Skip to content

พลิกปฐพี 390

ตอนที่ 390

ข้ารู้สึกเสียใจที่เป็นธิดาเทพ

“เป็นอะไรไปหรือ?” ซีเซียนเสวี่ยมองมู่ชิงเกอ นัยน์ตาเกิดความมึนงง

สายตาที่มู่ชิงเกอมองมาอย่างกะทันหันนั้นทำให้นางรู้สึกจิตใจไม่สงบ หัวใจเต้นแรง

“พูดเหตุการณ์ที่พวกเจ้าผ่านมาให้ข้าฟังที” มู่ชิงเกอเอ่ย

ซีเซียนเสวี่ยชะงัก

เพิ่งจะรู้สึกตัวกลับมามู่ชิงเกอก็ถามถึงประสบการณ์การต่อสู้กับตัวประหลาดตัวเล็กเหล่านั้น เมื่อรู้ถึงจุดมุ่งหมายของเขาแล้ว ซีเซียนเสวี่ยก็มองมู่ชิงเกออีกครั้ง แล้วก็พบว่านัยน์ตาของเขาเรียบสงบสดใสไร้มลทิน

ส่วนตัวเองเมื่อครู่นี้…

‘เฮ้อ ข้ากำลังคิดเหลวไหลอะไรกันนะ?’ ซีเซียนเสวี่ยพูดอยู่ในใจ

เมื่อเห็นซีเซียนเสวี่ยนิ่งเงียบไปนานไม่ยอมตอบคำถามสักที มู่ชิงเกอจึงค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นพร้อมกับเดินไปหานาง “ยังรู้สึกไม่สบายตรงไหนอีกหรือไม่?”

ซีเซียนเสวี่ยรีบเงยหน้าขึ้น ส่ายหน้าอย่างลนลาน “ไม่ ไม่มี ไม่เป็นอะไรแล้ว ขอบคุณ”

มู่ชิงเกอค่อยๆ ส่ายหัว ดวงตาคู่นั้นจ้องมองนางอีกครั้ง

ซีเซียนเสวี่ยหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยตั้งสติคิดย้อนกลับไปตอนที่กำลังต่อสู้กับ ตัวประหลาดสีเขียวตัวเล็ก

“เดิมทีข้าก็ต่อสู้อยู่กับมันแค่ตัวเดียว แต่ในตอนที่มันพุ่งเข้ามานั้นก็แยกออกเป็นหลายตัวในพริบตา และในตอนที่กระบี่ของข้าแทงทะลุหน้าอกของพวกมัน ก็รู้สึกเหมือนกับแทงโดนความว่างเปล่า อีกทั้งตัวประหลาดที่ถูกฆ่าก็จะแยกตัวเพิ่มออกมาอีกตัวหนึ่ง ยิ่งฆ่าก็ยิ่งเยอะมากขึ้น ไม่ว่าข้าจะโจมตีพวกมันที่จุดไหนบนร่างกายพวกมันก็ล้วนแต่จะแยกร่างออก…” ซีเซียนเสวี่ยพูดถึงเหตุการณ์ที่ตนเองผ่านมา

นางรู้ว่ามู่ชิงเกอคิดจะหาช่องทางในการต่อสู้กับตัวประหลาดเหล่านั้น ดังนั้นนางจึงพูดอย่างละเอียดเป็นพิเศษ ไม่เพียงแต่พูดสิ่งที่เกี่ยวข้องกับนางเท่านั้น แม้แต่ที่เกี่ยวข้องกับฝั่งทางอิ๋งเจ๋อหากนางมองเห็น นางก็จะพูดออกมา

มู่ชิงเกอฟังนางพูดเงียบๆ แววตาหนักอึ้ง

ในหัวของนางครุ่นคิดอยู่ตลอด ‘ตัวประหลาดเหล่านี้ไม่แยกเพศ หรือว่าอาศัยวิธีแบ่งเซลล์เพื่อเพิ่มจำนวน?’

