ตอนที่ 402
อันคับที่หนึ่งของทำเนียบชิงอิง เปลี่ยนคนแล้ว!
“สารเลว! คุกเข่าขอโทษเดี๋ยวนี้!” เสียงตะคอกดังเข้ามาขัดจังหวะไอสังหารที่กำลังเพิ่มขึ้นในดวงตาของมู่ชิงเกอ
นางรู้จักเจ้าของเสียงนี้ดีและเพิ่งแยกจากกันได้ไม่นาน
‘อิ๋งเจ๋อไล่ตามมาทันแล้วงั้นหรือ?’ พลังจิตที่พันรอบปลอกนิ้วมือข้างขวาค่อยๆ กระจายไป
อิ๋งชวนรนหาที่ตายนั้นเป็นเรื่องของอิ๋งชวน นางจะไม่เอาเรื่องนี้ไปโมโหใส่อิ๋ง เจ๋อ
ไอสังสารบนปลอกนิ้วมือของนางเพิ่งจะกระจายหายไป อิ๋งเจ๋อก็ตกจากฟ้าลงมาตรงหน้าของอิ๋งชวน เขาหันกายยกมือขึ้นตบอิ๋งชวนจนเขากลิ้งไปกับพื้น “ประมุขน้อย!” ผู้อาวุโสตระกูลอิ๋งมองเห็นอิ๋งเจ๋อ ปรากฎตัวแล้วก็รู้สึกยินดีจนแทบจะร้องไห้ออกมา
อิ๋งเจ๋อใช้สีหน้าเย็นชาและดวงตาที่ดุดันมองไปยังอิ๋งชวน ที่เอามือกุมหน้าของตนเองอยู่บนพื้น ยากที่จะระงับความโกรธเกรี้ยวในใจลงได้
เขาเพียงแค่ออกจากบ้านไปไม่กี่เดือน น้องชายของเขาก็กล้าสร้างเรื่องขึ้นลับหลังเขาแล้ว
อิ๋งเจ๋อกำมือแน่น หากว่าคนตรงหน้าไม่ใช่น้องแท้ๆ ของเขา เขาคงจะชกตายไปในหมัดเดียวแล้ว
“คุกเข่าลง” อิ๋งเจ๋อพูดอย่างเย็นชา
ร่างกายของอิ๋งชวนแข็งทื่อ ความแค้นในดวงตาที่ยังไม่ทันได้จางหายไปลุกโชนขึ้นมาอีกอย่างไม่ยินยอม
แต่ว่าเขาไม่กล้าต่อต้านอิ๋งเจ๋อ
เพราะในใจของเขารู้ดีว่าถึงเขาจะสามารถเอาตระกูลอิ๋งมาข่มขู่มู่ชิงเกอ ข่มขู่ตระกูลซางได้ แต่ต่อหน้าของอิ๋งเจ๋อนั้นเขากลับไม่มีความหมายอะไรทั้งสิ้น!
อิ๋งชวนกดความโกรธแค้นในใจเอาไว้ ดวงตาของเขาเผยร่องรอยของความอดสู แต่ก็ยังคุกเข่าลงกับพื้นภายใต้สายตาที่จ้องมองมาของอิ๋งเจ๋อ
เขาก้มหัวไม่ยอมมองเห็นความเย้ยหยันจากรอบด้าน และก็ไม่ยอมเผชิญหน้ากับมู่ชิงเกอ
เขาสามารถรับรองได้เลยว่า ตอนนี้มู่ชิงเกอจะต้องหัวเราะเยาะเขาอยู่!
เห็นเขาคุกเข่าดีแล้ว อิ๋งเจ๋อค่อยหันไปหามู่ชิงเกอ เมื่อสบสายตาเข้ากับนัยน์ตาขี้เล่นของนางแล้ว เขาก็ถ่ายทอดเสียงออกไปว่า “ไม่อาจฆ่าอิ๋งชวนให้ตายได้ หากว่าเจ้าฆ่าเขาไปจริงๆ จะทำให้ตระกูลอิ๋งและตระกูลซาง รวมถึงลั่วซิงเฉิงตกเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่อึดอัดต่อกัน”
“เป็นเขารนหาที่ตายเอง” มู่ชิงเกอยกมุมปากยิ้มเยาะเย้ยขึ้น ถ่ายทอดเสียงไปให้อิ๋งเจ๋อ
ดวงตาของอิ๋งเจ๋อมืดทึบลง ถ่ายทอดเสียงไปว่า “เมื่อข้ากลับถึงบ้านและได้ยินถึงเรื่องนี้ก็รีบมาในทันที”
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วสูงขึ้น “จากนั้นเล่า?”
