Skip to content

พลิกปฐพี 370

ตอนที่ 370

แรกพบสนามรบโบราณ

ท้องฟ้าสีเทา ไม่มีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์หรือดวงดาว เมฆลมไม่มีการเปลี่ยนแปลง ภูเขาใกล้ไกลล้วนแต่เป็นสีดำเหมือนเหล็กดำ แฝงความเย็นยะเยือกออกมา

ที่นี่ ไม่มีต้นไม้ดอกไม้ใบหญ้า

ทุกอย่างล้วนแต่มีกลิ่นอายแห่งความตาย แม้แต่สายลมก็แฝงไปด้วยความเยียบเย็นเสียดกระดูก

มู่ชิงเกอและคนอื่นๆ ก้าวย่างไปบนกองซากร่างสัตว์อสูร ที่กลายเป็นพื้น ไม่รู้ว่าเดินไปนานแค่ไหน ผ่านม่านหมอกไปมากเท่าไหร่ ถึงได้พบกับถํ้าเล็กๆ ถํ้าหนึ่ง

“พักผ่อนที่นี่ก่อนเถอะ” มู่ชิงเกอมองไปยังสิ่งที่อยู่ในสายตาที่ยังคงถูกม่านหมอกปกคลุมเอาไว้อยู่

ดูเหมือนว่า เพียงเดินเข้าไปใกล้เท่านั้น ถึงจะมองเห็น

กลุ่มของพวกเขานี้นอกจากนางแล้ว ดูเหมือนว่าทุกคนล้วนแต่ได้รับบาดเจ็บ โดยเฉพาะเว่ยมั่วลี่ที่อิ๋งเจ๋อแบกไว้ บนหลังก็ยิ่งถูกพิษ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีที่จะสำรวจสนามรบโบราณ จำเป็นต้องหาที่พักผ่อนก่อน

มู่ชิงเกอเข้าไปในถํ้าคนเดียวก่อน ถํ้าแห่งนี้ดูเหมือนว่าจะมีคนสร้างขึ้นมา ร่องรอยการขุดยังมีปรากฎให้เห็นบนผนังและปากถํ้า ด้านในมีขนาดเพียงพอแค่คนห้าหกคนเท่านั้น สำหรับพวกเขาแล้วก็พอดี

แครก!

ภายในถํ้ามืดมาก ใต้เท้าของมู่ชิงเกอเหมือนว่าเหยียบไปโดนอะไร เกิดเสียงแตกดังขึ้นมา

นางดีดนิ้ว พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดดีดขึ้นมาบนนิ้วของนาง กลายเป็นลูกไฟ ลอยอยู่ตรงหน้าของนาง ส่องสว่างไปทั้งถํ้า ขับไล่เงามืดและความหนาวเย็นภายในนั้นออกไป

เมื่อมองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านในถํ้าได้ชัด มู่ชิงเกอก็ขมวดคิ้วขึ้น

กระดูก! ที่ไหนๆ ก็มีแต่กระดูก!

กระดูกที่กระจายไปทั่วพื้น แยกไม่ออกเลยว่าเป็นกระดูกคนหรือสัตว์อสูร พวกมันกองอยู่ที่นี่ก็ไม่รู้ว่ากองมานานแค่ไหนแล้ว ล้วนแต่เปลี่ยนเป็นสีเทาแตกหักได้ง่าย

ในใจของมู่ชิงเกอรู้สึกหนักอึ้ง พริบตาเดียวพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดที่ลอยอยู่ข้างหน้านางก็ตกลงบนพื้น

พรึ่บ!

พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดที่ตกลงบนพื้นลุกโหมขึ้นอย่างรวดเร็ว เผากระดูกทั้งถํ้าให้กลายเป็นขี้เถ้าไป

แสงเปลวไฟภายในถํ้า ทำให้คนด้านนอกแตกตื่น จีเหยาฮั่วเอ่ยถามว่า “ชิงเกอ ด้านในไม่เป็นไรใช่ไหม?”

