Skip to content

พลิกปฐพี 366

ตอนที่ 366

การทำนายของทำเนียบชิงอิง

ภายในเรือนของจีเหยาฮั่ว ทั้งสามคนยืนเป็นสามมุม

การต่อสู้ระหว่างพวกเขาใช้วิธีการต่อสู้พร้อมกันทั้งสามคน

และก็หมายถึงว่า ภายในพวกเขาทั้งสามคน บางครั้งก็อาจจะเป็นศัตรูกัน บางครั้งก็อาจจะร่วมมือกัน บางครั้งก็อาจจะโจมตีข้างหลังกัน การต่อสู้เช่นนี้มีความพลิก แพลงได้มาก และก็เต็มไปด้วยความท้าทาย สายตาของทั้งสามคนปะทะกันกลางอากาศอย่างต่อเนื่อง เปลวเพลิงแห่งการต่อสู้ลุกโชนขึ้นภายในดวงตาของพวกเขา

จีเหยาฮั่วยิ้ม เก็บพัดในมือ เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ในเมื่ออิ๋งเจ๋อไม่มียุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพในมือ พวกเราก็ไม่ต้องใช้อาวุธไปรังแกเขา”

“ไม่จำเป็น” อิ๋งเจ๋อพูดด้วยเสียงที่เย็นชา

มู่ชิงเกอพยักหน้า เก็บทวนหลิงหลงกลับ “ไม่ผิด ในเมื่อหาความยุติธรรม เช่นนั้นก็ต้องกำจัดทุกปัจจัยที่ไม่เป็นธรรมไปให้หมด ใช้มือเปล่าที่นี่จะดีกว่า”

เมื่อทั้งสองคนยืนหยัดเช่นนี้อิ๋งเจ๋อก็ไม่พูดอีก เพียงแต่เก็บอาวุธของตนเองไปเงียบๆ

เขาไม่ได้ฉวยโอกาสนี้ขอให้มู่ชิงเกอหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพให้

ทั้งสามคนล้วนแต่เก็บอาวุธแล้ว แต่ว่าบรรยากาศระหว่างกันกลับดูตึงเครียดมากขึ้น

“มาเถอะ!” จีเหยาฮั่วตะโกนขึ้นอย่างกระตือรือร้นออกมาคำหนึ่ง เริ่มการโจมตี

คู่มือที่เขาโจมตีแน่นอนว่าเป็นมู่ชิงเกอ

ส่วนอิ๋งเจ๋อก็ไม่ยอมถูกทิ้งไว้ด้านหลัง โจมตีเข้าไปใส่มู่ชิงเกอพร้อมกัน

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววดุดัน ยกสองมือขึ้นมา มือหนึ่งพลิกเป็นฝ่ามือ ต้านรับการโจมตีจากฝ่ามือของจีเหยาฮั่ว ส่วนอีกมือกลายเป็นกำปั้นรับกับกำปั้นของอิ๋งเจ๋อ

บึ้ม!

สองเสียงดังขึ้นมาพร้อมกัน

นัยน์ตาของจีเหยาฮั่วกับอิ๋งเจ๋อฉายแววตกตะลึง ทั้งตัวคนลอยสะท้อนกลับ

ส่วนมู่ชิงเกอก็ถูกผลักให้ถอยไปด้านหลังเช่นเดียวกัน ใจกลางของทั้งสามคน มีพลังจิตอันแข็งแกร่งสายหนึ่ง ทำลายแผ่นหินบนพื้นเรือนไป

“เจ้ามีพลังที่แข็งแกร่งถึงขนาดนี้เชียวหรือ!” อิ๋งเจ๋อเอ่ยอย่างตกตะลึง

ตระกูลอิ๋งของเขา พละกำลังอยู่ในสายเลือด แต่กลับถูกกำปั้นของมู่ชิงเกอต่อยจนข้อมือบวม หมัดของเขาเมื่อครู่ส่งแรงไปเท่าไหร่นั้น ในใจของเขารู้ดี และก็คิดไม่ถึงว่ามู่ชิงเกอจะสามารถโต้กลับได้เช่นนี้ภายใต้สภาวะที่มีคู่ต่อสู้ถึงสองคน

