ตอนที่ 367
ทำไมถึงบังเอิญขนาดนี้!
มู่ชิงเกอไม่รู้ว่ายันต์เคลื่อนย้ายที่ได้มาจากอิ๋งเจ๋อนั้นมีคุณภาพอย่างไร สรุปแล้วคือ หลังจากขยี้ นางก็รู้สึกเหมือนฟ้าดินกลับหัวกลับหาง ในตอนที่สองเท้ายืนได้ อย่างมั่นคงกับพื้นนั้น ยังไม่ทันที่นางจะมองเห็นบรรยากาศตรงหน้าได้ชัด ข้างหูก็มีเสียงต่อสู้อย่างดุเดือดดังเข้ามาแล้ว
“ฝั่งนั้นดูเหมือนว่าจะมีคนกำลังต่อสู้กันอยู่!” เสียงของจีเหยาฮั่วดังขึ้นมา
มู่ชิงเกอเพ่งมองไป ถึงได้พบว่าข้างกายของตนเองไม่ไกลมีเงาร่างสูงเพรียวสองสายยืนอยู่ ส่วนในระหว่างพวกเขานั้นเต็มไปด้วยม่านหมอก ดูคลุมเครือบดบังสายตา และก็ปิดซ่อนบรรยากาศโดยทั่วของสนามรบโบราณเอาไว้
“ชิงเกอ? อิ๋งเจ๋อ!” เสียงของจีเหยาฮั่วดังขึ้นมาอีกครั้ง ดูเหมือนว่ามองไม่เห็นเงาร่างของทั้งสองคนจึงร้องตะโกนออกมา
“ข้าอยู่นี่” มู่ชิงเกอเอ่ยปาก
“ข้าอยู่นี่” และอิ๋งเจ๋อก็เอ่ยปากเช่นเดียวกัน
เสียงนี้ดังมาจากซ้ายและขวาของจีเหยาฮั่ว ล้วนแต่ห่างออกไปไม่ไกล นี่ทำให้เขารู้สึกโล่งใจ เขายืนไม่ขยับอยู่ที่เดิม แล้วเอ่ยกับทั้งสองคนว่า “หมอกที่นี่หนามาก ข้ามองไม่เห็นพวกเจ้า ข้าจะยืนนิ่งๆ อยู่ที่นี่พูดไปเรื่อยๆ พวกเจ้ามุ่งหน้ามาทางข้า ยังมีอีกอย่างข้าได้ยินเสียงของการต่อสู้พวกเราต้องระวังตัวหน่อย”
มู่ชิงเกอและอิ๋งเจ๋อก็เห็นด้วยกับความคิดของเขา ขยับไปหาเขาเรื่อยๆ ประสาทสัมผัสทั้งห้าของมู่ชิงเกอนั้นแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดา ดังนั้นยังสามารถฝืนมองเห็น เงาร่างของพวกเขาในม่านหมอกหนาได้ชัดหน่อย
ไม่นาน ทั้งสามคนก็รวมตัวเข้าหากันได้ใหม่อีกครั้ง
เมื่อมองเห็นทั้งสองคนชัด จีเหยาฮั่วถึงได้โล่งอก พูดออกมาอย่างกลัวๆ ว่า “สนามรบโบราณของเทพมารนี้ช่างสมกับคำรํ่าลือจริงๆ เพิ่งจะเข้ามาก็ลงแส้สั่งสอนพวกเราเสียแล้ว ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหนแล้วเสียงการต่อสู้ด้านหน้านั้นคือเกิดอะไรขึ้น? หรือว่ามีคนเข้ามาในสนามรบโบราณด้วยงั้นหรือ?”
