ตอนที่ 406
เจ้าเมืองย่อยทั้งสี่สืบความ
“ภายในแดนมารรกร้างนั้นแบ่งเขตออกเป็นเมือง ขุนนางก็เปรียบเป็นเหมือนเจ้าเมือง” กู่หยาที่อยู่ด้านหลังของมู่ชิงเกอ แนะนำสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับแดนมาร รกร้างให้นางฟังเสียงเบา
มู่ชิงเกอฟังไปเงียบๆ ในใจคิดว่า ‘ที่นี่ก็คือสถานที่ที่ซือมั่วอยู่ เป็นโลกของเขางั้นหรือ?’
“อีกครู่คุณชายจะได้พบกับขุนนางใหญ่ทั้งสี่ ซึ่งล้วนแต่เป็นเจ้าเมืองของเมืองใหญ่ทั้งสี่ทิศของแดนมาร เฝ้ารักษาสี่ด้าน จงรักภักดีต่อองคราชามาก มีความสามารถสูงล้ำ เพียงแต่ว่า…” กู่หยาหยุดชะงักลงในทันใด
มู่ชิงเกอหันไปมองเขา
เมื่อถูกนางจ้องมอง กู่หยาก็หลบสายตาไอออกมาเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “ทั้งสี่คนนี้อาจจะสร้างความลำบากให้คุณชาย”
“สร้างความลำบาก?” มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น
กู่หยาพยักหน้า
กู่เย่เอ่ยว่า “ทั้งสี่คนนี้ติดตามองค์ราชาออกศึกไปทั่วมาตั้งแต่ยังเล็ก เคารพนับถือองค์ราชามาก ในใจของพวกเขานั้นในโลกทั้งสามพันใบไม่มีผู้หญิงคนไหนที่คู่ควรกับองค์ราชา การปรากฎตัวของคุณชายอาจจะทำให้พวกเขาไม่ค่อยพอใจแล้วก็จงใจสร้างความลำบากให้”
“จงใจสร้างความลำบาก?” มู่ชิงเกอพูดออกมาเบาๆ มุมปากเผยรอยยิ้มเสียดสีออกมา
ท่าทางของมู่ชิงเกอทำให้กู่หยาและกู่เย่มองหน้ากัน ล้วนแต่หยุดพูด
ทั้งสองคนพามู่ชิงเกอเข้าไปในพระราชวังไท่ฮวง เมื่อเดินเข้ามาแล้วมู่ชิงเกอก็ยิ่งรู้สึกว่ามันงดงามและดูโอ่อ่า
ตำหนักภายในนี้ดูเหมือนจะลอยอยู่กลางอากาศ มีบางตำหนักที่อยู่บนพื้นบ้างแต่ก็ให้ความรู้สึกน่าหลงใหล เหมือนเป็นความฝัน
ทั่วทั้งพระราชวังไท่ฮวงถูกปกคลุมไว้ด้วยหมอกสีม่วงอ่อน ทำให้ทั้งเมืองดูลึกลับและสูงส่ง
“พระตำหนักที่สูงที่สุดทางนั้นก็คือตำหนักจื่อเฉิน” กู่หยาชี้ไปยังพระตำหนักที่สูงที่สุดแล้วแนะนำแก่มู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอมองไปรอบๆ แล้วเอ่ยถามว่า “คนในพระราชวังไท่ฮวงมีน้อยมาก”
ไม่ใช่งั้นหรือ เพราะตั้งแต่ที่นางเดินมาก็ไม่เห็นคนรับใช้ในวังเลยสักคน
“องค์ราชาไม่ชอบความวุ่นวาย ดังนั้นหลังจากรับตำแหน่งต่อแล้วก็ให้คนใช้ในวังออกไปส่วนหนึ่ง ต่อมา… ต่อมาก็เป็นเพราะ…” กู่หยาลอบมองมู่ชิงเกอแวบหนึ่ง แล้วก็หลุบตาลงมองไปยังกู่เย่เพื่อขอความช่วยเหลือ
ความลังเลของเขาดึงดูดให้มู่ชิงเกอสงสัย
นางหันมองทั้งสองคน กู่เย่ถึงได้พูดขึ้นอย่างกระดากใจว่า “ต่อมามีนางกำนัลคนหนิ่งคิดจะยั่วยวนองค์ราชา องค์ราชาพิโรธ จึงไล่นางกำนัลทั้งหมดออกจากวังไป เหลือแต่เพียงคนแก่ชรารับผิดชอบทำความสะอาดประจำวันและซักผ้าเท่านั้น”
มู่ชิงเกอมุมปากกระตุกขึ้น ลอบพูดในใจว่า ‘ที่แท้ก็มีคนคิดจะปีนขึ้นเตียงของซือมั่ว!’