อิ๋งเจ๋อตกตะลึง จีเหยาฮั่วก็ตกตะลึงมากเช่นเดียวกัน

เขาไม่เพียงแต่ตื่นตะลึงในความเร็วของมู่ชิงเกอ แต่เป็นตะลึงยิ่งกว่ากับปฏิกิริยาการตอบสนองของเขา เขาชิงลงมือก่อน ทั้งยังใช้พลังของสายเลือดในการควบคุมลม แต่มู่ชิงเกอก็ยังคงรับเอาไว้ได้

มุมปากของมู่ชิงเกอฉีกออกเล็กน้อย นางฝึกเคล็ดวิชาเทวะส่วนบน ความแข็งแกร่งของร่างกายไม่ใช่อะไรที่มนุษย์ธรรมดาทั่วไปจะสามารถเปรียบเทียบได้นานแล้ว อย่าพูดแค่ว่ารับอิ๋งเจ๋อหนึ่งหมัดเลย หมัดเต็มกำลังของนางหนึ่งหมัดก็สามารถทำลายชุดเกราะระดับเทวะสามชั้นให้แตกได้

“มาอีก!” มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มออกมา ท้าทายออกไปเอง

ครั้งนี้ เป็นนางลงมือโจมตี คู่มือที่นางเลือกก็คืออิ๋งเจ๋อ นัยน์ตาของอิ๋งเจ๋อฉายแวววาววาบ ใช้กำลังเต็มที่ในการรับศึก นัยน์ตาของจีเหยาฮั่วกลอกไปมาและก็พุ่งเข้าไปต่อกรกับมู่ชิงเกอร่วมกันกับอิ๋งเจ๋อ

ทั้งสามคนต่อสู้กันไปมา ยากที่จะแยกออกจากกันได้ ทั้งเงาร่างของทั้งสามก็มองไม่ออกแล้วว่าใครเป็นใคร ถึงเป็นการต่อสู้ด้วยมือเปล่าแต่ทั้งสามคนก็ต่อสู้ได้ดุ เดือดเป็นอย่างมาก ลมจากหมัดและลมจากฝ่ามือพัดจนกิ่งไม้ภายในเรือนหักเป็นแถวๆ ก้อนหินในภูเขาจำลองก็สั่นสะเทือนจนกลายเป็นฝุ่นผงไป

ทันใดนั้น กระบวนท่าของอิ๋งเจ๋อก็เปลี่ยนไป เปลี่ยนไปโจมตีจีเหยาฮั่ว

จีเหยาฮั่วถอยหลังตั้งรับ หลีกเลี่ยงความเสี่ยง ดึงมือกลับมามือหนึ่งแล้วก็โจมตีเข้าใส่อิ๋งเจ๋อ

ต่อสู้ไปมา มู่ชิงเกอกับจีเหยาฮั่วก็ร่วมมือกัน ต่อกรกับอิ๋งเจ๋อ ถึงแม้ว่าระดับพลังฝึกปรือของอิ๋งเจ๋อจะเทียบพวกเขาไม่ได้ แต่ก็มีพลังจากสายเลือดทำให้ต่อสู้กับพวกเขาได้เสมอกัน

ยิ่งต่อสู้กระบวนท่าของทั้งสามคนก็ยิ่งเฉียบคมมากยิ่ง

ไม่นานจีเหยาฮั่วก็ร่วมมือกันกับอิ๋งเจ๋ออีกครั้งเข้าต่อกรกับมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอตอบสนองอย่างรวดเร็ว ทุกกระบวนท่าเฉียบคมเด็ดขาด ดุดันไม่ยั้งไมตรี ต่อสู้กับทั้งสองคนอย่างดุเดือดมากยิ่งขึ้น