คำถามของเขามีไม่น้อยเลย แต่ก็ตรงกันกับความสงสัยในใจของทั้งสามคน
ยันตเคลื่อนย้ายนั้นเป็นของอิ๋งเจ๋อ เขาจึงเอ่ยปากขึ้นว่า “ที่นี่น่าจะเป็นชายขอบของสนามรบโบราณที่เชื่อมติดกับทางเข้า สำหรับเสียงของการต่อสู้…”
เขานิ่งเงียบลง ดูเหมือนว่าปัญหานี้เขาก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร
มู่ชิงเกอคิดเล็กน้อยแล้วก็เอ่ยปากว่า “ข้าเคยได้ยินมาว่า รอยแยกของสนามรบโบราณของเทพมารนั้นไม่ได้มีเพียงแต่อยู่ในโลกแห่งยุคกลางเท่านั้น บางทีเสียงการต่อสู้อาจจะมาจากผู้เข้ามาฝึกฝนจากโลกอื่นก็ได้และบางทีก็อาจจะเป็นคนของโลกแห่งยุคกลางที่มีความคิดเช่นเดียวกันกับเรา”
จีเหยาฮั่วได้ฟังแล้วนัยน์ตาก็เปล่งประกายขึ้นมา เขาลูบฝ่ามือแล้วหัวเราะ “คำเล่าลือนี้ข้าก็เคยได้ยินมา หากว่าเป็นคนที่มาจากโลกอื่นอยู่ที่นี่จริงๆ ข้าก็อยากจะ ประลองกับพวกเขาดู! ดูสิว่าเป็นฝั่งของพวกเราแข็งแกร่งกว่าหรือว่าฝั่งของพวกเขาแข็งแกร่งกว่า”
“เก็บความคิดของเจ้ากลับไปซะ ถ้าหากว่าคนของโลกอื่นแข็งแกร่งกว่าพวกเราแล้วมาเผชิญหน้ากับพวกเรา พวกเราก็จะต้องตายสถานเดียว” อิ๋งเจ๋อพูดอย่างไม่เกรง ใจ
จีเหยาฮั่วหน้าแตกไปชั่วขณะ “อิ๋งเจ๋อ เจ้าเปลี่ยนไป! เหตุใดจึงเปลี่ยนไปเป็นขี้ขลาดกลัวตายแล้วเล่า”
แต่อิ๋งเจ๋อกลับเอ่ยเสียงเรียบออกมาว่า “นี่ไม่ใช่ขี้ขลาดกลัวตาย แต่คือไม่ยอมไปตายง่ายๆ ต่างหาก”
“เอาล่ะพอแล้ว เลิกพูดเรื่องที่ไม่มีประโยชน์ได้แล้ว เข้ามาในสนามรบโบราณพวกเราต้องระมัดระวังมีสติให้มาก” มู่ชิงเกอตัดบทการโต้เถียงอย่างไร้สาระระหว่างทั้งสองคน
จีเหยาฮั่วและอิ๋งเจ๋อรวมรวมสติ หว่างคิ้วล้วนแต่เผยความเคร่งขรึมขึ้นมา
ข้างหู เสียงของการต่อสู้ยังดำเนินต่อไป ฟังไปแล้วก็ไม่เหมือนการต่อสู้ที่อลหม่านวุ่นวาย แต่เป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัว
จีเหยาฮั่วขมวดคิ้วขึ้น เอ่ยถามว่า “พวกเราเข้าไปดูดีไหม?”
อิงเจ๋อไม่เอ่ยปาก แต่มองไปทางมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอคิดแล้วก็ตัดสินใจว่า “ที่นี่มองไปไหนก็มีแต่ หมอกบดบังสายตา พวกเราก็มองไม่เห็นว่าเป็นสถานการณ์อย่างไรกันแน่ในเมื่อด้านหน้ามีเสียงของการต่อสู้ เช่นนั้นก็ตามไปดูเผื่ออาจจะได้ประโยชน์อะไร”
“ได้”
“ได้”
ทั้งสองคนล้วนแต่พยักหน้าเอ่ย
ทั้งสามคนรวมตัวกันค่อยๆ เดินไปตามเสียงของการต่อสู้ ฟังเสียงที่ได้ยินดูเหมือนว่าจะใกล้มาก แต่เพราะมีหมอกบดบังจึงไปได้ช้าไม่ถึงสักที
“ที่นี่หนาวเย็นมาก พวกเจ้ารู้สึกหรือไม่?” เดินไปจีเหยาฮั่วก็เอามือลูบแขนของตนเองไป แล้วเอ่ยกับทั้งสองคน
เย็น?
