Skip to content

พลิกปฐพี 423

ตอนที่ 423

ถอยทัพ ชนะศึกแรก!

เหวหนอนโบราณแบ่งแยกระหว่างเผ่าเทพและมารออกจากกัน

โลกใต้รอยแยกเป็นพื้นที่ลึกลับที่ไม่เคยถูกรบกวนมานับแสนปี

ภายในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในเหวหนอนโบราณ บนเตียงไม้ในห้องที่เรียบง่ายมีคนรูปร่างสูงใหญ่นอนอยู่อย่างเงียบสงบ ไม่รู้ว่าเขาหลับไปนานแค่ไหนแล้ว ดู

เหมือนจะยังไม่รู้สึกตัว ข้างกายของเขามีหญิงสาวเผ่าฉงคนหนึ่ง มือหนึ่งเท้าแก้มมองดูเขาอย่างหลงใหล ราวกับว่ามองอย่างไรก็ไม่เบื่อ

“คิดไม่ถึงว่าเมื่อล้างตัวให้สะอาดแล้วเจ้าจะหล่อถึงขนาดนี้ ข้าโตมาขนาดนี้ยังไม่เคยเห็นใครหล่อเท่าเจ้ามาก่อนเลย” นางพึมพำออกมา สองแก้มแดงก่ำด้วยความ เขินอาย

จากนั้นนางก็ขมวดคิ้ว ในแววตาซุกซนตามประสาสาวน้อยนั้นดูเป็นกังวล พลางเอ่ยว่า “ท่านปู่พูดว่าเมื่อสมควรฟื้นเจ้าก็จะฟื้นเอง แล้วเมื่อไหร่เจ้าถึงจะฟื้นสัก

ที?”

‘ซือมั่ว ข้าฆ่าเจ้าไม่ได้แต่ข้าสามารถทำให้เจ้าสูญเสียสิ่งสำคัญไปได้!’

‘ข้าขอถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าจะยอมแต่งงานกับข้าไหม! หากเจ้าแต่งงานกับข้า ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า!’

‘ซือมั่ว บาดแผลเก่าเจ้ายังไม่หายดี เจ้าไม่ใช่คู่มือของข้า! เจ้ายอมแพ้เสียเถอะ!’

‘ซือมั่ว ข้าทำเพื่อเจ้าตั้งมากมาย เหตุใดเจ้าถึงมองไม่เห็นความจริงใจของข้าบ้าง?’

ซือมั่ว ในเมื่อข้าไม่ได้เจ้าก็จะไม่ยอมให้ใครได้เจ้าไป!’

‘หลียวน ข้ากับเจ้าเพียงแค่ร่วมมือกันก็เท่านั้น แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นเช่นนั้น เจ้าต้องการข่าวสารของเจ้า ข้าก็ต้องการข่าวสารของข้า ระหว่างข้ากับเจ้าก็มีเพียงแค่นี้ ครั้งนี้เจ้าลวงข้ามา ต่อไปเจ้ากับข้าก็จะเป็นศัตรูกัน วันนี้หากข้าไม่ตาย วันหน้าข้าจะเอาชีวิตเจ้า!’

‘ดี! ในเมื่อเจ้าตัดสินใจเช่นนี้ ข้าก็จะทำให้เจ้าสูญเสียสิ่งสำคัญที่สุด ทำให้เจ้าเจ็บปวด! เสียใจ!’

“เจ้ากล้า!”

“อ้า!”

หญิงสาวที่อยู่ข้างเตียงถูกเสียงร้องของคนที่ลุกขึ้นมาอย่างกะทันหันทำให้ตกใจจนตกเตียง

เมื่อนางได้สติขึ้นมาถึงได้มองคนบนเตียงอย่างดีใจ นางลูบก้นที่เจ็บแล้วลุกขึ้นมายืนให้ดี “ในที่สุดเจ้าก็ขึ้นแล้ว? รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่?”