“เส้นทางไปยังตำหนักจื่อเฉินมีพวกเราคอยเฝ้าระวัง ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าใกล้ ส่วนตอนนี้พวกเขาล้วนแต่รอพบคุณชายอยู่ในตำหนักจื่อเฉิน ดังนั้นตลอดเส้นทางที่มาจึงไม่มีใครสักคน” กู่หยาอธิบาย
มู่ชิงเกอพยักหน้า นางเงยหน้าขึ้นมองตำหนักที่ลอยอยู่สูงที่สุด
ยอดของตำหนักถูกโอบล้อมไปด้วยหมอกควันสีม่วง ทั้งยังมีไข่มุกราตรีขนาดใหญ่คอยส่องแสงให้ความสว่างทั้งกลางวันกลางคืน
เมื่อมาถึงตำหนักจื่อเฉิน หมอกควันรอบด้านก็รวมตัวเข้าด้วยกัน กลายเป็นบันไดเชื่อมต่อพื้นดินและตัวตำหนักจื่อเฉินเข้าด้วยกัน
มู่ชิงเกอก้าวเท้าขึ้นไปด้านบน กลิ่นอายอันเย็นยะเยือกเข้าโอบล้อมนางในทันที
ดีที่นางมีพญาเพลิง ความเย็นจึงไม่สามารถทำอะไรนางได้ เมื่อเท้าเหยียบลงไปบนบันไดก็ดูเหมือนเหยียบลงไปบนเมฆ ใต้เท้าไม่มีความรู้สึกว่าเหยียบโดนอะไรเลย
“คุณชาย พวกคนที่คิดจะใช้เลือดหัวใจขององค์ราชาสร้างตัวคนขึ้นมาเหล่านั้น ล้วนคิดจะสร้างราชาหุ่นเชิดขึ้นมา จากนั้นก็จะค่อยๆ แยกอาณาเขตของพวกเขา ออกไป ทำให้แดนมารกลับไปสู่ช่วงที่แบ่งแยกกันปกครองและทำศึกสงครามกัน พวกเราจะต้องหยุดยั้งให้ได้” กู่หยากระซิบเบาๆ ที่ด้านหลังของมู่ชิงเกอ
กู่เย่ก็พูดว่า “ความจริงแล้ว ขอเพียงแค่องค์ราชาปรากฎตัว คนเหล่านั้นก็จะหดหัวกลับไปแต่โดยดี ไม่กล้าคิดอะไรเหลวไหลอีก แต่ว่าในตอนนี้ยังหาองค์ราชาไม่พบ จึงทำได้เพียงแต่ต้องอาศัยให้คุณชายหยุดยั้งพวกเขา”
พูดแล้วเขาก็หยั่งเชิงถามไปว่า “คุณชาย เด็กในท้องของท่าน…”
มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก ไอออกมาเบาๆ แล้วค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “วางใจเถอะ ใครมาตรวจสอบก็จะตรวจสอบ ไม่เจออะไร”
คำตอบของนางทำให้กู่หยาและกู่เย่ลอบโล่งใจขึ้นมา
สำหรับแดนมารแล้ว ที่มาของมู่ชิงเกอไม่ชัดเจน สิ่งเดียวที่จะสามารถทำให้นางมีสิทธิ์ยืนอยู่ต่อหน้ากลุ่มมารได้ก็คือ ‘เด็ก’ ในท้องของนาง!