เสียงของเขาเพิ่งจะหลุดออกไป ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านใน นี่ทำให้ทั้งสามคนที่รออยู่ด้านนอกถํ้าระมัดระวังตัวขึ้นมา ในตอนที่เงาร่างของมู่ชิงเกอปรากฎขึ้นต่อหน้าพวกเขานั้น ทุกคนถึงได้โล่งใจ

“ยังคิดว่าเจ้าพบเจอการโจมตีอะไรด้านในเสียอีก” จีเหยาฮั่วเก็บพัดแล้วเอ่ยกับมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอส่ายหน้า เอ่ยกับทุกคนว่า “สามารถเข้าไปได้แล้ว”

พูดแล้วนางก็หันกายเข้าไปในถํ้า สามคนแบกเว่ยมั่วลี่ตามเข้าไป

เพียงแค่เข้าไปในถํ้า ความอบอุ่นจากพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดก็ขับไล่ไอความเย็นบนร่างของพวกเขาให้สลายหายไป

แน่นอนว่าพวกเขามองไม่เห็นภาพกองกระดูกเต็มถํ้าที่สยดสยองนั่นแล้ว

“เหตุใดถํ้าแห่งนี้ถึงได้เล็กอย่างนี้?” สังเกตไปรอบหนึ่ง จีเหยาฮั่วก็ขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นมา

มู่ชิงเกอช่วยอิ๋งเจ๋อวางเว่ยมั่วลี่ลง แล้วก็อธิบายไปว่า “นี่เป็นการขุดขึ้นพักชั่วคราว บางทีอาจจะเป็นคนที่เมื่อก่อนพบเจอภัยอันตรายอะไรสักอย่าง จึงสร้างถํ้าขึ้นมาเพื่อหลบภัย ไม่ใช่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ”

จีเหยาฮั่วไม่ได้ถามอะไรต่ออีก เขาหยิบเชื้อเพลิงออกมาจากแหวนจัดเก็บ วางกองไว้ในถํ้า เอ่ยอย่างดีใจว่า “ดีที่ ข้าเตรียมการไว้อย่างดี ไม่เช่นนั้นที่นี่ซึ่งไม่มีแม้แต่ต้นไม้ใบหญ้า ก็ยังไม่รู้ว่าจะจุดไฟได้อย่างไร”

หลังจากจัดแจงดีแล้ว เขาก็เอาไม้ขีดไฟมาจุดไฟ

ชั่วขณะนั้น ภายในถํ้าก็เกิดแสงไฟอันอบอุ่นขึ้นมา

มีเปลวไฟธรรมดาแล้วแน่นอนว่ามู่ชิงเกอก็ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองพลังจิตไปกับพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิด

หลังจากวางเว่ยมั่วลี่ไว้ดีแล้ว ทั้งสี่คนก็นั่งขัดสมาธิรอบกองไฟ จีเหยาฮั่วหยิบเสบียงแห้งที่เตรียมไว้ออกมา

เตรียมจะแบ่งให้กับทุกคน แต่กลับถูกอิงเจ๋อห้ามเอาไว้

“ข้าก็เตรียมมา” เขาผลักเสบียงแห้งที่จีเหยาฮั่วยื่นมาให้ ตนเองก็หยิบเอาเสบียงของตนเองออกมา

จีเหยาฮั่วแกล้งทำเป็นโกรธเอ่ยว่า “ทำไมเจ้าถึงชอบขัดเช่นนี้? ของข้ากับของเจ้าก็ไม่ใช่ว่าเหมือนกันหรือไร?”

อิ๋งเจ๋อมองเขาแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่กินเสบียงอาหารของตนเองไปเงียบๆ

มู่ชิงเกอมองจีเหยาฮั่วแล้วเอ่ยว่า “อิ๋งเจ๋อพูดถูก พวกเราต้องกินเสบียงอาหารที่ตนเองเตรียมมา อยู่ที่นี่ใครก็ไม่รู้ว่าจะพบเจอกับอะไร ถ้าเกิดว่าพวกเราหลงทางกันแล้ว เสบียงที่เจ้าเตรียมมาก็ถูกพวกเรากินจนหมดแล้ว เจ้าจะทำอย่างไร?”

จีเหยาฮั่วชะงัก เขาไม่ได้คิดถึงปัญหานี้มาก่อน

หลังจากซีเซียนเสวี่ยได้ยินคำพูดของมู่ชิงเกอแล้ว ก็หยิบเสบียงอาหารของตนเองออกมาละเลียดกินเงียบๆ

มู่ชิงเกอนั้นไม่ค่อยหิวสักเท่าไหร่ ดังนั้นจึงไม่ได้กินอะไร แต่เดินไปข้างกายเว่ยมั่วลี่ ตรวจชีพจรให้เขาอย่างละเอียด นางคิดอยากจะรู้ว่าเว่ยมั่วลี่นั้นถูกพิษอะไรกันแน่

มองเห็นการเคลื่อนไหวของมู่ชิงเกอแล้ว จีเหยาฮั่วก็กลืนเสบียงในปากลงไปเอ่ยถามว่า “ชิงเกอ เจ้ายังไม่บอกเลยว่า เจ้ารู้วิชาการแพทย์ด้วยหรือ?”