จีเหยาฮั่วและอิ๋งเจ๋อยิ่งต่อสู้ยิ่งรู้สึกตะลึง พวกเขาไม่คิดเลยว่าวิชาหมัดมวยของมู่ชิงเกอจะเหนือลํ้าขนาดนี้ การต่อสู้ระยะประชิดเช่นนี้เหมือนกับสร้างขึ้นมาเพื่อเขาโดยเฉพาะก็ไม่ปาน ลงมือได้พลิกแพลง แม่นยำ ทั้งยังรุนแรงมาก

ปัง!

ปัง ปัง!

บึ้ม!

หมัดของทั้งสามคนปะทะกันกลางอากาศ คลื่นพลังจิตอันแข็งแกร่ง กระจายออกมาจากหมัดของคนทั้งสาม สะท้อนให้ทั้งสามคนถอยหลังออกไป สร้างระยะห่างระหว่างกัน

ทั้งสามคนตกลงไปบนพื้นพร้อมกัน ตอนนี้เรือนของจีเหยาฮั่วนั้นแตกต่างไปจากเดิมแล้ว กลายเป็นซากของความวุ่นวาย

จีเหยาฮั่วมองไปยังมู่ชิงเกอแล้วถอนหายใจเอ่ยว่า “เจ้าผอมเพรียวขนาดนี้แต่กลับมีเรี่ยวแรงมากมายนัก แม้แต่อิ๋งเจ๋อก็ยังเอาเจ้าลงไม่ได้! เจ้าเป็นสัตว์ประหลาดอะไรกันแน่? หรือว่าใต้หนังมนุษย์นี้ได้ซ่อนอสูรร้ายตัวหนึ่งเอาไว้อยู่?”

มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุกเหมือนถูกโจมตีจากจินตนาการอันลํ้าเสิศนี้ของเขา

อิ๋งเจ๋อดีดฝุ่นบนชุดของตนเองออก มองไปยังมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยว่า “ข้าในตอนนี้ไม่ใช่คู่มือของเจ้า”

จีเหยาฮั่วยิ้มและก็เอ่ยตามไปว่า “หากว่าต่อสู้กันจริงๆ ขึ้นมา ข้ากับเจ้าอาจจะต่อสู้กันไปหลายวันหลายคืน และสุดท้ายแล้วคนที่แพ้ก็เป็นข้าอย่างแน่นอน”

“พวกเจ้าสองคนดูแคลนตนเองเกินไป” มู่ชิงเกอสะบัดแขนเสื้อของตนเองเล็กน้อย

นางไม่ได้รู้สึกว่าตนเองแข็งแกร่งมาก เป็นเพียงแค่เพรา ฝึกฝนเคล็ดวิชาเทวะแล้วร่างกายแข็งแกร่งขึ้นหน่อยก็เท่านั้น หากพูดตามที่หยินเฉินพูด ร่างกายของนางในตอนนี้นั้นก็เหมือนกับยุทธภัณฑ์ที่มีร่างเป็นคน แม้แต่ยุทธภัณฑ์ชนเทวะก็ยากมากที่จะทะลุพลังป้องกันของนางได้

“ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เหมาะสมในการพูดคุย พวกเราเปลี่ยนที่กันเถอะ” จีเหยาฮั่วสะบัดแขนเสื้อเอ่ยกับทั้งสองคน

สำหรับเรื่องนี้ มู่ชิงเกอและอิ๋งเจ๋อล้วนแต่ไม่มีข้อโต้แย้ง พวกเขาออกจากเรือนของจีเหยาฮั่ว พริบตาเดียวก็มาถึงศาลา ศาลานี้เป็นสถานที่แรกที่มู่ชิงเกอเข้ามาในวันที่มาถึง

