ตอนที่ 398
ท่านแม่ มีทางช่วยท่านพ่อแล้ว
“เจ้าไม่ควรชอบข้าเพราะว่าข้าเหมือนกันกับเจ้า”
คำพูดของมู่ชิงเกอดุจดั่งฟ้าผ่ากลางแจ้งลงบนตัวของซีเซียนเสวี่ย นางสูดลมหายใจเข้าลึก ดวงตาที่หดตัว พยายามจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้า
ไม่ ไม่ใช่เขา แต่เป็นนาง!
ซีเซียนเสวี่ยไม่ได้โง่ นางเข้าใจความหมายของมู่ชิงเกอแล้ว นางสวมเครื่องมือมายา และหากเครื่องมือมายาไม่ได้ซ่อนรูปลักษณ์ที่แตกต่าง เช่นนั้นก็เหลือเพียงแค่อย่างเดียว
อีกทั้งคำพูดของมู่ชิงเกอนั้นก็ชัดเจนมาก
นางเป็นเหมือนกันกับนาง เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง!
ในใจของซีเซียนเสวี่ยเกิดความขมขื่นขึ้นมา มองยังมู่ชิงเกออย่างไม่อยากเชื่อ นางเพิ่งจะเคยชอบใครสักคนเป็นครั้งแรก แต่คนๆ นั้นกลับเป็นผู้หญิงคนหนึ่งงั้นหรือ? เรื่องนี้หากว่าถูกเล่าลือออกไป เกรงว่าคงจะเป็นเรื่องตลกของทั้งโลกแห่งยุคกลางเป็นแน่ แต่นางก็ไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ที่นางสนใจก็คือเรื่องที่มู่ชิงเกอ เป็นผู้หญิง
“เจ้าไม่มีความจำเป็นต้องหลอกข้าใช่ไหม?” ความเจ็บปวดในใจรุนแรงขึ้น ทำให้ซีเซียนเสวี่ยต้องพยายามประคับประคองความรู้สึกที่แหลกสลายของตนเอง
มู่ชิงเกอพยักหน้า
ซีเซียนเสวี่ยขาสั่นขึ้นมา นางมองมู่ชิงเกออย่างเศร้าใจ “ใช่แล้ว เจ้าไม่จำเป็น ต้องหลอกข้า ข้าก็จะไม่พัวพันเจ้าอีกอยู่แล้ว และเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องมาพูดโกหกเพื่อหลอกข้าด้วย”
เพื่อที่จะปฏิเสธนาง พูดว่าตนเองเป็นผู้หญิง?
เรื่องเช่นนี้มู่ชิงเกอทำออกมาไม่ได้อย่างแน่นอน! ดังนั้นจึงเหลือเพียงแค่เหตุผลเดียวนั้นก็คือมู่ชิงเกอเป็นผู้หญิงจริงๆ เพียงแต่ถูกเครื่องมือมายาปิดบังเอาไว้ ทำให้ในสายตาของคนอื่นๆ นางเป็นผู้ชายคนหนึ่ง!