รอยยิ้มของนาง เปลี่ยนเป็นขี้เล่นขึ้น นางอยากจะรู้ว่าอิ๋งเจ๋อจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร
อิ๋งเจ๋อขมวดคิ้วแล้วรับรองกับมู่ชิงเกอว่า “หลังจากพาอิ๋งชวนกลับไปแล้ว ข้าก็จะกังขังเขาเอาไว้ในตระกูล ไม่ให้ออกมาก่อเรื่องข้างนอกอีก และก็จะไม่ให้เขาออกมาล่วงเกินเจ้า ส่วนตระกูลอิ๋งก็จะออกหน้าชดใช้ความผิดให้แก่ตระกูลซาง”
สถานะของตระกูลอิ๋งภายในภาคตะวันตกนั้นสูงกว่าตระกูลซางมาก ตอนนี้เงื่อนไขที่อิ๋งเจ๋อเสนอมาก็ถือเป็นการยอมถอยให้มากแล้ว ทั้งยังยอมเสียหน้าของตระกูลอีก
สามารถพูดได้ว่าถ้าหากว่าเรื่องในวันนี้อีกฝ่ายไม่ใช่มู่ชิงเกอ อิ๋งเจ๋อก็จะไม่ยอมถอยให้เช่นนี้อย่างเด็ดขาด
อย่างมากก็แค่จะพาอิ๋งชวนกลับไปเท่านั้น
แต่สำหรับมู่ชิงเกอแล้ว ทั้งสาธารณะและส่วนตัว อิ๋งเจ๋อก็ไม่คิดจะทำอะไรให้มันเลวร้าย
ทางสาธารณะนั้น มู่ชิงเกอเป็นอาจารย์หลอมศาสตราระดับมหาเทพ ทั้งยังเป็นอาจารย์ปรุงยาระดับเทวะ ตอนนี้ก็ยังมีระดับพลังที่สูงส่งเหนือรุ่นราวคราวเดียวกันอีก ถึงแม้ตระกูลบรรพกาลที่อยู่เบื้องหลังจะไม่ได้ลึกลํ้าอะไรมากมาย แต่อย่าลืมว่านางยังมีเขี้ยวมังกรที่เป็นกองกำลังหลิวเค่อระดับนภาที่ครอบครองหนึ่งในสี่ของโลกแห่งหลิวเค่ออยู่ในมือ หากว่าทำให้ความสัมพันธ์เลวร้ายขี้นมาแล้วก็ไม่ได้ทำให้เกิดเรื่องดีอะไรแก่ตระกูลอิ๋งเลย และอาจจะทำให้ตระกูลอื่นๆ สร้างระยะห่างกับตระกูลอิ๋ง ฉวยโอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ทำให้มู่ชิงเกอยืนอยู่ตรงกันข้ามกับตระกูลอิ๋ง
ส่วนในทางส่วนตัว ทั้งสองคนไม่ต่อยตีไม่รู้จักกัน ต่อมาก็ยังได้ร่วมเป็นร่วมตายกันมาในสนามรบโบราณอีก ทำให้เกิดความเข้าใจกันทั้งยังมีนัดกันไปสุสานเทพในอีกห้าปีต่อจากนี้อีก เรื่องเหล่านี้ล้วนแต่ทำให้อิ๋งเจ๋อไม่คิดอยากจะเป็นศัตรูกับมู่ชิงเกอ
ดังนั้นเขาจึงเสนอความจริงใจออกไปมากที่สุด ด้วยหวังจะผ่อนความโกรธของมู่ชิงเกอ หวังจะเรียกคืนเรื่องนี้ให้ได้
เขามองมู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอก็มองเขา ความคิดของอิ๋งเจ๋อนั้นมู่ชิงเกอเดาออก
ในใจของนางนั้น อิ๋งชวนเป็นเพียงแค่ตัวตลกตัวหนึ่ง ไม่ได้มีพลังคุกคามใดๆ เลย เพียงแต่บางครั้งเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ มันก็น่ารังเกียจและทำให้รู้สึกรำคาญ
“หากว่าเขายังไม่ยอมเล่า? ความแค้นในใจของเขาไม่ได้ถูกลบออกไปได้ง่ายๆ นะ” มู่ชิงเกอถ่ายทอดเสียงไปพูดกับอิ๋งเจ๋อ
