Skip to content

พลิกปฐพี 424

ตอนที่ 424

ที่มาของเผ่าอี้

ที่แม่นํ้าเมิ่งหลานมีกำแพงเมืองสูงขัดขวางการบุกโจมตีของเผ่าอี้

ภายในกระโจมวางกลยุทธ์ มู่ชิงเกอนั่งอยู่ตำแหน่งประธาน หลุบตาครุ่นคิด กระบะทรายด้านหน้าของนาง เปลี่ยนรูปแบบ ลมที่พัดก่อนหน้านี้เปิดเผยให้เห็นกองทัพใหญ่ของเผ่าอี้ ทำให้การจัดวางบนกระบะทรายถูกจัดใหม่

เจ้าเมืองย่อยทั้งสี่ล้วนแต่รอคอยอย่างเงียบสงบอยู่ด้านซ้ายและขวาของนาง ทุกคนมองดูกระบะทรายอย่างเคร่งเครียด

ตอนที่หยวนฟงเดินเข้ามาก็มองเห็นฉากนี้แล้ว เขาชะงักไปแต่ก็ได้สติอย่างรวดเร็ว

ถึงแม้ว่าเผ่ามารจะรบชนะไปครั้งหนึ่ง แต่การศึกก็เพิ่งเริ่มต้นขึ้น การบุกโจมตีอย่างเต็มที่ของเผ่าอี้สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ส่วนพวกเขาจำเป็นต้องขัดขวางเอาไว้ให้ได้

ดังนั้นเขาจึงค่อยๆ ลอบเดินเข้าไปใกล้ ไปยืนอยู่ข้างหลิงจิว อีกฝ่ายมองเขา ส่วนเขาก็เพียงพยักหน้าทักทาย ไม่ได้ส่งเสียงรบกวนมู่ชิงเกอ

ผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่มาทำให้ไม่มีใครดูแคลนมู่ชิงเกออีก!

มู่ชิงเกอหลับตาลง วางข้อศอกลงบนโต๊ะด้านหน้า นิ้วมือคํ้าอยู่ที่ใต้คาง ดูเหมือนว่านางกำลังหลับอยู่

เวลาผ่านไปนานแล้ว สั่วเซิ่งและเซ่อฉินสบตากันแวบหนึ่งแล้วขมวดคิ้ว

หลิงจิวส่งสายตามองไปยังชิงเจ๋อเรื่อยๆ

มีเพียงแต่กู่หยาและกู่เย่เท่านั้นที่ยังคงเรียบเฉย นิ่งอยู่ด้านหลังของมู่ชิงเกอดุจดั่งรูปปั้น

“แค่ก แค่ก” ชิงเจ๋อไอออกมาเบาๆ เอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “พระชายารู้สึกเหนื่อยหรือไม่? พักก่อนดีไหม อย่าได้หักโหมเกินไป”

เมื่อเสียงของเขาจบลง เซ่อฉินก็รีบพูดขึ้นในทันทีว่า “ใช่แล้ว! พระชายากำลังตั้งครรภ์เลือดเนื้อเชื้อไขขององค์ราชา หากว่าเหน็ดเหนื่อยจนมีอะไรผิดพลาดไป พวกเราไม่อาจแบกรับความรับผิดชอบได้”

พวกเขายังจำได้ว่าตกหลุมพรางมู่ชิงเกอ จึงกังวลว่าหากนางเป็นอะไรไปแล้วจะทำให้เขาและสั่วเซิ่งต้องรับโทษไปด้วย

หลังจากเสียงของทั้งสองคนจบลง ในที่สุดมู่ชิงเกอก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น แต่นัยน์ตาของนางไม่ได้มีร่องรอยของความเหนื่อยล้าอยู่เลย

นางมองไปยังชิงเจ๋อและเซ่อฉิน แล้วพูดอย่างนิ่งสงบว่า “ข้าไม่เป็นอะไร”

พูดแล้วนางก็หันมองหยวนฟง

เมื่อถูกนางมองมาแผ่นหลังของหยวนฟงก็แข็งทื่อขึ้น ก้าวออกมาทันที กุมสองมือคำนับ “พระชายามีสิ่งใดจะกำชับ!”