มองเห็นท่าทีของนางแล้ว มู่ชิงเกอก็รู้สึกผิดในใจ
“เดิมทีในตอนที่ข้ารู้ถึงความรู้สึกของเจ้านั้นก็คิดจะบอกเจ้าแล้ว แต่ว่าตอนที่พวกเราอยู่ในสนามรบโบราณนั้น เต็มไปด้วยอันตรายรอบด้าน ข้ากังวลว่าหลังจากบอกความจริงแก่เจ้าแล้วเจ้าจะ…ดังนั้นถึงได้รอมาจนถึง ตอนนี้ถึงพูดออกมา”
“ดังนั้น เจ้าถึงได้ยินยอมร่วมฝ่าปมในใจไปกับข้า?” ซี ซียนเสวี่ยหลุบตาลง ขนตายาวบดบังความรู้สึกในดวงตาของนาง
มู่ชิงเกอพยักหน้า “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ได้ตั้งใจแต่ถึงอย่างไรก็ได้ทำร้ายความรู้สึกเจ้า ในเมื่อเจ้ามีความคิดจะฝึกใจ สิ่งที่ข้าทำได้แน่นอนว่าจะต้องช่วยเจ้า”
“ถ้าหากว่าวันนี้ข้าสามารถปล่อยวางลงได้ทั้งหมด จริงๆ เจ้าจะปิดบังความลับนี้ต่อไปไหม?” ซีเซียนเสวี่ย ถาม
“ไม่ เพราะข้าได้ตัดสินใจแล้วว่าก่อนที่เจ้าจะจากไปข้าจะบอกความจริงแก่เจ้า ข้าไม่อยากให้เจ้าคิดผิดจนทำร้ายตนเอง” มู่ชิงเกอเอ่ย
ซีเซียนเสวี่ยยิ้มออกมา นางเงยหน้าขึ้นดวงตากลับคืนสู่ความสงบ มีหลายส่วนที่ดูเหมือนครั้งแรกที่พบกัน ให้ความรู้สึกสูงส่งของธิดาเทพ “บอกข้าถึงเหตุผลที่ต้อง ปิดบังสถานะ”
นางไม่คาดหวังว่าที่มู่ชิงเกอทำเช่นนี้เป็นเพียงเพราะต้องการล้อเล่นหรือเป็นเพราะชอบที่จะเห็นผู้หญิงเช่นนางมอบหัวใจให้นาง
มู่ชิงเกอมองนาง และเข้าใจถึงความคิดของนาง “บิดาของข้าไม่ได้อยู่ในโลกแห่งยุคกลาง ส่วนสถานการณ์ในตอนที่ข้าเกิดนั้นจำเป็นต้องให้ข้ากลายเป็นผู้ชายคนหนึ่ง เพื่อคานอำนาจ ดังนั้นนับตั้งแต่เด็กมาข้าจึงต้องใช้ชีวิตอย่างผู้ชาย ข้าก็ยอมรับว่ามีหลายครั้งที่ข้าคิดว่าสถานะผู้ชายนั้นสะดวกกว่า ลดปัญหาลงได้มาก”
“ตั้งแต่เด็กก็ใช้ชีวิตอย่างผู้ชาย?” ซีเซียนเสวี่ยประหลาดใจ
นางลองคิดว่าหากตนเองเป็นมู่ชิงเกอที่ต้องปลอมตัวตั้งแต่เด็กแล้วจะเป็นอย่างไร
ต้องเป็นความรู้สึกที่ไม่ดีอย่างแน่นอน ซีเซียนเสวี่ยค่อยๆ ส่ายหน้าเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา “เจ้าคิดว่าเมื่อเจ้าบอกความจริงที่เจ้าเป็นผู้หญิงแล้วจะสามารถถอนความรู้สึกชอบกลับมาได้อย่างนั้นหรือ?”
คำพูดของนางทำให้มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้นมา ไม่ค่อยเข้าใจ
ซีเซียนเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมองนาง “ในตอนที่ข้ารู้ว่าชอบเจ้านั้น ก็ไม่เคยคาดหวังอะไรมาก่อน เจ้าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงสำหรับข้าแล้วก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกัน เพราะคนที่ข้าชอบมีเพียงแค่คนเดียว นั้นก็คือมู่ชิงเกอ”
“…” มู่ชิงเกอมองซีเซียนเสวี่ยไม่รู้จะพูดอะไรดี
ซีเซียนเสวี่ยยิ้มออกมา “เจ้าวางใจเถอะ ก่อนหน้านี้ที่ข้าเคยพูดว่าจะไม่พัวพันเจ้านั้น ไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง เจ้าก็เป็นจิตมารในใจของข้า หลังจากออก ไปแล้วข้าก็จะลองวางเจ้าลง ไม่ว่าสุดท้ายแล้วในใจของข้าจะยังมีเจ้าอยู่หรือไม่ ข้าก็จะไม่ทำให้การคงอยู่ของเจ้ากลายเป็นอุปสรรคกับความคิดของข้า”
มู่ชิงเกอนิ่งไป ถามตนเองในใจว่า ‘นี่ถือว่าได้พูดอย่างชัดเจนแล้วหรือยัง?’
