ตอนที่ 363
ข้าหมายตาเจ้าแล้ว
ประมุขตระกูลจีชะงัก ถอนหายใจยาวออกมา
จีเหยาฮั่วมองบิดาของตนเอง ดูเหมือนว่าเขาจะแก่ลงไปมากเพียงแค่พริบตาเดียว
“ตาเฒ่า ไม่เป็นไรใช่ไหม?” จีเหยาฮั่วเอ่ยถาม จากนั้นก็ถามหยั่งเชิงอีกครั้งว่า “ท่านคงไม่ใช่ว่ามีเรื่องปิดบังข้าหรอกใช่ไหม? เป็นเรื่องเกี่ยวกับเทียนเทียนหรือ?”
ประมุขตระกูลจีมองไปยังเขา แล้วก็ถอนหายใจอีกครั้ง เขาเดินกลับไปนั่งบนเก้าอี้จีเหยาฮั่วรินชาส่งไปตรงหน้าของเขาอย่างเอาใจ
ประมุขตระกูลจีจิบชาเล็กน้อยแล้วก็วางจอกชาลง แล้วถึงได้เอ่ยกับจีเหยาฮั่วว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงไม่ยอมให้เทียนเพียนออกจากตระกูลไปฝึกฝนด้านนอก?”
เหตุใดจึงมาพูดถึงเรื่องนี้?
ถึงแม้ว่าในใจของจีเหยาฮั่วจะเกิดความสงสัย แต่ก็ยังส่ายหน้า ก่อนหน้านี้นั้นเขารู้สึกว่าบิดาเอ็นดูเทียนเทียนที่เป็นบุตรสาวมาก ไม่อาจหักใจให้นางไปรับความ ลำบากด้านนอกได้ ดังนั้นถึงได้ให้นางอยู่แต่ในตระกูล แต่ตอนนี้ได้ยินนํ้าเสียงของบิดา ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น
“เทียนเทียน…เทียนเทียนเกิดมาก็เกือบจะตายแล้ว ในตอนนั้นเจ้าเพิ่งจะอายุได้เจ็ดขวบ เรื่องนี้จึงยังไม่มีความทรงจำ” ประมุขตระกูลจีเอ่ย
จีเหยาฮั่วพยายามครุ่นคิด แล้วก็พยักหน้า ความทรงจำเมื่อครั้งเจ็ดขวบได้เลือนรางไปบ้างแล้ว แต่ว่าเขายังมีความจำรางๆ ว่า ตอนน้องสาวคนนี้เกิดขึ้นมา เขาก็มองเห็นว่าคนในตระกูลไม่ได้มีความยินดีบนใบหน้าแต่เป็นความทุกข์แทน เวลานั้นดูเหมือนว่าจะมีอาจารย์ปรุงยาจำนวนไม่น้อยเดินทางมาที่ตระกูลจี
และก็เป็นตอนนั้นเองที่บิดาได้สนิทสนมไปมาหาสู่กับเหล่าผู้เฒ่าในสำนักวิถีโอสถแห่งภาคตะวันออก
หรือว่าทุกอย่างนี้ล้วนแต่เป็นเพราะเทียนเทียน?
จีเหยาฮั่วคาดเดาขึ้นในใจ ส่วนประมุขตระกูลจีก็เอ่ยต่อไปว่า “เทียนเทียนนั้นมีชีพจรเก้าอินโดยกำเนิด แต่เดิมควรตายไปนานแล้ว แต่ว่าบางทีอาจจะเป็นเพราะฟ้ามีตา ข้าไปเสาะหายามาจากทั่วสารทิศทำให้นางอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้”
“ชีพจรเก้าอิน!” จีเหยาฮั่วตกตะลึง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ค่อยเข้าใจอย่างชัดเจนว่า ชีพจรเก้าอิน อะไรนี่คืออะไร แต่เมื่อฟังชื่อแล้วก็สามารถตัดสินได้ว่านี่ ไม่ใช่ของดีอะไร!