ภายในตำหนักจื่อเฉิน องครักษ์มารแปดร้อยคนแล้วก็ยังมีเจ้าเมืองย่อยทั้งสี่ล้วนแต่ยืนรอคอยอยู่เงียบๆ
ในตอนที่มีเสียงฝีเท้าดังเข้ามานั้น องครักษ์มารแปดร้อยคนก็ล้วนแต่อดหันไปมองตามเสียงไม่ได้ ส่วนเจ้าเมืองย่อยทั้งสี่ก็ลอบส่งสายตาหากัน แล้วก็พร้อมใจกันเงียบขึ้นมา ภายใต้การรอคอยของทุกคน ชุดสีแดงโผล่เข้ามาในสายตาของพวกเขาเป็นอันดับแรก
“เหตุใดจึงเป็นชุดสีแดง? ทั่วทั้งแดนมาร ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าสีที่องค์ราชาเกลียดมากที่สุดก็คือสีแดง?” เจ้าเมืองย่อยที่รูปโฉมงดงามดุจปีศาจมองเห็นสีแดงนั้นแล้วก็ ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างไม่พอใจ
เจ้าเมืองย่อยที่รูปโฉมดูเฉียบคมลํ้าลึกพูดเป็นครั้งแรกว่า “ความคิดขององค์ราชามีพวกเราคนไหนที่สามารถมองทะลุได้กัน? กู่หยาและกู่เย่เฝ้าติดตามองค์ราชามานานปี พวกเขาคงไม่หาผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้มาหลอกลวงอย่างแน่นอน”
เจ้าเมืองย่อยที่หน้าตาเหมือนกันมองตากันแล้วพยักหน้าเห็นด้วย
การพูดคุยของเจ้าเมืองย่อยทั้งสี่เพิ่งจะจบลง เมื่อมองทะลุม่านหมอกสีม่วงไปชั้นหนึ่ง ในที่สุดพวกเขาก็มองเห็นมู่ชิงเกอได้ชัดเจน
ชุดสีแดงดูสูงส่งและสง่างาม นางเอามือไพล่ไว้ด้านหลัง แผ่นหลังเหยียดตรง ไม่มีความมอ่อนแอแม้แต่น้อย รูปโฉมงดงามดุจดวงดารา โดดเด่นเหนือสิ่งใด ที่สำคัญที่สุดก็คือเมื่อเดินเข้ามาในตำหนักจื่อเฉินแล้ว นางไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความกลัว ดวงตาสดใสดูเรียบสงบทั้งยังแฝงไว้ความความดุดันและหยิ่งผยอง
ใบหน้าที่งดงามแต่หว่างคิ้วแฝงความกล้าหาญเอาไว้นั้น ได้ดึงดูดสายตาของทุกคนเอาไว้
‘นี่ก็คือผู้หญิงที่องค์ราชาต้องใจงั้นหรือ?’
‘นี่ก็คือว่าที่นายหญิงเมืองมารของพวกเขางั้นหรือ?’