เวลานี้เอง แสงบนร่างกายของซีเซียนเสวี่ยก็สว่างขึ้น
แม้ว่ามู่ชิงเกอจะไม่เคยมีประสบการณ์ แต่ก็รู้ว่านางใกล้จะต้องจากไปแล้ว
ซีเซียนเสวี่ยค่อยๆ เดินมาตรงหน้านาง ทันใดนั้นก็ยิ้มขึ้นพูดกับมู่ชิงเกอว่า “เมื่อรู้ว่าเจ้าเป็นผู้หญิงแล้ว เรื่องที่ข้าคิดจะทำ ก็ลดความกังวลใจออกไปได้หน่อย ครั้ง สุดท้ายนี้ขอให้ข้าได้เอาแต่ใจเป็นครั้งสุดท้ายเถอะ”
พูดจบแล้วนางก็เขย่งเท้าขึ้นมาจูบเบาๆ บนแก้มของมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอชะงัก
ส่วนซีเซียนเสวี่ยกลับรีบวิ่งไปยังข้างกายของเว่ยมั่วลี่ ล้วงเอายันต์เคลื่อนย้ายในตัวของเขาออกมาบีบ ชั่วขณะนั้นร่างกายของเว่ยมั่วลี่ก็เปล่งแสงสีทองเหมือนกัน กับนาง
“มู่ชิงเกอ ข้าจะพยายามลืมเจ้าให้ได้!” ซีเซียนเสวี่ยตะโกนไปยังมู่ชิงเกอประโยคหนึ่ง
เมื่อมู่ชิงเกอหายตะลึงก็มองเห็นว่าเงาร่างของนางและเว่ยมั่วลี่เปลี่ยนเป็นพร่าเบลอแล้วก็หายไปจากตรงหน้าของตนเอง
บนแก้มยังมีร่องรอยของกลิ่นหอมจางๆ หลงเหลืออยู่
มู่ชิงเกอยกมือขึ้นถูๆ บนแก้มที่ก่อนหน้านี้โดนซีเซียนเสวี่ยจูบ พึมพำว่า “เรื่องนี้จะต้องไม่ให้ชายคนนั้นรู้เป็นอันขาด มิเช่นนั้นแล้วซีเซียนเสวี่ยต้องตายอย่างแน่
นอน”
เวลานี้เองก็มีหัวของคนโผล่เข้ามาจากปากถํ้าอย่างลับๆ ล่อๆ
มู่ชิงเกอมองเขาแวบหนึ่งแล้วก็วางมือลง พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เข้ามาเถอะ พวกเขาไปกันแล้ว”
จีเหยาฮั่วเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ถูๆ มือ เอ่ยถามอย่างสอดรู้สอดเห็นว่า “ชิงเกอ เมื่อครู่นี้ธิดาเทพซีพูดอะไร? นางต้องการลืมใครหรือ?”
มู่ชิงเกอเหลือบตามองเขา เลิกคิ้วเอ่ยว่า “อยากรู้มากงั้นหรือ?”
จีเหยาฮั่วพยักหน้าในทันที ประกายสอดรู้สอดเห็นใน ดวงตาเปล่งประกาย
แต่มู่ชิงเกอกลับยิมอย่างเย็นชาออกมา เอ่ยกับเขาว่า “รอออกจากที่นี่แล้ว เจ้าก็ไปถามนางเองที่ภาคกลางสิ”
เอ่อ!