“อะไรคือชีพจรเก้าอิน?” จีเหยาฮั่วเอ่ยถาม ตอนนี้ใบหน้าของเขาไม่ได้มีรอยยิ้มอย่างที่เคยมีตามปกติแล้ว ใบหน้าดูเคร่งขรึม
ประมุขตระกูลจีมองเขาแวบหนึ่ง แล้วจึงอธิบายว่า “ปรมาจารย์กู่เฉ่าของสำนักวิถีโอสถพูดว่า ในร่างกายของคนนั้นมีชีพจรเก้าอินและเก้าหยางเชื่อมประสานกัน อยู่ถึงจะมีชีวิตอยู่ได้ แต่ภายในร่างกายของเทียนเทียน ชีพจรทั้งสิบแปดสายกลับล้วนแต่เป็นชีพจรอิน หยินหยางไม่สมดุล ชีวิตสิ้นสุด ดังนั้นจึงถูกเรียกว่าชีพจรเก้าอิน คนที่ป่วยด้วยโรคนี้นั้นแต่เดิมก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้เกินสามเดือน ส่วนที่น้องสาวของเจ้าสามารถอยู่มาจนถึงตอนนี้ได้ ก็เพราะได้ปรมาจารย์กู่เฉ่าส่งโอสถระดับเทวะมาให้ทุกปี เป็นยาธาตุหยาง ช่วยเสริมธาตุหยางในร่างกายของนาง ต่อชีวิตให้นาง”
ตอนนี้จีเหยาฮั่วถึงได้เข้าใจขึ้นมาว่าเหตุใดน้องสาวของตนเอง ตอนยังเด็กก็ร่างกายอ่อนแอขี้โรค ตั้งแต่เล็กมาก็ต้องกินโอสถมาโดยตลอด แม้แต่ที่พักในตระกูลก็ยังต้องเป็นที่ที่อบอุ่นที่สุด
ตอนนี้แม้ว่าจะไม่ได้อ่อนแอเช่นนั้นแล้วแต่กลับยังคงต้องกินยาตามเวลาตลอด
“แต่ว่า ยาเพิ่มธาตุหยางนี้ก็ไม่ใช่ทางแก้ที่แท้จริง ปรมาจารย์กู่เฉ่าตรวจร่างกายของน้องสาวเจ้าตอนนางอายุได้สิบปีแล้วพูดว่า นางจำเป็นต้องแต่งงานก่อนอายุ ครบยี่สิบสี่ปี แก้ไขชีพจรในร่างกายของนางผ่านการบำเพ็ญคู่ มิเช่นนั้นนางจะตายในปีที่ยี่สิบห้าอย่างไม่ต้องสงสัย ปีนี้เทียนเทียนก็ได้ย่างเข้าสู่ปีที่ยี่สิบสี่ที่ต้องแต่งงานแล้ว ผ่านไปอีกครึ่งปีก็จะเป็นวันเกิดของนางปีที่ยี่สิบสี่” ในที่สุดประมุขตระกูลจีก็พูดสาเหตุที่จีเทียนเทียนต้องแต่งงานออกไป
จีเหยาฮั่วรู้สึกเหมือนว่าสมองจะระเบิด เขาเอ่ยกับประมุขตระกูลจีว่า “จะต้องมีวิธีอื่นอีกใช่หรือไม่?”
ตอนนี้สีหน้าของเขาดูขาวซีด เขาทำลายงานหาคู่ในครั้งนี้ ถ้าหากว่าอิ๋งเจ๋อไม่ยอมแต่งงานกับจีเทียนเทียน เช่นนั้นไม่ใช่ว่าตนเองจะกลายเป็นฆาตกรที่ฆ่าน้องสาวของตนเองไปหรือ?