คนบนเตียงค่อยๆ หันหน้ามาใช้นัยน์ตาสีอำพันมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างเตียง หญิงสาวถูกเขาจ้องมองจนหัวใจเต้นแรง รู้สึกประหม่าขึ้นมา

เห็นได้ชัดว่านัยน์ตาของเขาเรียบสงบมาก แต่นางกลับรู้สึกถึงความกดดันที่ยากจะขัดขืนกดลงบนร่างกายของตนเองจนทำให้นางแสบผิว

“เจ้าช่วยข้างั้นหรือ?” เขาพูดขึ้น

เสียงนั้นน่าฟังมากราวกับเหล้าหมักบ่มที่มอมเมาคน เมื่อหญิงสาวได้ยินแล้วดวงตาก็หวานเชื่อมหลงใหลในทันที

ทันใดนั้นนางก็เห็นว่าผู้ชายคนนี้ขมวดคิ้วขึ้นมา ถึงได้ฟื้นคืนสติ พยักหน้าเอ่ยว่า “ใช่ เป็นข้ากับเพื่อนช่วยเจ้าขึ้นมาจากหนองนํ้าใหญ่”

“อึม” ซือมั่วถอนสายตากลับไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งใดๆ

“เจ้าเป็นใครกัน เหตุใดถึงได้ไปอยู่ในหนองนํ้าใหญ่ได้?” เมื่อความรู้สึกกลัวในใจลดน้อยลงแล้ว นางก็พุ่งไปที่ข้างเตียงเอ่ยถามออกมาอย่างระมัดระวัง

แต่ซือมั่วก็ส่งสายตาเย็นชาดุจนํ้าแข็งมาให้นาง ทำให้นางชะงักอยู่ที่เดิมไม่กล้าเข้าไปใกล้

“ข้า…ข้าจะไปเอานํ้ามาให้เจ้าแล้วก็จะบอกให้ท่านปู่ มาดูอาการเจ้า” หญิงสาวรีบออกไปจากห้อง นางไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองถึงเป็นอย่างนี้ ที่นี่คือบ้านของนางชัดๆ!

หลังจากนางไปแล้ว ซือมั่วก็แค่นเสียงออกมาอย่างรังเกียจว่า “ผู้หญิง วุ่นวาย”

จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วขึ้น

ความทรงจำภายในหัวหยุดอยู่ที่ฉากก่อนจะฟื้นขึ้นมา

หลียวน คนของเผ่าเทพลอบส่งข้อมูลที่เขาต้องการมาให้โดยตลอด แต่ครั้งนี้กลับกล้าหลอกเขา! นัยน์ตาของซือมั่วฉายแววอำมหิต

เขาจะต้องไปเอาชีวิตของหลียวนมาให้ได้!

เพียงแต่ว่า…

ซือมั่วขมวดคิ้วแน่นขึ้น หลียวนเอาอะไรไปจากเขา’?

ไม่! ไม่ใช่เอาไป! นางยังไม่มีความสามารถถึงขนาดนั้น เพียงแค่ผนึกไว้เท่านั้น!’ นัยน์ตาของซือมั่วฉายแววดุดัน เกิดความรู้สึกไม่เข้าใจ มุมปากของซือมั่วโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็น ‘เพียงแค่ผนึกเท่านั้นคิดจะขวางข้างั้นหรือ?’

เขาหลับตาลงขับเคลื่อนพลังจิต ดูเหมือนคิดจะทำลายผนึกของหลียวน

แต่เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งแล้วเขาก็ลืมตาขึ้น นัยน์ตาสีอำพันฉายแววแข็งกร้าวขึ้นมา “หญิงอำมหิต!”

เขาพบว่ามีกลิ่นอายของคำสาปในผนึกของหลียวน

เมื่อไม่รู้เนื้อหาของคำสาปทำให้เขาแก้คำสาปไม่ได้

“เป็นคำสาปอะไรกัน?” ซือมั่วขมวดคิ้วครุ่นคิด ภายในความทรงจำของเขาไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับคำสาปของหลียวนเลย

“น่าตายนัก! นางผนึกอะไรของข้าไปกันแน่?” ซือมั่วเอามือกุมหัวใจของตนเอง ความรู้สึกสูญเสียบางอย่างตีตื้นขึ้นมาในใจ ความทรงจำของเขายังคงสมบูรณ์ดี แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง หัวใจของเขาก็รู้สึกโหวงเหวง เหมือนกับขาดอะไรไปทำให้เขารู้สึกปวดใจ

“ของสำคัญที่สุดของข้า…คืออะไรกันแน่?” ซือมั่วครุ่นคิดแต่ก็หาคำตอบไม่ได้ ทันใดนั้นหญิงสาวก็กลับมา พร้อมกับคล้องแขนชายชราคนหนึ่งเข้ามาด้วย

