ตอนที่ 362
ความทุกข์ของประมุขตระกูลจี
ดูเหมือนว่าประชาชนทั้งเมืองวั่นเข่อล้วนแต่ออกมาจากบ้าน มารวมตัวกันอยู่ตามถนน
เวทีหาคู่ของจีเทียนเทียนถูกจัดขึ้นที่หน้าแท่นบูชาใจกลางเมือง ดูเหมือนมีความคาดหวังว่าจะได้รับการคุ้มครองจากสวรรค์และบรรพบุรุษ
“ตาเฒ่าบ้านข้าเพื่อการหาคู่ในครั้งนี้ ก่อนหน้านี้สามเดือนกว่าก็ประกาศไปยังทุกๆ ภาคแล้ว นี่ยังไม่ได้นับที่เขาติดประกาศในสมาคมหลิวเค่อเพื่อให้แน่ใจว่าทุกเมืองจะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการหาคู่ของเทียนเทียนอีกนะ” จีเหยาฮั่วบ่นอย่างหมดทางเลือกกับมู่ชิงเกอและอิ๋งเจ๋อ
“งานหาคู่นี้มีวิธีการอย่างไร?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม
จีเหยาฮั่วอธิบายว่า “เดิมทีความคิดของตาเฒ่าก็คือให้แข่งขันสามรอบ รอบแรกประลองยุทธ์ขอเพียงแต่เป็นคนที่เอาชนะเทียนเทียนได้ก็ล้วนแต่สามารถเข้ารอบต่อไป รอบที่สองประลองปัญญา ทดสอบสติปัญญากลอุบาย รอบที่สามเป็นการพบหน้า ให้เทียนเทียนเลือกคนที่ถูกใจจากบรรดาคนที่เข้ารอบมาคนหนึ่งเป็นคู่ ครอง”
มู่ชิงเกอพยักหน้า “ถือว่าคัดกรองเป็นชั้นๆ ดีและเข้มงวดมาก”
“ตาเฒ่าพูดแล้วว่า ลูกเขยของตระกูลจีไม่จำเป็นต้องมีสถานะชาติกำเนิดที่สูงส่ง เพียงแต่คิดว่าตนเองนั้นมีความสามารถ อายุและลักษณะนิสัยเข้ากันก็สามารถเข้าร่วมได้หมด ดังนั้นจึงทำให้คนมาเยอะขนาดนี้” จีเหยาฮั่วเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ
ที่เขาไม่พอใจไม่ใช่เพราะว่าบิดาไม่มีคำร้องใดๆ ต่อชาติกำเนิดของลูกเขยของตนเอง แต่ไม่พอใจเพราะบิดาตนเองคิดอยากจะให้น้องสาวของเขาแต่งงานออกไปมากเกินไป
หลังจากจีเหยาฮั่วบ่นจบ ก็ลอบมองอิ๋งเจ๋อแวบหนึ่ง กลับพบว่าใบหน้าของเขายังคงเย็นชา ดูท่าทางเหมือนว่าเรื่องราวไม่เกี่ยวข้องกับเขา จากนั้นเขาก็ลอบมองมู่ชิงเกอแล้วไอออกมาเบาๆ เพื่อเตือน
มู่ชิงเกอได้ยินสัญญาณลับจากเขา จึงทำได้แต่เพียงเอ่ยปากขึ้นว่า “รอบแรกนี้จำเป็นต้องเอาชนะคุณหนูจีถึงจะผ่านเข้ารอบไปได้ เช่นนั้นคุณหนูจีนั้นมีระดับพลังฝึกปรือเป็นเช่นไร?”
