ตอนที่ 387
แย่แล้ว! ถูกเจอตัวเข้าแล้ว
“พวกมันกำลังหาอะไร?” ซีเซียนเสวี่ยมองมู่ชิงเกอแล้วก็ส่งเสียงถามอย่างระมัดระวัง
มู่ชิงเกอส่ายหน้า “เว่ยมั่วลี่เคยพูดว่าพวกเขาค้นหาเศษวิญญาณในสนามรบโบราณ และยังมีของบางอย่างที่เขาเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ ก่อนหน้านี้พวกเราก็พบว่ามีซากศพจำนวนไม่น้อยที่หายสาบสูญไปไม่รู้ว่าจะเกี่ยวข้องกับพวกมันหรือไม่”
จีเหยาฮั่วก็เอ่ยว่า “ซากศพที่อยู่ที่นี่เปลี่ยนเป็นหินไปหมดแล้วพวกเขายังจะสามารถเอาอะไรออกมาได้อีก?”
ทันใดนั้นตัวประหลาดผิวสีเขียวตัวเล็กตัวหนึ่งก็ดูเหมือนว่าจะค้นพบอะไรจึงส่งเสียงร้องออกมาอย่างตื่นเต้น
เพียงแค่มันร้องออกมาท่าทีของทั้งสี่คนก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นชั่วขณะ
ดีที่ในครั้งนี้มันไม่ได้โจมตีอะไรเพียงแต่ชี้มือชี้ไม้ทำสัญลักษณ์อะไรให้แก่ตัวประหลาดสีเขียวตัวสูงดูก็เท่านั้น
“ภาษาของพวกมันพวกเราฟังไม่เข้าใจ” อิ๋งเจ๋อขมวดคิ้วขึ้น
จีเหยาฮั่วพึมพำว่า “ก็ไม่รู้ว่าตัวประหลาดเหล่านี้มาจากโลกไหนกันแน่?”
“ภายในโลกมากมายนับพันนับหมื่นโลกนี้ มีเรื่องราวที่พวกเราไม่รู้มากมายเกินไป” มู่ชิงเกอถอนหายใจ บ้านที่นางเคยอยู่ ที่นั่นถูกเรียกว่าโลก ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าห่างไกลจากนางสักเท่าไหร่และก็อยู่ตรงส่วนไหนของบรรดาโลกนับหมื่นนับแสนนี้ ยังมีเจียงหลี…ที่หลังจากที่หายสาบสูญไปจากหานชุ่นก็ไม่รู้ว่าตกไปอยู่สถานที่อย่างไรแล้ว?
สองปีมานี้ซือมั่วส่งคนออกไปตามหาไม่หยุดหย่อน มีเพียงสิ่งเดียวที่สามารถแน่ใจได้ก็คือเจียงหลีไม่ได้ล่องลอยอยู่ในหลุมดำอีกแล้ว เช่นนั้นก็เหลือเพียงแค่ความเป็นไปได้เดียวก็คือไม่รู้ว่านางผ่านได้พานพบกับอะไรตกเข้าไปอยู่ในโลกใบใดใบหนึ่ง เหมือนกับตัวนางเองในตอนแรก
“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?” เสียงของซีเซียนเสวี่ยดึงความคิดของมู่ชิงเกอให้กลับคืนมา นางหยุดความคิดส่ายหน้าให้กับซีเซียนเสวี่ย
“พวกเจ้าดูสิว่าในมือของตัวประหลาดตัวเล็กนั่นคืออะไร?” ทันใดนั้นจีเหยาฮั่วก็เตือนทุกคน
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหรี่เล็กลงจ้องมองออกไปสายตามองไปยังของในมือตัวประหลาดตัวเล็กที่กำลังชูให้ตัวประหลาดตัวใหญ่ดู ทันใดนั้นนัยน์ตาของนางก็หดตัวลง ส่งเสียงเข้มไปให้ทั้งสามคน “เป็นหัวใจ!”
“อะไรนะ!” จีเหยาฮั่วตกใจจนเกือบจะร้องส่งเสียงออกมา ดีที่เขาตั้งสติได้ทันใช้สองมืออุดปากเอาไว้เปลี่ยนเป็นการถ่ายทอดเสียงแทน
“หัวใจหรือ?” อิ๋งเจ๋อมองมู่ชิงเกอด้วยสีหน้าที่ดูแย่มาก
ซีเซียนเสวี่ยสีหน้าเปลี่ยนไป เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “พวกเขาควักหัวใจจากซากร่างออกมาทำไม?”