‘ความงดงามภายนอกถือว่าเหมาะสมกับองค์ราชา แต่ผู้หญิงขององค์ราชาจะต้องไม่ใช่ไม้ประดับแจกันที่ไร้สมอง’
สายตาขององครักษ์มารทั้งแปดร้อยคนขยับตามการเคลื่อนไหวของมู่ชิงเกอ
กู่หยาและกู่เย่ที่ตามมาด้านหลังของนางก็กลับคืนสู่ความเคร่งขรึมขององครักษ์มาร พวกเขาคุ้มครองมู่ชิงเกออยู่ด้านซ้ายและขวา ดูดุจดั่งเป็นองครักษ์ของนางก็ไม่ปาน
มู่ชิงเกอปรายตามององครักษ์มารทั้งแปดร้อยคน พวกเขาล้วนแล้วแต่สวมชุดเกราะสีดำเหมือนกัน เครื่องประดับสีม่วงประกายทอง มีหมวกปิดบังรูปโฉมของพวกเขาเอาไว้ เผยให้เห็นแค่เพียงดวงตาที่ดุดันและทรงปัญญา
แม้ว่าในตอนที่พวกเขาพบเห็นนางครั้งแรกจะปรากฎความประหลาดใจออกมา แต่ภายในความประหลาดใจ ก็ยังคงรักษาความมีสติเอาไว้อยู่
เพียงแค่ปรายตามอง ในใจของมู่ชิงเกอก็รู้สึกชื่นชมองครักษ์มารทั้งแปดร้อยคนนี้มาก จากนั้นสายตาของนางก็มาหยุดอยู่ที่ผู้ชายหล่อเหลาสี่คนที่ยืนอยู่ด้านหน้า ขององครักษ์มาร
‘ดูแล้วคนทั้งสี่คนนี้ก็คือเจ้าเมืองย่อยทั้งสี่ที่กู่หยาและกู่เย่พูดถึง’ มู่ชิงเกอพูดในใจ
นางลอบพิจารณาพวกเขาทั้งสี่ พวกเขาก็ลอบพิจารณานางเช่นกัน
รูปโฉมภายนอกของมู่ชิงเกอทำให้พวกเขาตกตะลึง เหมือนกับองครักษ์มารทั้งแปดร้อยคน
แต่ว่า
“สาวน้อย เจ้าก็คือผู้หญิงที่องคราชาต้องใจงั้นหรือ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าสีที่องค์ราชาไม่ชอบมากที่สุดก็คือสีแดงแสบตา” เจ้าเมืองย่อยที่มีรูปโฉมงดงามดุจปีศาจใช้นํ้า เสียงที่เย็นชาพูดออกมา
“เจ้าเมืองย่อยหลิงจิว อย่าเสียมารยาท” มู่ชิงเกอยังไม่ทันได้เอ่ยปาก กู่หยาก็ใช้นํ้าเสียงที่แข็งกร้าวพูดปกป้อง
มู่ชิงเกอคลี่ยิ้มออกมาบางๆ ไม่ได้สนใจเขา แต่กลับใช้นํ้าเสียงที่ทั้งเนิบช้า ทั้งห่างเหิน ทั้งเย็นชาเอ่ยถามไปว่า “เจ้าเป็นใคร?”
ปฏิกิริยาของนางทำให้เจ้าเมืองย่อยอีกสามคนอดมองนางอีกแวบหนึ่งไม่ได้
ดูเหมือนว่าปฏิกิริยาของนางจะเหนือความคาดหมายของพวกเขา
กู่เย่ก้าวออกมาในเวลานี้ แนะนำมู่ชิงเกออย่างเคารพว่า “คุณชาย ทั้งสี่ท่านนี้ล้วนแต่เป็นแม่ทัพใหญ่คู่ใจขององค์ราชา เมื่อครู่ผู้ที่เอ่ยปากพูดก็คือเจ้าเมืองย่อยหลิงจิ วปกครองทิศเหนือ ส่วนท่านนี้คือเจ้าเมืองย่อยจี่ ผู้ปกครองทิศตะวันตก” เขาชี้ไปทางชายที่มีรูปโฉมเฉียบคมลํ้าลึกคนนั้น
มู่ชิงเกอมองไปด้วยนัยน์ตาที่ดูเรียบสงบ สิ่งนี้ทำให้จี่ฝูค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้น สายตาที่มองไปยังมู่ชิงเกอฉายแววครุ่นคิด