“ต่อมาข้ากับอิ๋งเจ๋อก็ถูกล้อมเอาไว้ ดีที่จีเหยาฮั่วมาได้ทันเวลา ลดความกดดันจากด้านนอกให้พวกเรา ถึงทำให้พวกเรามีช่องว่างทะลวงออกมาได้ ต่อมาจีเหยาฮั่วก็ ควบคุมลม พัดเอาตัวประหลาดเหล่านั้นลอยขึ้นไปบนฟ้า พวกเราถึงสามารถหลุดรอดออกมาได้ ตัวประหลาดเหล่านั้นไม่เพียงแต่สามารถโจมตีจิตวิญญาณของพวกเรา แต่ยังมีความเร็วที่เร็วมาก กรงเล็บก็ยิ่งแหลมคมสามารถทะลุเกราะป้องกันของพวกเราได้อย่างง่ายดาย” ซีเซียนเสวี่ยเอ่ย

‘ถ้าหากว่าเป็นการแบ่งเซลล์จริงๆ แล้วจะทำลายได้อย่างไร?’ มู่ชิงเกอครุ่นคิดอย่างหนัก

ซีเซียนเสวี่ยพูดจบแล้วก็พบว่ามู่ชิงเกอกำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง นางจึงไม่ได้รบกวนเพียงแต่รอคอย เงียบๆ อยู่อีกด้าน

‘ไม่ถูกต้อง! วิธีการไม่ถูกต้อง!’ มู่ชิงเกอค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้น

ตัวประหลาดเหล่านั้นทำให้ความรู้ก่อนหน้านี้ของนางกลับตาลปัตรไปหมด นับจากเริ่มต้น ‘เหตุใดตัวประหลาดเหล่านี้จึงมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างกัน? มีแต่ตัว ประหลาดตัวเล็กที่ลงมือทำงาน? ตัวประหลาดตัวใหญ่สองตัวนั้นนอกจากเอาถุงออกมาดูดเศษวิญญาณแล้วก็ไม่ได้ทำอะไรอีก เพียงแต่สั่งการให้ตัวประหลาดตัวเล็กดำเนินการโจมตี’

มู่ชิงเกอค่อยๆ ก้าวเดินอย่างช้าๆ ทันใดนั้นก็หยุดเท้าลง ในใจคิดว่า ‘ถ้าหากว่าตัวประหลาดตัวใหญ่เหล่านี้สามารถควบคุมตัวประหลาดตัวเล็กได้ เมื่อฆ่าตัว ประหลาดตัวใหญ่แล้วก็จะสามารถทำให้มันสูญเสียการควบคุมตัวประหลาดตัวเล็กไปใช่หรือไม่? ก็เหมือนกับหุ่นยนต์ที่สูญเสียการถ่ายทอดคำสั่งก็จะหยุด ขยับไม่ได้!

ความคิดนี้ทำให้ดวงตาของมู่ชิงเกอเป็นประกาย

ซีเซียนเสวี่ยสังเกตเขามาโดยตลอด เมื่อมองเห็นดวงตาของเขาเป็นประกายเหมือนว่าค้นพบอะไรบางอย่างแล้ว ในใจของนางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกยินดีขึ้นมา นางไม่ได้รู้สึกยินดีเพราะมู่ชิงเกอสามารถหาวิธีที่จะต่อกรตัวประหลาดตัวเล็กเหล่านั้นได้ แต่เป็นเพราะมองเห็นท่าทางของมู่ชิงเกอแล้วดีใจตาม

มู่ชิงเกอรู้สึกว่าความคิดนี้มีโอกาสเป็นไปได้จึงคิดเจาะลึกเข้าไปอีก ‘จากการสัมผัสก่อนหน้านี้ก็สามารถสังเกตได้ว่าตัวประหลาดตัวใหญ่มีสถานะเป็นผู้สั่งการ ส่วนตัวประหลาดตัวเล็กก็คือผู้ใช้แรงงาน การโจมตีของตัวประหลาดตัวเล็กนั้นแปลกประหลาดและก็แข็งแกร่งมาก เช่นนั้นตัวประหลาดตัวใหญ่จะมีพลังการโจมตีที่แข็งแกร่งเช่นเดียวกันหรือไม่? หรือจะไม่มีพลังโจมตี? เพราะว่าพวกมันแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน ตัวประหลาดตัวใหญ่ทำงานเป็นเหมือนมันสมอง! อีกทั้งตัวประหลาดตัวใหญ่สองตัวนั้น ก็มักจะถูกห้อมล้อมด้วยตัวประหลาด ตัวเล็กข้างกายดูเหมือนว่าพวกมันกำลังให้การคุ้มครองตัวประหลาดตัวใหญ่อยู่!’