มู่ชิงเกอค่อยๆ ส่ายหน้า จับจ้องตัวประหลาดตัวเล็กเหล่านั้น
จีเหยาฮั่วมองซากร่างที่กลายเป็นหินและกองอยู่รอบๆ อย่างตกตะลึง “คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเมื่อแสนปีผ่านไปจนซากร่างเหล่านี้กลายเป็นหินแล้ว กลับยังมีหัวใจที่สดๆ อยู่”
มู่ชิงเกอเม้มริมฝีปาก สองตาจ้องมองไปข้างหน้า
นางมองเห็นตัวประหลาดตัวใหญ่เอาหัวใจมาจากมือของตัวประหลาดตัวเล็ก จากนั้นก็โยนไปยังถุงบนหลัง จากนั้นก็ชี้มือไปยังตัวประหลาดตัวเล็กให้ไปควัก ซากร่างต่อ
ตัวประหลาดตัวเล็กหลายสิบตัว โอบล้อมตัวประหลาดตัวใหญ่สองตัว ตัวประหลาดตัวเล็กคอยควักหัวใจจากซากร่างที่กลายเป็นหินไปเรื่อยๆ กรงเล็บของพวกมันนั้นแหลมคมมาก สามารถทะลุผิวด้านนอกที่กลายเป็นหินได้อย่างง่ายดาย หลังจากฉีกซากร่างแล้วก็ควักหัวใจออกมา
‘เก็บรวบรวมเศษวิญญาณ เก็บรวบรวมหัวใจ ทั้งยังมีโอกาสที่จะเก็บรวบรวมซากศพอีก…ตัวประหลาดเหล่านี้คิดจะทำอะไรกันแน่?’ มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว นางค่อยๆ รู้สึกว่าเรื่องราวอาจจะไม่ได้ง่ายดายอย่างที่นางมองเห็น
อีกทั้งนางก็ยังมีความรู้สึกว่าตัวประหลาดผิวสีเขียวตรง หน้านั้นน่าจะเป็นระดับที่ตํ่าที่สุดในโลกของพวกมัน ที่พวกมันมาที่นี่ไม่น่าจะเป็นเพื่อการฝึกฝน แต่มาเพื่อทำงาน ส่วนภารกิจของพวกมันก็คือการเก็บรวบรวมสิ่งของ
“ระหว่างพวกมันเหมือนมีการแบ่งระดับ พวกตัวประหลาดตัวสูงน่าจะเป็นคนสั่งการ ที่สามารถสั่งการตัวประหลาดตัวเล็กให้ทำเรื่องราวต่างๆ ได้” ซีเซียนเสวี่ยม องไปทางมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยขึ้น
มู่ชิงเกอพยักหน้า
จุดนี้นางก็มองออก ผลจากที่จีเหยาฮั่วลองเชิงตัวประหลาดตัวเล็กมาได้ก่อนหน้านี้ รวมทั้งสถานการณ์ในตอนนี้ล้วนแต่พิสูจน์ให้เห็นถึงจุดๆ นี้
“เช่นนั้นพวกเราจะต้องจับตัวใหญ่หรือว่าจับตัวเล็ก?” จีเหยาฮั่วเอ่ยถามออกไป
ปัญหานี้ทำให้มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น
ผ่านไปครู่หนึ่งนางถึงได้เอ่ยว่า “ดูต่อไปก่อน”
พวกเขาทั้งสี่คนลอบตามไปเหมือนกับที่เว่ยมั่วลี่ทำมาก่อน
