้ทั้งห้องหลอม ยุทธภัณฑ์สว่างไสวขึ้นในพริบตา และก็ยิ่งขับสะท้อนใบหน้าอันงดงามของนางออกมา

มองเปลวไฟนี้แล้ว มู่ชิงเกอก็เหม่อลอยไปเล็กน้อย แต่ก็รีบรวบรวมสติกลับมาอย่างรวดเร็ว ภายในหัวปรากฎขั้นตอนที่จำเป็นสำหรับการหลอมยุทธภัณฑ์ขั้นมหาเทพขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

“ความแตกต่างระหว่างยุทธภัณฑ์ขั้นมหาเทพกับยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะก็คือ ยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพมีจิตวิญญาณ สามารถสร้างจิตวิญญาณให้เติบโตขึ้นตาม ระยะเวลาจนกลายเป็นจิตวิญญาณแห่งอาวุธได้ เชื่อมโยงเข้ากับจิตใจของเจ้าของ ถึงขอบเขตที่ไม่มีวันจะพังทลาย” เสียงของซือมั่วค่อยๆ ดังเข้ามา

มู่ชิงเกอค่อยๆ หลับตาลง หลังจากรวบรวมสติให้นิ่งแล้ว นางถึงได้ลืมตาขึ้น โยนทวนหลิงหลงที่หักออกเป็นสองท่อนลงไปในพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด

แสงไฟค่อยๆ โอบล้อมทวนหลิงหลง ภายใต้การเผาไหม้ของพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด มันค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นมวลของของเหลวที่เคลื่อนไหว…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!