Skip to content

พลิกปฐพี 399

ตอนที่ 399

การสู่ขอจากตระกูลอิ๋ง

“เจ้า…เจ้าพูดอะไรนะ?” ซางหลันรั่วตื่นเต้นขึ้นมา มู่ชิงเกอพยุงนางเอาไว้แล้วพูดอีกครั้งว่า “ท่านแม่ วัตถุดิบยาที่ต้องใช้ในการชุบชีวิตท่านพ่อนั้น ข้าได้รวบรวม มาจนครบแล้ว อีกไม่นานท่านพ่อก็จะฟื้นขึ้นกลับมาอยู่ข้างกายของท่านอีกครั้ง” คำพูดของมู่ชิงเกอดังชัดเจนเข้าไปในหู ซางหลันรั่วอดไม่ไหวร้องไห้อย่างเจ็บปวดออกมา

นางรอมายี่สิบกว่าปี ในที่สุดก็รอมาจนถึงวันนี้แล้ว

นางไม่ได้ข่มกลั้นตนเองอีกต่อไป ไม่สนใจว่าจะเสียหน้าต่อหน้าบุตรสาว เพียงแค่อยากจะร้องไห้ดังๆ ร้องเอาความกดดันในใจออกมา

มู่ชิงเกอไม่ได้ปลอบนาง เพียงแต่ปล่อยให้นางร้องออกมา

ก่อนหน้านี้ นางอาจจะไม่เข้าใจความรู้สึกของซางหลันรั่ว แต่ตอนนี้…ซือมั่วไม่ได้ติดต่อตนเองเพียงแค่หนึ่งปีสั้นๆ เท่านั้น นางก็เริ่มคิดอย่างสับสนวุ่นวายกังวลไปหมดเสียแล้ว

ดังนั้น ตอนนี้นางจึงเริ่มเข้าใจความรู้สึกสูญเสียสามีของซางหลันรั่วแล้ว เข้าใจว่าการรอคอยอย่างมีความหวังในความสิ้นหวังนั้นเจ็บปวดเพียงใด แม่ลูกสองคนจึงยืนอยู่ในเรือนร้องไห้ไปเช่นนั้น

มู่เสวิ่ยอู่หลอมยุทธภัณฑ์กลับมา ก็มองเห็นฉากนี้เข้าพอดี

การร้องไห้อย่างหนักหน่วงของมารดาทำให้นางชะงักไป รีบวิ่งเข้าไปกอด

“ท่านแม่!” มู่เสวี่ยอู่ร้องออกไป แล้วก็มองมู่ชิงเกอ ยัง ม่ทันได้ดีใจที่เห็นนางกลับมาก็รีบเอ่ยว่า “ลูกพี่ ท่านแม่เป็นอะไรไปหรือ?”

มู่ชิงเกอเงยหน้ามองนาง “ข้าบอกท่านแม่ว่าข้าเก็บรวบรวมของที่จะช่วยชุบชีวิตท่านพ่อได้ครบแล้ว”

“อะไรนะ!” มู่เสวี่ยอู่ตกตะลึง ความรู้สึกของซางหลันรั่วนั้นนางเข้าใจดีมากกว่ามู่ชิงเกอ นับตั้งแต่รู้ความมาก็รู้แล้วว่าซางหลันรั่วนั้นรอคอยอะไรและพวกนางรอคอยอะไร

“ลูกพี่ ท่านพูดจริงหรือ!?” มู่เสวี่ยอู่ไม่สนใจจะปลอบมารดาแล้ว แต่กลับจับมือมู่ชิงเกอแน่น เอ่ยถามอย่างตื่นเต้น

“จริง” มู่ชิงเกอพยักหน้า

นางยืนยันอีกครั้งทำให้ความยินดีในใจซางหลันรั่วและมู่เสวี่ยอู่เพิ่มมากขึ้น

“แต่ว่า ข้ายังต้องเตรียมของบางอย่างก่อน” หลังจากทั้งสองคนคลายความตื่นเต้นลงหน่อยแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้พูดกับพวกนาง