สาวใช้รีบส่งชา อาหารว่างและผลไม้หลากหลายชนิดมา

ทั้งสามคนนั่งล้อมกันเป็นวง ทั้งดื่มชาและก็พูดคุยกันไป

“ผ่านไปอีกไม่นาน ทำเนียบชิงอิงก็จะปรับเปลี่ยนแล้ว การต่อสู้ในวันนี้หากว่าถูกเล่าลือออกไป เกรงว่าอันดับสองบนทำเนียบชิงอิงของข้าก็คงต้องยอมยกให้แล้ว” จีเหยาฮั่วลอกเปลือกผลไม้ ยิ้มพูดออกมา

ดูจากท่าทางของเขาแล้วดูเหมือนว่าไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไรมากมาย อันดับบนทำเนียบชิงอิงสำหรับเขาแล้วไม่ได้สำคัญขนาดนั้น เขาพูดประโยคนี้ออกมา อิ๋งเจ๋อก็พยักหน้าไป

ถึงแม้ว่าการต่อสู้ในครั้งนี้ ทั้งสามคนล้วนแต่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่ว่าภายในใจก็รู้ดีว่าใครสู้ใครไม่ได้ ใครยากจะต่อกร ใครฝีมือสูงกว่าใคร ไม่ต้องต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายก็สามารถรู้สูงรู้ตํ่าได้

มู่ชิงเกอจิบชาคำหนึ่งแล้วพูดกับทั้งสองคนว่า “อันดับเหล่านี้เป็นเพียงแค่เรื่องที่คนน่าเบื่อทำขึ้นมา หากว่าต่อสู้เป็นตายจริงๆ แล้ว ก็ยากที่จะแน่ใจได้ว่าคนที่อยู่ อันดับด้านหลังจะไม่ลากคนที่อยู่อันดับด้านหน้าให้ตายไปด้วยกัน”

นางก็ไม่ได้สนใจอันดับบนทำเนียบชิงอิงเช่นเดียวกัน

คำพูดของนางได้รับการเห็นด้วยจากจีเหยาฮั่วและอิ๋งเจ๋อ

พวกเขาทั้งสามคนนับจากไม่ต่อยตีไม่รู้จักกัน ค่อยๆ สนิทจนกลายเป็นเพื่อน บางทีอาจจะเป็นเพราะมีมุมมองที่คล้ายกันก็ได้

พวกเขาไม่สนใจกับชื่อเสียงที่คนอื่นๆ สนใจ แม้ว่าจีเหยาฮั่วจะชอบพูดถึงห้าอันดับหน้าบนทำเนียบชิงอิง แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาก็ไม่ได้สนใจมากสักเท่าไหร่

“ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่ได้สนใจ แต่ทำเนียบชิงอิงนี้ก็ยังคงอยู่ ในปีนั้นบนทุ่งหญ้าอัสดง เกรงว่าชิงเกอคงได้เข้าไปอยู่ในสายตาของตำหนักเทพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่สนว่าเจ้าจะยินยอมหรือไม่ยินยอม ครั้งนี้เจ้าจะต้องมีชื่ออยู่ในทำเนียบชิงอิงอย่างแน่นอน” จีเหยาฮั่วเอ่ย

สำหรับเรื่องนี้แล้ว มู่ชิงเกอไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษอะไร ในตอนนี้อิ๋งเจ๋อก็พูดขึ้นมาว่า “ข้ากับจีเหยาฮั่ว เจ้าก็ล้ว แต่รู้จักแล้ว ภายในอันดับหน้าทั้งห้าอันดับ อันดับสี่และอันดับสองล้วนแต่ไม่ใช่คู่มือของเจ้า เช่นนั้นอันดับสามเหยาชิงไห่ ยังมีอันดับห้าซีเซียนเสวี่ยก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าเช่นกัน ก็ไม่รู้ว่าเจ้ากับเว่ยมั่วลี่ใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน”