“ถึงแม้ว่าเทียนเทียนจะอยู่แต่ในตระกูลจี ออกไปข้างนอกน้อยครั้ง แต่ว่าก็ไม่ได้ใช้เวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์อายุยังน้อยแต่ก็มีระดับพลังอยู่ระดับสีเงินชั้นหนึ่งแล้ว หากว่าเดินทางออกไปข้างนอกก็ต้องมีชื่อปรากฎบนทำเนียบชิงอิงแน่นอน” จีเหยาฮั่วพูดไปก็ลอบมองอิ๋งเจ๋อไป
แต่น่าเสียดาย อิ๋งเจ๋อกลับไม่ได้หวั่นไหว ดูเหมือนว่าจะไม่ได้สนใจอะไรเลย
นี่ทำใหจีเหยาฮั่วรู้สึกเศร้าใจมาก
“ระดับสีเงินชั้นหนึ่งงั้นหรือ? พูดเช่นนี้ก็แปลว่าหากจะเอาชนะคุณหนูจีได้ก็ต้องมีระดับพลังสูงกว่าระดับสีเงินชั้นหนึ่งน่ะสิ!” มู่ชิงเกอร่วมมือต่อ
จีเหยาฮั่วพยักหน้า “ดังนั้น! เจ้าลองคิดดู ทั้งโลกแห่งยุคกลาง คนที่มีระดับพลังฝึกปรือระดับสีเงินชั้นหนึ่งนั้น ส่วนมากก็ล้วนแต่มีอายุไม่น้อยแล้ว หากว่ามีผู้ชายที่มีอายุมากว่าข้าคนหนึ่งมาเรียกข้าว่าพี่เขย ข้าไม่ใช่ว่าจะรู้สึกกระดากใจมากหรือ? และเทียนเทียนก็ต้องเสียเปรียบแล้ว”
“เจ้าพูดมาครึ่งวัน สรุปแล้วจะให้พวกเราช่วยอย่างไรกันแน่?” ทันใดนั้นอิ๋งเจ๋อก็หยุดลงมองไปยังจีเหยาฮั่วแล้วเอ่ยขึ้น
จีเหยาฮั่วยิ้มออกมาชั่วขณะเอ่ยว่า “ความหมายของข้าก็คือ งานหาคู่ในครั้งนี้ไม่จำเป็นจะต้องดำเนินไปจนถึงรอบที่สาม ในรอบที่หนึ่งให้พวกเจ้าออกหน้าทุบตีคนที่ขึ้นมาทุกคนให้กระเจิงไปก็ได้แล้ว”
อิ๋งเจ๋อมองดูเขา เอ่ยถามอย่างเย็นชาว่า “เช่นนั้นต่อไป”
“ต่อไปงั้นหรือ?” จีเหยาฮั่วกลอกตาไปมา แล้วก็ตอบกลับไปในทันทีว่า “ข้าก็จะไปพูดกับตาเฒ่าว่า คนที่มาเหล่านี้ล้วนแต่ใช้ไม่ได้ เรื่องหาคู่นั้นเร่งรีบไม่ได้ต้อง ค่อยเป็นค่อยไป รอจนมีชายหนุ่มที่มีความสามารถพรักพร้อมในโลกแห่งยุคกลางมาเยอะหน่อยแล้วค่อยจัดขึ้นอีกครั้งก็ไม่สาย”
อิ๋งเจ๋อขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่ากำลังคิดหาสัดส่วนความจริงในประโยคนี้ของเขา
ครู่หนึ่งเขาถึงได้เอ่ยปากถามไปว่า “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงไม่ขึ้นไปเองละ?”
จีเหยาฮั่วเอ่ยตอบอย่างมีเหตุผลว่า “หากว่าข้าขึ้นไปเอง แล้วไล่ตีคนเหล่านั้นไป ก็ไม่ใช่ว่าอาจจะทำให้คนเกิดความสงสัยขึ้นได้ว่าเรื่องนี้เป็นตระกูลจีของข้าจัดขึ้น
เพราะคิดจะแกล้งผู้กล้าทั้งใต้หล้าหรือ? นี่ไม่เหมาะ!”
คำพูดของเขา คิดตามดูแล้วก็ถูกต้องดี
อิ๋งเจ๋อเม้มริมฝีปากไม่พูดจา ก้าวเดินไปข้างหน้าต่อ
จีเหยาฮั่วถือโอกาสลากมู่ชิงเกอเอาไว้ กระซิบที่ข้างหูนางว่า “รอถึงเวลาก็ให้เขาขึ้นไปคนเดียวก็ได้แล้ว เจ้าไม่ต้องขึ้นไป”
มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก พยักหน้า นางก็ไม่ได้คิดจะลุยนํ้าขุ่นนี้เช่นกัน
เห็นทุกอย่างถูกจัดการเป็นอย่างดีแล้ว จีเหยาฮั่วถึงได้ก้าวย่างไปด้านหน้าอย่างสบายใจ
มาถึงบริเวณเวที จีเทียนเทียนได้สวมชุดรบยืนอยู่บนเวทีเรียบร้อยแล้ว นางในวันนี้เพิ่มความกล้าหาญและสง่างามมากกว่าที่พบกันเมื่อวาน หว่างคิ้วก็ฉายแววดุดัน เพียงแต่ในตอนที่สายตากวาดมองมาทางอิ๋งเจ๋อและมู่ชิงเกอนั้นก็ได้เผยรอยยิ้มอย่างมีมายาทออกมาให้
มู่ชิงเกออยู่ข้างอิ๋งเจ๋อเอ่ยออกมาเบาๆ ว่า “คุณหนูจีคนนี้มองไม่ออกเลยว่ายังมีท่วงท่าที่ดูกล้าหาญเช่นนี้อยู่ด้วย”
อิงเจ๋อไม่พูดจา ใครก็ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ บนเวทีหาคู่ของจีเทียนเทียน คนที่มาจัดงานไม่ใช่ประมุขตระกูลจี แต่เป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลจี เพียงแต่ว่า เขายังไม่ทันได้ขึ้นเวทีก็ถูกจีเหยาฮั่วลากเอาไว้ ส่วนตนเองก็กระโดดขึ้นไปบนเวที ไปยืนข้างจีเทียนเทียน
“เอ้ นั่นไม่ใช่ประมุขน้อยจีหรือ!”