“ยังต้องเตรียมอะไรหรือ?” ซางหลันรั่วดึงแขนของมู่ชิงเกอย่างตื่นเต้น

“ลูกพี่ ให้ท่านแม่ได้พบท่านพ่อเถอะ” มู่เสวี่ยอู่เสนอขึ้นมา

มู่ชิงเกอมองนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความหวังของซางหลันรั่วแล้วก็พยักหน้า

ถึงแม้ว่าสองปีมานี้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางสองแม่ลูกจะดีขึ้นมาหน่อย แต่เพื่อป้องกันไม่ให้ซางหลันรั่วเป็นเหมือนเมื่อก่อนที่เอาแต่กังวลเรื่องมู่เหลียนเฉิงอีก นางจึงเก็บร่างของมู่เหลียนเฉิงไว้ในช่องว่าง เมื่อกลับมาเมืองฝูซาแล้วค่อยให้ซางหลันรั่วได้พบเห็นให้หายคิดถึง ทั้งสามคนกลับมาถึงห้องมีห้องว่างห้องหนึ่งที่เหลือไว้ ให้แก่มู่เหลียนเฉิงโดยเฉพาะ

มู่ชิงเกอตวัดมือ มู่เหลียนเฉิงและนํ้าแข็งทมิฬก็ปรากฎอยู่ในห้องพร้อมกัน “เหลียนเฉิง!” ซางหลันรั่วร้องขึ้นเบาๆ คุกเข่าลงข้างกายของมู่เหลียนเฉิง ยกมือของเขาขึ้นมาวางไว้ที่แก้มของตนเอง ลูบเบาๆ

“ลูกพี่ ยังต้องการอะไรเพื่อชุบชีวิตท่านพ่ออีกงั้นหรือ?” มู่เสวียอู่เอ่ยถาม

มู่ชิงเกอมองนาง ถึงได้เข้าใจว่าสาเหตุที่เมื่อครู่นางตัดบทพูดของซางหลันรั่วแล้วเสนอให้นางได้เจอกับมู่เหลียนเฉิงก็เพราะไม่อยากให้ซางหลันรั่วกังวลใจ

ต้องการอะไรในการชุบชีวิตมู่เหลียนเฉิงอีกนั้น พวกนางที่เป็นลูกก็ต้องไปจัดเตรียม ซางหลันรั่วเพียงแค่รอมู่เหลียนเฉิงกลับมาก็พอแล้ว

มู่ชิงเกอรู้ถึงความคิดของนางจึงค่อยๆ ส่ายหน้า “ของที่ต้องการหานั้นข้าหาพบแล้ว เพียงแต่ยังคงต้องเตรียมพร้อมก่อน”

นางเตรียมจะไปยังเรือนที่นางเคยพัก แล้วหลอมเอาหยดเลือดออกมาจากซากร่างของแม่ทัพเผ่าเทพ

จากนั้นนางก็จะพยายามทะลวงระดับวิชาปรุงยา เร่งให้ไปถึงระดับอาจารย์ปรุงยาระดับมหาเทพ!

เพราะว่าไม่ได้มีเพียงแต่ยาที่จะใช้ชุบชีวิตของมู่เหลียนเฉิงที่ต้องใช้ยาระดับมหาเทพเท่านั้น แต่ยาที่จะใช้รักษาอาการบาดเจ็บของซือมั่วก็ต้องใช้ยาระดับมหา เทพเช่นกัน

“ลูกพี่ หากมีอะไรต้องการให้ข้าทำ ก็บอกข้าได้เลย ข้าเป็นน้องสาวของท่าน ไม่อาจให้ท่านแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียวได้” มู่เสวี่ยลู่มองมู่ชิงเกออย่างจริงจัง

มู่ชิงเกอหัวเราะ “หากว่าเจ้าอยากจะช่วยข้า ก็ให้ตั้งใจหลอมยุทธภัณฑ์ ช่วงนี้การค้าขายที่ลั่วซิงเฉิงกำลังไปได้ดี ยุทธภัณฑ์ของตระกูลซางเริ่มมีไม่พอต่อความต้อง การแล้ว”

มู่เสวี่ยอู่ยิ้มหวานออกมา พยักหน้า “ได้! ข้าจะตั้งใจหลอมยุทธภัณฑ์ เพื่อจะได้กลายเป็นอาจารย์หลอมยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพเช่นลูกพี่ให้ได้ในสักวัน”