“นี่ยังต้องการคำตอบอีกหรือ? ทุกๆ ปีล้วนแต่มียาระดับเทวะชั้นสมบูรณ์ออกประมูล แต่กลับไม่เคยได้ยินว่ามีอาจารย์ปรุงยาระดับเทวะ เช่นนั้นก็มีเพียงสองความเป็นไปได้ อย่างแรกก็คืออาจารย์ปรุงยาคนนี้เก็บตัวเกินไป ไม่ยอมออกมาสัมผัสกับโลกภายนอก อย่างที่สองก็คือตัวตนของอาจารย์ปรุงยานั้นได้อยู่ภายในสายตาของผู้คนแล้ว” ซีเซียนเสวี่ยตำหนิจีเหยาฮั่ว

ถึงแม้ว่าแต่ก่อนนางจะไม่เคยคิดไปทางด้านนี้มาก่อน แต่ว่าครั้งนี้ที่พบมู่ชิงเกออีกครั้ง มองจากการเคลื่อนไหวของเขาแล้ว เขาน่าจะเป็นอาจารย์ปรุงยาระดับเทวะในลั่วซิงเฉิงผู้ลึกลับคนนั้น

“เจ้าเป็นอาจารย์ปรุงยาระดับเทวะจริงๆ!” จีเหยาฮั่วตะลึงนั่งยองๆ ลงข้างกายของมู่ชิงเกอ ภายในนัยน์ตาฉายแววยินดี

จากนั้นเขาก็เอ่ยขึ้นมาอีกว่า “เจ้าร้ายกาจจริงๆ! ไม่เพียงแต่เป็นอาจารย์หลอมศาสตราระดับมหาเทพ แต่ยังเป็นอาจารย์ปรุงยาระดับเทวะอีก มิน่าเจ้าถึงรู้จักเทียบยากลืนอิน”

“ใช่แล้ว!” นัยน์ตาของจีเหยาฮั่วเบิกกว้างขึ้น เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ในเมื่อตัวเจ้าเองเป็นอาจารย์ปรุงยาระดับเทวะ เหตุใดข้าต้องไปหาปรมาจารย์กู่เฉ่าด้วยเล่า? ให้เจ้า ปรุงยากลืนอินให้ก็ไม่ใช่ว่าได้แล้วหรือ?”

มู่ชิงเกอปล่อยข้อมือของเว่ยมั่วลี่ เงยหน้ามองจีเหยาฮั่ว เอ่ยเสียงเรียบว่า “เดิมทีข้าก็คิดที่จะปรุงยากลืนอินให้ด้วยตนเอง แต่ท่าทางของเจ้าที่รู้สึกว่าข้าไม่น่าจะปรุงยาได้นั้นทำให้ข้าคิดว่าช่างมันเถอะ ถึงอย่างไรตระกูลจีก็มีอาจารย์ปรุงยาระดับเทวะที่คุ้นเคยอยู่แล้ว ใครปรุงก็ล้วนแต่เหมือนกัน”

“ไม่เหมือน! แน่นอนว่าไม่เหมือน! ยาที่เจ้าปรุงออกมานั้นเป็นขั้นสมบูรณ์! แม้ว่าปรมาจารย์กู่เฉ่าจะร้ายกาจก็ปรุงออกมาได้เพียงชั้นยอด เทียบเจ้าไม่ได้!” จีเหยาฮั่วเอ่ยอย่างเสียใจ

ตอนนี้เขาเสียใจย้อนหลังก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ตัวพวกเขาล้วนแต่อยู่ในสนามรบโบราณของเทพมาร สามเดือนให้หลังถึงจะออกไปได้ ส่วนตาเฒ่าก็ได้พาเทียนเทียน เดินทางไปสำนักวิถีโอสถในภาคตะวันออกแล้ว

“จะแก้ไขปัญหาในร่างกายของเทียนเทียนโอสถระดับเทวะชั้นยอดก็เพียงพอแล้ว” มู่ชิงเกอเอ่ย

จีเหยาฮั่วกลับละทิ้งความคิดไปไม่ได้พึมพำอย่างเสียใจ “เหตุใดข้าถึงได้โง่ขนาดนี้! ข้างกายมีอาจารย์ปรุงยาระดับเทวะที่สามารถปรุงยาขั้นสมบูรณ์ออกมาได้ แต่ กลับไม่รู้คุณค่า!”