ประมุขตระกูลจีค่อยๆ ส่ายหน้า “ปรมาจารย์กู่เฉ่าพูดแล้วว่า ตอนนี้มีเพียงแต่วิธีบำเพ็ญคู่เท่านั้นที่จะต่อชีวิตให้น้องสาวของเจ้าได้ แต่ทว่า…เขาเคยพูดถึงครั้งหนึ่งว่า หากสามารถปรุงยาชนิดหนึ่งที่เรียกว่ายากลืนอินตามเทียบยาโบราณออกมาได้ ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาของน้องสาวเจ้าได้อย่างสมบูรณ์ ยากลืนอินนี้พูดกันว่า สามารถกลืนกินชีพจรที่เกินขึ้นมาในร่างกายได้ แล้วก็ปรับเปลี่ยนกลายเป็นชีพจรปกติ”
“ยากลืนอิน? เช่นนั้นพวกเราก็ขอให้ปรมาจารย์กู่เฉ่าปรุงขึ้นมาให้ก็สิ้นเรื่องแล้วมิใช่หรือ?” จีเหยาฮั่วเอ่ยอย่างร้อนใจ
แต่ว่า ประมุขตระกูลจีกลับส่ายหน้าอย่างขมขื่น “หากว่าวิธีนี้ทำได้แล้วข้ายังจะรีบแต่งเทียนเทียนออกไปทำไม? ปรมาจารย์กู่เฉ่าคิดถึงวิธีบำเพ็ญคู่ก็เพราะถูกบีบจนไร้ทางเลือก เทียบยากลืนอินนั้นว่ากันว่าเป็นเทพโอสถท่านหนึ่งเป็นคนคิดค้นขึ้น และเทียบยาก็หายไปกับเทพโอสถผู้นั้น เขาพลิกค้นหาตามบันทึกทั้งหมดของสำนักวิถีโอสถแล้วถึงได้รู้ว่ามียาชนิดนี้อยู่ แต่ว่าหากไม่มีเทียบยา ก็ไม่มีวิธีที่จะปรุงออกมาไค้อยู่ดี”
กลับได้ผลลัพธ์เช่นนี้งั้นหรือ!
จีเหยาฮั่วชะงักอยู่ที่เดิม ร่างกายเย็นยะเยือก
ประมุขตระกูลจีได้สติกลับขึ้นมาจากความเคร่งเครียดเอ่ยกับจีเหยาฮั่วว่า “ดังนั้น หากเจ้าไม่บีบให้เจ้าเด็กตระกูลอิ๋งรีบแต่งงานกับน้องสาวเจ้า เช่นนั้นก็ต้องหาผู้ชายดีๆ ให้นาง จะต้องแก้ไขเรื่องนี้ให้ได้ก่อนวันเกิดปีที่ยี่สิบสี่ของนางจะมาถึง”
นัยน์ตาของจีเหยาฮั่วฉายแววเย็นยะเยือก หันกายพุ่งออกไปจากห้องหนังสือของประมุขตระกูลจี
จีเหยาฮั่วพุ่งตัวไปยังเรือนของตนเองดุจดั่งลมพัด บุกเข้าไปในห้องของอิ๋งเจ๋อ คว้าจับชายเสื้อของเขา ลากเขาออกมาด้านนอก
อิ๋งเจ๋อตกตะลึง ตีไปที่มือของเขา จีเหยาฮั่วประมือกลับทันทีแต่ไม่ยอมปล่อยมือ
ทั้งสองคนต่อสู้กันจากในห้องจนถึงนอกห้อง ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกตัว
“พวกเจ้าสองคนทำอะไรกัน?” มู่ชิงเกอมองเห็นสองคนนี้ต่อสู้กันเป็นพัลวัน ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น
อิ๋งเจ๋ออาศัยโอกาสว่างพูดกับมู่ชิงเกอว่า “เจ้าถามเขาสิ!”
มู่ชิงเกอมองไปทางจีเหยาฮั่ว กลับพบว่าหน้าตาของเขาดูเคร่งขรึม ดูไม่ปกติเป็นอย่างมาก
ไม่ได้คิดมาก มือของมู่ชิงเกอเกิดแสงวาบ กุมทวนหลิงหลงไว้ในมือ แทงเข้าไปตรงกลางระหว่างทั้งสองคน บีบให้ทั้งสองคนแยกออกจากกัน
สวบ!
