Skip to content

พลิกปฐพี 403

ตอนที่ 403

อันดับหนึ่งบนทำเนียบชิงอิงเจ้าเมืองมู่

เมืองซีฝูแห่งภาคเหนือ

ที่นี่เป็นสถานที่ที่จำเป็นต้องผ่าน หากต้องการเดินทางจากภาคเหนือไปภาคตะวันออก เพราะว่าที่นี่มีประตูมิติไปภาคตะวันออก

ภายในโรงนํ้าชาแห่งหนึ่งของเมืองซีฝูดูคึกคักผิดปกติ บนเวทีมีการแสดง ด้านล่างมีบรรดาแขกดื่มนํ้าชาพูดคุยกัน ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากที่สุดก็เป็นเรื่องอันดับบนทำเนียบชิงอิง

“ต้องยอมรับเลยว่าอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบชิงอิง เจ้าเมืองมู่ผู้นี้เป็นอัจฉริยะจริงๆ! หลังจากที่มีชื่อเสียงจากการต่อสู้ครั้งแรก เพียงแค่สามปีสั้นๆ ก็กระโดดขึ้นมา เป็นอันดับหนึ่งบนทำเนียบชิงอิงเสียแล้ว ทำให้คนคิดไม่ถึงเลยจริงๆ!” มีหลิวเค่อวัยกลางคนๆ หนึ่งพูดคุยอย่างออกรสออกชาติ จนกระโดดขึ้นมาบนเวที ไล่นักแสดงลงจากเวทีแล้วพูดขึ้นมา

แต่ไม่มีใครหยุดพฤติกรรมอันบ้าระหํ่าของเขา เพราะหัวข้อที่เขาพูดถึงนั้นน่าสนใจมากกว่าละครที่เล่นบนเวทีเสียอีก

ทันใดนั้นก็มีคนเห็นด้วยกับเขา ลุกขึ้นยืนแล้วตะโกนว่า “ได้ยินมาว่าสามปีก่อนที่ทุ่งหญ้าอัสดง ภายในงานล่าสัตว์ครั้งใหญ่ของหลิวเค่อ ตอนประลองกับประมุขน้อยตระกูลอิ๋งและประมุขน้อยตระกูลจีก็ยังอยู่เพียงแค่ระดับสีเงินชั้นสาม เพิ่งจะผ่านไปสามปี สามารถมาอยู่บนตำแหน่งอันดับหนึ่งบนทำเนียบชิงอิงได้อย่างไรกัน?”

“ใช่แล้ว! หรือว่าได้ประลองกับเว่ยมั่วลี่ที่ลึกลับผู้นั้นแล้วหรือ?”

“ไม่ผิด ไม่ผิด ผลสรุปของทำเนียบชิงอิงครั้งนี้ทำให้ผู้คนแปลกใจจริงๆ หากว่าผู้กล้าท่านนี้รู้ความนัยก็ช่วยพูดให้พวกเราฟังที”

เมื่อคนวัยกลางคนบนเวทีได้ยินคำพูดของผู้คนแล้วก็ยิ้มออกมา เขายกมือขึ้น พูดกับทุกคนอย่างได้ใจว่า “เอา ละๆ ข้ารู้ความนัยอยู่บ้างจริงๆ”

“ความนัย! เป็นความนัยอย่างไรกัน เจ้ารีบพูดมาเถอะ!”

“รีบพูด รีบพูด อย่าทำเป็นมีลับลมคมนัย!”

“หากว่ายังอืดอาดยืดยาดอีก ระวังพวกเราจะโยนเจ้าลงจากเวที!”