“พูดสิ่งที่เจ้ารู้เกี่ยวกับเผ่าอี้ให้ข้าฟัง” มู่ชิงเกอมองเขา

เผ่าอี้นั้นเหมือนกับพวกตัวประหลาดที่นางพบในสนามรบโบราณแห่งเทพมารไม่มีผิด จุดๆ นี้ทำให้นางรู้สึกแปลกใจมาก

และการที่เผ่าอี้พัวพันเผ่าเทพและเผ่ามารก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกแปลกใจ ความรู้สึกนี้ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นด้วยเหตุใด หยวนฟงเป็นแม่ทัพเฝ้าแม่นํ้าเมิ่งหลานและมักจะสืบ เรื่องราวของเผ่าอี้ เขาจะต้องเข้าใจเผ่าอี้มากกว่าคนอื่น

“เรื่องนี้…,” หยวนฟงขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นลูบหัว พูดอย่างลำบากใจว่า “ข้าไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี”

เขาพูดไม่เก่งทำให้รู้สึกลำบากใจที่จะพูด

เวลานี้เองชิงเจ๋อก็ก้าวออกมา เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ให้ข้าพูดถึงที่มาของเผ่าอี้คร่าวๆ ให้พระชายาฟังดีกว่า หลังจากพระชายารู้คร่าวๆ แล้วค่อยให้แม่ทัพหยวนพูด สถานการณ์ภายในกองทัพเผ่าอี้ให้ฟัง”

เช่นนั้นก็ได้!

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอไม่ขยับ พยักหน้า

ความสุขุมของนางทำให้คนชื่นชม แม้แต่พวกสั่วเซิ่งสองคนก็ยังต้องมองนางใหม่!

“ทุกคนต่างรู้ดีว่านับตั้งแต่มีผืนดินแผ่นฟ้ามา อากาศบริสุทธิ์ลอยขึ้น ความขุ่นมัวลงสู่ด้านล่าง โลกที่พวกเรารู้จักก็คือโลกใหญ่เล็กนับพัน แต่โลกทุกโลกก็แบ่งออกมาจากโลกหลัก ส่วนโลกหลักนั้นพูดกันว่าเป็นแผ่นดินที่ล่องลอยไปเรื่อยๆ และถูกเผ่าเทพและเผ่ามารเรียกว่าแผ่นดินนิรันดร” ชิงเจ๋อค่อยๆ พูดขึ้น

มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น นางคิดไม่ถึงว่าชิงเจ๋อจะเริ่มเล่าตั้งแต่เริ่มเปิดโลกมาแบบนี้

แต่ทว่าเรื่องราวเหล่านี้นางไม่เคยรู้มาก่อน ฟังไปก็ไม่เสียหาย

ชิงเจ๋อพูดต่อว่า “พูดกันว่าหากสามารถเข้าไปในโลกหลักได้ก็จะสามารถมีชีวิตเป็นนิรันดรได้อย่างแท้จริง แต่เรื่องเหล่านี้ไกลตัวไปสักหน่อย ที่ข้าพูดให้พระชายาฟังก็เพื่อให้พระชายารู้ว่าโลกใหญ่เล็กนับพันแบ่งออกมาจากโลกหลัก แต่ในโลกทุกใบล้วนแต่มีกลไกของใครของมัน ดุจดั่งต้นไม้หลักที่มีกิ่งก้านสาขาแยกออกและบนกิ่งก้านสาขาก็มีใบไม้มากมาย”

การอธิบายของขิงเจ๋อทำให้ในหัวของมู่ชิงเกอเกิดภาพที่สดใสขึ้นมา

เขาเปรียบเทียบได้ดีมาก อธิบายจนมู่ชิงเกอเข้าใจโลกใหญ่เล็กนับพัน โลกหลักที่เขาพูดถึงก็เหมือนกับลำต้น ส่วนแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารที่ทุกคนในโลกยุคกลางมุ่งหน้ามาก็เปรียบเหมือนกับกิ่งก้านหนึ่งที่เกิดออกมาจากลำต้น ส่วนใบก็คือโลกใหญ่เล็กนับพัน

“ก่อนหน้านี้แสนปี เผ่าเทพและเผ่ามารก่อสงครามขนาดใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อน บางทีอาจจะเป็นเพราะศึกในครั้งนั้นต่อสู้อย่างรุนแรงเกินไป ทำให้เกิดรอยแยกขึ้นบนโลกที่ไม่เคยรบกวนกันมาก่อน ทำให้มีบางพื้นที่ทับซ้อนกัน” เสียงของชิงเจ๋อดังขึ้นภายในกระโจมกลยุทธ์

มู่ชิงเกอฟังเงียบๆ ทำความเข้าใจโลกนี้ใหม่อีกครั้ง

“เผ่าอี้ปรากฎเกิดขึ้นในตอนนั้น พวกมันแปลกประหลาดมาก แม้ว่าพวกเราจะสัมผัสมาเป็นแสนปีก็ยังคงไม่รู้จักพวกมันดี เพราะว่าทุกๆ ครั้ง พวกมันก็จะเข้า