มู่ชิงเกอจับทวนหลิงหลงแทงลงไปที่พื้น มองทั้งสองคน ด้วยสีหน้าที่ดูเคร่งเครียด สุดท้ายสายตาของนางก็กวาดไปมองยังร่างของจีเหยาฮั่ว เอ่ยถามว่า “เจ้าเป็นบ้าไป แล้วหรือไง?”
จีเหยาฮั่วพูดเสียงแหบออกมาว่า “ข้าอยากให้เขารีบแต่งงานกับเทียนเทียนในทันที!”
“เจ้าบ้าไปแล้ว!” อิ๋งเจ๋อสบถเสียงเย็นออกมา
นัยน์ตาของจีเหยาฮั่วเหมือนมีไฟลุกออกมา เอ่ยกับเขาว่า “เจ้าไม่อยากแต่งก็ต้องแต่ง!”
“ไม่ได้!” อิ๋งเจ๋อปฏิเสธเขาเสียงเย็น
“เจ้าต้องแต่งงานกับนาง!” นัยน์ตาของจีเหยาฮั่วแดงก่ำ กัดฟันเอ่ยออกมา
มู่ชิงเกอได้ฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว คิดไม่ออกว่าเหตุใดจีเหยาฮั่วอยู่ดีๆ ถึงได้เปลี่ยนเป็นไร้เหตุผลเช่นนี้ ก่อนหน้านี้เขา ยังพูดกับนางว่าจะให้ทั้งสองคนได้สร้างความสัมพันธ์ ทุกคนต้องยินยอมพร้อมใจ แล้วค่อยพูดเรื่องแต่งงาน เหตุใดเพิ่งผ่านไปแค่วันเดียว ก็เปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้?
ทันใดนั้นจีเหยาฮั่วก็งอขาคุกเข่าลงตรงหน้าอิ๋งเจ๋อ
การกระทำของเขาทำให้มู่ชิงเกอและอิ๋งเจ๋อตกใจมาก
อิ๋งเจ๋อหลบหลีก ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เจ้าจะทำอะไร?”
จีเหยาฮั่วเผยความปวดใจออกมา เอ่ยกับอิ๋งเจ๋อว่า “อิ๋งเจ๋อ น้องสาวของข้าชอบเจ้า ข้าเองก็รู้จักเจ้า มอบนางให้เจ้านั้นข้าก็สบายใจ ดังนั้นข้าขอร้องเจ้าล่ะ แต่งงานกับ
นางเถอะรีบแต่งนาง มิเช่นนั้นนางจะต้องตาย!”
ประโยคนี้ทำให้สีหน้าของอิ๋งเจ๋อเย็นชาขึ้น “นางใช้ความตายมาบีบบังคับงั้นหรือ?”
“ไม่! ไม่ใช่! ตัวนางเองไม่รู้เรื่อง!’’จีเหยาฮั่วส่ายหน้าอธิบาย
มู่ชิงเกอเดินเข้าไป เอ่ยกับจีเหยาฮั่วว่า “เจ้าลุกขึ้นมาก่อน มีเรื่องอะไรพูดกันดีๆ เจ้าคิดว่าคุกเข่าอยู่ที่นี่แล้วอิ๋งเจ๋อจะยอมงั้นหรีอ?”
