Skip to content

พลิกปฐพี 416

ตอนที่ 416

ควรกินก็กิน อย่าสิ้นเปลือง

เมื่อเป็นไปตามที่ต้องการแล้วมู่ชิงเกอก็ยิ้มบางๆ นางยกจอกเหล้าตรงหน้าของตนเองขึ้นมา ยิ้มอย่างงดงามแล้ว เอ่ยกับทุกคนว่า “เช่นนั้นในช่วงที่องค์ราชาไม่อยู่นี้ก็ขอให้ทุกท่านทำตามหน้าที่ของตนเองให้ดี ใจมีเพียงแค่ดวงเดียวก็ให้ตั้งใจทำเรื่องที่สมควรทำให้ดี เรื่องบางเรื่องที่ไม่สมควรทำ ไม่สมควรคิดก็อย่าได้คิดที่จะทำ เพราะการทำสองอย่างในเวลาเดียวกันนั้นอาจจะทำให้เกิดเรื่องได้ง่าย”

พูดแล้วนางก็ยกจอกเหล้าขึ้นดื่มจนหมด

‘แค่ก แค่ก! เหล้าของแดนมารนี่ไม่เห็นจะอร่อยเลย!’ มู่ชิงเกอเบ้ปาก รู้สึกรังเกียจในใจ

‘เท่จริงๆ!’

“พระชายาเท่จริงๆ!”

นางไม่รู้เลยว่าท่าทางที่ดูสง่างามของนางทำให้เหล่านางรำใจสั่น ใครใช้ให้พวกนางเป็นคนกลุ่มเดียวที่สามารถมองเห็นท่าทางของมู่ชิงเกอได้กันเล่า? แม้แต่กู่หยาและกู่เย่ก็ยืนอยู่ด้านหลังของมู่ชิงเกอ มองไม่เห็นด้านหน้า คำพูดของมู่ชิงเกอมีความหมาย ทำให้ผู้คนที่นั่งอยู่ในตำหนักเกิดความคิดขึ้นมากมาย

ในใจของพวกเขาคิดจะโต้แย้ง แต่ก็ไม่รู้จะโต้แย้งอย่างไร เพราะว่าในคำพูดของพระชายาก็คือเตือนให้พวกเขาตั้งใจทำงาน

เมื่อไร้ทางเลือก พวกเขาก็ได้แต่ยกจอกเหล้าของตนเองขึ้นดื่ม

แต่ก็ดื่มไปอย่างไร้รสชาติ

มู่ชิงเกอกวาดตามองไปรอบๆ แล้วก็ยิ้มในใจอย่างเย็นชา

ที่สมควรเตือนก็ได้เตือนไปพอสมควรแล้ว ที่สมควรแสดงท่าทีก็ได้แสดงท่าทีแล้ว อย่างน้อยภายในช่วงเวลานี้ทุกๆ คนก็คงจะทำตัวสงบเสงี่ยมเก็บซ่อนหางของตัวเองเอาไว้ ไม่แสดงความคิดอยากเป็นใหญ่ในแดนมารออกมาอย่างโจ่งแจ้งเช่นเมื่อก่อนอีก

มู่ชิงเกอถอนหายใจในใจ แดนมารถือว่าสงบลงได้ชั่วคราว

เพียงแค่รอให้ซือมั่วกลับมาทันเวลา ก็จะไม่เกิดความวุ่นวายอีกแล้ว แต่หากเขายังไม่กลับมาและหาร่องรอยไม่พบ ผ่านไปอีกสองปี นางจะไปหาองค์ทายาทมาจาก ที่ไหนกัน? ถึงเวลานั้นแล้วแม้จะเป็นนางก็ยากจะควบคุมความสงบเอาไว้ได้

เพิ่งเข้ามาแดนมารได้สองวัน การลองเชิงการกดดันติดๆ กันล้วนแต่ถูกนางทำลายลงไป แต่ในใจของนางก็ไม่ได้ รู้สึกผ่อนคลายขึ้นเลย เพราะว่านางยังไม่ได้รับข่าวของซือมั่ว

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอมืดทึบลง ถามในใจขึ้นอีกครั้งว่า ‘อามั่ว เจ้าไปไหนกันแน่? เหตุใดจึงยังไม่กลับมา? เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่?’

ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็รู้สึกปวดใจ นางยกจอกเหล้าของตนเองขึ้นมาแล้วดื่มเหล้าขมๆ ลงไป

เหล้าถูกม้วนลงกระเพาะก็ยิ่งทำให้เศร้าใจ

เหล้าของแดนมารที่นางดื่มลงไปกลับไม่รู้รสเลยสักนิด จิตใจล่องลอยไปไหนก็ไม่อาจรู้ได้

งานเลี้ยงเงียบสงบมาก

บรรดาคนที่โดนมู่ชิงเกอกดดันไปก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นคนที่ยอมหรือไม่ยินยอม ล้วนแต่รักษาความสงบนั่ง อยู่เงียบๆ ครู่หนึ่งมู่ชิงเกอก็ได้สติขึ้นมาและสัมผัสได้ถึงความเงียบอันแปลกประหลาดในงานเลี้ยง

นางเงยหน้าขึ้นมองไปยังเงาร่างคลุมเครือหลังผ้าม่าน ทันใดนั้นก็หัวเราะเอ่ยว่า “สุราอาหารชั้นเลิศได้จัดเตรียมเอาไว้แล้ว ทุกท่านก็อย่าได้เสียเปล่า ควรกินก็กิน ควรดื่มก็ดื่ม สนุกให้ถึงที่สุดถึงจะดี”

อะไรกัน!

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของมู่ชิงเกอแล้ว คนทั้งยี่สิบกว่าคนก็อยากจะกระอักเลือด

เมื่อครู่เป็นใครกันที่พูดว่า องค์ราชาหายสาบสูญไป พวกเขาไม่ควรคิดแต่จะดื่มกิน ต้องเป็นห่วงองค์ราชาน่ะ?

ตอนนี้ก็เป็นนางที่พูดว่าควรกินก็กิน ควรดื่มก็ดื่ม ต้องสนุกให้ถึงที่สุด

ดูเหมือนมู่ชิงเกอจะรับรู้ว่าตนเองพูดผิดไป หน้าและหลังไม่สอดคล้องกัน มุมปากของนางกระตุกเล็กน้อย แล้วก็หาเหตุผลที่ดีให้แก่ตนเอง “ข้าไม่อยากให้สิ้นเปลือง”

“พรืด!” หลิงจิวหัวเราะออกมาอย่างไม่ไว้หน้า

ส่วนจี่ฝู ชิงเหยียนและชิงเจ๋อสามคนก็มีรอยยิ้มขบขันในดวงตา

พระชายาผู้นี้…

พวกเขาชอบ!

ไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร มู่ชิงเกอเงยหน้ามองไป ยังนางรำที่รออยู่นอกตำหนักแล้วเอ่ยว่า “เข้ามาเถอะ แสดงให้ดี ให้ทุกท่านได้รับชม”

ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ต้องแสดงแล้ว บรรดานางรำดีใจมาก ค่อยๆ ขยับกายเคลื่อนตัวเข้าไปในตำหนัก แต่ในใจของเหล่าขุนนางที่ถูกผ้าม่านบังหน้า ต่างก็รู้สึก

อึดอัดยิ่งนัก

‘ถุย! รับชม? จะรับชมอย่างไร นอกจากเงาร่างคลุมเครือแล้วพวกเขาก็มองไม่เห็นอะไรเลย!’

ในใจของทุกคนรู้สึกอึดอัดมาก แต่ก็ได้รับการสั่งสอนจากพระชายามาแล้ว ตอนนี้จึงไม่กล้าพูดอะไร ทำได้เพียงแต่ดื่มเหล้าฟังดนตรี

ทั่วทั้งตำหนัก คนที่มองเห็นนางรำได้ชัดเจนที่สุดก็มีเพียงมู่ชิงเกอ กู่หยาและกู่เย่

นางรำเหล่านี้สวมเสื้อผ้าโปร่งบางสีดำ ท่วงท่าสง่างาม ดึงดูดใจคน ผิวหนังอันเรียบเนียนเผยให้เห็นวับๆ แวมๆ ผมของพวกนางถูกยกขึ้นสูงประดับด้วยเครื่องประดับสีทอง หว่างคิ้วมีกลีบดอกไห้สีเลือด ทำให้พวกนางดูมีเสน่ห์เย้ายวนมากขึ้นไปอีก มู่ชิงเกอเพลิดเพลินไปกับการร่ายรำของเมืองมาร และ พยายามจะสลัดความกังวลใจต่อเรื่องซือมั่วออกไป ความสนใจของนางทำให้เหล่านางรำร่ายรำกันอย่างขยันขันแข็งมากขึ้น ดวงตาอันทรงเสน่ห์คอยส่งมาหา นางเป็นระยะๆ กู่หยาและกู่เย่มองหน้ากันรู้สึกไร้คำจะกล่าว

‘ดวงตาของผู้หญิงเหล่านี้เป็นอะไรไป? เหตุใดจึงเอาแต่มองมาทางพระชายา?’ กู่หยาถ่ายทอดเสียงไปถามกู่เย่

มุมปากของกู่เย่กระตุก ถ่ายทอดเสียงไปว่า ‘เจ้าคิดว่าเสน่ห์ของพระชายาเป็นอย่างไร?’

