ตอนที่ 384
ตัวประหลาดสีเขียว!
เศษวิญญาณ!
เหล่าเศษวิญญาณของเทพมารที่รอคอยให้มีคนเข้ามาในสนามรบโบราณของเทพมารเพื่อที่จะแย่งชิงร่างเกิดใหม่เหล่านั้นน่ะหรือ!
“นี่มันจะซวยเกินไปแล้วนะ!” จีเหยาฮั่วด่าไปประโยคหนึ่งอย่างอดใจไม่ได้
พวกเขาอยู่ภายใต้แรงโน้มถ่วง แม้แต่มือก็ยังยกขึ้นมาไม่ได้ แต่ดันมาเจอกับเศษวิญญาณเหล่านี้อีก แล้วจะต่อกรอย่างไร?
“พวกเจ้าดูสิ พวกมันไม่ได้รับอิทธิพลของพื้นที่แห่งนี้เลย!” ทันใดนั้นซีเซียนเสวี่ยก็เอ่ยเตือนทุกคน
มู่ชิงเกอนิ่งเงียบ ในใจลอบเอ่ยว่า ‘แรงโน้มถ่วงมีผลต่อร่างกาย แต่ไม่มีผลอะไรกับเศษวิญญาณเหล่านี้ ซวยอย่างที่จีเหยาฮั่วพูดจริงๆ’
“พวกมันมาแล้ว!” เศษวิญญาณพุ่งเข้ามาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว อิ๋งเจ๋อพูดอย่างเคร่งขรึม
เศษวิญญาณเหล่านี้ พุ่งเข้ามาอย่างเร่งร้อน ดูเหมือนจะได้กลิ่นว่ามีคนเป็นๆ อยู่ทางนี้ ถึงได้พุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง
“อ้าก!” ทันใดนั้น จีเหยาฮั่วก็คำรามออกมาอย่างโมโห
ทั้งสามคนมองไปทางเขา ก็พบว่าเอ็นคอและเส้นเลือดบนหน้าผากของเขาปูดโปนขึ้นมา ใบหน้าก็แดงก่ำ เขากัดฟันออกแรงยกพัดของตนเองขึ้นมา พยายามคลี่มันออก เตรียมพร้อมต่อสู้
ขณะเดียวกัน ก็เอ่ยกับอิ๋งเจ๋อและซีเซียนเสวี่ยอย่างเคร่งเครียดว่า “การโจมตีของพวกเจ้าสองคนไม่มีผลกับเศษวิญญาณเหล่านี้ไปหลบอยู่ด้านหลังของข้ากับชิงเกอ”
เสียงของเขาเพิ่งจะหลุดออกไป เศษวิญญาณเหล่านั้นก็มาถึงตรงด้านหน้าแล้ว
เศษวิญญาณในครั้งนิ้มีระดับไม่สูง ล้วนแต่เป็นชนิดเดียวกันกับที่ซีเซียนเสวี่ยเคยพบก่อนหน้านี้ เงาร่างสีดำเป็นก้อนๆ แต่ว่ามีจำนวนมากพุ่งเข้ามา ดูเหมือนกับเมฆดำ นับคร่าวๆ แล้วก็อาจจะถึงพันตัว
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววหนักอึ้ง ดีดนิ้วขวา ตะคอกเสียงตํ่าว่า “ทวนหลิงหลง!”