อิ๋งเจ๋อไม่ได้ลังเล รับรองกับนางว่า “หากว่าเขายังไม่ยอมหยุด ข้าจะฆ่าเขาเองกับมือ”
คำรับรองนี้ทำให้มู่ชิงเกอหวั่นไหวเล็กน้อย คำพูดแบบเดียวกัน หานฉายไฉ่พูดออกมา หรือว่าจีเหยาฮั่วพูดออกมา มู่ชิงเกอเชื่อเพียงแค่ห้าส่วนเท่านั้น แต่เมื่ออิ๋ง เจ๋อเป็นคนพูด นางกลับเชื่อถึงเจ็ดส่วน ส่วนที่เหลืออีกสามส่วนก็ถือว่าเป็นการไว้หน้าแก่เขาแล้ว
สิ่งนี้ไม่เกี่ยวกับความเชื่อใจ แต่เป็นเพราะนิสัยที่แตกต่างของพวกเขาทั้งสาม
นิสัยของหานฉายไฉ่นั้นเจ้าเล่ห์เพทุบายเกินไป แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่รับปากแล้วก็ตาม เมื่อถึงช่วงคับขันก็จะต้องคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วถึงเลือกดำเนินการตามวิธีที่เขาจะได้ประโยชน์มากที่สุด ส่วนจีเหยาฮั่วนั้นยึดถือมิตรภาพเกินไป หากจะให้เขาลงมือฆ่าพี่น้องของตนเองกับมือ เขาทำไม่ได้อย่างแน่นอน มีเพียงแค่อิ๋งเจ๋อเท่านั้นที่ยึดถือตามคำพูดมาโดยตลอด มีเหตุผลและหลักการของตนเอง ถึงแม้ว่าอิ๋งชวนจะเป็นน้องชายของเขา แต่หากยังไม่เปลี่ยนนิสัย อิ๋งเจ๋อก็จะทำตามที่รับปากเอาไว้ในวันนี้
“ข้ายังต้องการให้ตระกูลอิ๋งมอบของที่ตระกูลซางเคยชดใช้ในปีนั้นคืนมา’’ นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาว วาบ ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขเล็กน้อย
ตอนแรกเป็นเพราะเรื่องของซางหลันรั่ว ทำให้ตระกูลซางต้องชดใช้ให้แก่ตระกูลอิ๋งไปเป็นจำนวนมาก สิ่งนี้เป็นคำครหานินทาของตระกูลมาโดยตลอด หากว่าครั้งนี้สามารถฉวยโอกาสเอากลับคืนมาได้ ไม่พูดถึงเรื่องอื่น ก็ถือว่าได้กู้หน้าของตระกูลซางกลับคืนมาได้แล้ว
“ได้” อิ๋งเจ๋อตกลง
ทั้งสองคนถ่ายทอดเสียงตกลงกันกินเวลาเพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น
ภายในสายตาของคนอื่น อิ๋งเจ๋อและมู่ชิงเกอเพียงแค่จ้องตากันครู่หนึ่งเท่านั้น
“กลิ้งมา!” อิ๋งเจ๋อพูดไปยังอิ๋งชวนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น
อิ๋งชวนมองอิ๋งเจ๋อ อ้าปากส่งเสียงง่ายๆ ออกมา
บ่าวน้อยคนนั้นพยายามรวมรวมความกล้าแปลออกมา “ประมุขน้อย คุณชายรองพูดว่า เขาต่างหากที่เป็นน้องชายของท่าน เหตุใดท่านถึงได้ช่วยคนนอกรังแกเขา? คนๆ นั้นตัดลิ้นของคุณชายรอง ท่านไม่ช่วยเขาแก้แค้นก็ถือว่าแล้วไปเถอะ เหตุใดตอนนี้ยังมาแทรกแซงเรื่องของเขาอีก นี่เพื่ออะไรกัน?”