“เจ้าตื่นแล้วหรือ?” ชายชรายิ้มมองซือมั่ว

ซือมั่วเก็บความคิดกลับแล้วมองเขาอย่างนิ่งเงียบ

ครู่หนึ่งเขาถึงพูดว่า “ขอบคุณที่ช่วยเหลือ วันหน้าจะตอบแทน”

เขาจากมานานมากแล้วจำเป็นต้องรีบกลั ไปยังวังไท่ฮวง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีความคิดเป็นอื่นไป

ซือมั่วลุกขึ้นยืนจากเตียง ความสูงใหญ่ของเขาทำให้ห้องดูแน่นขึ้นมาในพริบตา

“เจ้าจะไปแล้วงั้นหรือ?” หญิงสาวรีบถามอย่างร้อนใจ ซือมั่วหันมองนาง นัยน์ตาสีอำพันดูเรียบสงบเหมือนคนๆ นี้ไม่มีตัวตน

“เจ้าเพิ่งจะฟื้นยังไม่ทันได้หายดี ไม่สู้พักผ่อนให้หายดีก่อนค่อยไป” ชายชราถูกหญิงสาวลอบดึงจึงพูดออกมา

ซือมั่วมองเขา ใบหน้าอันหล่อเหลาดูเรียบสงบ เขาพูดว่า “ข้าไม่สะดวกอยู่ในเขตของเผ่าฉงนาน”

“เพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้น ไม่เป็นอะไรหรอก พลังของเจ้ายังไม่ฟื้นฟูดี หากว่าจากไปแล้วพบเจอกับอันตราย จะทำอย่างไร?” ชายชราโน้มน้าวใจต่อ

ซือมั่วขมวดคิ้ว

แต่ก็จริง พลังมารในร่างของเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ ไม่สมดุล จำเป็นต้องพักรักษาตัว

หากไม่สนใจร่างกายรีบกลับไปยังพระราชวังไท่ฮวง หากพบกับกบฏก่อความวุ่นวายจริงๆ ด้วยสภาพของเขาในตอนนี้ก็จะเป็นการช่วยให้พวกเขาบรรลุเป้าหมายมากกว่า

‘เอาเถอะ อยู่ต่ออีกไม่กี่วัน หลังจากร่างกายหายดีแล้วค่อยกลับไปพระราชวังไท่ฮวง ไม่กี่วันนี้ก็จะได้รู้กันว่ามีใครบ้างที่อดทนไม่ไหว’ นัยน์ตาของซือมั่วฉายแววเย็นชา ตัดสินใจในใจ

“เช่นนั้นก็รบกวนแล้ว” ซือมั่วพูดกับชายชรา

ชายชรายิ้มพยักหน้า ลอบพิจารณาซือมั่วอย่างพอใจ เวลานี้เองหญิงสาวก็พูดขึ้นว่า “เจ้าชื่อว่าอะไร?”

แต่เมื่อถูกสายตาที่เย็นชาของซือมั่วมองมาก็ทำให้นางหยุดในทันทีไม่กล้าพูดมากอีก

‘ผู้ชายคนนี้…น่ากลัวจริงๆ!’ นางเอ่ยในใจอย่างขลาดกลัว

มู่ชิงเกอยืนตรงอยู่บนกำแพงของแดนมารข้างแม่นํ้าเมิ่งหลาน

นางยิงปืนไรเฟิลในมืออย่างต่อเนื่อง

การโจมตีเหล่านี้ทำให้เผ่าอี้ตัวเล็กหายไปอย่างต่อเนื่อง ส่วนกองทัพใหญ่ของเผ่าอี้อีกด้านหนึ่งของแม่นํ้าก็ตกอยู่ในสภาวะสับสนวุ่นวาย

มู่ชิงเกอกลายเป็นผู้ต่อสู้กับศัตรูเพียงคนเดียวบนกำแพง

ทหารมารนับไม่ล้วนอ้าปากค้างมองนางอย่างตกตะลึง

เท่!

เท่เกินไปแล้ว!

เงาร่างของมู่ชิงเกอเปล่งประกายขึ้นมาในใจของทหารเผ่ามาร พวกเขาต่อสู้กับเผ่าอี้มาตั้งนานหลายปีไม่เคยได้ชัยชนะอย่างเด็ดขาดเช่นนี้มาก่อน มองดูพระชายาของพวกเขาถืออาวุธที่พวกเขาไม่รู้จัก กำจัดเผ่าอี้จำนวนมาก!