“เว่ยมั่วลี่? เจ้าคนบ้านั้น ครั้งสุดท้ายที่เจอกัน เขาก็ได้เข้าสู่ระดับสีทองแล้ว ใครจะรู้ว่าตอนนี้ระดับพลังของเขาอยู่ระดับไหน? ลึกลับมาโดยตลอดไม่เห็นแม้แต่เงาและก็ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย” จีเหยาฮั่วสอดคำขึ้นมา

มู่ชิงเกอหลุบตา เป่าใบชาที่ลอยอยู่ในจอกชาเบาๆ

นางไม่เคยพูดกับทั้งสองคนว่านางกับซีเซียนเสวี่ยนั้นเคยต่อสู้กันแล้ว ส่วนเหยาชิงไห่ก็ได้ท้านางแล้วเมื่อสองปีก่อน เพียงแต่ว่าที่เขาท้าประลองนั้นไม่ใช่พลังในการต่อสู้ แต่เป็นเรื่องโอสถ!

ในนัยน์ตาที่หลุบลงของมู่ชิงเกอ ฉายแวววาววาบโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น

สำหรับเว่ยมั่วลี่…

สำหรับคนที่รั้งอยู่ตำแหน่งอันดับหนึ่งบนทำเนียบชิงอิงผู้นี้นั้น นางก็สงสัยใคร่รู้มาก แต่ว่าก็ไม่มีวาสนาได้พบสักที

“เว่ยมั่วลี่คนนี้พวกเจ้าเคยเห็นด้วยงั้นหรือ?” มู่ชิงเกอวางจอกลง เอ่ยถามกับทั้งสองคน

อิ๋งเจ๋อค่อยๆ ส่ายหน้า “ก่อนที่ข้าจะขึ้นไปบนทำเนียบ เขาก็อยู่ในอันดับหน้าบนทำเนียบแล้ว เพียงแต่ได้ยินว่า เมื่อเขายังเป็นหนุ่มวัยรุ่นก็มีชื่อเสียงขึ้นในการต่อสู้แค่ครั้งเดียว ใช้ระดับพลังฝึกปรือระดับสีเงินชั้นสองเอาชนะยอมฝีมือระดับสีเงินชั้นห้าคนหนึ่งได้”

‘ท้าทายข้ามชั้นงั้นหรือ’ มู่ชิงเกอหลุบตาครุ่นคิด

จีเหยาฮั่วเพิ่มเติมว่า “ตระกูลเว่ยอยู่ในภาคกลาง แต่เดิมก็เป็นตระกูลบรรพกาลตระกูลหนึ่งที่ตกตํ่าไปแล้ว ถูกผู้คนมองข้ามมาตลอด แต่กลับเป็นเพราะการกำเนิดของเว่ยมั่วลี่ ที่ทำให้ตระกูลนี้เข้ามาอยู่ในสายตาของผู้คนอีกครั้ง ได้รับความสำคัญขึ้นมาอีก”

“ตระกูลเว่ยนั้นมีสายเลือดตระกูลบรรพกาลอะไรหรือ?” ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็ถามขึ้น

จีเหยาฮั่วยิ้มเอ่ยว่า “พูดขึ้นมาแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่ผิดปกติจนเกินไป ความสามารถในการป้องกันของตระกูลเว่ยนั้นลํ้าเลิศ สายเลือดของพวกเขาว่ากันว่าได้รับการสืบทอดมาจากเทพเสวียนอู่ ส่วนสายเลือดของเว่ยมั่วลี่นั้นเข้มข้นมาก ในปีนั้นเขาก็อาศัยพลังป้องกันที่ไร้เทียมทานนี้จัดการยอดฝีมือระด้บสีเงินชั้นห้าคนนั้นไป” พูดจบแล้วเขาก็หยุดชั่วคราว แล้วก็เอ่ยต่อว่า “เจ้าคิดดู คนหนึ่งโจมตีอย่างไรก็ไม่บาดเจ็บ แน่นอนว่าสามารถพุ่งเข้าไปโจมตีโดยไม่มีความกังวลใดๆ แล้วก็โค่นล้มฝ่ายตรงข้ามได้”