มาจากรอยแตกและหลังจากจบศึกก็จะจากไป”

มู่ชิงเกอหรี่ดวงตาเล็กลง เอ่ยว่า “ความหมายของเจ้าก็คือเผ่าอี้เหล่านี้ที่จริงแล้วเป็นสิ่งมีชีวิตจากโลกอื่นที่ถูกชักนำมาเพราะเกิดรอยแตกจากศึกครั้งใหญ่ ระบบของโลกที่แตกต่างกันสองโลกทับซ้อนกันถึงได้ทำให้พวกมันมาปรากฎตัวอยู่ที่นี่ได้”

“ไม่ผิด!” ชิงเจ๋อพยักพยักหน้า “ตอนเริ่มต่อสู้แรกๆ พวกเราก็ไม่รู้ว่าเผ่าอี้เหล่านี้มาทำสงครามทำไม ต่อมาพวกเราถึงได้สังเกตเห็นว่าทุกครั้งที่พวกมันชนะศึกแล้ว พวกมันก็จะมาหามเอาซากศพของเผ่าเทพและมารไป หรือจับเชลยไปเป็นจำนวนมาก พวกเราถึงได้สรุปได้ว่า บางทีร่างกายของเผ่าเทพและมารอาจจะมีประโยชน์สำหรับพวกมัน”

“ดังนั้น จุดมุ่งหมายพื้นฐานที่พวกมันทำสงครามก็คือซากศพหรือเชลยเผ่าเทพและมาร” มู่ชิงเกอต่อคำพูดของชิงเจ๋อ

นางมองทุกคนในห้องกลยุทธ์และทุกๆ คนก็พยักหน้า

ขณะเดียวกันบนสีหน้าของทุกคนก็ฉายแววเคร่งขรึมและดุดัน

เพราะการกระทำของเผ่าอี้เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่อาจยอมรับได้

“ต่อมาพวกเราถึงได้รู้ว่าที่เผ่าอี้นำซากศพและเชลยไป ก็เพราะพวกมันกินเลือดเนื้อของพวกเราเป็นอาหาร!” ชิงเจ๋อพูดอย่างแค้นใจ

เพียงเขาพูดออกไปก็ทำให้บรรยากาศในกระโจมวางกลยุทธ์ลดอุณหภูมิลง

มู่ชิงเกอนิ่งเงียบ

เรื่องนี้กู่หยาและกู่เย่คอยบอกนางมาก่อน บางทีเลือดเนื้อของเผ่าเทพมารอาจจะเป็นเหมือน ‘ยาวิเศษ’ ดังนั้นถึงได้ทำให้พวกมันเข้ามาโจมตีเพื่อแย่งเอาซากศพ

ทันใดนั้น นัยน์ตาของนางก็เปล่งประกายออกมาพูดว่า “ถ้าหากพูดว่าเลือดเนื้อของเผ่าเทพมารมีผลลัพธ์แตกต่างกันสำหรับเผ่าอี้ อย่างเช่นอาจจะเป็นโอสถ เช่นนั้น ที่พวกมันบุกเข้ามาโจมตีอาจจะเป็นเพราะภายในโลกของพวกมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นจึงต้องการเลือดเนื้อของเทพมารอย่างเร่งด่วน?”

การคาดเดาของนางทำให้ทุกคนร่างกายเย็นยะเยือกขึ้น

ถึงแม้จะยังไม่มีหลักฐานแต่การคาดเดาของนางก็มีโอกาสเป็นไปได้สูง!

สั่วเซิ่งอดพยักหน้าไม่ได้ “การคาดเดานี้มีโอกาสเป็นไปได้ หลายปีมานี้นอกจากที่พวกเรารู้ว่าพวกมันสนใจในเลือดเนื้อของพวกเราแล้วก็ไม่เห็นพวกมันมีความสนใจอื่นอีก”

หลิงจิวขมวดคิ้ว “พูดได้ไม่ผิด แต่ก็ยากที่จะพิสูจน์”

“ก็ไม่ยากที่จะพิสูจน์สักเท่าไหร่” มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้นมองดูทุกคน ทันใดนั้นก็หัวเราะขึ้นมา “บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องส่งสายลับไปสอดแนมเพื่อหารายละเอียด แต่สามารถให้พวกมันบอกวัตถุประสงคของพวกมันออกมาเอง”

เอ๋’?

หมายความว่าอย่างไร?