ปลอกนิ้วกลายเป็นทวนหลิงหลง ลอยไปกลางอากาศ ฆ่าล้างเศษวิญญาณ
ส่วนอีกด้านหนึ่ง พัดของจีเหยาฮั่วก็หลุดออกจากมือ หมุนวนรอบตัวของเขา ขัดขวางเหล่าเศษวิญญาณที่คิดเข้ามาใกล้
ร่างกายของเขาอยู่ภายใต้แรงโน้มถ่วง ทั้งตอนนี้ก็ยังมีเศษวิญญาณเข้ามาโจมตีอีก เหมือนการราดนํ้ามันลงบนกองไฟแท้ๆ! ตอนนี้ความเร็วในการขับเคลื่อนของ พลังจิตก็ลดลงหลายส่วน
อิ๋งเจ๋อและซีเซียนเสวี่ยถูกคุ้มครองไว้ตรงกลาง การโจมตีของพวกเขาไม่มีผลต่อเศษวิญญาณเลยแม้แต่น้อย
รอบด้านเหมือนเกิดลมเย็นพัดเข้ามา
ข้างหูมีแต่เสียงร้องคร่ำครวญของภูตผี
เสียงต่างๆ นานา หลายพันเสียงพัวพันเข้าด้วยกัน เข้ามาในหัวของพวกเขา ดูเหมือนว่าคิดจะฉีกวิญญาณของพวกเขาออกเป็นชิ้นๆ
“ระวัง!” จีเหยาฮั่วมองเห็นเศษวิญญาณลอบพุ่งเข้าโจมตีซีเซียนเสวี่ย เขารีบตวัดพัดออกไปช่วย ทำให้ด้านหลังเกิดช่องว่าง จึงถูกเศษวิญญาณกัดไปคำหนึ่ง ทำให้เสื้อผ้าของเขาฉีกขาดโดนกัดเนื้อไปชิ้นใหญ่
เจ็บปวดจนเขาต้องสูดลมหายใจแรง
“พวกมันคิดจะทำอะไรกัน? ดูเหมือนจะไม่ใช่เพื่อแย่งชิงร่าง!” อิ๋งเจ๋อมองเห็นบาดแผลบนหลังของจีเหยาฮั่วแล้วก็มองไปที่บาดแผลบริเวณไหล่และแขนของตนเองพร้อมเอ่ยออกมา
“พวกมันคิดจะกินพวกเราเพื่อเพิ่มพลัง อาศัยระดับของพวกมันในตอนนี้ไม่สามารถแย่งชิงร่างได้ มีเพียงแต่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นถึงจะมีโอกาสในการแย่งชิงร่าง” นัยน์ตาของมู่ชิงเกอสงบนิ่ง
“พวกมันไม่ได้กลืนกินกันเองเพิ่มความแข็งแกร่งงั้นหรือ? เหตุใดต้องมากินพวกเรา?” ซีเซียนเสวี่ยตวัดกระบี่เข้าขวาง
มู่ชิงเกอเอ่ยเสียงเข้มว่า “กลืนกินกันเองนั้นเป็นเพียงแค่ทางไปสู่ความแข็งแกร่งอย่างหนึ่งของพวกมัน ตอนนี้ดูจากท่าทางแล้วพวกมันได้กลืนกินเลือดเนื้อสดๆ ก็สามารถแข็งแกร่งขึ้นได้เช่นกันและ…”
นัยน์ตาของนาง วาบผ่านไปยังเศษวิญญาณที่ได้กินเนื้อของจีเหยาฮั่วไป แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “แข็งแกร่งรวดเร็วกว่ากลืนกินพวกเดียวกันเองเสียอีก”
เมื่อได้ยินความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของนาง ทั้งสามคนก็มองไปที่เศษวิญญาณ
“ เคี๊ยก เคี๊ยก เคี๊ยก!”
เศษวิญญาณตัวนั้นหัวเราะออกมาอย่างหยิ่งผยอง นัยน์ตาที่แต่เดิมเคยดูสับสนอลหม่านค่อยๆ มีสีเขียวปรากฎ
“มันกำลังทะลวงระดับ!” ซีเซียนเสวี่ยเอ่ยอย่างตกตะลึง
ทันใดนั้นใบหน้าของจีเหยาฮั่วก็บิดเบี้ยว กัดฟันด่าออกไป “สมควรตายนัก! กล้ากินเนื้อของข้าเพื่อทะลวงระดับ!”