อิ๋งเจ๋อพยักหน้า และก็เอ่ยขึ้นว่า “พูดกันว่า มีคนเคยเห็นเว่ยมั่วลี่ต่อสู้ กระบวนท่าของอีกฝ่ายเมื่อตกลงใส่ร่างของเขา ก็จะเกิดเสียงของโลหะขึ้น แต่ว่าก็เห็นได้ชัดว่า เขาไม่ได้สวมชุดเกราะ”

‘หรือว่าเป็นรากวิญญาณทองงั้นหรือ?’ มู่ชิงเกอพึมพำขึ้นในใจ การอธิบายของจีเหยาฮั่วและอิ๋งเจ๋อ ทำให้นางคิดไปถึงพลังพิเศษสายทอง ภายในพลังพิเศษที่นาง สัมผัสมานั้นพลังพิเศษสายทองมีชื่อเสียงในการป้องกัน แน่นอนว่าพลังโจมตีก็แข็งแกร่งมาก เพียงแต่หากเทียบกับพลังพิเศษสายฟ้าของนางแล้วก็ยังต้อยกว่าหน่อย

ส่วนในโลกแปลกประหลาดนี้ คำพูดที่ผู้คนใช้เรียกพลังพิเศษก็น่าจะเรียกว่ารากวิญญาณ

ถ้าหากว่านางนั้นเป็นรากวิญญาณสายฟ้าโดยกำเนิด เช่นนั้นเว่ยมั่วลี่น่าจะเป็นคนที่เป็นรากวิญญาณทองโดยกำเนิด เมื่อมองมาที่คนสองคนด้านหน้าอีกครั้ง…ภายในนัยน์ตาอันสดใสของมู่ชิงเกอก็สะท้อนเงาร่างของจีเหยาฮั่วและอิ๋งเจ๋อ

ซือมั่วเคยพูดว่า สายเลือดของอิ๋งเจ๋อนั้นเข้มชันมาก เป็นสายเลือดที่ทรงพลัง ส่วนจีเหยาฮั่วนั้นเป็นรากวิญญาณลมโดยกำเนิด

“เอาล่ะ พวกเราก็ไม่ต้องพูดคุยกันเรื่องเว่ยมั่วลี่แล้ว ถึงอย่างไรเขาก็ไปมาไร้ร่องรอย ใครก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ชิงเกอก็คงจะไม่พบเจอเขาหรอก” จีเหยาฮั่วตัดบท ทั้งสามคนนั่งอยู่ในศาลาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับคนมีความสามารถที่ปรากฎขึ้นมาภายในสองสามปีนี้ คาดเดาถึงการเปลี่ยนแปลงบนทำเนียบชิงอิงเล็กน้อยแล้วก็แยกย้ายกันไป

สองวันต่อมา พวกเขาก็ล้วนแต่เตรียมของไปยังสนามรบโบราณของเทพมารของใครของมัน

หลังจากผ่านไปสองวันจีเหยาฮั่วก็พามู่ชิงเกอและอิ๋งเจ๋อออกจากเมืองวั่นเข่อ

เขาหันกายไปหามู่ชิงเกอยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ชิงเกอ รีบปล่อยเสี่ยวไฉ่ออกมาเถอะ”

เสี่ยวไฉ่?