“เผ่าอี้จะบอกจุดประสงค์ของพวกมันให้พวกเรารู้อย่างนั้นหรือ?” เซ่อฉินหัวเราะเยาะ

แต่มู่ชิงเกอก็ยังคงมีท่าทีปกติ พลันเผยรอยยิ้มมีเลศนัยออกมา ทำให้คนสัมผัสได้ถึงความหมายลึกๆ ในนั้น

ชิงเจ๋อขมวดคิ้ว ทันใดนั้นดวงตาก็เปล่งประกาย พูดเสียงดังว่า “ข้าเข้าใจความหมายของพระชายาแล้ว!”

เพียงเขาร้องออกมาก็ดึงดูดให้ทุกคนมองไปที่เขาในทันที แม้แต่มู่ชิงเกอก็เช่นเดียวกัน นางมองชิงเจ๋ออย่างสนใจ นัยน์ตาฉายแววขบขัน ดูเหมือนจะสนับสนุนให้เขาพูดต่อ

ท่าทางเหมือนอาจารย์สอนนักเรียนที่เป็นธรรมชาติของนางทำให้ชิงเจ๋อชะงัก แต่ก็ไม่ได้ต่อต้าน กลับกันเขารู้สึกว่านี่เป็นท่าทีที่มู่ชิงเกอควรมี เขาสงบสติแล้วพูดว่า “ความหมายของพระชายาก็คือ พวกเราสามารถใช้การเจรจาสงบศึกเป็นข้ออ้างดูเงื่อนไขที่พวกมันเสนอมาเพื่อวิเคราะห์วัตถุประสงค์ของพวกมัน!

มู่ชิงเกอพยักหน้าอย่างพอใจ

หลังจากชิงเจ๋ออธิบายแล้วทุกคนก็เข้าใจขึ้นมา

หลังจากทุกคนเข้าใจแล้วก็มองไปยังมู่ชิงเกออย่างตกตะลึง

อุบายเช่นนี้นางคิดออกมาได้อย่างไร? เหตุใดพวกเขาถึงคิดไม่ออก?

แต่ว่า…

สั่วเซิ่งขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ถึงแม้ว่าจะเป็นวิธีที่ดี แต่นับแสนปีที่ผ่านมาเผ่ามารของพวกเราไม่เคยต้องเป็นฝ่ายขอเจรจาสงบศึกมาก่อน แม้ว่าจะเป็นเพียงการแสดง ละคร แต่หากถูกเล่าลือออกไป โดยเฉพาะหากพวกเผ่าเทพรู้แล้วก็จะต้องหัวเราะเยาะพวกเราเป็นแน่!”

มู่ชิงเกอหัวเราะเอ่ยว่า “ข้าเพียงแต่เสนอวิธีสืบข้อมูลวิธีหนึ่งก็เท่านั้น ด้วยสถานการณ์ของแม่นํ้าเมิ่งหลานในตอนนี้จะรู้หรือไม่รู้จุดมุ่งหมายของเผ่าอี้ก็ไม่ต่างกัน เพราะจุดมุ่งหมายของพวกเรามีเพียงแค่หนึ่งเดียวก็คือทำให้พวกมันถอยกลับไป”

คำพูดนี้มีเหตุผลมาก

สั่วเซิ่งและเซ่อฉินสบตากันแล้วก็ลอบพยักหน้า

มู่ชิงเกอถอนหายใจในใจ ที่จริงแล้วการแกล้งทำเป็นว่าการเจรจาสงบศึกเพื่อรู้จุดประสงคของเผ่าอี้เป็นวิธีการที่สามารถแก้ไขเรื่องราวได้ดี

แต่หากทำเช่นนั้นก็จะสิ้นเปลืองเวลามากเกินไป และเผ่ามารก็ยากจะยอมรับได้

ตอนนี้นางคิดเพียงจะรีบจบศึกที่แม่นํ้าเมิ่งหลานให้เร็วที่สุดเพื่อไปที่เหวหนอนโบราณ ดังนั้นจึงไม่อยากสิ้นเปลืองเวลามาก

หลังจากเก็บความคิดกลับแล้วมู่ชิงเกอก็พูดกับหยวนฟงว่า “ข้าได้รู้ที่มาของเผ่าอี้คร่าวๆ แล้ว ตอนนี้ที่ต้องการรู้ก็คือการแบ่งระดับของกองทัพเผ่าอี้ และความ สัมพันธ์ระหว่างระดับชั้นของพวกมัน”

เผ่าอี้ตัวเล็กที่แยกตัวออกมาจากตัวประหลาดตัวใหญ่เหล่านั้นทำให้มู่ชิงเกอมั่นใจว่าการแบ่งระดับชั้นในเผ่าอี้นั้นชัดเจนมาก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!