ดวงตาของมู่ชิงเกอค่อยๆ หรี่เล็กลง ‘ถ้าหากว่าความคิดนี้ถูกต้อง เช่นนั้นเพียงแค่ฆ่าตัวประหลาดตัวใหญ่ได้ก็จะจัดการทุกอย่างได้แล้วหรือ?’

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้นก้าวเท้าเดินกลับไปกลับมา

ทฤษฎีก็เป็นเพียงทฤษฎี จำเป็นต้องลองก่อนถึงจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นจริงหรือไม่! ตอนนี้นางจะคิดอย่างไรก็เป็นแค่ความคิดลอยๆ ส่วนจะถูกหรือไม่นั้น เกรงว่าต้องไปหาตัวประหลาดเหล่านั้นเพื่อทดลองสักรอบถึงจะรู้

ท่าทีครุ่นคิดของมู่ชิงเกออยู่ในความสนใจของซีเซียนเสวี่ยมาโดยตลอด

นางนั่งอยู่ข้างกองไฟ มือหนึ่งถือฟืน อีกมือหนึ่งเท้าแก้ม นั่งมองมู่ชิงเกอเงียบๆ ทันใดนั้นนางก็รู้สึกดีขึ้นมา ความรู้สึกสงบสบายใจ ไม่ถูกคนรบกวน ทำให้นางมีความสุขขึ้นมา ดูเหมือนว่าหากได้มองมู่ชิงเกอเช่นนี้ตลอดไปนางก็พอใจแล้ว

นางรู้ว่าตนเองได้ตกลงไปในหลุมพรางเสียแล้ว

นางปล่อยให้ตัวเองจมลงไป เพราะมีแต่ต้องผ่านมันไปเท่านั้น ถึงจะสามารถวางมือจริงๆ ได้

แต่ว่า…

ทันใดนั้นนัยน์ตาของซีเซียนเสวี่ยก็มืดทึบลงมา รอยยิ้มที่มุมปากของนางค่อยๆ หายไป นางถามตนเองในใจว่า ‘หลังจากออกไปจากที่นี่แล้ว ข้าจะสามารถละทิ้ง ทุกอย่างได้จริงๆ หรือ?’

ดวงตาของซีเซียนเสวี่ยฉายแววปวดใจ นางพูดกับตนเองในใจว่า ‘ไม่! ซีเซียนเสวี่ย เจ้าจะต้องลืมให้ได้จะต้องปล่อยวางให้ได้! มิฉะนั้นแล้วเจ้าก็จะทำให้ผู้คนมากมายต้องเดือดร้อน แม้แต่ตัวเขาเองก็ต้องเดือดร้อนไปด้วย…’

นางเงยหน้าขึ้น มองไปยังเงาร่างของมู่ชิงเกอ ส่วนลึกของนัยน์ตาฉายแววตัดสินใจ

เก็บซ่อนความในใจของตนเองดีแล้ว ซีเซียนเสวี่ยถึงได้เผยรอยยิ้มมีความสุขออกมาอีกครั้ง แม้ว่าความสุขนี้จะมีแค่ตัวนางเองที่คิดไปเอง แม้ว่าความสุขเช่นนี้จะสั้นแค่ไหน แม้ว่าความสุขนี้จะเป็นเพียงการหลอกลวงตัวเอง แต่นางก็ยินยอมที่จะเสียสละทุกๆ อย่าง

หลังจากมู่ชิงเกอผ่านการคิดอย่างละเอียดแล้ว เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าซีเซียนเสวี่ยกำลังจ้องมองตนเองอยู่ นางรู้สึกกระดากใจเล็กน้อย เดินไปนั่งข้างกองไฟ ระหว่างนางกับซีเซียนเสวี่ยมีกองไฟกั้นเอาไว้อยู่ เปลวไฟลุกไหม้อย่างต่อเนื่อง อารมณ์ของทั้งสองคนล้วนแต่สะท้อนออกมาอย่างลึกลับยากที่จะเข้าใจ

นางลังเลว่าจะต้องบอกซีเซียนเสวี่ยเรื่องที่ตนเองเป็นผู้หญิงหรือไม่

ต่อจากนี้ไป นางจะได้ไม่คิดกับตนเองเช่นนี้อีก แต่ว่าตอนนี้ก็ยังไม่ใช่เวลาที่จะพูดคุยถึงเรื่องนี้ เพราะหากซีเซียนเสวี่ยรับความจริงเรื่องที่นางเป็นผู้หญิงไม่ได้แล้วหนีออกไปด้วยความวู่วามล่ะจะทำอย่างไร?