ภายในร่างกายของมู่ชิงเกอนั้นมีพญาเพลิงจึงไม่เคยรู้สึกถึงความหนาวเย็น แต่ว่า อิ๋งเจ๋อที่อยู่ข้างกายของนางกลับเอ่ย ‘ใช่’ ไปคำหนึ่ง
“ดูเหมือนว่าจะเป็นเพราะม่านหมอกเหล่านี้” ดูเหมือนว่าจีเหยาฮั่วจะหาสาเหตุของความหนาวเย็นพบแล้ว
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววเคร่งขรึมขึ้น “ไม่ว่าจะอย่างไร พวกเรารีบเดินออกไปจากม่านหมอกนี้กันเถอะ”
ทั้งสามคนเร่งฝีเท้า เร่งความเร็วมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่เกิดเสียงของการต่อสู้
เสียงดูเหมือนว่าจะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ส่วนม่านหมอกที่บดบังสายตาของพวกเขาก็ค่อยๆ จางลงไป
“ข้าสามารถมองเห็นพวกเจ้าได้แล้ว!” จีเหยาฮั่วเอ่ยออกมาอย่างดีใจ
อิ๋งเจ๋อหันไปมองเขาแวบหนึ่งแล้วก็ถอนสายตากลับมาอย่างสงบนิ่ง
เทียบกับทั้งสองคนที่เพิ่งมองเห็นแล้ว มู่ชิงเกอกลับมองเห็นได้ชัดเจนขึ้นมาก ม่านหมอกรอบด้านผ่านด้านหน้าของพวกเขา โครงร่างของสนามรบโบราณก็ค่อยๆชัดเจนขึ้นมา
“เสียงของการต่อสู้ดูเหมือนว่าจะดังมาจากทางนั้น” มู่ชิงเกอชี้ไปด้านหน้าที่ถูกม่านหมอกโอบล้อมแล้วพูดกับทั้งสองคน
และก็มีลมสายหนึ่งพัดเข้ามา พัดให้ม่านหมอกจางๆ ที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขากระจายไป และก็ทำให้พวกเขามองเห็นใต้เท้าได้อย่างชัดเจน
“ให้ตายสิ!” จีเหยาฮั่วกระโดดขึ้นมา เบิกตากว้างจ้องมองพื้น
ปฏิกิริยาของเขาทำให้มู่ชิงเกอและอิ๋งเจ๋อมองไปที่พื้นพร้อมกัน ในตอนที่มองเห็นพื้นชัดๆ นั้นนัยน์ตาของทั้งสองคนก็หดตัวลงพร้อมกัน
พื้นเรียบในความคิดของพวกเขานั้นกลับเป็นร่างกายของอสูรร้ายบางชนิด…ไม่ใช่ หากจะพูดให้ชัดเจนก็คือ น่าจะเป็นซากศพ ซากศพนี้ไม่รู้ว่าได้ตายไปกี่ปีมาแล้ว ผิวหนังแข็งตัวไร้ความยืดหยุ่น แต่บาดแผลอันน่ากลัวยังคงปรากฎให้เห็นอยู่
ก่อนที่มันจะตายจะต้องผ่านการสิ้นหวังอย่างสุดขีดมาอย่างแน่นอน อ้าปากกว้างดูเหมือนว่ากำลังร้องอย่างโหยหวน
ที่นี่ไม่ได้มีเพียงแค่ซากศพของเผ่าสัตว์อสูรแค่ร่างเดียว มองไปตามทางที่ลมพัดมา ทั้งสามคนเงยหน้าขึ้นถึงได้ พบว่าที่กองรวมกันที่นี่นั้นล้วนแต่เป็นซากศพของเผ่า สัตว์อสูร พวกมันกองรวมกันซ้อนกัน บีบอัดซากร่าง ผ่านการเปลี่ยนแปลงตามวันเวลามาหลายหมื่นหลายแสนปีจนกลายเป็นพื้นของสนามรบโบราณ
ลมหายไปแล้ว ม่านหมอกที่ถูดพัดกระจายกลับมารวมตัวใหม่อีกครั้ง บดบังซากศพของบรรดาสัตว์อสูรไว้
จีเหยาฮั่วพึมพำว่า “เมื่อมองเห็นซากศพของบรรดาสัตว์อสูรเหล่านี้แล้วก็สามารถคิดได้เลยว่าสงครามในครั้งนั้นรุนแรงขนาดไหน”
“เดินต่อเถอะ” มู่ชิงเกอรวมรวมสติกลับมา มองไปข้างหน้า
จีเหยาฮั่วทั้งเดินทั้งพูดว่า “ก่อนหน้านี้มองไม่ชัดยังดี ตอนนี้เมื่อรู้ว่าใต้เท้าของตนเองนั้นเหยียบอะไรอยู่ กลับทำให้เกิดความหวนกลัวขึ้นในใจ”
“เจ้าก็คิดเสียว่าเหล่านี้ล้วนแต่เป็นพื้นก็พอ” มู่ชิงเกอเอ่ยเสียงเรียบ
มุมปากของจีเหยาฮั่วกระตุก เผยรอยยิ้มที่ดูเหมือนจะร้องไห้ออกมา “ชิงเกอ เจ้าแน่ใจหรือว่านั่นคือการพูดปลอบใจข้า?”