คำพูดกึ่งล้อเล่นกึ่งคุกคามเช่นนี้ดึงดูดเสียงหัวเราะภายในโรงนํ้าชาให้ดังขึ้น

คนวัยกลางคนบนเวทีก็ไม่ได้สนใจ ยังคงมีรอยยิ้ม เขากระแอมให้คอโล่งแล้วเริ่มพูดออกมาว่า “ไม่ปิดบังทุกท่าน งานล่าสัตว์ครั้งใหญ่บนทุ่งหญ้าอัสดงเมื่อสามปี ก่อนนั้น ข้าก็อยู่ในเหตุการณ์ถึงแม้จะอยู่ห่างออกไปไกลก็ถือว่าได้เห็นการประลองระหว่างเจ้าเมืองมู่กับประมุขน้อยอิ๋งและระหว่างเขากับประมุขน้อยจีด้วยตาตนเอง สถานการณ์ในครั้งนั้น…”

เขาเริ่มเกริ่นนำดึงดูดใจคน ส่วนคนด้านล่างเวทีก็ฟังอย่างออกรส ไม่ได้ขัดจังวะเขา

รอจนเขาพูดมาได้พอสมควรแล้วถึงได้มีคนด้านล่างเวทีเอ่ยขึ้นว่า “พวกเราต้องการฟังความนัยที่เจ้าเมืองมู่ได้เป็นอันดับหนึ่งบนทำเนียบชิงอิง ใครอยากจะฟังเจ้าพูดเรื่องเก่าเหล่านี้กัน?”

เพียงแค่พูดประโยคนี้ดังออกไปก็ดึงดูดให้คนอื่นๆ เห็นด้วยในทันที

คนวัยกลางคนบนเวทีคนนั้นถูกขัดจังหวะไปครู่หนึ่งถึงได้หัวเราะแล้วด่าออกมาว่า “หากว่าไม่อยากฟังข้าพูด เหตุใดจึงไม่พูดให้เร็วกว่านี้เล่า? แต่กลับรอจนข้าพูดได้พอสมควรแล้วถึงได้ฉีกหน้าข้า ข้าอุตส่าห์เล่าให้ฟังยังจะเรื่องมากอีก!”

พูดไปเขาก็สะบัดแขนเสื้อเอ่ยว่า “เอาล่ะ พวกเจ้าก็ไม่ต้องเร่งแล้ว ข้าจะพูดความนัยที่พวกเจ้าอยากจะฟังเดี๋ยวนี้”

พูดจบแล้วเขาก็ยังหัวเราะเพื่อดึงดูดความสนใจ ของผู้คนอีก

“รีบพูด รีบพูด!”

“เจ้ารีบพูดสิ!”

“คงไม่ใช่ว่าเจ้าหลอกพวกเราหรอกใช่ไหม?”

คนด้านล่างเร่งขึ้นมาอย่างอดทนไม่ไหว

คนวัยกลางคนบนเวทีเห็นผู้คนมีปฏิกิริยามากพอสมควร แล้วถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ก่อนที่ลำดับบนทำเนียบชิงอิงจะประกาศออกมานั้น ข้าได้ไปทำภารกิจที่ภาคกลางพอดี ดังนั้นจึงได้ยินเรื่องที่พวกเจ้าไม่รู้มา”

“เป็นเรื่องอะไร?”

มีคนสอดคำขึ้นมา

คนวัยกลางคนบนเวทีถูกขัดจังหวะ จึงหยุดพูดไป

คนรอบด้านตอบสนองในทันที พากันต่อว่าคนที่สอดคำ จากนั้นก็ปลอบคนวัยกลางคนบนเวที หลังจากนั้นคนวัยกลางคนถึงได้สบถไปหนึ่งคำแล้วพูดต่อว่า “ความนัยที่ เกี่ยวข้องกับอันดับบนทำเนียบชิงอิงนั้นมีอยู่สองเรื่อง เรื่องแรกก็คือเว่ยมั่วลี่ที่แสนลึกลับและหายสาบสูญไปนานถูกธิดาเทพซีพากลับไปส่งยังตระกูลเว่ย คนที่เห็นกับตาพูดว่าเว่ยมั่วลี่ถูกหามเข้าไปทั้งๆ ที่ยังสลบอยู่ ได้รับบาดเจ็บไม่น้อยและมีเลือดเปื้อนเสื้อผ้าอีกด้วย”

“อา! เว่ยมั่วลี่ได้รับบาดเจ็บงั้นหรือ?”