เขาควบคุมพัดให้ลอยพุ่งไปยังเศษวิญญาณตัวนั้น
แต่ว่าเพิ่งจะเข้าไปใกล้ มันก็ถูกเศษวิญญาณที่ทะลวงระดับเสร็จแล้วตีสะท้อนกลับมา
ฉากนี้ทำให้ท่าทีของจีเหยาฮั่วเปลี่ยนไป
ทันใดนั้น แสงสีทองก็ยิงพุ่งมายังเศษวิญญาณตัวนั้น เศษวิญญาณตัวนั้นเปลี่ยนเป็นแตกตื่นและดูหวาดกลัวมากในพริบตา คิดจะหลบหนี แต่กลับถูกแสงสีทองโอบล้อมและเปลี่ยนเป็นเล็กลงๆ จนกลายเป็นเม็ดสีทองเม็ดหนึ่ง ลอยเข้ามาทางพวกเขา
ฉากที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันนี้ทำให้ทั้งสามคนมองตามเม็ดสีทองไป และก็พบว่านัยน์ตาของมู่ชิงเกอกลายเป็นสีทองบริสุทธิ์ทั้งร่างดูเหมือนเทพเจ้า แฝงกลิ่นอายที่ดูแตกต่างจากคนธรรมดา
เม็ดสีทองนั้นลอยไปยังปากของนางแต่กลับถูกนางเอามือขวางไว้ แล้วก็เก็บเข้าไปในขวดแก้วใบหนึ่ง
เห็นทั้งสามคนมองมาที่นาง นางก็อธิบายออกมา นํ้าเสียงไม่ได้สอดคล้องกับสายตาเย็นชานั้นเลย “วิชาโจมตีวิญญาณชนิดหนึ่งที่สืบทอดกันมาในครอบครัวน่ะ”
วิชาโจมตีวิญญาณ? สืบทอดมาในครอบครัว?
ถึงแม้ว่าในใจของทั้งสามคนจะเกิดความสงสัย แต่ก็รู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาถามคำถาม
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอยังคงเปล่งแสงสีทองออกมาอยู่ตลอด ทำให้บรรดาเศษวิญญาณที่แข็งแกร่งเหล่านั้นกลายเป็นเม็ดสีทองและถูกเก็บไว้ในขวดแก้วในมือนาง ส่วนเศษวิญญาณระดับตํ่าก็ตกเป็นหน้าที่ของทวนหลิงหลงและพัดของจีเหยาฮั่ว
แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่ก็ยังทำให้ทั้งสามคนเหนื่อยอ่อนและสะบักสะบอม มีเพียงแค่มู่ชิงเกอคนเดียวที่บรรดาเหล่าเศษวิญญาณดูเหมือนจะรู้ว่าไม่ควรล่วงเกินนาง จึงไม่กล้าที่จะเข้าไปใกล้นาง ทั้งยังคอยหลีกเลี่ยงนาง
ในที่สุดเศษวิญญาณนับพันก็ถูกกำจัดไปจนหมด
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอกลับคืนสู่สีเดิม มองไปยังทั้งสามคนที่เหลือ
เสื้อผ้าบนร่างกายของพวกเขาล้วนแต่ถูกเศษวิญญาณฉีกจนขาดหลุดลุ่ย ทั้งยังมีบาดแผลใบหน้าของจีเหยาฮั่วก็มีรอยเลือดสายหนึ่ง ทำลายรูปโฉมอันหล่อเหลางดงามของเขา
มู่ชิงเกอหยิบยาสามเม็ดออกมาให้พวกเขากิน ยา 3 เม็ดนี้ก็คือยารักษาบาดแผลศักดิ์สิทธิ์ชั้นหนึ่ง มักจะเอาออกมาประมูลอยู่บ่อยๆ
เมื่อทั้งสามคนกินลงไปแล้ว บาดแผลบนร่างกายก็ฟื้นฟูขึ้นในทันที ไม่นาน นอกจากเสื้อผ้าที่เปือนเลือดและฉีกขาดหลุดลุ่ย แล้วก็มองไม่ออกเลยว่าพวกเขาเคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน
ทั้งสามคนเหนื่อยล้าหมดแรงแล้วตอนนี้มู่ชิงเกอก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่