มู่ชิงเกอหันไปมองเขา แล้วก็เอ่ยอย่างจริงจังว่า “ข้าไม่ได้ปลอบใจเจ้า”
จีเหยาฮั่วหมดคำจะพูด
เดินไปอีกครู่หนึ่ง ม่านหมอกเหล่านั้นจางลงไปหน่อย
เสียงของการต่อสู้อยู่ใกล้เพียงแค่คืบแล้วจนพวกเขาสามารถมองเห็นเงาร่างสองสายกำลังขยับไหวไม่หยุด เงาร่างสองสายนี้ ร่างหนึ่งผอมเพรียวบาง อีกร่างสูงใหญ่แข็งแกร่ง ดูไปแล้วก็เหมือนกับเป็นหนึ่งชายหนึ่งหญิง กำลังต่อสู้กันอยู่
มู่ชิงเกอ จีเหยาฮั่วและอิ๋งเจอมองหน้ากันแวบหนึ่ง จากนั้นทั้งสามคนก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นโดยไม่ได้นัดหมาย พุ่งตัวออกไปจากม่านหมอก
ในที่สุดพวกเขาก็เดินออกมาจากม่านหมอก มองเห็นหินภูเขาที่มีสีดำดุจโลหะไกลออกไป บรรยากาศอันแห้งแล้ง ท้องฟ้าขมุกขมัว ทั้งยังมีแผ่นดินใต้เท้าที่ถูกปกคลุมไปด้วยซากสัตว์อสูร
ส่วนบนพื้นภาพที่ทั้งสองคนกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด นั้นดูน่าตกใจมาก
เสียงโลหะปะทะกันไม่หยุด ในมือของผู้หญิงคนนั้นกำด้ามกระบี่เอาไว้ แต่สิ่งที่เหยียดตัวอยู่นั้นกลับเป็นคลื่นนํ้าที่รุนแรงโอบล้อมชายคนนั้นเอาไว้ตรงกลางราวกับจะพยายามกำราบอีกฝ่าย
แต่ชายคนนั้นก็ไม่ได้ธรรมดา ถูกกังขังอยู่ในคลื่นนํ้าวน แต่เขากลับส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธ สองกำปั้นเกิดแสงสีทอง โจมตีเข้าใส่คลื่นนํ้าไม่หยุด รอบกายของเขา เกิดเงาหมัดจำนวนนับไม่ถ้วน โจมตีจนคลื่นนํ้าสาดกระจาย
สามคนที่บุกเข้ามามองเห็นเงาหมัดเหล่านั้นต่อสู้กับคลื่นนํ้า
‘เป็นนาง!’ นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหดตัวลง เพียงแวบเดียวก็จดจำหญิงสาวที่กำลังต่อสู้กับชายหนุ่มคนนั้นได้ว่าเป็นใคร
นางจดจำกระบี่เล่มนั้นและก็มีกระบวนท่าต่อสู้ได้
“นั่นคือ…ธิดาเทพซี?” ภายใต้ภาวะตกตะลึงจีเหยาฮั่ว จำนางได้นั้นเป็นเพราะร่างกายที่งดงามยอดเยี่ยมของนางทั้งยังมีบรรยากาศรอบกายที่ไม่เหมือนกับคนทั่วไป
“บังเอิญขนาดนี้เชียวหรือ!” จีเหยาฮั่วหลุดเสียงพูดออกไป
ประโยคนี้มู่ชิงเกอก็กำลังพูดอยู่ในใจ
ทันใดนั้น ชายคนที่ถูกขังอยู่ในคลื่นนํ้าก็เกิดแรงระเบิดอย่างรุนแรง ซีเซียนเสวี่ยได้รับแรงสะท้อนกลับ กระอักเลือดออกมา ร่างกายปลิวลอยออกมาด้านหลัง เมื่อสูญเสีญพลังจิตสนับสนุน คลื่นนํ้าขนาดใหญ่ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย กลับไปเป็นร่างกระบี่ที่สดใสประดุจหยดน้ำรวมกันเข้ากับด้ามกระบี่