หลังจากตัวประหลาดผิวสีเขียวเหล่านี้ควักหัวใจเสร็จแล้วก็จะส่งหัวใจไปให้ตัวประหลาดตัวใหญ่เก็บไว้ในถุงด้านหลัง จากนั้นถึงได้เดินไปข้างหน้าต่อ
“ถุงนี่คงเป็นชนิดเดียวกันกับอุปกรณ์จัดเก็บ มิฉะนั้นพวกเขาเก็บมากมายมาตลอดทางเช่นนี้ ถุงก็ต้องมีขนาดใหญ่ขึ้นบ้าง แต่นี่กลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย” จีเหยาฮั่วพูดอะไรไร้สาระที่ทุกคนต่างมองออกออกมา และก็แน่นอนว่าทุกคนไม่ได้สนใจเขา
เขาเบะริมฝีปากอย่างผู้บริสุทธิ์ คิดจะทำตัวเป็นผู้ชายหล่อเหลาที่เงียบขรึม
ทั้งสี่คนลอบตามไปยังไร้สุ้มเสียง หากว่ามีอะไรต้องพูดคุยกันก็ใช้การถ่ายทอดเสียงเอา ส่วนตัวประหลาดผิวสีเขียวเหล่านั้นก็ตามหาของไปตลอดทางไม่หยุดหย่อน พวกเขาไม่ได้สนใจของอื่นๆ สิ่งเดียวที่สนใจก็คือหัวใจในซากร่างที่กลายเป็นหินเหล่านั้นเท่านั้น
มู่ชิงเกอสงสัยมาตลอดทาง หากพูดกันตามหลักแล้วในเมื่อซากร่างภายนอกกลายเป็นหินแล้วเช่นนั้นอวัยวะภายในก็น่าจะเปลี่ยนเป็นหินด้วย
เหตุใดซากร่างของเทพมารเหล่านี้มีเพียงแค่ด้านนอกที่แข็งกลายเป็นหินแต่ด้านในกับเหมือนเพิ่งตาย?
คำตอบนั้นนางไม่อาจคิดออกมาได้สุดท้ายจึงสรุปว่า ร่างกายของเทพมารนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะสามารถเทียบได้!
ตามมาตลอดเส้นทางทั้งสี่คนก็ยังหาโอกาสลงมือไม่ได้
ที่สำคัญก็คือบรรดาเหล่าตัวประหลาดสิบกว่าตัวนี้ เคลื่อนไหวไปด้วยกัน อยู่เป็นกลุ่มตลอด บรรดาตัวประหลาดตัวเล็กก็โอบล้อมตัวใหญ่ ส่วนที่ลงมือทำงาน ก็มีแต่ตัวเล็ก
พวกมันไม่ต้องกินไม่ต้องดื่ม เหนื่อยแล้วก็นั่งพักรวมกัน เมื่อพักดีแล้วก็ทำงานต่อ
เสียงร้องของตัวประหลาดตัวเล็กตัวหนึ่งก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาเจียนตายแล้ว หากว่าตัวประหลาดตัวเล็ก สิบกว่าตัวโจมตีพร้อมกันรวมกับตัวประหลาดตัวใหญ่ พวกเขาคงแทบจะไม่มีโอกาสได้ลงมือเลย!
“น่าตายนัก! คิดจะรอให้พวกมันอยู่ตัวคนเดียวมันยากเกินไปแล้ว! เจ้าพวกนี้รวมอยู่ด้วยกันตลอดไม่เหนื่อยหรืออย่างไร?” จีเหยาฮั่วบ่นออกมาอย่างอดไม่ได้ แผนการเดิมของพวกเขาก็คือติดตามตัวประหลาดผิวสีเขียวนี้ไป หากว่ามีตัวประหลาดตัวไหนออกมาตามลำพังก็จะลงมือในทันทีจากนั้นก็หนีไปอย่างรวดเร็ว แต่ว่าตอนนี้..