แต่เดิมการต่อสู้ภายใต้แรงโน้มถ่วงก็เป็นการท้าทายขีดจำกัดของตนเองอยู่แล้ว
นางเอ่ยกับทั้งสามคนว่า “พวกเราจำเป็นต้องรีบออกไปจากที่นี่ มิเช่นนั้นหากมีมาอีกกลุ่มพวกเราคงต้องตายแน่”
ทั้งสามคนพยักหน้า
ทั้งสี่คนจับมือกัน พึ่งพากันและกัน พยายามเดินต่อไปข้างหน้า ในใจคิดแต่เพียงจะเดินออกไปจากพื้นที่แรงโน้มถ่วงอันแปลกประหลาดนี้ให้ได้
ภายในสนามรบโบราณของเทพมาร กลิ่นอายของความตายอันเยียบเย็น ม้วนผ่านพื้นดินไม่หยุด ที่นี่ดูว่างเปล่าและไม่มีชีวิตชีวา จนดูเหมือนว่าจะไม่ใช่โลกของสิ่งชีวิต เหมือนเป็นโลกที่เป็นของคนตายและเศษวิญญาณของคนตายเท่านั้น
มู่ชิงเกอถูกกระตุ้นให้ตื่นโดยลมเย็น
รอจนสติของนางกลับมาแล้วถึงได้พบว่าตนเองนอนอยู่บนพื้นสีดำ
นางยันสองมือกับพื้นยืนขึ้นมา ถึงได้สังเกตเห็นว่ามีคนอีกสามคนนอนอยู่ไม่ไกลออกไป เพียงแต่ดูจากท่าทางแล้วพวกเขายังไม่ตื่น
มู่ชิงเกอเดินไปยังซีเซียนเสวี่ยที่อยู่ใกล้ที่สุดก่อน ยื่นมือออกไปเขย่านาง ร้องเรียกเบาๆ ว่า “ซีเซียนเสวี่ย เซียนเสวี่ย…”
ซีเซียนเสวี่ยค่อยๆ ตื่นขึ้นมา ลืมตาขึ้นมองมู่ชิงเกอที่นั่งอยู่ตรงหน้าของตนเอง
เห็นนางตื่นแล้ว มู่ชิงเกอก็เดินไปที่ข้างกายจีเหยาฮั่วที่อยู่ติดกับซีเซียนเสวี่ย แล้วก็เขย่าเขาให้ตื่น
รอจนปลุกอิ๋งเจ๋อจนตื่นขึ้นมาแล้ว ทั้งสี่คนถึงได้มานั่งอยู่ด้วยกันใหม่ สังเกตบรรยากาศโดยรอบ
พวกเขาจำได้เพียงแต่ว่าเดินในพื้นที่แรงโน้มถ่วงไปจนถึงสุดท้าย อาศัยเพียงแค่พลังใจคิดว่าจะเดินออกจากที่นั่นให้ได้
“ดูเหมือนว่าจะไม่มีแรงโน้มถ่วงแล้ว” อิ๋งเจ๋อสัมผัสครู่หนึ่งแล้วก็พูดกับมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอพยักหน้า
ตอนที่นางตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่าร่างกายผ่อนคลาย ส่วนแรงโน้มถ่วงก่อนหน้านี้ได้หายไปแล้ว
แต่ว่าพื้นที่แรงโน้มถ่วงนั่นก็เหนือกว่าที่นางคิดไว้ เมื่อเดินไปถึงแรงโน้มถ่วงสุดท้าย ดูเหมือนว่าจะเป็นสิบเท่าของแรงโน้มถ่วงที่สูงที่สุดในห้องฝึกฝนแรงโน้มถ่วงเมื่อชาติที่แล้ว
นางสามารถเดินออกมาได้ แม้แต่ตัวเองก็ยังรู้สึกประหลาดใจ
แต่ว่าเมื่อคิดย้อนกลับไป ก็รู้แล้วว่าร่างกายของตนเองในตอนนี้นั้นแตกต่างจากเมื่อชาติก่อน เรื่องที่สามารถทนต่อแรงโน้มถ่วงที่หนักขนาดนี้ได้ก็พอเข้าใจได้
“อา! ในที่สุดก็เดินออกมาได้แล้ว” จีเหยาฮั่วเอนนอนไปบนพื้นยืดแขนออก มองไปบนท้องฟ้าสีเทาๆ ของสนามรบโบราณ
มู่ชิงเกอมองพวกเขา หลังจากพวกเขาฟื้นคืนสติกลับมา แล้วก็ไอเบาๆ เพื่อเตือน “พวกเจ้าไม่คิดจะเปลี่ยนเสื้อผ้ากันหน่อยหรือ?”