เผ่าอี้ที่อยู่ในแม่นํ้าเมิ่งหลานตกใจจากการฆ่าล้างอย่างกะทันหัน จึงถอยทัพไป

เผ่าอี้ที่วิ่งหนีจากปืนของมู่ชิงเกอได้ค่อยๆ ถอยกลับกองทัพใหญ่ของตนเอง และในตอนนี้เององครักษ์มารสี่คนที่ใช้พลังไปจนหมดก็ตกลงมาจากกลางอากาศพอดี

กู่หยาและกู่เย่สั่งให้คนไปรับแล้วพาพวกเขากลับไปพักที่กระโจม

หมอกสีดำกลับมาคลุมเงาร่างของเผ่าอี้อีกครั้ง มู่ชิงเกอขมวดคิ้วแล้วเก็บปืนไรเฟิลกลับ

เมื่อมองเห็นเผ่าอี้ที่เหลือวิ่งกลับไปยังฝั่งแม่นํ้าอย่างทุลักทุเลแล้ว นางก็หันกลับมามองทหารเผ่ามารที่กำลังตกตะลึงอยู่

“เมื่อครู่ใครพูดว่าพระชายาเพิ่มความวุ่นวายนะ?” หลิงจิวพึมพำออกมา

ชิงเจ๋อเหลือบมองเขาแล้วเอ่ยแทงใจว่า “ดูเหมือนว่าจะเป็นเจ้าที่พูด”

หลิงจิวมุมปากกระตุก ตบปากตนเองอย่างรุนแรงไปทีหนึ่ง บนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึงและนับถือ “ข้าขอถอนคำพูดที่เคยพูดไป พระชายาเป็นดาวนำโชคที่บรรพบุษเผ่ามารส่งมาช่วยโดยแท้!”

ชิงเจ๋อมองเขาอย่างดูแคลน สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ระงับอาการตะลึงในใจแล้วเดินไปหามู่ชิงเกอ

เขามาถึงตรงหน้าของมู่ชิงเกอ เดินผ่านกู่หยาและองครักษ์มารคนอื่นๆ จัดชุดเล็กน้อยจากนั้นก็ชันเข่าข้างเดียวลงกับพื้น ในขณะที่มู่ชิงเกอกำลังแปลกใจ เขาก็ พูดขึ้นมาว่า “ชิงเจ๋อขอเป็นตัวแทนทหารมารทุกคน ขอบคุณพระชายาที่ช่วยชีวิต!”

หากไม่มีมู่ชิงเกอก็ไม่รู้ ว่าศึกในครั้งนี้จะต้องสูญเลียกำลังพลทหารมารไปเท่า ไหร่

คำพูดของชิงเจ๋อทำให้หยวนฟงได้สติขึ้นมา

ทหารเผ่ามารบนกำแพงค่อยๆ คุกเข่าลงกับพื้นประสานเสียงพูดกับมู่ชิงเกอว่า “พระชายาแข็งแกร่ง! พระชายาไร้เทียมทาน!”

“พระชายาแข็งแกร่ง!”

“พระชายาไร้เทียมทาน!”

เสียงที่ออกมาจากใจดังกึกก้องจนไปถึงอีกด้านหนึ่งของแม่นํ้า

ภายในกองทัพใหญ่เผ่าอี้ที่ค่อยๆ สงบลงมีเสียงแหบพร่าสายหนึ่งดังขึ้นมาว่า “พระชายางั้นหรือ? น่าสนใจ… น่าสนใจ…”

สั่วเซิ่งและเซ่อฉินสบตากันท่ามกลางเสียงอันกึกก้อง สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาคาดการณ์เอาไว้ เดิมทีพวกเขาคิดว่ามู่ชิงเกอจะอับอายหนีไปจากสนามรบอย่างทุลักทุเล สนใจเพียงชีวิตของตนเองไม่ห่วงความปลอดภัยของคนอื่น

คิดไม่ถึงว่ามู่ชิงเกอจะแสดงฝีมือที่งดงามถึงเพียงนี้

นางไม่เพียงแต่มีความสามารถในการวิเคราะห์และวางแผน แต่ยังมีความสามารถในการออกศึกอีกด้วย โดยเฉพาะอาวุธของนางซึ่งดูแปลกประหลาดมากแต่ก็ ร้ายกาจมากเช่นกัน

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากมาถึงแม่นํ้าเมิ่งหลานทำให้สั่วเซิ่งและเซ่อฉินยอมรับว่าพวกเขาประเมินมู่ชิงเกอตํ่าเกินไป