อิ๋งชวนมองอิ๋งเจ๋อแล้วพยายามออกแรงพยักหน้า
ดวงตาอันแข็งกร้าวของอิ๋งเจ๋อหรี่เล็กลง เอ่ยกับอิ๋งชวนว่า “หากว่าเจ้าอยากตายมากก็ไม่จำเป็นต้องมาลำบากคนอื่น ข้าสามารถลงมือให้เองได้”
ประโยคนี้ทำให้นัยน์ตาของอิ๋งชวนหดตัวลง ตกตะลึง
อิ๋งเจ๋อไม่ได้อธิบายมาก มีเรื่องบางเรื่องหลังจากเขาพาอิ๋งชวนกลับไปแล้วค่อยพูดกับเขาให้ชัดเจน
แต่ทว่า อิงตามนิสัยที่ไม่ยอมเรียนรู้อะไรเลยของอิ๋งชวนแล้ว ถึงพูดไปก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี นับจากนี้ขังเขาเอาไว้ในตระกูลก็ถือว่าดีแล้ว เขาจะได้ไม่เที่ยวออกมาหาเรื่อง คนที่ไม่สมควรล่วงเกินอีก!
เขาแค้นหรือไม่แค้น เข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ไม่สำคัญ เพราะถึงอย่างไรเขาก็ต้องอยู่แต่ในตระกูลอิ๋งไปตลอดชีวิต ออกไปไหนไม่ได้อีกอยู่ดี “กลิ้งมา โขกหัวขอโทษ” อิ๋งเจ๋อพูดขึ้นอีกครั้ง
อิ๋งชวนคิดจะคัดค้าน แต่ต่อหน้าของอิ๋งเจ๋อเขากลับไม่มีแรงจะต่อต้านเลย
ต่อหน้าของสายตาคนรอบด้าน เขาค่อยๆ คลานเข่ามาด้านหน้า เมื่อมาถึงด้านข้างของอิ๋งเจ๋อแล้วก็เงยหน้ามองมู่ชิงเกอด้วยดวงตาที่แดงฉาน
นัยน์ตาของเขาฉายแววไม่ยินยอมและอดสูใจ มู่ชิงเกอมองเห็นแล้ว อิ๋งเจ๋อก็มองเห็นแล้วเช่นกัน แต่มันจะเป็นอะไรไป?
แม้ว่ามู่ชิงเกอจะยืนอยู่ที่นี่ รออิ๋งชวนมาล้างแค้น ก็เกรงว่าเขาคงจะฆ่านางไม่ได้ กลับจะทำให้ตนเองลำบากเปล่าๆ
คนหนึ่งที่แม้แต่ระดับสีเทาชั้นสองก็ยังไม่ถึงจะมาหาเรื่องแก้แค้นกับคนระดับสีทองงั้นหรือ? ตายไปแล้วก็คงไม่มีใครสงสาร
“โขกหัว” อิ๋งเจ๋อกดดันอิ๋งชวน
ผู้อาวุโสตระกูลอิ๋งก็ฉลาด ยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้าง ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว
อิ๋งชวนรู้สึกเหมือนมีหินหนักกดบนไหล่ของตน สองไหล่ ตกลงไป หัวก็โขกลงไปบนพื้นตาม
ตึง!
เสียงโขกหัวดังมากและก็ดึงดูดให้คนรอบด้านหัวเราะขึ้นมา
สีหน้าของอิ๋งชวนบิดเบี้ยวเป็นอย่างมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เขาแค้น แต่ทุกคนกลับไม่สนใจความแค้นของเขา แม้แต่ศัตรูของเขาก็ไม่ได้ใส่ใจเขาเลย!
ยังมีอะไรที่จะแย่ไปกว่านี้อีก?