เมื่อนางเตือนขึ้นทั้งสามคนถึงได้คิดถึงเสื้อผ้าอันหลุดลุ่ยของตนเอง
โดยเฉพาะซีเซียนเสวี่ย นางเป็นถึงธิดาเทพแห่งตำหนักเทพ สะอาดบริสุทธิ์ผุดผ่องไร้มลทิน มาตอนนี้กลับสวมเสื้อผ้าหลุดลุ่ยต่อหน้า ‘ผู้ชายสามคน’
นางหน้าแดงรีบเดินออกไปซ่อนตัว
ใครจะรู้ว่า เพียงแค่นางขยับ ทั้งตัวก็ลอยขึ้นมาวาดเป็นโค้งกลางอากาศก่อนที่จะร่อนลง
เมื่อสองเท้าตกลงพื้น นางก็พูดออกมาอย่างประหลาดใจว่า “เกิดอะไรขึ้น? เห็นชัดๆ ว่าข้าไม่ได้ใช้แรงมากขนาดนั้น!”
คำพูดของนางทำให้จีเหยาฮั่วและอิ๋งเจ๋อยืนขึ้นมา นัยน์ตาฉายแวววาววาบ
มู่ชิงเกอยิ้มและเอ่ยว่า “นี่เป็นผลดีที่พวกเราได้รับหลังจากเดินผ่านพื้นที่แรงโน้มถ่วงมาได้”
นัยน์ตาของจีเหยาฮั่วเปล่งประกาย ขยับร่างกาย ทั้งตัวคนกลายเป็นสายลมรวดเร็วจนมองไม่เห็น จับตามเงาร่างไม่ทัน
ในตอนที่เขาปรากฎตัวขึ้นมาอีกครั้งนั้น ก็พูดออกมาอย่างดีใจว่า “เร็วจริงๆ! ข้าออกแรงเพียงแค่ขั้นเดียวแต่ กลับมีความเร็วเท่ากันกับที่ข้าใช้แรงถึงสามขั้น!”
หลังจากตะลึงไปกับความเร็วที่เปลี่ยนแปลงไปของตนเองแล้ว จีเหยาฮั่วก็เร่งอิ๋งเจ๋อ “รีบดูสิว่ากำลังของเจ้าเพิ่มขึ้นมาหรือไม่?”
อิ๋งเจ๋อหลับตา สำรวจอย่างละเอียดครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ลืมตาขึ้นมาปรากฎร่องรอยของความดีใจและพูดว่า “ข้ารู้สึกได้ถึงระดับพลังสีทองแล้ว! การทะลวงระดับอยู่ เพียงแค่เบื้องหน้าแล้ว! ”
เดิมที่จีเหยาฮั่วกำลังรอให้เขาชกออกมาสักหนึ่งหมัด แต่เมื่อได้ยินคำพูดของเขาแล้วก็ชะงักไปชั่วขณะ เอ่ยไปอย่างยินดีทันทีว่า “จริงหรือนี่? ยินดีด้วย!”