ก่อนหน้านี้ปีกว่าๆ มู่เสวี่ยอู่ได้กลายเป็นอาจารย์หลอมศาสตราระดับเทวะแล้ว

“มีความตั้งใจดี!” มู่ชิงเกอชูนิ้วโป้งให้นาง

มู่เสวี่ยอู่เคยพูดว่า รอนางกลายเป็นอาจารย์หลอมศาสตราระดับเทวะแล้ว จะหลอมชุดเกราะระดับเทวะให้มู่ชิงเกอชิ้นหนึ่ง แต่ตอนนี้มู่ชิงเกอมีเกราะเปลวเพลิงแล้ว ดังนั้น หลังจากมู่เสวี่ยอู่หลอมเกราะแล้วมอบให้นาง นางจึงคืนให้ และตอนนี้ชุดเกราะก็ยังอยู่ในมือของมู่เสวี่ยอู่

มู่ชิงเกอมองซางหลันรั่ว เอ่ยกับมู่เสวี่ยอู่ว่า “อย่าให้ท่านแม่อยู่ที่นี่นานเกินไป ถึงร่างกายของนางจะค่อยๆ ดีขึ้นมาแล้ว แต่ก็อาจจะทรุดหนักขึ้นอีกได้ ตอนนี้ก็พอ สมควรแล้ว เจ้าพานางออกไปเถอะ ช่วงที่ข้าอยู่ในตระกูลซางก็จะวางท่านพ่อเอาไว้ที่นี่ นางสามารถมาได้ตลอด ไม่จำเป็นต้องร้อนใจตอนนี้”

มู่เสวี่ยอู่พยักหน้า จดจำคำพูดของมู่ชิงเกอไว้ในใจ เห็นมู่ชิงเกอหันกายจากไปแล้วนางก็รีบเอ่ยถามว่า “ลูกพี่จะไปไหน?”

เวลานี้เอง ซางหลันรั่วก็คลายจากอาการคิดถึงมู่เหลียนเฉิงบ้างแล้วจึงหันมามองมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยว่า “เกอเอ๋อร์ ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว เจ้าจะไปไหน?”

มู่ชิงเกอหันไปมองทั้งสองคนแล้วอธิบายกับพวกนางว่า “ข้าจะไปเรือนเล็กที่ข้าเคยอยู่เพื่อหลอมของบางอย่างออกมา ไม่รู้ว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ พวกท่านไม่ต้องรอข้าทานข้าว”

“ต้องหลอมอะไรก็ไม่ต้องเร่งรีบถึงขนาดนี้ วันนี้เจ้าเพิ่งจะมาถึง มาทานข้าวกับพวกเราสักมื้อเถอะ หลังจากพักคืนหนึ่งแล้ว พรุ่งนี้ค่อยไปทำธุระของเจ้า” ซางหลันรั่วยืนขึ้นมาแล้วเอ่ยกับบุตรสาวทั้งสองคนว่า “ข้าจะไปทำกับข้าวให้พวกเจ้า”

พูดแล้วก็ไม่สนใจว่ามู่ชิงเกอจะตกลงหรือไม่ นางออกไปจากห้องมุ่งหน้าไปยังห้องครัวในเรือน

มู่ชิงเกอมองตามนางไป แล้วก็หันไปเอ่ยกับมู่เสวี่ยอู่ว่า “ช่วงนี้อารมณ์ของท่านแม่ดีขึ้นมาก”

มู่เสวี่ยอู่พยักหน้า พูดอย่างมีความสุขว่า “ก่อนหน้านี้ ท่านแม่จมอยู่ในความทุกข์มาโดยตลอด ทั้งยังใช้ชีวิต อยู่ภายใต้ความหวังที่จะชุบชีวิตท่านพ่อ ไม่ได้สนใจ เรื่องอื่นเลย แต่สองปีมานี้นางเปลี่ยนไปมาก” พูดแล้วนางก็ยิ้มให้กับมู่ชิงเกอ “สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นความชอบของลูกพี่”