อิ๋งเจ๋อก็เอ่ยว่า “ลุกขึ้นมาก่อน”
จีเหยาฮั่วค่อยๆ ลุกขึ้นมาภายใต้การโน้มน้าวของทั้งสองคน เผยรอยยิ้มที่ลำบากใจมากออกมา “ข้าเพิ่งรู้ว่าเหตุใดตาเฒ่าถึงได้รีบจะแต่งเทียนเทียนออกไป ที่แท้ก็ล้วนแต่ทำเพื่อช่วยนาง”
เห็นจีเหยาฮั่วค่อยๆ นิ่งสงบลง มู่ชิงเกอก็เก็บทวนหลิงหลงกลับ มองไปยังเขาพร้อมกับอิ๋งเจ๋อ เอ่ยถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
จีเหยาฮั่วนั่งลงบนเก้าอี้หิน เอ่ยอย่างไร้จิตวิญญาณว่า “ที่แท้…ที่แท้ตั้งแต่เด็กมาเทียนเทียนก็มีชีพจรเก้าอิน ต้องอาศัยยาเพิ่มธาตุหยางจากปรมาจารย์กู่เฉ่าของ สำนักวิถีโอสถ ส่วนในตอนนี้ผลลัพธ์ของยาเพิ่มธาตุหยางได้ค่อยๆ หมดฤทธิ์ลง ปรมาจารย์ภู่เฉาพูดแล้วว่า นางต้องแต่งงานก่อนถึงอายุยี่สิบสี่ปี ร่วมบำเพ็ญคู่กับ สามีเพื่อรักษาร่างกาย ถึงจะมีชีวิตต่อไปได้ ข้านั้นไม่รู้อะไรเลยถึงได้ไปทำลายการหาคู่ของนาง”
พูดจบแล้วเขาก็ทุบหัวด้วยมือทั้งสองข้าง ดูปวดใจมาก
“ชีพจรเก้าอิน?” มู่ชิงเกอพึมพำ ในใจของนางก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าจีเทียนเทียนจะมีโรคเช่นนี้อยู่ด้วย ตอนที่นางพบเจอเทียนเทียนก็ไม่ได้รู้สึกอะไร นั้นก็สามารถพูดได้ว่ายาเพิ่มธาตุหยางของปรมาจารย์กู่เฉ่าผู้นั้นคงยังออกฤทธิ์อยู่
‘ชีพจรเก้าอินเป็นโรคที่รักษาได้ยากจริงๆ’ นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ เอ่ยขึ้นในใจ
“ข้าไม่อาจจะแต่งงานกับนางเพื่อช่วยนางได้” อิ๋งเจ๋อเอ่ยปากออกมา
จีเหยาฮั่วเงยหน้าขึ้น
มู่ชิงเกอและอิ๋งเจ๋อถึงได้พบว่าเขากำลังร้องไห้อยู่
จีเหยาฮั่วยืนขึ้นมา พุ่งไปที่ด้านหน้าของอิ๋งเจ๋อ คว้าสองแขนของเขา เอ่ยขอร้องว่า “ข้าไม่ขอให้เจ้ารักนาง เพียงแค่เจ้าแต่งกับนางแล้ว ร่วมมือรักษาโรคให้นาง ให้นางมีชีวิตอยู่ต่อไป จากนั้นหากเจ้าพบเจอผู้หญิงที่ชอบ ก็แต่งงานได้ ตระกูลจีของข้าจะไม่เข้าไปขวาง ไม่พูดขัดแม้แต่ครึ่งคำ”
นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความอ้อนวอนมองไปยังอิ๋งเจ๋อ แต่ว่าอิ๋งเจ๋อก็ยังคงส่ายหน้า
ไม่ใช่ว่าจิตใจของเขาโหดเหี้ยม แต่เป็นเพราะเรื่องแต่งงานนั้นเป็นเรื่องใหญ่ของทั้งชีวิต หากเขาไม่ชอบผู้หญิงคนนั้นแล้วแต่งนางเข้าไป ถึงแม้ว่าจะสามารถต่อชีวิตให้นางได้ก็ต้องเห็นนางอยู่ไปอย่างไม่มีความสุข
จีเหยาฮั่วมองเขาอย่างสิ้นหวัง “ข้าขอร้องเจ้าเช่นนี้แล้ว เจ้าก็ยังไม่ยอมเห็นแก่มิตรภาพหลายปีของเราช่วยข้างั้นหรือ?”
“ข้าไม่ได้รักนาง หากว่าแต่งงานกับนางแล้วก็จะไม่ยุติธรรมกับนางเอง” อิ๋งเจ๋อยืนยันตามหลักการของตนเอง
จีเหยาฮั่วมองไปทางมู่ชิงเกออย่างน่าสงสาร ดูเหมือนคาดหวังจะให้เขาเอ่ยปากช่วยพูดโน้มน้าวใจอิ๋งเจ๋อให้
แต่ว่าเรื่องเช่นนี้มู่ชิงเกอจะโน้มน้าวได้อย่างไร?