เห็นได้ชัดเจนว่าติดตามมาหลายวันแล้ว แผนการนี้ไม่มีโอกาสเป็นไปได้เลย
“ตอนนี้เป็นช่วงเวลาแข่งความอดทน” เสียงที่มู่ชิงเกอถ่ายทอดมานั้นค่อนข้างเข้ม
การติดตามไปอย่างไม่ได้หยุดพักเช่นนี้ทรมานคนได้จริงๆ หากไม่ใช่เพราะว่าชาติก่อนนางเคยฝึกฝนเช่นนี้มาก่อน เกรงว่านางก็คงอดโมโหไม่ได้
ทั้งสี่คนติดตามไปอย่างเงียบๆ หลายวันมานี้พวกเขาติดตามไปโดยไม่ได้อะไรเลยแม้แต่น้อย
อย่างน้อยได้ผ่านการลองเชิงมาแล้ว ก็ทำให้พวกเขาแน่ใจได้ว่าการรักษาระยะห่างจากตัวประหลาดเหล่านั้นระยะหนึ่งจะปลอดภัย
เมื่อตัวประหลาดเหล่านั้นพักผ่อนพวกเขาก็จะอยู่ที่เดิมนั่งสมาธิฝึกฝน
เมื่อเหล่าตัวประหลาดจากไปแล้วพวกเขาก็ตามไป การติดตามไปเช่นนี้ที่แข่งกันก็คือความอดทนและความตั้งใจ ดังนั้นพวกเขาไม่สามารถเร่งร้อนได้
ซีเซียนเสวี่ยนั่งสมาธิเสร็จแล้วลืมตาขึ้นก็มองเห็นมู่ชิงเกอที่นั่งอยู่ด้านข้าง ในมือของเขาถือกระดิ่งสีทองที่แขวนอยู่ตรงช่วงเอวอยู่ตลอด
กระดิ่งนี้ดูงดงามมาก สร้างได้อย่างเป็นเอกลักษณ์ เป็นโพรงลวดลายดอกไม้
สายตาของซีเซียนเสวี่ยค่อยๆ เลื่อนจากกระดิ่งในมือของมู่ชิงเกอมาที่ใบหน้าของเขา กลับพบว่าเขาเงยหน้าขึ้นบนท้องฟ้า ดูเหมือนใจลอยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
มู่ชิงเกอในตอนนี้ไม่ได้สังเกตเห็นซีเซียนเสวี่ย
นางเพียงแต่กำลังคิดว่าเหตุใดกระดิ่งถึงไม่ดังขึ้นเลย…
‘นานแค่ไหนแล้วนะ? เกือบจะหนึ่งปีแล้วใช่หรือไม่’ มู่ชิงเกอคิดคำนวณในใจเงียบๆ
เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีแล้วที่ไม่ว่านางจะสั่นกระดิ่งอย่างไร อีกฝั่งก็ไม่ได้ตอบกลับมาเลย
สิ่งนี้ดูผิดปกติมาก ผิดปกติมากจริงๆ!
ก่อนหน้านี้ไม่ต้องพูดว่าตนเองเป็นคนสั่นกระดิ่งเองเลย หากมีบางเวลาที่ตนเองยุ่งแล้วลืมไป เสียงกระดิ่งก็จะดังขึ้นมาเองเตือนให้นางคิดถึงใครบางคน
แต่ว่าตอนนี้ล่ะ?
ซือมั่วลืมแล้วงั้นหรือ?
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหนักอึ้ง ปฏิเสธในใจ ‘เป็นไปไม่ได้!’
ถ้าหากว่าไม่ใช่เป็นเพราะลืมก็คือไม่สามารถสั่นกระดิ่งได้…สิ่งที่สามารถทำให้ซือมั่วไม่สามารถสั่นกระดิ่งได้นั้นก็เหลือแค่เพียงความเป็นไปได้เดียว!
‘เขาเกิดเรื่องขึ้นแล้ว!’ นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเปลี่ยนเป็นดุดันขึ้นกุมกระดิ่งในมือแน่น
บรรยากาศรอบกายของมู่ชิงเกอมีการเปลี่ยนแปลงไปทำให้ซีเซียนเสวี่ยสัมผัสได้
นางอยากจะรู้มากว่ามู่ชิงเกอเป็นอะไรไป แต่เมื่อมองเห็นเขาเคร่งขรึมขึ้นอย่างฉับพลันทั้งยังแผ่กลิ่นอายที่ดูแข็งกร้าวออกมาอีกก็ทำให้นางไม่กล้าเอ่ยถามออกไป
‘ไม่ เป็นไปไม่ได้! เขาร้ายกาจถึงขนาดนั้น จะมีใครสามารถทำร้ายเขาได้อีก? ถ้าหากเขาเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ กู่หยาและกู่เย่ก็สมควรจะมาบอกข้า’ มู่ชิงเกอพยายาม ข่มความคิดของตนเองเพื่อให้ตนเองสงบนิ่งลง
‘ไม่อาจสับสนวุ่นวายได้…ห้ามทำอะไรไปโดยพลการ!’ มู่ชิงเกอพูดกับตนเองในใจ นางค่อยๆ เก็บความดุดันแข็งกร้าวกลับไปทำให้บรรยากาศกลายเป็นผ่อนคลายขึ้น