“ข้าหรือ?” มู่ชิงเกอส่ายหน้ายิ้มบางๆ นางก็ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก ตอนแรกนั้นนางต้องการหาความจริงเท่านั้น ไม่ได้คิดจะเกี่ยวข้องอะไรกับซางหลันรั่วและ ตระกูลซาง เพียงแต่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นมัน เหนือความคาดหมายของนาง ทำให้ต้องดำเนินมาจนถึงสถานการณ์ในตอนนี้

ช่วงอาหารเย็น ซางหลันรั่วให้มู่เสวี่ยอู่ไปเชิญซางซุ่นหวางมาด้วย ก่อนจะทานข้าวกันพร้อมทั้งครอบครัวอย่างมีความสุข

พักผ่อนคืนหนึ่งแล้ว วันที่สองมู่ชิงเกอก็กลับไปยังเรือนหลังเล็กที่นางเคยอยู่ นางเอาหม้อผลาญสวรรค์ออกมาเตรียมจะหลอมซากร่าง

มู่ชิงเกอใช้พญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดหลอมซากร่างของแม่ทัพเผ่าเทพ นางควบคุมไฟอย่างระมัดระวังไม่ให้ไหม้ซากร่าง เพราะหากไหม้ไปแล้วนางก็ไม่รู้จะไปร้องไห้เอากับใครได้อีก

ถึงแม้ว่านางจะจัดเตรียมซากร่างของเทพและมารมาสามร่าง แต่ก็ไม่สามารถสิ้นเปลืองได้!

การหลอมนี้ใช้เวลาถึงสองวันหนึ่งคืน

ในตอนที่หม้อผลาญสวรรค์มีหยดเลือดขนาดเท่ากำปั้นเด็กลอยออกมาแล้วนั้น มู่ชิงเกอถึงได้ถอนหายใจออกมา

นางหยิบขวดหยกที่เตรียมเอาไว้ออกมาเพื่อเก็บเลือดหยดนั้น

มู่ชิงเกอเก็บขวดที่บรรจุหยดเลือดของเทพแล้วถึงถอนหายใจออกมา “ร่างกายของเทพมารช่างไม่ธรรมดาจริงๆ ต้องใช้เวลาหลอมถึงสองวันหนึ่งคืนจึงสำเร็จได้ ต้องรู้ว่าหากเป็นคนธรรมดาเมื่อสัมผัสกับพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดเพียงนิดเดียวก็จะกลายเป็นขี้เถ้าแล้ว”

หลังจากเก็บขวดหยกและหม้อผลาญสวรรค์แล้ว มู่ชิงเกอก็ยืนขี้นมา บิดยืดร่างกาย มองออกไปภายในเรือน ชั่วขณะนั้นก็เกิดความรู้สึกว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม แต่คนได้เปลี่ยนไปแล้ว

สองปีก่อนที่นี่ยังเต็มไปด้วยความคึกคักร่าเริง

หยวนหยวนและเจียงหลียังอยู่

ภายในดวงตาสดใสของมู่ชิงเกอ มืดทึบลงมา ความรู้สึกดีที่หลอมซากร่างของแม่ทัพเทพได้หายไป มู่ชิงเกอจมอยู่กับความคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ส่ายหน้า ได้สติขึ้นมา นางพึมพำเอ่ยว่า “หยวนหยวนจะต้องฟื้นขึ้นมา และจะต้องหาเจียงหลีพบ!”

นางเดินออกมาจากห้อง และก็มาหยุดชะงักอย่างกะทันหันอยู่ด้านนอกเรือน

มู่ชิงเกอมองลงไปยังกระดิ่งที่ห้อยอยู่ที่เอวนางรอ คอยอย่างอดทนมาตั้งนานแล้วแต่มันก็ยังไม่ส่งเสียงออกมาเสียที ความรู้สึกไม่สงบในใจเพิ่มพูนขึ้นมาอีกครั้ง มู่ชิงเกอไม่ลังเลอีก หยิบยันต์ส่งสารที่ซือมั่วทิ้งเอาไว้ให้ออกมา

สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วนางก็เอ่ยกับยันต์ส่งสารว่า

“เจ้าไปไหนกันแน่? ข้าคิดถึงเจ้าแล้ว รีบตอบกลับด่วน! มิเช่นนั้น อย่าโทษว่าข้าตามไล่ล่าเจ้าไปถึงที่”

หลังจากพูดอย่างอหังการจบแล้ว ยันต์ส่งสารในมือของ มู่ชิงเกอถึงได้หายไปในทันที

หลังจากจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้ถอนหายใจ

แต่ว่าความรู้สึกหวาดกลัวก็ตามมาติดๆ นางกลัวว่าตนเองต้องรอคอยไปอีกแสนนานซือมั่วก็ยังไม่ตอบกลับมา ถึงตอนนั้นนางจะไปไล่ล่าตามหาเขาถึงที่ไหนกัน?

แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารงั้นหรือ’?

สำหรับนางในตอนนี้แล้วยังเป็นเส้นทางอีกยาวไกล มู่ชิงเกอเงยหน้ามองท้องฟ้า นางไม่รู้ว่าแผ่นดินที่ลึกลับนั่นอยู่ที่ไหนกันแน่ สามารถเดินไปถึงไหม

แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ถ้าหากว่าซือมั่วหายตัวไปเช่นนี้ ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินหานางก็จะตามหาเขาออกมาให้ได้!

จากนั้น ก็ค่อยทุบตีให้หนัก!

เดินออกจากเรือนหลังเล็กแล้ว มู่ชิงเกอก็จัดการกับเรื่องไร้สาระของตัวเอง

‘ต้องหาเวลาไปพื้นที่ของตระกูลสักรอบ พบบรรดาผู้อาวุโสไท่ซ่างเหล่านั้น ดูซิว่าจะได้รับข่าวสารจากพวกเขามากแค่ไหน ทั้งยังต้องให้ท่านตาสังเกตสถานการณ์ของทางตำหนักเทพให้อีกว่าตระกูลซางได้รับคำเชิญให้เข้าไปแย่งสิทธิ์แห่งเทพในสุสานเทพหรือไม่’

มู่ชิงเกอย้อนกลับไปยังเรือนที่ซางหลันรั่วพักอีกครั้ง เพิ่งจะเข้าไปก็ได้ยินเสียงซางซุ่นหวางดังอยู่ข้างใน

“ไร้เหตุผลสิ้นดี! ตระกูลอิ๋งรังแกกันเกินไปแล้ว คิดจะให้ข้ามอบเสวี่ยอู่ให้แต่งงานกับเจ้าใบ้คนนั้นน่ะหรือ? ฝันไปเถอะ!”

เกี่ยวกับตระกูลอิ๋ง?

เจ้าใบ้…

มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว รื้อฟื้นความทรงจำขึ้นมา เจ้าใบ้ที่ซางซุ่นหวางพูดถึงน่าจะเป็นอิ๋งชวนที่ถูกนางตัดลิ้นไปคนนั้น

ถ้าหากว่าเป็นอิ๋งชวนจริงๆ แล้ว…

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วแน่นขึ้น เร่งเดินเข้าไปในห้อง ‘เจ้าบ้านี่ยังไม่สำนึกแล้วยังจะวิ่งมาหาเรื่องอีกงั้นหรือ? อิ๋งเจ๋อล่ะ? ไม่ได้ดูแลให้ดีๆ หรือไร?’

มู่ชิงเกอเข้าไปในห้องพร้อมความสงสัย

เพียงแค่เข้าไป นางก็มองเห็นซางซุ่นหวางกำลังโมโหอยู่ ม่เสวิ่ยอู่และซางหลันรั่วก็มีสีหน้าเย็นชา

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” มู่ชิงเกอเอ่ยปากถามออกไป

ซางซุ่นหวางมองมู่ชิงเกอ เอ่ยกับนางว่า “เกอเอ๋อร์ เจ้ามาก็ดีแล้ว คุณชายรองตระกูลอิ๋งมาสู่ขอถึงตระกูลซาง พูดว่าจะมาสู่ขอเสวี่ยอู่”

‘เป็นเจ้าอิ๋งชวนมารนหาที่ตายจริงๆ!’ ในใจของมู่ชิงเกอรู้สึกหนักอึ้งขึ้น เดินเข้าไปหาซางซุ่นหวางแล้วเอ่ยถามว่า “เรื่องเกิดขึ้นเมื่อไหร่?”