ยังไม่รู้ว่าตัวประหลาดเหล่านั้นยังไล่ตามมาอีกหรือเปล่า ทั้งไม่รู้ว่าตอนนี้จีเหยาฮั่วและอิ๋งเจ๋อเป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้จึงไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะพูดเรื่องปัญหาของพวกนางทั้งสอง

เมื่อผ่านการคิดในใจรอบหนึ่งแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้ล้มเลิกความคิดที่จะพูดความจริงออกมา

‘รอออกไปจากที่นี่ก่อนค่อยพูดแล้วกัน’ มู่ชิงเกอพูดกับตนเองในใจ

“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่หรือ?” ระหว่างทั้งสองคนเงียบจนเกินไป บรรยากาศค่อนข้างอึดอัด ในที่สุดซีเซียนเสวี่ยก็ทำลายความเงียบลง

มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมองนางแล้วส่ายหน้า

ซีเซียนเสวี่ยก็ไม่ได้ถือสา ยิ้มแล้วถามเขาว่า “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคิดอะไรอยู่?”

มู่ชิงเกอชะงัก ส่ายหน้าอีกครั้ง

ซีเซียนเสวี่ยยิ้มให้กับเขาแล้วพูดว่า “ข้ารู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจในครั้งแรกของข้า”

“การตัดสินใจในครั้งแรก?” มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่านางตัดสินใจอะไรในครั้งแรก

ซีเซียนเสวี่ยพยักหน้า มองมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยว่า “ข้าเสียใจที่เข้าสู่ตำหนักเทพกลายเป็นธิดาเทพ”

อา…

มู่ชิงเกอชะงัก ไม่รู้ว่าจะต่อประเด็นนี้อย่างไรดี แต่ดูเหมือนว่าซีเซียนเสวี่ยก็ไม่ได้ต้องการให้เขาพูดอะไรเพียงแต่พูดขึ้นเองว่า “ตอนที่ข้ายังเล็กนั้น น่าจะเป็นตอนที่ข้าเพิ่งเกิดชะตาชีวิตของข้าก็ถูกตระกูลกำหนดเอาไว้ดีแล้ว นับตั้งแต่ที่ข้ารู้ความมา ทุกๆ คนที่อยู่ข้างกายของข้าก็คอยบอกข้าอยู่เสมอว่าต่อไปข้าจะต้องเข้าสู่ตำหนักเทพกลายเป็นธิดาเทพ ข้าในตอนนั้นไม่รู้เลยว่าอะไรคือธิดาเทพ มารดาของข้าบอกข้าว่าธิดาเทพก็คือผู้หญิงที่ศักดิ์สิทธิ์และสูงส่งที่สุดบนผืนดินแห่งนี้…”

ทันใดนั้นซีเซียนเสวี่ยก็พูดเรื่องของตนเองขึ้นมาอย่างกะทันหัน นี่ทำให้มู่ชิงเกอจับต้นชนปลายไม่ถูก

แต่ว่าในเมื่อนางคิดจะพูด มู่ชิงเกอก็จะไม่ขวางความคิดของนาง เพียงแต่นั่งฟังเงียบๆ

ซีเซียนเสวี่ยหัวเราะออกมา “ข้ายังเด็กขนาดนั้น ไหนเลยจะรู้ว่าความศักดิ์สิทธิ์สูงส่งนั้นเป็นอย่างไร? มารดาของข้าบอกข้าว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนล้วนแต่อยากครอบครอง ตัวข้าก็ไม่ยกเว้น ต่อมาเมื่อข้าค่อยๆ เติบโตขึ้นถึงได้รู้ว่านับตั้งแต่ที่ตนเองเกิดมาก็ถูกเลือกให้กลายเป็นธิดาเทพของตำหนักเทพแล้ว”

นางมองมู่ชิงเกอดู เหมือนว่ากำลังรอการตอบสนองจากเขา

มู่ชิงเกอขบริมฝีปาก “เป็นเพราะรากวิญญาณวารีโดยกำเนิดของเจ้าใช่หรือไม่”