“นั่นเป็นอันดับสองบนทำเนียบชิงอิง!”
“ช่างเป็นคนที่หล่อเหลาจริงๆ หากว่ามีโชควาสนาได้เป็นเขยของตระกูลจี เช่นนั้นก็ไม่ใช่ว่าได้เป็นน้องเขยของอันดับสองแห่งทำเนียบชิงอิงหรือ?”
“นั้นก็ต้องดูว่าเจ้ามีโชควาสนานี้หรือไม่! ”
“คุณหนูจีก็รูปโฉมงดงาม เรียบร้อย ภายใต้ท่วงท่าที่องอาจก็ยังมีความอ่อนโยนแฝงอยู่ รูปร่างก็สมส่วนสวยงาม ใครได้แต่งกับนางก็ถือว่ามีโชคแล้ว!”
“ไม่ผิด ไม่ผิด! ตอนแรกที่ได้ยินว่าตะกูลจีประกาศหาลูกเขย ข้ายังคิดว่าคุณหนูจีน่าเกลียดมากจนไม่กล้าสู้หน้าผู้คนเสียอีกจึงต้องประกาศหาคู่ วันนี้ได้มาเห็น ข้าถึงได้พบว่า ข้านั้นเข้าใจผิดไปไกลมาก!”
เสียงวิเคราะห์รอบด้านลอยเข้ามาในหูของมู่ชิงเกอและอิ๋งเจ๋อ
ส่วนในตอนนี้จีเหยาฮั่วกลับตะโกนเสียงดังออกมา “ทุกท่าน ข้าเป็นใครนั้นคาดว่าทุกท่านคงรู้อยู่แล้ว วันนี้เป็นวันดีที่น้องสาวของข้าหาคู่ ข้าที่เป็นพี่ชายก็แน่นอนว่าต้องดูแลตั้งด่านให้ดีๆ ทุกท่านว่าข้าพูดถูกไหม?”
“ถูก!”
“ใช่ ใช่! ประมุขน้อยจีพูดมีเหตุผล”
“คุณหนูจีรูปโฉมงดงาม แน่นอนว่าประมุขน้อยจีต้องดูแลตั้งด่านให้ดีๆ หาคู่ครองที่ดีที่สุด”
จีเหยาฮั่วยิ้มเอ่ยว่า “ดี ในเมื่อพวกท่านทุกคนก็ล้วนพูดว่าถูกต้องแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะไม่เกรงใจแล้ว วางใจเถอะ ข้าก็จะไม่สร้างความลำบากให้กับพวกท่าน ข้ามีพี่น้องของข้า สถานะก็สูงส่ง ให้เขามาประมือกับทุกท่าน หากว่าสามารถผ่านสามสิบกระบวนท่าจากเขาได้ก็จะถือว่าผ่านด่านแรก”
เขาพูดจบก็หันไปมองจีเทียนเทียน ยักคิ้วหลิ่วตาให้
จีเทียนเทียนยิ้ม ท่าทางเช่นนั้นยิ่งดูอ่อนโยนจนผู้คนหวั่นไหว
จากนั้น จีเหยาฮั่วก็ไม่สนใจว่าคนด้านล่างจะยินดีหรือไม่ยินดี มองไปทางที่อิ๋งเจ๋อและมู่ชิงเกอที่ยืนอยู่ ร้องประกาศขึ้นว่า “เชิญประมุขน้อยอิ๋งขึ้นมาบนเวที”
อิ๋งเจ๋อชะงัก คิดไม่ถึงว่าจีเหยาฮั่วจะผลักเขาขึ้นไปบนเวทีเร็วขนาดนี้
ส่วนมู่ชิงเกอก็กระซิบอยู่ด้านข้างว่า “ในเมื่อรับปากว่าจะช่วยแล้ว ก็ไม่ต้องอายแล้ว”
ประโยคนี้ทำให้อิ๋งเจ๋อเม้มริมฝีปากแน่น กระโดดขึ้นไปบนเวที ยืนอยู่ข้างจีเหยาฮั่ว
เพียงแค่เขาปรากฎตัว สายตาของจีเทียนเทียนก็ดูเขินอายขึ้นมา
ส่วนคนด้านล่างก็ ร้องขึ้นอย่างตกตะลึง
“ถึงกับเป็นประมุขน้อยอิ๋ง! ”
“เขาเป็นอันดับสี่แห่งทำเนียบชิงอิงเชียวนะ!”