“ส่วนสองท่านนี้…” กู่เย่แนะนำมาถึงคู่แฝด เขาชี้ไปยังชายที่มีไฝอยู่ใต้ตา “พวกเขาเป็นพี่น้องกัน พี่ชายนั้นมีไฝที่ใต้ตาปกครองทิศตะวันออก เจ้าเมืองย่อยชิงเหยียน”
จากนั้นเขาก็ชี้ไปยังอีกคน “ท่านนี้คือเจ้าเมืองย่อยชิงเจ๋อ ปกครองทิศใต้”
ทั้งสี่คนถูกแนะนำไปทีละคน มู่ชิงเกอจดจำไว้ในใจแต่นัยน์ตากลับดูสงบนิ่ง ท่าทางของนางทำให้เจ้าเมืองย่อยทั้งสี่รู้สึกไม่พอใจ หญิงสาวตัวเล็กผู้นี้กลับไม่มีความคิดจะเอาใจพวกเขาทั้งสี่ ทั้งยังไม่มีความรู้สึกนับถือ หวาดกลัว ตกใจหรือ ตะลึงเลย
ความเรียบสงบนี้ดูเหมือนว่าในสายตาของนางนั้นพวกเขาไม่ได้ต่างไปจากองครักษ์ทั่วไปเลย
แม้แต่เยี่ยนหย่าผู้หญิงที่คอยคิดแต่จะเข้าสู่วังซานไห่อยู่ทุกวัน ทั้งยังมีตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองย่อยอีกคนหนึ่ง แต่เมื่อพบพวกเขาก็ยังต้องเผลอตัวพูดเอาใจเลย แต่ผู้หญิงที่มีที่มาไม่ชัดเจนคนนี้อาศัยอะไรมาแสดงท่าทีเรียบเฉยต่อหน้าพวกเขา?
“เจ้าเมืองย่อยทั้งสี่ ท่านนี้คือผู้หญิงที่องค์ราชารัก สำหรับสถานะของนางนั้น เนื่องจากองค์ราชาไม่อยู่ พวกข้าทั้งสองคนจึงไม่สะดวกที่จะพูดถึง ในช่วงเวลาที่ นางอยู่ในพระราชวังไท่ฮวงนี้พวกเราเรียกนางว่าพระชายาก็พอ” กู่เย่พูดกับทั้งสี่คน
“พระชายา? นางเป็นได้งั้นหรือ?” หลิงจิวพูดดูแคลนออกมา
มู่ชิงเกอค่อยๆ เลื่อนสายตามองไปยังเขาแล้วพูดเนิบๆ ว่า “พูดมากเกินไป”
รอยยิ้มดูแคลนบนใบหน้าของหลิงจิวแข็งค้างไป รูปโฉมอันงดงามเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวในพริบตา ส่งกลิ่นอายอันแข็งแกร่งไปกดดันมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้มีความคิดที่จะหลบหรือตื่นกลัวเลยสักนิด
กู่หยารีบก้าวออกมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง ขัดขวางกลิ่นอายกดดันของหลิงจิวทำให้มันหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลิงจิวมองเขาอย่างไม่ยินยอม กัดฟันพูดว่า “กู่หยา ใครมอบความกล้านี้ให้เจ้ากัน?”
กู่หยาพูดขึ้นว่า “เจ้าเมืองย่อยหลิงจิว องค์ราชาได้มอบความปลอดภัยของพระชายาให้เป็นความรับผิดชอบของข้ามานานแล้ว”
คำตอบของเขาทำให้สีหน้าของหลิงจิวดำทะมึนขึ้น
มู่ชิงเกอมองเขาอย่างดูแคลนแวบหนึ่ง แล้วก็ละสายตาจากเขา พูดกับทั้งสี่คนว่า “ที่ข้ามาที่นี่ด้วยเหตุผลอะไรนั้น ทุกคนต่างก็รู้ดี ถ้าหากว่าพวกเจ้ายังพยายามพูด เรื่องน่าเบื่อไร้สาระเพื่อลองหยั่งเชิงอยู่ ก็อย่าโทษว่าข้าจากไปโดยไม่สนใจเล่า เพราะสำหรับข้าแล้วความปลอดภัยของซือมั่วสำคัญกว่าความมั่นคงของแดนมาร รกร้างของพวกเจ้ามากนัก”