ไม่สนใจจีเหยาฮั่ว อิ๋งเจ๋อเอ่ยถามว่า “เว่ยมั่วลี่เป็นอย่างไรบ้าง?”

บ้ญหานี้ ซีเซียนเสวี่ยก็เป็นกังวลเช่นเดียวกัน นัยน์ตาทั้งคู่ที่นางช้อนขึ้นมองมู่ชิงเกอก็เต็มไปด้วยความเชื่อใจ ดูเหมือนว่าขอเพียงแต่มู่ชิงเกออยู่ ทุกเรื่องก็สามารถ จัดการได้

มู่ชิงเกอเม้มริมฝีปาก “สถานการณ์ไม่ค่อยดีนัก ถึงแม้ว่าในตอนนี้เขาจะสลบอยู่ แต่ว่าพิษนั้นก็กัดกร่อนสติของเขาอยู่ตลอดเวลา”

“สามารถทำให้เขาฟื้นขึ้นมาก่อนได้หรือไม่ ให้พวกเราถามให้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ซีเซียนเสวี่ยเสนอขึ้นมา

ตอนนี้เอง จีเหยาฮั่วก็หยุดความโศกเศร้า หันมาพยักหน้าให้มู่ชิงเกอพร้อมกับอิ๋งเจ๋อ

พวกเขาล้วนแต่เห็นด้วยกับข้อเสนอของซีเซียนเสวี่ย คิดอยากจะให้เว่ยมั่วลี่ฟื้นขึ้นมาเพื่อถามหาเบาะแสถึงจะได้รู้ว่าควรทำอย่างไร

หว่างนิ้วของมู่ชิงเกอปรากฎเข็มทองเล่มหนึ่งออกมา ส่วนใจกลางมือนางก็มีเม็ดยาสีทองเปล่งประกายอยู่เม็ดหนึ่ง

“ข้าจะใช้เข็มทองทะลวงจุดชีพจร กระตุ้นให้เขาฟื้นขึ้นมา ยาเม็ดนี้สามารถช่วยกดพิษในร่างกายของเขาได้ชั่วระยะหนึ่ง เมื่อทำงานร่วมกันกับเข็มทองเล่มนี้สามารถทำให้เขาฟื้นคืนสติขึ้นมาได้ชั่วคราว” มู่ชิงเกออธิบายให้ทั้งสามคนฟัง

ทั้งสามคนล้วนแต่เงียบไป มองเข็มทองในมือของนางอย่างสนใจ

มู่ชิงเกอเดินไปที่ข้างกายของเว่ยมั่วลี่ แทงเข็มทองในมือเข้าไปที่กลางกระหม่อมของเขา ชั่วขณะนั้นเว่ยมั่วลี่ที่กำลังสลบอยู่ก็นั่งขึ้นมา เบิกตากว้าง นัยน์ตาของเขายังคงดุดันเช่นเดิม แต่ว่าไม่ได้มีความบ้าคลั่งเช่นแต่ก่อน แต่กลับดูเลื่อนลอยเล็กน้อย

อยู่ดีๆ เว่ยมั่วลี่ก็ฟื้นตื่นขึ้นมา ทั้งสามคนถึงแม้ว่าจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ก็ระมัดระวังตัวขึ้นมาในพริบตา

มู่ชิงเกอเอายาที่อยู่ในมือดีดเข้าไปในปากของเว่ยมั่วลี่ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ความดุดันในสายตาของเขาก็ค่อยๆ จางไปแทนทีด้วยความว่างเปล่า

“ซี…เซียนเสวี่ย…” เว่ยมั่วลี่เอ่ยปากครั้งแรก นํ้าเสียงแหบพร่า เขามองไปทางซีเซียนเสวี่ยแล้วก็เรียกชื่อนางออกมา เขาน่าจะรู้จักเพียงแต่ซีเซียนเสวี่ยเท่านั้น แต่เมื่อมองมาทางจีเหยาฮั่วและอิ๋งเจ๋อนั้น นัยน์ตาก็เต็มไปด้วยความระแวง ส่วนในตอนที่เขาสังเกตมายังมู่ชิงเกอที่อยู่ข้างกาย นัยน์ตาก็ยิ่งหดตัวลง

ซีเซียนเสวี่ยเห็นเว่ยมั่วลี่จำนางได้ก็พยักหน้าและเอ่ยขึ้นในทันทีว่า “ใช่เป็นข้า ซีเซียนเสวี่ย เว่ยมั่วลี่ ตอนนี้เจ้าได้สติหรือยัง?”