“เมื่อวานนี้” ซางซุ่นหวางพูดอย่างโมโหว่า “เขามาในครั้งนี้ยังตั้งใจนำผู้อาวุโสของตระกูลอิ๋งมาด้วย ถือว่าไว้หน้า แต่ท่าทางนั้นไม่น่าพิสมัยเลย เขายังพูดอีกว่าที่เขาถูกตัดลิ้นนั้นเป็นเพราะเสวี่ยอู่ ดังนั้นให้เสวี่ยอู่แต่งงานเข้าตระกูลอิ๋งจึงเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววเยียบเย็น “เหตุใดเขาจึงไม่คิดบ้างว่าลิ้นของตนเองถูกตัดได้อย่างไร?”

ซางซุ่นหวางสบถออกมา “ข้าพูดแล้ว เขากลับพูดว่าเป็นเพราะเขาชอบมู่เสวี่ยอู่ถึงได้ร้อนใจทำเรื่องเช่นนั้นลงไป แต่ถึงอย่างไรเขาก็ถูกตัดลิ้นไปแล้ว ทำให้ตอนนี้ไม่สามารถพูดได้ เขาไม่โทษเสวี่ยอู่ แต่ยังคงปักใจอยู่กับเสวี่ยอู่จึงมาสู่ขอ ข้าได้ไล่เขาออกไปแล้ว แต่เขากลับบอกว่าพรุ่งนี้จะมาใหม่ หากว่าพวกเราไม่ยอมรับการสู่ขอในครั้งนี้ก็คือทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับตระกูลอิ๋ง ทั้งยังเอาเรื่องการแต่งงานของมารดาเจ้ากับตระกูลอิ๋งในครั้งนั้นออกมาพูดอีกว่าตระกูลซางของพวกเราติดค้างตระกูลอิ๋งของพวกเขา ช่างหน้าไม่อายจริงๆ!”

ซางซุ่นหวางยิ่งพูดยิ่งโมโห ในตอนนั้นเพื่อที่จะแก้ไขเรื่องการแต่งงานของตระกูลอิ๋ง ตระกูลซางได้สูญเสียไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ตระกูลอิ๋งนั้นนอกจากเสียหน้าแล้วก็ไม่ได้สูญเสียอะไรอีก บัญชีในครั้งนั้นก็ได้จบไปนานแล้ว

ตอนนี้ อิ๋งชวนกลับยังเอาเรื่องเก่ามาพูดใหม่อีก ทั้งยังใช้ตระกูลอิ๋งมากดดันเขา เห็นได้ชัดว่าคิดจะบีบบังคับตระกูลซาง

“ตระกูลอิ๋ง? เขาสามารถเป็นตัวแทนตระกูลอิ๋งได้งั้นหรือ?” มู่ชิงเกอสบถออกมาอย่างเย็นชา

ถึงแม้ว่านางจะไม่รู้ว่าอิ๋งเจ๋อรู้เรื่องนี้หรือไม่ แต่เรื่องที่สามารถแน่ใจได้ก็คือ เรื่องการมาสู่ขอที่ตระกูลซางในครั้งนี้ไม่ได้ผ่านการเห็นชอบจากอิ๋งเจ๋ออย่างแน่นอน แต่เป็นการลอบดำเนินการ

อีกอย่าง อิ๋งเจ๋อก็คงจะไม่ไร้สมองถึงกับยอมให้น้องชายที่ไร้ประโยชน์ของเขาคนนี้มาก่อเรื่องได้!

“ข้ายอมตายดีกว่าต้องแต่งกับเขา!” มู่เสวี่ยอู่กัดฟัน

พูดออกไปอย่างแค้นเคือง ซางหลันรั่วได้ยินประโยคนี้ของนางแล้วก็กุมมือของนาง แน่นเพื่อปลอบโยน “เสวี่ยอู่ เจ้าวางใจเถอะ แม่จะไม่ยอมให้เจ้าแต่งงานกับคนที่เจ้าไม่ได้ชอบเป็นอันขาด”

มู่ชิงเกอหัวเราะเยาะขึ้นมา “ข้าว่าเขาไม่ได้มาสู่ขอ แต่มารนหาที่ตายมากกว่า”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!