ซีเซียนเสวี่ยตกลงบนพื้นอย่างรุนแรง เมื่อสัมผัสกับพื้น แล้วก็อดกระอักเลือดออกมาอีกไม่ได้ สีหน้าซีดขาวมองไปยังชายที่ยืนตรงอยู่กลางอากาศคนนั้น
ส่วนชายคนนั้นผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าขาดวิ่นและสกปรก มองเห็นได้ไม่ชัดเจน เพียงแต่สามารถรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งจากกลิ่นอายพลังของเขาได้พลังจิตที่อยู่รอบกายของเขานั้นดูแข็งแกร่งดุดันมาก ดุจดั่งระเบิดที่พร้อมจะระเบิดได้ตลอดเวลา
ซีเซียนเสวิ่ยมองเขา นัยน์ตาฉายแววเคร่งเครียดและภายในความเคร่งเครียดก็ยังซ่อนความสิ้นหวังเอาไว้สายหนึ่ง ส่วนกระบี่ของนางที่ตกอยู่ข้างกายของตนเอง แสงก็ทึบลงไปเล็กน้อย
“อ๊าก!” ทันใดนั้น ชายคนที่ลอยอยู่กลางอากาศก็แหงนหน้าขึ้นฟ้าคำรามออกมา เสียงนี้แสบแก้วหูมาก สั่นสะท้านจนหัวใจเต้นแรง
ซีเซียนเสวี่ยใช้สองมือปิดหูเอาไว้แน่น สีหน้าดูอึดอัดมาก ช่องว่างระหว่างริมฝีปากที่เม้มแน่นมีเลือดไหลออกอย่างต่อเนื่อง
ส่วนสามคนที่ยืนดูการต่อสู้อยู่ด้านข้าง ก็ล้วนแต่ขมวดคิ้วขึ้นพร้อมกัน พลังจิตในร่างกายถูกกระต้นให้กระเพื่อมขึ้นด้วยเสียงคำราม
สองคนที่อยู่ในการต่อสู้ล้วนแต่ไม่ได้สังเกตถึงสามคนที่โผล่เข้ามาอย่างกะทันหันนี้
หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะที่ที่ทั้งสามคนยืนอยู่จะเป็นขอบของม่านหมอก รอบกายล้วนแต่ถูกม่านหมอกปกคลุม ทำให้มองเห็นพวกเขาไม่ชัดเจน
ในที่สุดชายคนนั้นก็หยุดคำราม ในช่องว่างระหว่างเส้นผมของเขา ดวงตาคมกริบคู่นั้นมองมายังซีเซียนเสวี่ย พริบตาเดียวเขาก็พุ่งตัวลงมาจากท้องฟ้า ห้านิ้วที่เฉียบ คม คิดจะคว้าจับนาง
การเข้ามาใกล้อย่างฉับพลันของชายคนนั้นทำให้ซีเซียนเสวี่ยตกใจ
ดวงตาทั้งคู่ของนางเบิกกว้าง คว้าจับกระบี่ที่อยู่ข้างกาย เอามาบังไว้ตรงหน้าของตนเอง คิดจะขัดขวาง
แต่ชายคนนั้นก็เหมือนกับมองไม่เห็น
กรงเล็บอันดุดันปะทะลงบนตัวกระบี่ ทำให้ทั้งตัวของนางลอยขึ้นมา ปลิวลอยตกไปยังทางที่พวกมู่ชิงเกอยืนอยู่ ในสายตาของซีเซียนเสวี่ย มีเงาร่างสีแดงที่คุ้นเคย วาบผ่านไป…