หมดหนทาง มู่ชิงเกอทำได้เพียงแต่ส่ายหน้า แสดงให้เห็นว่าตนเองก็หมดทางที่จะช่วยเหลือ
จีเหยาฮั่วถอยไปด้านหลังอย่างสิ้นหวัง ครู่หนึ่งถึงได้เอ่ยกับทั้งสองคนว่า “ดี ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไม่ยอม ข้าไม่บังคับเจ้า มิเช่นนั้นถึงแม้จะบังคับส่งเจ้าเข้าห้องหอ เจ้าก็จะไม่แตะต้องตัวนาง เทียนเทียนไม่รู้ว่าร่างกายของนางมีปัญหาเช่นนี้ข้าขอให้พวกเจ้ารักษาความลับด้วย อย่าให้นางรู้ข้าจะรีบหาคนที่ไม่เลวมาแต่งกับนางเอง”
“ข้ารู้แล้ว” ทันใดนั้น จีเทียนเทียนก็สอดคำเข้ามา
นัยน์ตาของจีเหยาฮั่วหดตัวลง หันกายกลับไปมอง ก็เห็นจีเทียนเทียนในพุ่มไม้ของภูเขาเทียม ดูสูงส่งดุจดั่งนางฟ้าที่ลงมาจากดวงจันทร์มองมาที่พวกเขา
“เทียนเทียน? เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่” จีเหยาฮั่วยิ้มออกมาอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ท่าทางดูวุ่นวายสับสน
“ตอนที่พวกท่านต่อสู้กันใกล้จะจบ ข้าก็มาถึงแล้ว เพียงแต่ว่าถึงแม้พวกท่านทั้งสามจะมีพลังฝึกปรือเหนือกว่าข้าทุกคน แต่กลับไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าข้ามา” กระโปรงของจีเทียนเทียนพลิ้วไหวไปมาตามการเคลื่อนไหวของนาง
“จริง…จริงหรือ?” จีเหยาฮั่วหลุบตาลง
จีเทียนเทียนเดินไปอยู่ตรงหน้าของเขา แล้วก็ย่อกายคำนับให้มู่ชิงเกอและอิ๋งเจ๋อก่อนถึงได้มองไปยังจีเหยาฮั่ว แล้วพูดว่า “พี่ชาย ร่างกายของข้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ท่านกับบิดายังคิดจะปิดข้าไปจนถึงเมื่อไหร่?”
“ไม่ใช่ เทียนเทียนเจ้าฟังข้าอธิบาย ข้าก็เพิ่งจะรู้” จีเหยาฮั่วรีบร้อนเอ่ย
จีเทียนเทียนส่ายหน้า ตัดบทคำอธิบายของจีเหยาฮั่ว “พี่ชาย ไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว ข้าเข้าใจดีว่าที่ท่านกับบิดาปิดบังข้าก็เพราะกลัวว่าข้าจะเสียใจ หรือกลัวว่าข้าจะทำเรื่องทำร้ายตนเองขึ้นมา ข้าไม่โทษพวกท่าน ดังนั้นไม่ต้องรู้สึกผิดต่อข้า”
ตอนที่นางพูด ท่าทางก็ดูสงบเงียบอยู่เสมอ ไม่ได้ดูแตกตื่นตกใจหลังจากที่รู้ความจริงเลย
มู่ชิงเกอมองเงียบๆ แล้วก็ปรับเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับจีเทียนเทียนใหม่อีกครั้ง
“เทียนเทียน เจ้าวางใจได้พี่ชายจะไม่ยอมให้เจ้าเป็นอะไร จะต้องช่วยเจ้าให้ได้” จีเหยาฮั่วรับรอง
จีเทียนเทียนกลับหัวเราะขึ้นมา เอ่ยกับจีเหยาฮั่วว่า “คิดจะหาใครก็ได้แล้วแต่งข้าออกไป จากนั้นก็ให้เขาช่วยข้างั้นหรือ? หากว่าข้าไม่ชอบคนๆ นั้น ข้ายอมตายดีกว่ายอมแต่ง!”