“เป็นใครทำร้ายกัน?”

“อย่าเพิ่งเอะอะ ข้ากำลังจะพูดอย่างไรเล่า” คนวัยกลางคนบนเวทีถลึงตาหยุดยั้งเสียงคนล่างเวทีแล้วก็เริ่มพูดต่อ “เรื่องที่สอง พูดกันว่าธิดาเทพซีเห็นด้วยตาตนเองว่าเว่ยมั่วลี่ถูกทำร้ายได้อย่างไร อีกทั้งคนที่ทำร้ายเว่ยมั่วลี่ก็คืออันดับหนึ่งของทำเนียบชิงอิงในตอนนี้ เจ้าเมืองมู่แห่งลั่วซิงเฉิง! ”

“อา!”

ฝูงคนเอะอะเสียงดังขึ้นมา

ต่อมาผู้คนต่างก็สูดลมหายใจเย็นๆ เข้าไป คนด้านล่างเวทีต่างเริ่มพูดคุยกันขึ้นมา บนมุมๆ หนึ่งบนชั้นสอง บนโต๊ะมีชายหนุ่มสองคนนั่งอยู่ข้างกัน ชายคนหนึ่งสวมชุดสีขาวท่วงท่าดูเรียบสงบ

ดูเหมือนว่าเรื่องวุ่นวายด้านนอกไม่เกี่ยวข้องกับเขาเลย

ดวงตาของเขาฉายแววขบขัน มองดูชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามของเขาอย่างขึ้เล่นเพราะประเด็นที่กำลังร้อนระอุอยู่ตอนนี้ “ชิงเกอมีชื่อเสียงถึงขนาดนี้เชียวหรือ หากว่าคนด้านล่างรู้ว่าอันดับหนึ่งบนทำเนียบชิงอิงที่พวกเขากำลังพูดถึงกันกำลังนั่งดื่มชาอยู่ ไม่รู้ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร”

มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุกขึ้นเบาๆ วางจอกชาในมือลง แล้วเอ่ยกับเขาว่า “ศิษย์พี่เหมยก็เชื่อคำเล่าลือเหล่านี้ด้วยหรือ? คนๆ นั้นบางทีอาจจะรู้เรื่องจริงแต่ว่าพูดเกินจริงไปหน่อย จิตวิญญาณของเว่ยมั่วลี่ได้รับความเสียหาย จำเป็นต้องฟื้นฟู ไหนเลยจะเต็มไปด้วยเลือดอย่างเขาพูด? และถึงแม้จะมีก็ไม่เกี่ยวกับข้า”

มู่ชิงเกอแบมือออก ท่าทางบริสุทธิ์ไร้เดียงสา

นางไม่รู้ว่าหลังจากซีเซียนเสวี่ยกลับไปแล้วอธิบายเรื่องของเว่ยมั่วลี่อย่างไร แต่ว่าเรื่องราวจะต้องไม่ใช่อย่างที่ชายวัยกลางคนคนนั้นพูดอย่างแน่นอน

แต่ทว่า นางก็แน่ใจว่าซีเซียนเสวี่ยต้องพูดเรื่องที่นางกับเว่ยมั่วลี่ต่อสู้กันให้ตำหนักเทพฟังอย่างแน่นอน ดังนั้นนางถึงได้กลายเป็นอันดับหนึ่งบนทำเนียบชิงอิง

นางสาบานว่าเมื่อข่าวคราวนี้มาถึงหูของนางนั้น นางแปลกใจยิ่งกว่าใคร!