เพียงแต่นัยน์ตาอันสดใสของนางกลับเปลี่ยนเป็นมืดทึบจนยากที่จะเข้าใจ นางเตือนตนเองในใจว่าให้รอหลังจากออกไปจากที่นี่ได้แล้วค่อยใช้ยันต์ส่งสาส์นสอบถามสถานการณ์ของซือมั่ว
ในตอนที่ยังไม่ได้คำตอบนั้นนางจะต้องไม่สับสนวุ่นวาย จะต้องรักษาความสงบเอาไว้
‘เขาจะต้องไม่เกิดเรื่อง! ข้าไม่อนุญาตให้เขาเกิดเรื่อง ใดๆ ขึ้น!’ ดวงตาคู่นั้นของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ ทำให้ซีเซียนเสวี่ยที่อยู่ข้างกายของเขาตกใจ น้อยมากที่นางจะเห็นมู่ชิงเกอเป็นเช่นนี้ภายในบรรยากาศเหมือนจะแฝงความคิดที่แกร่งกล้าเอาไว้ แต่ว่าความคิดนี้คืออะไรนั้นนางกลับไม่รู้เลย
เมื่อมู่ชิงเกอกลับคืนสู่ท่าทีปกติค่อยๆ วางกระดิ่งในมือลงแล้ว ถึงได้สังเกตเห็นว่าซีเซียนเสวี่ยมองนางอยู่ตลอด
มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว “เป็นอะไรไปหรือ?”
ซีเซียนเสวี่ยส่ายหน้าเผยรอยยิ้มบางๆ ให้เขา นางคิดอยากจะถามมากว่า สาเหตุที่มู่ชิงเกอใส่ใจกระดิ่งและห้อยมันติดตัวอยู่ตลอดเวลานั้นเป็นเพราะว่า คนสำคัญมอบกระดิ่งให้ใช่หรือไม่ แต่ว่าเมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปาก นางกลับพบว่าตนเองไม่กล้าถามออกไป
นางกลัวคำตอบของมู่ชิงเกอ กลัวว่ามู่ชิงเกอจะมีคนในใจอยู่แล้ว
นางยอมที่จะไม่รู้อะไรดีกว่า อยู่ข้างกายมู่ชิงเกอไปสามเดือนเงียบๆ
‘ไม่ เหลือเพียงแค่หนึ่งเดือนกว่าเท่านั้น’ ในใจของซีเซียนเสวี่ยลอบเตือนตนเอง นัยน์ตามืดทึบลง แม้ว่าในช่วงเวลานี้มู่ชิงเกอจะไม่เคยแสดงอะไรออกมา แต่ทุกๆ วันที่มองเห็นเขา นางก็รู้สึกมีความสุขแล้ว
“เจ้าต้องการให้ข้าทำอย่างไร?”
“ไม่ต้องทำอะไรเป็นเหมือนปกติก็ดีแล้ว”
นี่เป็นคำพูดระหว่างพวกนาง ส่วนมู่ชิงเกอก็ทำตามคำพูด ซีเซียนเสวี่ยเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา ใช้สองมือกอดขาของตนเอง เอียงหัวไปพิงที่ไหล่ของมู่ชิงเกอเบาๆ ดวงตาของมู่ชิงเกอวาววาบ แต่เมื่อคิดไปถึงเรื่องที่ตนเองสัญญาเอาไว้ก็ไม่ได้ขยับ
‘บางที…ก็ควรจะกลับไปแต่งกายเป็นหญิงบ้างได้แล้ว’ มู่ชิงเกอถอนหายใจอยู่ในใจ ก่อนหน้านี้นางใช้รูปลักษณ์ของผู้ชายก็เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาวุ่นวาย คิดว่ารูปลักษณ์ของผู้ชายนั้นสะดวกในการเดินทางไปมา
แต่ในตอนนี้ดูแล้วรูปลักษณ์ผู้ชายดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยสะดวกสักเท่าไหร่ ทำให้ผู้หญิงเข้าใจผิดมากมายและนางก็ไม่สามารถตอบสนองพวกนางได้
‘เปลี่ยนเป็นรูปลักษณ์ของผู้หญิงแล้วคงสามารถลดปัญหาเหล่านี้ลงได้บ้าง’ มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้นพูดกับตนเอง
เหล่าตัวประหลาดสีเขียวเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง
พวกมู่ชิงเกอก็รีบตามไป วันนี้พวกเขาได้เดินมาถึงชายขอบของสนามรบแห่งนี้แล้ว แต่ใครก็ไม่อาจรู้ได้ว่าภายในสนามรบโบราณยังมีซากสนามรบเช่นนี้อยู่อีกมากมายขนาดไหน
ทันใดนั้นดวงตาของมู่ชิงเกอก็หดตัวลงจ้องมองขอบฟ้าด้านหน้า
“เป็นเศษวิญญาณ!” ซีเซียนเสวี่ยก็มองเห็นเงาดำที่ล่องลอยไปมาเหมือนเมฆดำ ในนํ้าเสียงสั่นเล็กน้อย
นางเคยตกอยู่ในเงื้อมมือของเศษวิญญาณครั้งหนึ่งแล้ว!