นัยน์ตาของเว่ยมั่วลี่ฉายแววมึนงง แล้วก็ปรากฎร่องรอยแห่งความเจ็บปวดและในที่สุดก็กลายเป็นเรียบสงบ ค่อยพยักหน้า

การเปลี่ยนแปลงในนัยน์ตาของเขาล้วนแต่ตกอยู่ในสายตาของคนทั้งสี่ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก

ยังคงเป็นซีเซียนเสวี่ยที่เอ่ยปากอีก นางเอ่ยกับเว่ยมั่วลี่ว่า “คนเหล่านี้บางทีเจ้าอาจจะยังไม่เคยพบเจอ แต่น่าจะเคยได้ยินชื่อของพวกเขามาบ้าง”

นางเริ่มชี้ไปที่จีเหยาฮั่วก่อน เอ่ยกับเขาว่า “ผู้นี้คืออันดับสองบนทำเนียบชิงอิง ประมุขน้อยตระกูลจีแห่งภาคเหนือ จีเหยาฮั่ว”

ต่อมาก็ชี้ไปทางอิ๋งเจ๋อ “ผู้นี้คือประมุขน้อยตระกูลอิ๋งแห่งภาคตะวันตก อิ๋งเจ๋อ อันดับสี่บนทำเนียบชิงอิง ส่วนผู้น…”

ซีเซียนเสวี่ยมองมู่ชิงเกอ ขบริมฝีปากแล้วเอ่ยว่า “นี่เป็นเจ้าเมืองลั่วซิงเฉิง มู่ชิงเกอ อัจฉริยะที่โดดเด่นมากที่สุดหลังจากเจ้าจากไปแล้ว และก็เป็นอาจารย์หลอม ศาสตราระดับมหาเทพเพียงหนึ่งเดียวของโลกแห่งยุคกลาง”

เว่ยมั่วลี่ฟังนางแนะนำอย่างสงบ สุดท้ายก็กวาดสายตามองไปยังร่างของมู่ชิงเกอ ครู่หนึ่งเขาก็พูดออกมา ประโยคหนึ่งว่า “ข้าจำเจ้าได้ ดูเหมือนว่าเจ้าจะตีข้า”

เอ่อ…

มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก

ที่เหลืออีกสามคนก็ชะงักไป บรรยากาศกลายเป็นตึงเครียดขึ้นมา

จีเหยาฮั่วยิ้มเอ่ยว่า “สถานการณ์ในตอนนี้ ชิงเกอก็จำเป็นต้องสยบเจ้าให้ได้ถึงจะได้รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น มิเช่นนั้นตอนนี้เจ้าก็ไม่ได้แตกต่างจากสัตว์อสูร”

แต่เดิมเขาคิดว่าการอธิบายเช่นนี้จะเป็นการยั่วยุเว่ยมั่วลี่ให้โมโห แต่ไม่คิดว่าเว่ยมั่วลี่กลับพยักหน้าอย่างเรียบง่าย จากนั้นก็พูดกับมู่ชิงเกออย่างจริงจังว่า “ขอบคุณ”

บรรยากาศดูกระอักกระอ่วนขึ้น เว่ยมั่วลี่ไม่ได้เปิดไพ่ออกมาตามแบบแผน ทำให้จีเหยาฮั่วต่อคำไม่ถูก ทั้งห้าคนตกเข้าไปอยู่ในความเงียบแปลกๆ สุดท้ายยังคงเป็นมู่ชิงเกอไอออกมาเบาๆ เตือนทุกคนว่า “เขาถูกพิษเข้มข้นมาก ฤทธิ์ยาอยู่ได้ไม่นาน จะถามอะไรก็รีบถาม”

ถูกนางเตือนแล้ว พวกจีเหยาฮั่วถึงได้ตื่นขึ้นมา ส่วนเว่ยมั่วลี่กลับขมวดคิ้วขึ้น ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

“เว่ยมั่วลี่ เจ้าถูกพิษได้อย่างไร? ถูกพิษอะไร?” ซีเซียนเสวี่ยถามเจาะประเด็นออกไปตรงๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!