ทั้งสามคนล้วนแต่ได้รับผลประโยชน์ มู่ชิงเกอก็ไม่ยกเว้น เพียงแต่เดิมทีร่างกายและจิตวิญญาณของนางก็ได้รับการหล่อหลอมจากเคล็ดวิชาเทวะอยู่แล้ว ดังนั้นการพัฒนาจึงไม่ชัดเจน แต่นางก็มีเรื่องที่น่ายินดีหนึ่งอย่าง นั้นก็คือพลังจิตของนางได้เปลี่ยนเป็นบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น หลังจากผ่านการกดทับจากแรงโน้มถ่วงมา และก็พูดได้ว่าพลังจิตของนางจะแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาและเก็บสะสมได้มากขึ้น
เรื่องน่ายินดีที่เหนือความคาดหมายนี้ในให้ทุกคนอารมณ์ดีขึ้น
อย่างน้อยจุดมุ่งหมายที่เข้ามาในสนามรบโบราณก็ค่อยๆ ปรากฎขึ้นมาให้เห็นแล้ว โดยเฉพาะอิ๋งเจ๋อ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมู่ชิงเกอตาพร่าเลือนไปเองหรือเปล่า ถึงได้เห็นใบหน้าที่ดูเย็นชาอยู่เสมอของเขาเกิดรอยยิ้มขึ้นมา
จีเหยาฮั่วเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก่อนเพื่อน เดินยิ้มเข้ามาข้างมู่ชิงเกอ
รอยยิ้มหวานของเขาปรากฎให้เห็นใหม่ ดูเหมือนว่าได้เรียกภาพลักษณ์คุณชายที่เข้าถึงได้ง่ายกลับคืนมาอีกครั้ง
“อิ๋งเจ๋อรู้สึกได้ถึงการทะลวงระดับก็ถือว่าได้คลายปมในใจของเขาแล้ว” เขาถอนหายใจเอ่ยกับมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้นมองเขา
จีเหยาฮั่วเอ่ยว่า “เจ้านั่นคิดว่าข้าดูไม่ออกกระมัง? ชิ! คิดมาตลอดว่าตัวเองนั้นเป็นตัวถ่วงสำหรับพวกเรา เขาเป็นคนภูมิใจในตนเองมาก ไม่เคยยอมแพ้ใคร แต่ก็มี เหตุผลมากเช่นกัน ต่อสู้ได้ก็คือต่อสู้ได้ ต่อสู้ไม่ได้ก็คือไม่ได้ แต่ก็ไม่เคยยอมแพ้หรือหมดกำลังใจ ก้าวทีละก้าวมาจนถึงทุกวันนี้ถึงแม้ว่าการเข้ามาในสนามรบโบราณของเทพมารจะเป็นข้อเสนอของเขา แต่ที่ถูกโจมตีมากที่สุดก็กลับเป็นเขา ตอนนี้เขาได้รับสัญญาณในการทะลวงระดับ อย่างน้อยก็จะทำให้เขาเลิกคิดว่าตนเองไม่มีประโยชน์เสียที”
“เจ้าใส่ใจเขามากเลยทีเดียว” นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหรี่เล็กลง ยิ้มและเอ่ยออกมา
จีเหยาฮั่วเลิกคิ้วขึ้น “แน่นอนอยู่แล้ว! แต่ก่อนเขาเป็นพี่น้องของข้า ทั้งต่อไปก็มีโอกาสจะเป็นน้องเขยของข้าอีก ข้าก็ต้องใส่ใจเขาเป็นธรรมดา ไม่พูดถึงเรื่องอื่น เพียงแค่เพื่อเทียนเทียนข้าก็ไม่อาจยอมให้เขาเป็นอันตรายได้”
มู่ชิงเกอหัวเราะขึ้นมา “ดังนั้นทุกๆ ครั้งที่เกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้าก็ล้วนแต่จะออกไปเป็นโล่เนื้อก่อนหรือไม่ก็ไปสำรวจเส้นทางก่อนใช่ไหม?”