“พวกเราจะเป็นคู่มือของประมุขน้อยอิ๋งได้อย่างไร?”
“ก็ไม่ใช่ว่าไม่สามารถทำได้ เพียงแค่พวกเราสามารถรับมือประมุขน้อยอิ๋งได้สามสิบกระบวนท่าก็ชนะแล้วมิใช่หรือ?”
ด้านล่างเกิดการวิเคราะห์อย่างดุเดือดขึ้นมา
ส่วนบนเวที จีเหยาฮั่วกระซิบกับอิ๋งเจ๋อว่า “ข้าจองเวทีไว้ให้แล้ว หากว่าใครกล้าขึ้นมาบนเวที เจ้าก็ต้องกำจัดพวกเขาลงไปให้ได้ภายในสามสิบกระบวนท่า”
“จะพยายามให้เต็มที่” อิ๋งเจ๋อตอบไปอย่างเย็นชา
เมื่อได้รับคำรับรอง จีเหยาฮั่วถึงได้เผยรอยยิ้มออกมา เอ่ยกับผู้คนด้านล่างว่า “เอาละ ข้าก็จะไม่ถ่วงเวลาของทุกท่านแล้ว ใครอยากจะขึ้นมาประลองกับประมุขน้อย อิ๋งก็เชิญ”
พูดจบแล้วเขาก็ลากจีเทียนเทียนถอยไปอีกทาง
อิ๋งเจ๋อรออยู่บนเวทีครู่หนึ่งในที่สุดก็มีผู้กล้าคนแรกขึ้นมาบนเวที แล้วเขาก็เอ่ยปากขึ้นว่า “ขอประมุขน้อยอิ๋งชี้…”
พูดยังไม่ทันจบประโยคก็ถูกกระบวนท่าเดียวของอิ๋งเจ๋อ กวาดตกลงจากเวทีไป
ฝีมือที่เฉียบคมและเด็ดขาดนี้ทำให้ทุกคนชะงัก ล้วนแต่รู้สึกมึนงง
ส่วนดวงตาคู่นั้นของจีเทียนเทียนก็ยิ่งเปล่งประกายวาววาบขึ้น
คนที่สองขึ้นไปบนเวที เพราะได้รับประสบการณ์จากคนแรกจึงไม่มีการพูดจาตามมารยาท เพียงแค่ขึ้นไปก็พุ่งเข้าไปโจมตีอิ๋งเจ๋อเลย
ส่วนอิ๋งเจ๋อก็ยังคงกำจัดไปได้ในกระบวนท่าเดียวเช่นเดิม
มีคนขึ้นไปบนเวทีเรื่อยๆ และก็ถูกกวาดตกลงมาไม่หยุด
ครึ่งวันผ่านไป ก็ยังไม่มีใครสามารถผ่านสามสิบกระบวนท่าจากอิ๋งเจ๋อไปได้ ผลลัพธ์นี้ทำให้ผู้อาวุโสของตระกูลจีดูอย่างร้อนใจ แต่ว่าจีเหยาฮั่วคอยยิ้มอย่างเย็นชาให้เขาอยู่ข้างกายตลอด ทำให้เขาได้แต่เพียงทำหน้าแข็งไม่กล้าพูดอะไร
หนึ่งวันผ่านไป อิ๋งเจ๋อจำไม่ได้แล้วว่าตนเองกำจัดไปกี่คน แต่ก็ยังจดจำการฝากฝังจากจีเหยาฮั่วได้ว่าไม่ให้ใครผ่านด่านไปได้
ส่วนที่ว่าทำไมถึงมีแต่เขาขึ้นมา แต่มู่ชิงเกอกลับไม่ได้ขึ้นเวทีเลยนั้น เขาก็ไม่ได้คิดมาก เพียงแต่รู้สึกว่า เขาก็ไม่ได้เหนื่อยล้าอะไร ไม่มีคนขึ้นมาแทนก็เป็นเรื่องปกติ
รอจนถึงยามค่ำคืน ก็ไม่มีใครกล้าขึ้นเวทีมาหาเรื่องเจ็บตัวอีก เรื่องการหาคู่ของจีเทียนเทียนก็จัดต่อไม่ได้แล้ว ตอนนี้ไม่มีผู้ผ่านการคัดเลือกสักคน แม้ว่าจะอยากแต่งก็ ไม่อาจแต่งได้!