ในตอนที่เสียงโขกหัวครั้งที่สองดังขึ้นนั้น ในใจของอิ๋งชวนไม่ได้คิดจะให้มู่ชิงเกอรู้สึกทุกข์ทรมานอีกต่อไป แต่กลับคิดว่าจะทำอย่างไรให้ตนเองตายๆ ไปซะ ดีกว่าจะต้องมาขายหน้าอยู่ที่นี่
แต่เขาก็ไม่มีความกล้าที่จะฆ่าตนเอง
เขากลัวตาย หากให้เขาตายเขายอมที่จะมีชีวิตอยู่อย่างไร้ค่าจะดีกว่า
ดังนั้นเสียงโขกหัวครั้งที่สามถึงได้ดังขึ้นมา
โขกหัวสามครั้งเพื่อขอโทษมู่ชิงเกอและตระกูลซาง
อิ๋งเจ๋อพูดขึ้นอีกครั้งว่า “ครั้งนี้เป็นความผิดของอิ๋งชวนที่มุทะลุล่วงเกินเจ้าเมืองมู่ ตระกูลซางและคุณหนูเสวี่ยอู่ โปรดอภัยด้วย อีกไม่กี่วัน ตระกูลอิ๋งของข้าจะเอาของขวัญมาขอโทษถึงตระกูล เพื่อชดใช้เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้”
“ประมุขน้อยอิ๋งเกรงใจไปแล้ว” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้น
อิ๋งเจ๋อพยักหน้าเบาๆ สั่งการคนของตระกูลอิ๋งว่า “พาคุณชายรองกลับไป ดูแลให้ดี ไม่มีคำอนุญาตจากข้า ไม่ให้ออกไปไหนทั้งนั้น”
“ขอรับ ประมุขน้อย!”
ต่อหน้าอิ๋งเจ๋อ ไม่มีคนของตระกูลอิ๋งคนไหนลังเลหรือขัดขืนคำสั่งของเขาเลย
อิ๋งชวนยังคงนั่งอยู่บนพื้น บนหน้าผากยังมีฝุ่นติดอยู่
ความแค้นทั้งหมดของเขาถูกการโขกหัวทั้งสามครั้งทำให้แตกเป็นเสี่ยงๆ เขารู้แล้วว่าเขาหมดหวังที่จะแก้แค้นไปชั่วชีวิต เพราะว่าตระกูลที่เขาพึ่งพิงไม่ช่วยเขาอีกต่อไปแล้ว
เขาถูกคนของตระกูลอิ๋งหามออกไป ก่อนที่อิ๋งเจ๋อจะไปนั้น ก็เดินออกมาแล้วพูดเบาๆ กับมู่ชิงเกอว่า “หากว่ามีเวลาก็ช่วยข้าสักเรื่อง”
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้นรอคำพูดต่อไปของเขา
“ยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะที่ข้าเอาออกมาด้วยชิ้นนั้นสามารถเพิ่มระดับให้เป็นชั้นมหาเทพได้ไหม?” อิ๋งเจ๋อเอ่ยถาม
ชั่วขณะนั้นมู่ชิงเกอก็เข้าใจขึ้นมาอิ๋งเจ๋อให้หน้าแก่นางและตระกูลซางในเมืองฝูซามากพอแล้ว แต่หลังจากกลับไปยังต้องไปตกลงพูดคุยกับตระกูล พูดคุยกับ บิดาของตนเอง เพื่อบรรเทาความสัมพันธ์ระหว่างสามฝ่ายให้ผ่อนคลายลง
ดังนั้นเขาจึงต้องการให้มู่ชิงเกอให้หน้าเขาบ้าง
หากว่าเขากลับไปแล้วบอกว่ามู่ชิงเกอช่วยเขาหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพชิ้นหนึ่งแล้ว ไม่ว่าตระกูลอิ๋งจะเสียหน้าขนาดไหน ในใจของพวกเขาก็จะรู้สึกไม่คับแค้น
“เมื่อหาจิตวิญญาณแห่งอาวุธที่เหมาะสมพบแล้วก็มาหาข้าได้ตลอดเวลา” มู่ชิงเกอให้คำสัญญาของตนเองออกไป
นางได้ช่วยจีเหยาฮั่วหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพออกมาชิ้นหนึ่งแล้ว ถึงแม้จะไม่มีเรื่องในวันนี้ หากอิ๋งเจ๋อขอออกมานางก็ไม่ปฏิเสธอยู่ดี
อิ๋งเจ๋อพยักหน้า หันกายจากไป
อิ๋งชวนสร้างเรื่องวุ่นวายและสุดท้ายก็จบลงที่อิ๋งเจ๋อออกหน้าจัดการให้
“อืม จัดการเช่นนี้ได้นั้นดีมากแล้ว หากว่าต้องทำให้ตระกูลซางและตระกูลอิ๋งเกิดความขัดแย้งกันเพื่อเจ้าคนไร้ประโยชน์เพียงคนเดียวก็จะไม่คุ้มค่าสักเท่าไหร่” ซางซุ่นหวางพอใจกับบทสรุปในครั้งนี้มาก
มู่ชิงเกอยืนขึ้นมา เอ่ยกับเขาว่า ”ข้าจะไปพื่นที่ตระกูล พบบรรดาผู้อาวุโสไท่ซ่าง”
“ข้าจะไปกับเจ้าด้วย” ซางซุ่นหวางยืนขึ้นพร้อมเอ่ยกับมู่ชิงเกอ
ทั้งสองคนเดินทางไปยังพื้นที่ตระกูลด้วยกัน เข้าไปในพื้นที่เก็บตัวของบรรดาผู้อาวุโสไท่ซ่าง
ในความเป็นจริงแล้ว สำหรับสิทธิ์แห่งเทพและสุสานเทพ หรือเรื่องระดับข้ามผ่าน มู่ชิงเกอได้รู้จากซีเซียนเสวี่ยมาพอสมควรแล้ว
ตอนนี้ที่มาพบบรรดาผู้อาวุโสไท่ซ่างก็เพื่อจะดูว่าจะได้รับข่าวสารอะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่
“ถึงกับเข้าสู่ระดับสีทองชั้นหนึ่งได้เร็วขนาดนี้เชียว!