นางไม่ได้โง่ที่จะดูไม่ออกว่า หลายวันมานี้ถึงจีเหยาฮั่วจะดูบ้าๆ บอๆ แต่ทุกๆ ครั้งที่พบเจอกับอันตรายที่ไม่ชัดเจน ก็ล้วนแต่เป็นเขาที่ไปสำรวจ อีกทั้งในการต่อสู้ เขาก็มักจะเป็นผู้ที่คอยปกป้องอยู่เสมอ
จีเหยาฮั่วถอนหายใจ พูดอย่างเสียใจว่า “ข้าก็อยากจะปกป้องเจ้าบ้าง! แต่ว่าเจ้า แข็งแกร่งเกินไปจนไม่จำเป็นต้องให้ข้าปกป้อง! คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคนที่เคยให้ข้าต้องกดระดับพลังของตนเองลงถึงจะยอมต่อสู้กับข้า มาตอนนี้กลับแซงหน้า และทิ้งข้าไว้ข้างหลังแล้ว”
พูดถึงเรื่องนี้มาชิงเกอก็ยิ้มเย็นออกมา “อย่าลืมว่าสุดท้ายแล้วใครชนะ”
จีเหยาฮั่วเผยสีหน้ากระดากใจออกมา ทันใดนั้นเขาก็เอ่ยว่า “มู่ชิงเกอ เจ้าบอกข้ามาว่าครั้งนั้นหลังจากที่พวกเราต่อสู้กันแล้ว ก็มีคนมาท้าประลองกับข้าอีก ทั้งยังตี จนข้าหมดสภาพ คนๆ นั้นมาเพื่อแก้แค้นให้เจ้าโดยเฉพาะใช่หรือไม่?”
มู่ชิงเกอคลี่ยิ้มที่มุมปาก นางรู้ดีว่าเป็นใคร แต่ก็ไม่คิดจะบอกเขา
มู่ชิงเกอส่งสายตาทีดูมีลับลมคมในให้จีเหยาฮั่วแล้วก็เดินไปด้านหน้า
“นี่! เจ้าบอกข้าก่อนสิ!” จีเหยาฮั่วโมโหจนกระทืบเท้า เขาพึมพำอย่างไม่พอใจว่า “ปัญหาก็คือ…เขามีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรข้าก็จำไม่ได้เลยสักนิด! ข้าสงสัยว่า เขาทำอะไรกับความทรงจำของข้า!”
หลังจากพักผ่อนแล้ว ทั้งสี่คนก็เดินทางสำรวจต่อ ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้มุ่งหน้าไปด้านหน้าต่อ เพราะพวกเขาไม่แน่ใจว่าเข้าไปในส่วนลึกแล้วจะพบเจอสถานที่อะไรของสนามรบโบราณ ดังนั้นจึงตัดสินใจเปลี่ยนทิศทาง มุ่งหน้าไปทางเหนือเพื่อเดินอ้อม
เวลาค่อยๆ ผ่านไป
นี่ก็เข้าสู่วันที่เจ็ดของเดือนที่สองที่พวกเขาเข้ามาในสนามรบโบราณแล้ว
ยังเหลือเวลาอีกเพียงครึ่งกว่าๆ จึงจะถึงสามเดือน
และที่ประตูทางออก ก็ยังมีเว่ยมั่วลี่รอพวกเขาอยู่ ไม่รู้ว่าตอนนี้สถานการณ์จะเป็นอย่างไร ตื่นขึ้นมาแล้วหรือยัง หรือว่าออกไปจากอาคมที่มู่ชิงเกอวางไว้หรือไม่
“เป็นซากสนามรบอีกแล้ว” จีเหยาฮั่วกวาดตามองไปบนซากร่างที่กลายเป็นหินแวบหนึ่ง รู้สึกเสียใจเล็กน้อย
ระยะนี้พวกเขาได้ผ่านซากสนามรบมาหลายแห่งแล้ว
“ทางนั้นดูเหมือนว่าจะมีคน!” ทันใดนั้นซีเซียนเสวี่ยก็เอ่ยเตือนออกมาเบาๆ
มู่ชิงเกอเงยหน้ามองออกไป สองตาหรี่เล็กลง ฉากไกลๆ ปรากฎขึ้นอย่างชัดเจน เมื่อมองเห็นภาพ ‘คน’ อย่างชัดเจนแล้วนัยน์ตาของมู่ชิงเกอก็หดตัวลง ในใจตกตะลึงเอ่ยว่า ‘ตัวประหลาดสีเขียวเหล่านั้น!’