ที่สำคัญก็คือการโจมตีของนางไม่มีผลกับเศษวิญญาณ อิ๋งเจ๋อก็เครียดขึ้นมาเช่นเดียวกัน ความทรงจำก่อนหน้านี้ที่ถูกเศษวิญญาณกัดเนื้อยังคงหลงเหลืออยู่ ภายในดวงตาของจีเหยาฮั่วกลับฉายแววแค้นเคือง ก่อนหน้านี้เขาก็ได้รับบาดเจ็บมาไม่น้อย แต่ยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพในมือของเขาสามารถทำลายเศษวิญญาณได้ ดังนั้นในใจจึงเกิดความคิดอยากแก้แค้นขึ้นมามากกว่าที่จะหวาดกลัวเศษวิญญาณ
เมื่อทั้งสี่คนมองเห็นเศษวิญญาณเข้ามาใกล้ในใจก็ล้วนแต่เกิดความระแวดระวังขึ้น
ส่วนตัวประหลาดเหล่านั้นเมื่อมองเห็นเศษวิญญาณแล้วกลับร้องอย่างตื่นเต้นขึ้นมา
“หากว่าตัวประหลาดเหล่านี้ต่อสู้กับเศษวิญญาณขึ้นมา ถึงพวกมันจะมองไม่เห็นพวกเรา แต่พวกเศษวิญญาณก็คงจะเปิดเผยร่องรอยของพวกเราอย่างแน่นอน” ซีเซียนเสวี่ยรีบเอ่ยออกมา
คำพูดของนางทำให้ใบหน้าของจีเหยาฮั่วแข็งค้าง
“ถอยก่อนดีไหม?” อิ๋งเจ๋อเสนอ
แต่ว่าเมื่อเสียงของเขาหลุดออกไป มู่ชิงเกอก็เอ่ยขึ้นเสียงเข้มว่า “ไม่ทันแล้ว”
เศษวิญญาณเหล่านี้มาอย่างรวดเร็วมากอีกทั้งยังจำนวนมากกว่าที่พวกเขาพบเห็นก่อนหน้านี้อีก มีเกือบหมื่นตัว
พวกมันเข้ามา ท้องฟ้าก็เหมือนกับมีเมฆดำเคลื่อนเข้ามา ทำให้ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นมืดดำลง
“เคี๊ยก เคี๊ยก เคี๊ยก เคี๊ยก!”
เสียงของเศษวิญญาณดังก้องไปรอบด้าน
ตัวประหลาดสีเขียวเหล่านี้ไม่ได้หวาดกลัวเศษวิญญาณเลยพากันกระโดดโลดเต้นขึ้นมา
มู่ชิงเกอพบว่ากรงเล็บของพวกมันสามารถจับกุมเศษวิญญาณได้
ดูเหมือนว่าเพียงพริบตาเดียว เศษวิญญาณบางส่วนก็ค้นพบพวกเขาแล้วและก็พุ่งตัวมายังพวกเขาทั้งสี่คน พร้อมส่งเสียง ‘เคี๊ยก เคี๊ยก เคี๊ยก เคี๊ยก’ ออกมา
‘แย่ แล้ว!’
เมื่อได้ยินเสียงนี้สีหน้าของทั้งสี่คนก็เปลี่ยนไปพร้อมกัน
พวกเขามองไปยังตัวประหลาดสีเขียวเหล่านั้น และตัวประหลาดตัวเล็กสองตัวในนั้นก็กำลังมองมาทางพวกเขาเช่นเดียวกัน