เพราะว่านางไม่เคยคิดจะสนใจทำเนียบชิงอิงอะไรนี่ ยิ่งไม่สนใจตำแหน่งบนนั้น

“ไม่ว่าชิงเกอจะยอมรับหรือไม่ยอมรับ แต่ตอนนี้เจ้าก็เป็นอันดับหนึ่งบนทำเนียบชิงอิงแล้ว ศิษย์พี่ยังไม่ทันได้แสดงความยินดีกับเจ้าอย่างเป็นทางการเลย วันนี้ข้าขอใช้นํ้าชาแทนเหล้าแสดงความยินดีกับเจ้าแล้ว”เหมยจื่อจ้งยกจอกชาในมือขึ้นแล้วยิ้มเอ่ยกับมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอหมดทางเลือก ทำได้เพียงแต่ยกจอกชาขึ้นชนกับเหมยจื่อจ้งเล็กน้อย เอ่ยว่า “ข้าเป็นอันดับหนึ่งบนทำเนียบชิงอิงนั้นไม่มีอะไรต้องฉลอง แต่ที่พวกเราต้อง ฉลองก็คือพวกเราจะได้พบกันศิษย์พี่จ้าว ศิษย์พี่ซาง และศิษย์พี่จูแล้ว”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ส่วนลึกในดวงตาของเหมยจื่อจ้งก็ฉายแววคิดถึง

หลังจากออกจากหลินชวนและมาถึงโลกแห่งยุคกลางแล้ว พวกเขาก็แยกทางกัน แต่ละคนเดินตามเส้นทางของใครของมัน การได้รวมตัวกันอีกครั้งจึงคุ้มค่าที่จะ ฉลอง

ความคึกคักด้านล่างเวทียังคงดำเนินต่อไป มู่ชิงเกอยังคงได้ยินชื่อของตนเองดังมาเป็นระยะๆ แต่นางกลับไม่มีความรู้สึกอะไรเลย เพียงแต่คุยเล่นกันกับเหมยจื่อจ้ง

เมื่อพูดคุยได้พอสมควรแล้ว ก็ทิ้งเงินค่าน้ำชาเอาไว้แล้วก็จากไปเงียบๆ

หลังจากออกจากโรงนํ้าชาแล้ว มู่ชิงเกอก็เอ่ยกับเหมยจื่อจ้งว่า “ศิษย์พี่เหมย พวกเราซื้อที่สำหรับประตูมิติของวันพรุ่งนี้ ดูแล้ววันนี้คงต้องหาที่พักที่นี่ก่อน”

“ได้” เหมยจื่อจ้งค่อยๆ พยักหน้า

เดินทางออกจากลั่วซิงเฉิงนั้นมีเส้นทางไปสำนักวิถีโอสถภาคตะวันออกสามเส้นทาง

ทางแรกก็คืออ้อมภาคใต้เข้าสู่ภาคตะวันออก ทางที่สองก็คือตัดภาคกลางเข้าสู่ภาคตะวันออก แต่ทว่าสองเส้นทางนี้ไกลเกินไป โดยเฉพาะทางที่สองที่ต้องตัดผ่านทั้งภาคกลาง ซึ่งเป็นเรื่องที่เสียเวลามาก ดังนั้นมู่ชิงเกอจึงไม่ลังเลที่จะเลือกทางที่สาม ผ่านภาคเหนือเข้าสู่ภาคตะวันออก

ทางเส้นนี้เป็นทางที่เสียเวลาน้อยที่สุดในทั้งสามเส้นทาง และก็เป็นทางที่สะดวกสบายที่สุด เพราะถึงแม้ลั่วซิงเฉิง จะอยู่บริเวณคาบเกี่ยวระหว่างภาคตะวันตกและภาคกลาง แต่ก็ใกล้กับภาคเหนือไกลจากภาคใต้

ภายในเมืองซีฝู มู่ชิงเกอหาที่พักมาที่หนึ่งแล้วเปิดสองห้องแยกกันพักกับเหมยจื่อจ้ง

ห้องทั้งสองอยู่ถัดกัน เป็นตำแหน่งที่สงบและสะอาดที่สุดในโรงเตี๊ยม มู่ชิงเกอกลับถึงห้องก็นั่งสมาธิบนเตียง นางคิดจะทำสมาธิฝึกฝน แต่ว่าก่อนที่จะฝึกฝนในใจก็รู้สึกไม่สงบ ความไม่สงบในจิตใจนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่ครั้งเดียว