“ก่อเรื่องไร้สาระ! เจ้านั้นก่อแต่เรื่องไร้สาระ เป็นใครมอบความกล้าให้เจ้าทำเช่นนี้?” ภายในตระกูลจี ประมุขตระกูลจีได้ฟังคำรายงานจากผู้อาวุโสแล้วก็โมโหจนเรียกตัวจีเหยาฮั่วมาสั่งสอน
จีเหยาฮั่วโต้เถียงอย่างไม่ยอมความ “ให้คุณหนูใหญ่ของตระกูลจีจัดเวทีหาคู่ ท่านเองก็ก่อเรื่องไร้สาระเช่นนี้แล้ว ยังมาโทษข้าอีกหรือ?”
ความหมายนอกเหนือจากนี้ก็คือ เรื่องที่เขาผู้เป็นบุตรชายทำก็ล้วนแต่เรียนมาจากตาเฒ่าอย่างเขานี่แหละ
“เจ้า! เจ้าเวรตะไล!” ประมุขตระกูลจีโมโหมาก
เดินไปเดินมาในห้องหลายรอบแล้วก็เอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าเด็กของตระกูลอิ๋งคนนั้นชนะแล้ว ก็ให้เทียนเทียนแต่งกับเขาไปซะ!”
‘ดีเลย!’ จีเหยาฮั่วร้องดีออกมาในใจ แต่ว่าปากยังคงอดกลั้นเอาไว้โน้มน้าวบิดาว่า “อิ๋งเจ๋องั้นหรือ? เขาเป็นน้องเขยของข้านั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่เลว แต่ปัญหาก็คือเขาต้องยินยอมก่อนถึงจะได้”
“เขาขึ้นมาบนเวทีทุบตีจนคนที่มาหาคู่หนีไปหมดแล้ว ยังจะกล้าไม่ยอมอีกหรือ!” ประมุขตระกูลจีถลึงตากว้าง เอ่ยออกมา
“เรื่องการแต่งงานยังต้องอาศัยความยินยอมพร้อมใจกันถึงจะมีความสุข วันนี้ที่เขาขึ้นบนเวทีก็เพราะเห็นแก่หน้าข้าไม่ได้เป็นเพราะเทียนเทียน” จีเหยาฮั่วเอ่ย
“ไม่รู้ละ เรื่องในวันนี้เจ้าเป็นคนก่อเรื่อง เจ้าต้องรับผิดชอบแก้ไข สรุปแล้ว ข้าไม่สนว่าเจ้าจะใช้วิธีอะไร จะจับมัดก็ดี บังคับก็ดี ทุบตีก็ดี จะไปถึงวางยาเลยก็ได้จะต้องให้น้องสาวของเจ้าแต่งออกไปภายในครึ่งปีนี้ให้ได้!” ประมุขตระกูลจีเอ่ยอย่างโมโห
จีเหยาฮั่วฟังจนอ้าปากค้าง เขาจับๆ ผมของตนเอง คิดอย่างไม่เข้าใจเอ่ยว่า “ตาเฒ่า เหตุใดท่านถึงต้องรีบร้อนให้เทียนเทียนแต่งออกไปด้วย?”
คำถามนี้ของบุตรชาย ไม่ใช่ครั้งแรกที่เอ่ยถาม แต่ทุกๆ ครั้งก็ล้วนแต่ถูกประมุขตระกูลจี บอกปัดกลับไป
ส่วนครั้งนี้..
ประมุขตระกูลจีชะงัก ถอนหายใจยาวออกมา