ซีเซียนเสวี่ยค่อยๆ พยักหน้า “ใช่แล้วเป็นเพราะรากวิญญาณวารีโดยกำเนิดของข้า ในตอนที่ข้าเกิดขึ้นมานั้นก็ถูกอาจารย์ของข้าสัมผัสได้ดังนั้นข้าถึงได้กลายเป็นธิดาเทพของตำหนักเทพ”

“อาจารย์ของเจ้าก็คือ…” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม

ซีเซียนเสวี่ยตอบว่า “อาจารย์ของข้าก็คือนักบวชเทวะแห่งตำหนักเทพ เป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดในตำหนักเทพ หากถือตามคำพูดของเขา หากต่อไปข้าไม่สามารถเข้าไปสู่แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารได้แล้วก็จะต้องรับผิดชอบตำแหน่งต่อจากเขาควบคุมตำหนักเทพต่อไป”

มู่ชิงเกอสูดลมหายใจเข้า นางเข้าใจแล้วว่าสถานะธิดาเทพของซีเซียนเสวี่ยก็เป็น เหมือนกับกษัตริย์แห่งแคว้นๆ หนึ่ง หากว่านางอยู่ในโลกแห่งยุคกลางต่อไปเรื่อยๆ ก็จะกลายเป็นผู้นำของฐานอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกแห่งยุคกลาง

“ข้าได้เข้าสู่ตำหนักเทพอย่างเป็นทางการเมื่อตอนอายุได้ 13 ปี แล้วก็กลายเป็นธิดาเทพ ในตอนนั้น อาจารย์ของข้าก็บอกข้าว่าตลอดทั้งชีวิตของธิดาเทพนั้น จะต้องมอบให้แก่เทพ ดังนั้นทั้งชีวิตจึงไม่สามารถมีความรู้สึกส่วนตัวได้ไม่สามารถชอบใครหรือแต่งงานกับใครได้ เพราะสิ่งนั้นจะทำให้ร่างกายของข้าแปดเปื้อน และเมื่อถึงเวลาที่กำหนดข้าจะต้องละทิ้งแม้แต่ตระกูล” ซีเซียนเสวี่ยมองมู่ชิงเกอไปด้วยขณะที่พูดออกมา

มู่ชิงเกอนิ่งเงียบ ชะตาชีวิตของซีเซียนเสวี่ยไม่ได้มอบโอกาสในการเลือกให้แก่นางเลย ทุกอย่างล้วนแต่ถูกคนอื่นตัดสินให้หมด

“บิดามารดาของข้าพูดกับข้าว่าไม่เป็นไร แม้ว่าต่อไปข้าจะต้องออกไปจากตระกูลแต่ข้าก็ยังคงเป็นลูกสาวของพวกเขาอยู่” ซีเซียนเสวี่ยยิ้ม “แต่ว่าตอนนี้ข้ากลับรู้สึกเสียใจบ้างแล้ว”

มู่ชิงเกอไร้คำจะต่อ

แม้ว่านางจะความรู้สึกช้าเกี่ยวกับเรื่องเช่นนี้ไปบ้าง แต่ก็สามารถรู้สึกได้ว่าคำพูดของซีเซียนเสวี่ยนั้นเกี่ยวกับนาง

“น่าเสียดายที่ถึงแม้จะเสียใจก็สายไปแล้ว ข้าได้กลายเป็นธิดาเทพแห่งตำหนักเทพและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้แล้ว ดังนั้นข้าทำได้เพียงแต่พูดคำพูดเหล่านี้ภายในช่องว่างที่ถูกปิดผนึกแห่งนี้เท่านั้น หลังจากออกจากที่นี่ไปแล้ว ข้าก็ไม่อาจยอมรับคำพูดเหล่านี้ได้อีก” ซีเซียนเสวี่ยพูดพร้อมหัวเราะขึ้นมา

มู่ชิงเกอยังไม่เคยเห็นรอยยิ้มเช่นนั้นบนใบหน้าของนางมาก่อน รอยยิ้มที่เหมือนดั่งสาวน้อย ลดความศักดิ์สิทธิ์และสูงส่งของธิดาเทพลงไป

ทันใดนั้น ซีเซียนเสวี่ยก็ยืนขึ้นมา มู่ชิงเกอมองออกไปก็พบว่านางเดินมาหาตนเองทีละก้าว…ทีละก้าว

มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้นไม่รู้ว่าซีเซียนเสวี่ยคิดจะทำอะไร เห็นเพียงนางเดินมาแล้วก็นั่งลงคุกเข่าอยู่ด้านหน้าจากนั้นใช้สายตาช้อนขึ้นมามองตนเอง มู่ชิงเกอรู้สึกว่าร่าง กายของตนเองแข็งทื่อไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

ดีที่ซีเซียนเสวี่ยไม่ได้ทำเรื่องราวอะไรที่เกินขอบเขตเกินไป เพียงแต่ค่อยๆ โน้มตัวลงนอนพิงบนตักของมู่ชิงเกอเท่านั้น

นางพิงอยู่บนขาของมู่ชิงเกอ ขดร่างกายของตนเองดุจดั่งแมวน้อยกำลังคลอเคลียขอความรัก

แต่เดิมมู่ชิงเกอก็กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ ตอนนี้เมื่อถูกซีเซียนเสวี่ยนอนบนตัก นางก็ยิ่งไม่กล้าขยับ

“ทำเช่นนี้ข้าถึงจะนอนหลับ” ซีเชียนเสวี่ยอธิบายการกระทำของตนเอง

“…” แล้วมู่ชิงเกอจะยังพูดอะไรได้อีก?

“มู่ชิงเกอ…” ทันใดนั้นซีเชียนเสวี่ยก็เรียกชื่อของเขาออกมา

นี่ทำให้ร่างกายของมู่ชิงเกอชะงักไป ทั้งร่างกายแข็งเกร็งขึ้นมาเหมือนว่านางกำลังจะเข้าสู่สงครามก็ไม่ปาน

“ข้าพูดว่าถ้าหาก…เพียงแค่ถ้าหาก…ถ้าหากว่าพวกเรารู้จักกันก่อนเจ้าจะชอบข้าหรือไม่?” ซีเซียนเสวี่ยรวบรวมความกล้าเป็นอย่างมากถามคำถามที่ทำให้นางไม่ยอมปล่อยวางในตัวมู่ชิงเกอออกมา

“ถ้าหากว่าพวกเรารู้จักกันก่อนที่ข้าจะกลายเป็นธิดาเทพ ข้าจะต้องปฏิเสธการเป็นธิดาเทพโดยไม่สนใจอะไร คิดแต่จะหาวิธีพัวพันอยู่ข้างกายเจ้า หากว่าเป็นเช่นนั้น เจ้าจะชอบข้าหรือไม่?” ซีเซียนเสวี่ยถามออกไป

แผ่นหลังของมู่ชิงเกอแข็งทื่อขึ้น เม้มริมฝีปากแน่น

ซีเซียนเสวี่ยรอคำตอบอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อไม่เห็นเขามีปฏิกิริยาอะไรและก็ไม่เห็นเขาตอบออกมา บนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มโล่งใจเอ่ยปากว่า “เอาล่ะ ข้ารู้คำตอบแล้ว”

รอยยิ้มของนางค่อยๆ หายไป แม้ว่านางจะข่มใจเอาไว้แล้ว แต่หางตาก็ยังมีนํ้าตาไหลออกมาเปื้อนกางเกงของมู่ชิงเกอ

เมื่อสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้น ทั้งยังมีแผ่นหลังที่ดูหดหู่ใจ มู่ชิงเกอก็ลอบถอนหายใจในใจเอ่ยปากว่า “ส่วนไหนของข้าทื่คู่ควรให้เจ้าชอบกัน?”

เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกนางไม่ได้สนิทกันมาก เพียงแค่เคยพบกันไม่กี่ครั้งก็ เท่านั้น

อีกอย่าง…สำหรับบรรดาผู้หญิงที่รู้สึกกับนางเหมือนกับที่ซีเซียนเสวี่ยรู้สึก นางก็รู้สึกว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรเลย เหตุใดถึงทำให้พวกนางเป็นอย่างนี้ไปได้ ฉินอี้เหลียน ฉินอี้เหยา เว่ยกว่านกว่าน ยังมีคุณหนูตระกูลฮวาผู้นั้น ประมุขน้อยกงแห่งหุบเขาสงบใจ…ยังมีเสวี่ยหยาแล้วตอนนี้ก็ยังมีซีเซียนเสวี่ยอีก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!