“เทียนเทียน เจ้าอย่าดื้อเลย ความรักอะไรนั่นสำคัญกว่าชีวิตงั้นหรือ?” จีเหยาฮั่วโน้มน้าวใจ
แต่ว่าจีเทียนเทียนกลับส่ายหน้าเอ่ยว่า “ชีวิตของข้าก็สั้นพออยู่แล้ว เหตุใดต้องอดสูไปยอมแต่งงานกับคนที่ไม่ได้ชอบด้วย?”
พูดจบแล้วนางก็เงยหน้ามองอิ๋งเจ๋อ นัยน์ตาไม่ได้มีร่องรอยความเขินอายเช่นแต่ก่อน แต่เป็นความราบเรียบ
พริบตานั้น อิ๋งเจ๋อก็รู้สึกถึงว่าภายในนัยน์ตาของจีเทียนเทียนมีอะไรที่เปล่งประกายอยู่
จีเทียนเทียนเดินไปตรงหน้าของอิ๋งเจ๋อ เอ่ยปากออกไปอย่างใจกว้างว่า “ประมุขน้อยอิ๋ง ในเมื่อพี่ชายของข้าก็ได้พูดออกไปหมดแล้ว ข้าก็ไม่มีอะไรต้องอายอีก เทียนเทียนชอบท่านมาก และก็หมายตาท่านไว้แล้ว”
อิ๋งเจ๋ออ้าปากเหมือนกำลังจะพูด แต่กลับถูกจีเทียนเทียนตัดบท “ท่านอย่าเพิ่งรีบร้อนพูด ฟังข้าพูดให้จบก่อน ข้ารู้ว่าท่านไม่ชอบข้า แต่ว่าไม่เป็นไร ถึงแม้ว่าเทียนเทียนจะออกไปนอกบ้านน้อยครั้งมาก แต่ก็ได้อ่า หนังสือมาเยอะ รู้ดีว่าคนสองคนรักกันถึงจะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขได้ เทียนเทียนไม่มีความคิดที่จะสร้าง ความลำบากใจให้ท่าน เพียงคิดจะบอกท่านว่า จีเพียนเทียนหมายตาท่านไว้แล้ว หากว่าท่านยินดีแต่งงานข้าก็จะแต่งด้วย หากว่าไม่ยินยอม เช่นนั้นก็ขอให้มาหามา เยี่ยมเทียนเทียนบ่อยๆ ในตอนที่เทียนเทียนยังมีชีวิตอยู่ รอจนเทียนเทียนตายแล้ว ก็มาดื่มสุราเป็นเพื่อนข้าที่หลุมฝังศพ เทียนเทียนจะอวยพรให้ประมุขน้อยอิ๋งมีความสัมพันธ์และมิตรภาพที่ดี”
‘แม่นางคนนี้ถือว่ามีเหตุมีผลดี’ มู่ชิงเกอชื่นชมในใจ
อิ๋งเจ๋อถูกจีเทียนเทียนใช้สายตาอันวาววาบจ้องมองมา จึงพยักหน้าลงไปอย่างไม่รู้ตัว
รอจนเขาได้สติกลับมาแล้ว จึงค่อยพบว่าตนเองได้รับปากไปแล้ว
จีเทียนเทียนได้รับสัญญาแล้ว ก็เผยรอยยิ้มพิมพ์ใจออกมา เอ่ยกับทั้งสามคนว่า “เช่นนั้นเทียนเทียนก็ไม่รบกวนทุกคนพักผ่อนแล้ว ขอลาก่อน”
พูดแล้ว นางก็หันกายจากไป
รีบเดินเข้าไปในทางเส้นเล็กแล้วถึงได้รีบเช็ดนํ้าตาที่ในที่สุดก็กลั้นเอาไว้ไม่อยู่