ให้ไปหาซีเซียนเสวี่ยที่ตำหนักเทพหรือตระกูลซีหรือ? อภัยด้วยที่เขาไม่ได้ว่างขนาดนั้น
“ยังมีเวลาอีกวันพวกเราก็ต้องออกไปแล้ว ต่อไปจะทำอะไรต่อ?” อิ๋งเจ๋อเดินเข้ามาแล้วก็พูดขึ้น
ประเด็นนี้ทำให้จีเหยาฮั่วถอนรอยยิ้มขี้เล่นกลับ เขาพูดก่อนว่า “ในเมื่อรู้แล้วว่าอีกห้าปีสุสานเทพจะเปิดออก ช่วงเวลานี้ข้าก็คงจะเก็บตัวฝึกวิชาอยู่ในตระกูล เพื่อเพิ่มพูนระดับพลังให้ได้ภายในห้าปี และเมื่อถึงตอนนั้นจะได้ไปบุกสุสานเทพ’’ พูดจบแล้วเขาก็มองไปทางอิ๋งเจ๋อและมู่ชิงเกอ
อิ๋งเจ๋อพูดว่า “หลังจากออกไปแล้ว ข้าก็จะกลับไปยังภาคตะวันตก หลังจากจัดการเรื่องในตระกูลเสร็จก็จะเก็บตัวทะลวงสู่ระดับสีทอง จากนั้นก็จะไปหาที่ฝึกฝนสักรอบ”
“หลังจากข้ากลับไปก็จะไปยังตระกูลซางก่อน จากนั้นก็จะไปสำนักวิถีโอสถที่ภาคตะวันออก” มู่ชิงเกอถอนหายใจ นางไม่ได้มีเวลาเยอะเช่นสองคนนี้ ที่จะ สามารถตั้งใจฝึกฝนอย่างเดียวได้
“เจ้าจะไปสำนักวิถีโอสถงั้นหรือ?” จีเหยาฮั่วพูดอย่างแปลกใจ
อิ๋งเจ๋อก็มองมาที่นาง
มู่ชิงเกอพยักหน้า “สองปีก่อนเหยาชิงไห่ได้ส่งสารท้ารบให้ข้าที่ลั่วซิงเฉิง”
“เขานัดประลองกับเจ้า!” จีเหยาฮั่วแปลกใจ
มู่ชิงเกอกลับส่ายหน้า “ไม่ใช่ประลองการต่อสู้ แต่เป็นการประลองโอสถ ที่จริงแล้วถึงไม่มีเขาเสนอมา ข้าก็ต้องไปสำนักวิถีโอสถสักครั้งอยู่แล้ว ข้ายังมีศิษย์พี่หลายคนที่ฝึกฝนปรุงยาอยู่ที่นั้น อีกทั้งข้าก็ยังสนใจในงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถด้วย”
“งานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถ? ยังเหลือเวลาอีกครึ่งปีกว่าๆ”
ตระกูลของจีเหยาฮั่วสนิทกับสำนักวิถีโอสถเพราะจีเทียนเทียน จึงรู้จักงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถ
“ใช่” มู่ชิงเกอพยักหน้า
ชั่วขณะนั้นจีเหยาฮั่วก็ยกมือขึ้นวางบนไหล่ของอิ๋งเจ๋อ แล้วพูดกับเขาว่า “รอถึงวันงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถ พวกเราจะไปให้กำลังใจเจ้า”
อิ๋งเจ๋อพยักหน้าเงียบๆ
เหยาชิงไห่ท้าประลองวิชาปรุงยากับมู่ชิงเกอ ส่วนในเวลาครึ่งปีกว่าๆ เขาก็น่าจะสามารถทะลวงลู่ระดับสีทองได้แล้ว ถึงตอนนั้นเขาก็คิดจะไปท้าประลองกับเห ยาชิงไห่สักครั้ง
“เช่นนั้นต่อไปละ? เสร็จจากงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถแล้วเจ้าจะทำอย่างไร?” จีเหยาฮั่วพูดอย่างสนใจ
มู่ชิงเกอพูดอย่างขอไปทีว่า “บางทีข้าอาจจะหาที่ฝึกฝนสักที่ ข้าไม่ได้คิดมากขนาดนั้น มีแผนการหลายแผนที่ตามการเปลี่ยนแปลงไม่ทัน”
หนึ่งวันสุดท้ายในสนามรบโบราณ พวกเขาสามคนรออยู่ในถํ้าก็ไม่ได้ฝึกฝน เพียงแต่คุยเล่นกัน บางครั้งก็แลกเปลี่ยนความรู้ในการต่อสู้หรือกระบวนท่าในการต่อสู้บ้าง
เวลาหนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในตอนที่พวกเขาออกมาปรากฎตัวอยู่ตรงหน้ารอยแยกทางเข้าสนามรบโบราณอีกครั้งนั้น ถึงได้สัมผัสได้อย่างแท้จริงว่าเวลา สามเดือนนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว
บริเวณทางเข้าไม่มีร่องรอยของซีเซียนเสวี่ยและเว่ยมั่วลี่แล้ว
จีเหยาฮั่วพูดด้วยสีหน้าที่ผิดหวังว่า “ข้ายังคิดว่าการเป็นเพื่อนร่วมรบกับธิดาเทพซีในสามเดือนนี้จะสามารถทำให้ธิดาเทพซีรอพวกเราอยู่ที่นี่ได้อีกวันเสียอีก หลัง จากบอกลาทุกคนแล้วค่อยแยกย้ายกันกลับไป ดูแล้วเป็นข้าที่คิดมากไปเอง”
อิ๋งเจ๋อพูดอย่างเรียบเฉยว่า “สถานการณ์ของเว่ยมั่วลี่ดูไม่ดี แน่นอนว่านางต้องรีบพาเขากลับไปส่งที่ตระกูลเว่ย”
จีเหยาฮั่วพยักหน้า ไม่ได้สนใจประเด็นนี้อีก เขามองทั้งสองคนแล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้าล้วนแต่กลับไปภาคตะวันตก ถือว่ามีเพื่อนเดินทาง”
พูดแล้ว เขาก็หันไปยิ้มให้กับมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยว่า “ไม่สู้พาข้าไปด้วยสักระยะ พวกเจ้ากลับภาคตะวันตก ทางที่เร็วที่สุดก็คือไปเมืองโหรวเป่ยก่อน ใช้ประตูมิติตอน ผ่านเมืองวั่นเข่อแล้วก็ค่อยปล่อยข้าไว้”
หลังจากผ่านไปห้าวัน มู่ชิงเกอก็ขี่เสี่ยวไฉ่ไปยังตระกูลซาง
หลังจากถึงภาคตะวันตกแล้ว นางกับอิ๋งเจ๋อก็แยกทางกัน เขากลับไปตระกูลอิ๋ง นางก็กลับไปยังตระกูลซาง เพียงแค่เสี่ยวไฉ่ร่อนลงไปก็ทำให้คนตระกูลซางแตกตื่น
หลังจากที่มู่ชิงเกอเก็บเสี่ยวไฉ่แล้ว ก็เดินไปยังเรือนของซางหลันรั่ว
เมื่อเดินเข้าไปในเรือนแล้ว มู่ชิงเกอก็พบว่าภายในเรือนนั้นมีซางหลันรั่วนั่งอยู่เพียงคนเดียว มู่เสวี่ยอู่ไม่ได้อยู่ด้วย น่าจะออกไปฝึกฝนหรือไม่ก็ไปหลอมยุทธภัณฑ์ ส่วนซางหลันรั่วกำลังหันหลังให้นาง ในมือเหมือนกำลังเลือกอะไรอยู่
เมื่อได้ยินเสียงโลหะกระทบกัน มู่ชิงเกอถึงเดาได้ว่านางกำลังเลือกวัสดุหลอมยุทธภัณฑ์อยู่
มู่ชิงเกอมองนาง แผ่นหลังของนางยังคงดูเหมือนหญิงสาว แต่ผมบนศีรษะกลับเป็นสีขาวทิ่มแทงนัยน์ตา
“ท่านแม่” นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ เก็บความคิดกลับแล้วร้องเรียกออกไป
เมื่อซางหลันรั่วได้ยินเสียงของมู่ชิงเกอแล้วก็วางของในมือลง หันกลับไป เมื่อมองเห็นมู่ชิงเกอชัดแล้วนางก็ได้เผยรอยยิ้มออกมา “เกอเอ๋อร์ เจ้ากลับมาแล้ว” สองปีมานี้ มู่ชิงเกอคอยปรุงยาเสริมอายุขัยส่งมาให้ซางหลันรั่วตลอด ส่วนซางหลันรั่วนั้นเพื่อไม่ให้นางเกิดความรู้สึกผิดในใจจึงตั้งใจฝึกฝนพัฒนาระดับพลังของตนเอง รวมกับยาเสริมอายุขัยทำให้ตอนนี้นางปีนกลับคืนสู่รูปโฉมเดิมแล้ว เพียงแต่เส้นผมกลับยังคงเป็นสีเงินอยู่เพราะถูกทำร้ายจนถึงรากจิตวิญญาณ
ซางหลันรั่วเดินไปหามู่ชิงเกออย่างรวดเร็ว ปากก็พูดออกมาอย่างคิดถึงว่า “จะกลับมาทำไมไม่บอกก่อนสักคำ ข้าจะได้เตรียมอาหารที่เจ้าชอบไว้ให้กิน’’
มู่ชิงเกอยิ้มออกมา เดินเข้าไปประคองแขนของนางแล้ว พูดกับนางว่า “ท่านแม่ มีทางช่วยท่านพ่อแล้ว”