นับตั้งแต่นางใช้ยันต์ส่งสารติดต่อซือมั่วและไม่ได้รับข่าวสารตอบกลับ ความรู้สึกไม่สงบใจนี้ก็คอยรบกวนนางมาโดยตลอด

“เจ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? เหตุใดจึงไม่ตอบกลับข้า? ข้าจะไปตามหาเจ้าได้ที่ไหนกัน?” มู่ชิงเกอพึมพำกับต เอง มองไปยังกระดิ่ง ทุกๆ วันนางคอยแต่หวังว่ากระดิ่งจะดังขึ้น เพียงแค่เสียงเดียวก็ยังดี แต่ก็ต้องผิดหวังทุกครั้ง

นางค่อยๆ ส่ายหน้า ฝืนระงับไม่ให้ตนเองคิดวุ่นวาย ค่อยๆ หลับตาลงเข้าสู่การฝึกฝน

‘เจ้านาย!’ ใครจะรู้ว่าเพียงแค่นางหลับตาลง ภายในหัวก็มีเสียงของเหมิงเหมิงดังขึ้น และก็ทำให้นางลืมตาขึ้นในทันที นัยน์ตาเปล่งประกายออกมา

พริบตาเดียวนางก็หายไปจากห้องเข้าไปในช่องว่าง

“เหมิงเหมิง?” เพียงแค่มู่ชิงเกอเข้าสู่ช่องว่าง ยังไม่ทันได้สังเกตรอบๆ ว่าหลังจากช่องว่างพัฒนาแล้วมีสภาพเป็นเช่นไร ก็เห็นสาวน้อยหน้าตางดงามสวมเสื้อผ้าสีสันสดใสคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าของตนเอง

หว่างคิ้วของหญิงสาวคนนี้มีส่วนคล้ายเหมิงเหมิง แต่ก็ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาหน่อย

“เจ้านาย เป็นข้าเอง!” หญิงสาวคนนั้นเอ่ยปากออกมา วิ่งเข้ามาหามู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอถึงได้แน่ใจว่านางก็คือเหมิงเหมิง

“เจ้า…” มู่ชิงเกอเบิกตากว้างมองนาง

เหมิงเหมิงใช้สองมือยกกระโปรง หมุนรอบตัวให้มู่ชิงเกอดู เอ่ยถามว่า “เจ้านาย ท่านดูสิ ในที่สุดข้าก็เติบโตแล้ว”

มู่ชิงเกอพลอยยินดีตามนางไปด้วย นางเผยรอยยิ้มยินดีออกมาแล้วพยักหน้าเอ่ยว่า “ถือว่าไม่ใช่เจ้าตัวเล็กแล้ว”

“เจ้านายบ้า คนเขาไม่ใช่เจ้าตัวเล็กตั้งนานแล้ว” เหมิงเหมิงกระทืบเท้าพูดออกมา

“ยังชอบออดอ้อนเหมือนเดิม” มู่ชิงเกอยิ้มแล้วเอ่ยออกมา

เหมิงเหมิงยิ้ม กอดแขนมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยกับนางว่า “เจ้านาย รีบดูบ้านใหม่ของพวกเราเร็ว”

มู่ชิงเกอก็รู้สึกสนใจช่องว่างที่ได้รับการพัฒนาเช่นเดียวกัน นางมองไปรอบๆ รู้สึกว่าช่องว่างในตอนนี้ใหญ่โตกว่าแต่ก่อนมาก ตึกอาคารทึ่สมควรมีก็มีจนหมด

หากว่านางไม่รู้มาก่อนว่านี่คือช่องว่าง คงจะไม่คิดว่าโลกแห่งนี้จะเป็นช่องว่างไปได้

มู่ชิงเกอกำลังจะถามเหมิงเหมิงว่าการพัฒนาในครั้งนี้ได้ ปลดผนึกอะไรดีๆ บ้าง ก็สัมผัสได้ว่ามีคนบุกเข้ามาในห้องพักของตนเอง

นางขมวดคิ้วขึ้นแล้วก็หายตัวไปจากช่องว่าง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!