อัจฉริยะจริงๆ” เมื่อบรรดาผู้อาวุโสไท่ซ่างมองเห็นมู่ชิงเกอแล้ว ดวงตาก็เปล่งประกาย พูดถึงระดับพลังของนางออกมา
ซางซุ่นหวางเองก็ตกตะลึง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าหลานสาวของตนเองจะพัฒนาจากระดับสีเงินชั้นสามเข้าสู่ระดับสีทองชั้นหนึ่งภายในเวลาเพียงแค่สองปีได้
“ข้ายังคิดว่า…” ซางซุ่นหวางส่ายหน้ายิ้มอย่างขมขื่น แต่เดิมเขายังคิดจะใช้ข่าวสารหนึ่งมากระตุ้นมู่ชิงเกอให้นางเร่งรีบฝึกฝนพัฒนาระดับพลัง ตอนนี้ดูแล้วคงไม่จำเป็นแล้ว
“ในเมื่อเจ้าเข้าสู่ระดับสีทองแล้ว พวกเราก็จะทำตามที่เคยพูดเอาไว้ บอกเรื่องทั้งหมดที่เจ้าอยากรู้ให้เจ้าฟัง”
มู่ชิงเกอนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าของบรรดาผู้อาวุโสไท่ซ่าง นั่งฟังพวกเขาพูดเงียบๆ
นางไม่ได้ตัดบทและก็ไม่คิดจะพูดสิ่งที่ตนเองรู้ออกไป
รอจนบรรดาผู้อาวุโสไท่ซ่างพูดจบแล้ว นางก็เปรียบเทียบในใจ ดูเหมือนจะไม่ได้มีข่าวสารอะไรใหม่เลย
“ก่อนหน้านี้ ข้าได้รับข่าวจากตำหนักเทพว่าหลังจากนี้อีกห้าปี สุสานเทพจะเปิดออก” ทันใดนั้นซางซุ่นหวางก็พูดออกมา
มู่ชิงเกอเงยหน้ามองเขา ในใจลอบเอ่ยว่า ‘เซียนเสวี่ยพูดไม่ผิดจริงๆ ตำหนักเทพได้กระจายข่าวนี้ออกมาแล้ว’
“อะไรนะ? ในที่สุดสุสานเทพก็จะเปิดขึ้นแล้ว!” บรรดาผู้อาวุโสไท่ซ่างล้วนแต่ตื่นเต้นขึ้นมา
บรรดาผู้อาวุโสไท่ซ่างพูดกับมู่ชิงเกอว่า “ยังมีเวลาอีกห้าปี ชิงเกอเจ้าอย่าทำให้พวกเราผิดหวังล่ะ”
สำหรับเรื่องนี้ มู่ชิงเกอเพียงแต่พยักหน้าเล็กน้อย
ในวันที่สิบที่มู่ชิงเกออยู่ในตระกูลซาง อันดับบนทำเนียบชิงอิงที่เปลี่ยนทุกๆ สามปีก็ปรับเปลี่ยนใหม่อีกครั้ง
ภายในเมืองหลักของทั้งห้าภาค มีเสียงที่ดูเก่าแก่และเข้มงวดดังขึ้นพร้อมกัน
“อันดับหนึ่งของทำเนียบชิงอิง ลั่วซิงเฉิงแห่งภาคตะวันตก มู่ชิงเกอ!”