กู่หยาถลึงตาแล้วตอบกลับว่า ‘ไร้สาระ! หากว่ามีเสน่ห์ไม่มากพอแล้วองค์ราชาจะตกหลุมรักได้งั้นหรือ?’

‘เช่นนั้นตอนนี้เจ้าจะแปลกใจอะไร?’ กู่เย่กลอกตาใส่เขา

กู่หยาชะงักไป เมื่อได้สติกลับมาแล้วกลับไม่กล้าเชื่อ ‘แต่คนเหล่านี้เป็นผู้หญิงนะ! ผู้หญิง!’

‘ผู้หญิงแล้วจะเป็นอย่างไร? เจ้าลืมองค์หญิงของแคว้นฉินไปแล้วงั้นหรือ?’ กู่เย่กวาดตามองเขาแวบหนึ่ง ภายในนัยน์ตาฉายแววดูแคลน

“…” กู่หยาอึ้งไร้คำพูดจะตอบกลับ สุดท้ายเขาทำได้เพียงแต่พูดว่า ‘แต่ในตอนนั้น คุณชายแต่งเป็นผู้ชาย ตอนนี้นางได้กลับคืนสู่สภาพหญิงสาวแล้ว อีกทั้งยังอยู่ ในตำแหน่งพระชายา นางรำเหล่านี้กินดีหมีหัวใจเสือมางั้นหรือ? ถึงกลับกล้ายั่วยวนผู้หญิงขององค์ราชา!’

กู่เย่นิ่งเงียบพูดว่า ‘ทำได้เพียงแต่พูดว่าเสน่ห์ของคุณชายไม่ธรรมดานัก ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็สามารถทำให้หลงใหลได้’

กู่หยามองเขาอย่างตกตะลึง ครู่หนึ่งเขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วถ่ายทอดเสียงไปพูดกับกู่เย่ว่า ‘ข้าเกิดความรู้สึกเห็นใจองค์ราชาแล้วสิ’

กู่เย่ก็เข้าใจความรู้สึกเอ่ยว่า ‘ใช่แล้ว! ไม่เพียงแต่ต้องคอยระวังผู้ชายแต่ยังต้องคอยระวังผู้หญิงอีก ลำบากองค์ราชาแล้ว!’

ทั้งสองคนสบตากันเงียบๆ แล้วก็ถอนสายตากลับ

มู่ชิงเกอไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับสายตาของนางรำเหล่านี้ ดูเหมือนว่าตั้งใจดูการแสดง แต่ว่าจิตใจกลับค่อยๆ ลอยไปไกล คิดถึงซือมั่วอีกแล้ว…

ในเวลาเดียวกันนี้ ห่างออกไปไกลในเหวหนอนโบราณ คนกลุ่มหนึ่งค่อยๆ เดินเลียบริมหนองน้ำอย่างเชื่องช้า ด้านหลังของหนึ่งในนั้นลากเตียงชั่วคราวที่ทำจาก เถาวัลย์มาด้วย

บนเตียงลาก มีคนรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งนอนอยู่ ร่างกายถูกปกคลุมไปด้วยโคลนไม่สามารถมองเห็นรูปร่างได้ชัดเจน

เขานอนอย่างสงบ ไม่มีแม้แต่กลิ่นอายแห่งชีวิต เหมือนว่าได้ตายไปแล้ว

บริเวณเอวที่ถูกปกคลุมไปด้วยโคลนมีสีทองมืดทึบสายหนึ่งวาบผ่านเป็นช่วงๆ

“เขาคงไม่ได้ตายไปแล้วใช่ไหม? หากว่าตายแล้ว ข้าสูญเสียเรี่ยวแรงไปขนาดนี้พาคนตายคนหนึ่งกลับเผ่า หากหัวหน้ารู้เข้า ข้าถูกด่าตายแน่” ชายที่ลากเตียงวาง เครือเถาวัลย์บนบ่าลง เอ่ยถามผู้หญิงที่นำอยู่ด้านหน้าอย่างลังเล

ผู้หญิงคนนั้นรูปร่างสูงเพรียว อวบอิ่ม ดูสดใสมีชีวิตชีวา ใบหน้างดงามเย้ายวนใจคนแฝงด้วยเสน่ห์ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เมื่อได้ยินคำพูดของชายคนนั้นแล้ว นางก็หันหน้ากลับไป เมื่อชายคนนั้นเห็นใบหน้าของนางแล้วก็ชะงักงันไป นางขมวดคิ้วพูดกับผู้ชายคนนั้นว่า “จะตายได้อย่างไร? ข้าได้ตรวจดูแล้ว เขายังมีลมหายใจอยู่ เพียงแต่อ่อนไปหน่อยก็เท่านั้น”

“แต่พวกเราไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร หากพากลับไปยังเผ่าจะไม่ค่อยดีกระมัง? เกิดว่าเป็นคนร้ายเล่าจะทำอย่างไร?” ชายคนนั้นโต้กลับ

สายตาของหญิงสาวคนนั้นตกลงไปยังร่างของชายที่ถูก ปกคลุมไว้ด้วยโคลน แล้วพูดอย่างมั่นใจว่า “ลางสังหรณ์ของข้าบอกว่าเขาไม่ใช่คนร้าย!”