ในใจเริ่มเกิดความนับถือขึ้นมาช้าๆ

“ลุกขึ้นมาเถอะ ในเมื่อข้าเป็นพระชายาของพวกเจ้า พวกเจ้าก็เป็นประชาชนของข้า ข้าก็สมควรจะปกป้องพวกเจ้า อยู่ร่วมกับพวกเจ้า สิ่งนี้เป็นหน้าที่ ไม่ต้องขอบ คุณ” มู่ชิงเกอพูดเสียงเรียบ คำพูดที่สวยงาม ใครบ้างจะพูดไม่เป็น?

ถึงอย่างไรนางก็ได้ออกแรงไปจริงๆ ถือโอกาสซื้อใจคนสักหน่อย…ไม่ใช่สิ เป็นใจมารแล้วจะเป็นอะไรไป? มีความสามารถก็มากัดนางสิ!

และหลังจากที่นางพูดจบ ภายในนัยน์ตาของทหารมารจำนวนไม่น้อยก็ฉายแววซาบซึ้งใจ

ชิงเจ๋อยืนขึ้นมาแล้วพูดกับมู่ชิงเกอว่า “พระชายา ถึงแม้ว่าเผ่าอี้จะถอยไปชั่วคราว แต่กองทัพของพวกมันก็ยังอยู่อีกฝั่งของแม่นํ้าเมิ่งหลาน ต่อไปพวกเราจะต่อสู้ อย่างไรดี?”

หลังผ่านประสบการณ์ครั้งนี้มาทำให้ไม่มีใครสงสัยในความสามารถของมู่ชิงเกออีก

หยวนฟงก็พูดขึ้นมาอย่างระมัดระวังว่า “ต้องส่งคนออกไปสืบจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของพวกมันหรือไม่?”

มู่ชิงเกอพยักหน้า “เรื่องสืบนั้นต้องทำแน่นอนอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่เรื่องที่ด่วนที่สุด”

หืม?

หมายความว่าอย่างไร?

คำพูดของมู่ชิงเกอทำให้บรรดาคนสำคัญเหล่านี้มึนงง

มู่ชิงเกอพูดว่า “ไม่ว่าจุดมุ่งหมายของพวกมันคืออะไร หน้าที่ของพวกเราก็มีแค่อย่างเดียวก็คือขวางพวกมันไว้ด้านนอกแม่นํ้าเมิ่งหลาน มิใช่หรือ?”

“ไม่ผิด!”

“ใช่แล้ว!”

“เป็นเช่นนั้น!”

เจ้าเมืองย่อยทั้งสี่คนแล้วก็หยวนฟงล้วนแต่พยักหน้า

มู่ชิงเกอหันไปมองแม่นํ้าเมิ่งหลาน วางมือบนราวกั้นด้านหน้าแล้วพูดว่า “ดังนั้นเรื่องเร่งด่วนก็คือขัดขวางการบุกโจมตีของเผ่าอี้ ข้ารับรองได้ว่าการโจมตีครั้งต่อ ไปของพวกมันจะต้องคิดจะทำลายที่นี่อย่างแน่นอน พวกเราจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมทันที หยวนฟง…”

“ข้าน้อยอยู่ที่นี่!” หยวนฟงขานรับทันที

มู่ชิงเกอไม่ได้หันหน้ามา พูดต่อว่า “เจ้าส่งคนออกไป คำนวณความเสียหายในครั้งนี้ ส่งคนออกไปซ่อมกำแพงและเสริมทหาร นำทหารที่บาดเจ็บไปรักษาทันที ให้นับจำนวนทหารที่สามารถรบได้และอาวุธทั้งหมด สรุปรวมส่งมาให้ข้า แล้วก็ส่งคนออกไปสำรวจความเคลื่อนไหวของฝั่งตรงข้ามเรื่อยๆ”

“พ,ะย่ะค่ะ!” หยวนฟงรับคำสั่ง

มู่ชิงเกอหันหน้ามามองเจ้าเมืองย่อยทั้งสี่แล้วพูดกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าตามข้าไปกระโจมวางกลยุทธ์”

ทั้งสี่คนพยักหน้า ไม่มีใครเห็นต่าง

ฝั่งทางเผ่ามารเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและเป็นระเบียบภายใต้คำสั่งของมู่ชิงเกอ…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!