นัยน์ตาของอิงเจ๋อฉายแววสงสัย

มู่ชิงเกอหัวเราะ สะบัดมือ ตรงหน้าของทั้งสามคน ปรากฎสิ่งเล็กๆ ที่มีสีสันสดใสออกมาตัวหนึ่ง

พริบตาเดียวเสี่ยวไฉ่ก็กลายร่างเป็นนกเฟิ่งสีสันสดใส ร้องเรียกมู่ชิงเกออย่างสนิทชิดเชื้อไปคำหนึ่ง

“นี่เป็นพาหนะของชิงเกอ พวกเรานั่งมันไปยังสนามรบโบราณแห่งเทพมาร จะเร็วมาก” จีเหยาฮั่วอธิบายให้กับอิ๋งเจ๋อที่กำลังชะงักอยู่ที่เดิมฟัง

อิ๋งเจ๋อพยักหน้า แสดงว่าเข้าใจแล้ว

ทั้งสามคนนั่งอยู่บนหลังของเสี่ยวไฉ่ มู่ชิงเกอลูบๆ คอของเสี่ยวไฉ่ แล้วมันก็กระพือปีกบิน พริบตาเดียวก็ทะยานขึ้นไปสู่กลางอากาศ “ทางเข้าสนามรบโบราณแห่งเทพมารอยู่ชายแดนเชื่อมต่อระหว่างภาคเหนือและภาคกลาง พวกเราออกจากที่นี่ไปก็ไม่ถือว่าไกลมาก” จีเหยาฮั่วเอ่ยกับมู่ชิงเกอ

“พูดกันว่าถึงที่นั่นแล้วยังต้องใช้วิธีอะไรบางอย่างถึงจะสามารถเข้าไปได้” มู่ชิงเกอเอ่ย

ใครจะรู้ว่า เพียงแค่เสียงของนางหลุดออกไป อิ๋งเจ๋อก็ล้วงเอายันต์สีทองสามใบออกมาแบ่งให้พวกเขาคนละแผ่น เขาอธิบายว่า “ยันต์สามใบนี้สามารถส่งพวกเราเข้าไปในสนามรบโบราณได้ เพียงแต่สามารถอยู่ที่นั้นได้เพียงแค่สามเดือน หลังจากสามเดือน ไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็ล้วนแต่จะถูกมันดีดออกมา”

“เป็นยันต์เคลื่อนย้าย! ดูท่าแล้วเจ้าคงเตรียมการมาดีมาก” จีเหยาฮั่วพูดอย่างตะลึง

“พูดมา คงไม่ใช่ว่าเจ้าได้วางแผนไว้ตั้งนานแล้วใช่ไหม? รอแค่พวกเราหลงกล?” มือของเขาคีบยันต์เคลื่อนย้าย แล้วก็แยกเขี้ยวพูดกับอิ๋งเจ๋อ

อิ๋งเจ๋อขี้เกียจจะสนใจเขา เพียงแต่ส่งสายตาเย็นชาไปให้

เสี่ยวไฉ่แบกพวกเขาลอยกลางอากาศมาสามวันในที่สุดก็มาถึงชายแดนเชื่อมต่อระหว่างภาคเหนือและภาคกลาง ทางเข้าของสนามรบโบราณแห่งเทพมารใน ตำนาน

เก็บเสี่ยวไฉ่กลับแล้ว ยืนอยู่ด้านหน้าของช่องทางแคบๆ ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็รู้สึกถึงความเย็นยะเยือกขึ้นมา

ภายในความกว้างยาวและช่องว่างตรงกลางที่ดูไม่ต่างจากรอยแยกของหินธรรมดาสักเท่าไหร่นั้นมีหมอกสีดำโผล่ออกมาไม่หยุด ทั้งยังมีกลิ่นอายของความตายอันเยียบเย็น

“ที่นี่ก็คือทางเข้าของสนามรบโบราณแล้ว” จีเหยาฮั่วเอ่ยกับทั้งสองคน

ทั้งสองคนสบตากันแวบหนึ่ง ขยี้ยันต์เคลื่อนย้ายในมือหายไปจากที่เดิม

มู่ชิงเกอรู้สึกว่าร่างสั่นไหวเล็กน้อย ยังไม่ทันได้มองดูบรรยากาศข้างหน้าให้ชัดเจน ข้างหูก็มีเสียงการต่อสู้ อย่างดุเดือดดังเข้ามา…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!