“ลางสังหรณ์? ลางสังหรณ์จะเชื่อได้งั้นหรือ?” ชายคนนั้นพึมพำออกมา

หญิงสาวคนนั้นถลึงตากลับมา เขาจึงรีบขอโทษในทันที “เอาละๆ ลางสังหรณ์ของเจ้าถูกต้องเสมอ พอใจหรือยัง?”

หญิงสาวคนนั้นยิ้มกว้างอย่างพอใจ สั่งชายคนนั้นว่า

“รีบเดิน พวกเราต้องรีบกลับไปให้ท่านปู่รักษาเขา หากว่ายังชักช้าต่อไปเกรงว่าคงจะตายเข้าจริงๆ”

ชายคนนั้นพยักหน้าเอาเถาวัลย์ขึ้นมาพาดไว้บนบ่าอีก ครั้งลากคนด้านหลังเดินไปทีละก้าว

เมื่อผ่านข้างกายหญิงสาวคนนั้นแล้ว นางกลับไม่ได้ขยับไปไหนเพียงแต่หันมองคนที่นอนอยู่ ดวงตาโค้งราวกับจันทร์เสี้ยว เสียงเล็กพึมพำออกมาเบาๆ ว่า “ใบ หน้าภายใต้โคลนนี้จะเป็นอย่างไรกันนะ?”

เสียงดนตรีล่องลอยประสานกับการร่ายรำที่งดงาม

งานเลี้ยงในพระราชวังไท่ฮวงยังคงดำเนินต่อไป แต่กลับไม่ได้คึกคักอย่างที่คิดไว้

มู่ชิงเกอเล่นกับจอกเหล้าในมือ ดวงตาหรี่เล็กลง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ท่าทีที่ดูเกียจคร้านนี้ของนางกลับดึงดูดสายตาคนมาก

นางรำที่กำลังร่ายรำอยู่ในตำหนักล้วนแต่ส่งสายตาชื่นชมมาให้

พวกนางได้เห็นความร้ายกาจของพระชายาองค์ใหม่กับตาตนเอง นั่นทำให้พวกนางรู้สึกชื่นชมและนับถือมาก เวลานี้พวกนางเหมือนจะลืมไปแล้วว่าคนที่นั่งอยู่ ตำแหน่งประธานอย่างเคร่งขรึมนั้นเป็นพระชายา และก็เป็นผู้หญิงเหมือนกันกับพวกนาง อีกทั้งยังเป็นผู้หญิงขององค์ราชา! พวกนางเพียงคิดจะทำให้ดีที่สุดหวังจะให้นางมองมาเท่านั้น

กู่หยาและกู่เย่รู้สึกขมขื่นในใจ เสน่ห์ของมู่ชิงเกออยู่เหนือจากที่พวกเขาคาดการณ์เอาไว้ แต่ทันใดนั้นพวกเขาก็รู้สึกว่าโชคดีที่มู่ชิงเกอใช้ผ้าม่านแขวนบดบังสายตาของพวกผู้ชายเหล่านั้นเอาไว้ มิเช่นนั้นแล้ว หากมีผู้ชายมาชอบพระชายาอีก รอจนองค์ราชากลับมา พวกเขาคงต้องตัดคอตนเองเพื่อชดใช้ความผิดอย่างแน่นอน

งานเลี้ยงในครั้งนี้ทุกคนดื่มกินอย่างไร้รสชาติ นิ่งเงียบรอคอยงานเลี้ยงสิ้นสุด

ทันใดนั้น องครักษ์มารคนหนึ่งก็เช้ามาในตำหนักอย่างรวดเร็ว ไล่นางรำเหล่านั้นไปแล้วมาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าของมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอหรี่ตาเล็กลง ยืดกายไปข้างหน้าอย่างไม่รู้ตัว

นางมององครักษ์มารที่คุกเข่าอยู่บนพื้น หัวใจเต้นแรง

‘คงไม่ใช่ว่าได้ข่าวของซือมั่วแล้วหรอกนะ?’

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!