Skip to content

พลิกปฐพี 441

ตอนที่ 441

เจ้าช่างเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก!

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์อย่าทำให้ข้ากลัว!” เสียงน่าฟังสั่นสะท้านเล็กน้อยดังขึ้นที่ข้างหูของนาง อ้อมกอดที่คุ้นเคยทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกผิด

ในตอนนี้นางถึงมองเห็นได้ชัดว่าบรรดาคนที่คุกเข่าอยู่ในห้องบรรทมก็คือองครักษ์มาร ผู้นำก็คือกู่หยาและกู่เย่ ไม่ต้องถาม นางก็สามารถเดาออกได้ว่าการที่นางหายไป ทำให้ซือมั่วตกใจและคิดจะให้องครักษ์มารออกตามหานาง

ส่วนกู่หยาและกู่เย่ก็รู้เรื่องที่นางมีช่องว่าง ดังนั้นน่าจะอธิบายไปแล้ว

ในตอนที่นางกลับมาแล้วเขาถึงสบายใจได้อย่างแท้จริง

มู่ชิงเกอหันหน้าไปก็เห็นซือมั่วที่สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ผมดำของเขายังไม่ทันได้รวบขึ้น เพียงปล่อยให้สยายอยู่ เต็มแผ่นหลัง

ซือมั่วที่เป็นเช่นนี้เพิ่มความหล่อเหล่าขึ้นหลายส่วน ลดความดุดันลงไปเล็กน้อย

มู่ชิงเกอลูบแก้มของเขาเบาๆ รับรองกับเขาว่า “ข้ารับปากเจ้าว่าจะไม่หายไปอย่างกะทันหันเช่นนี้อีก”

ซือมั่วพยักหน้า ความเย็นยะเยือกในดวงตาสีอำพันค่อยๆ ลดลงไป

เขาหันไปมองบรรดาองครักษ์มารที่คุกเข่าอยู่แล้วออกคำสั่งว่า “ถอยออกไปเถอะ”

กู่หยาและกู่เย่ไม่กล้าพูดมากนำองครักษ์ถอยออกจากตำหนักอย่างไร้เสียง

รอจนทั้งตำหนักเหลือเพียงแค่พวกเขาสองคนแล้ว ซือมั่วถึงได้มองมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยว่า “กู่หยาบอกข้าว่าเจ้ามีช่องว่างที่สามารถเข้าออกได้ตามใจ”

“ใช่” มู่ชิงเกอพยักหน้า นางเอ่ยกับซือมั่วว่า “ช่องว่างนี้เจ้าก็เคยเห็น ในตอนนั้นข้า…,

นางค่อยๆ เล่าเรื่องราวที่ทั้งสองคนเคยประสบด้วยกันมา

ความเป็นจริงก็ไม่จำเป็นต้องพูดในตอนนี้ เพียงแต่นางต้องการอธิบายความเป็นมาของช่องว่างให้ซือมั่วฟัง และจะได้พูดถึงการพบหน้ากันครั้งที่สองของพวกเขา

อืม…ถือว่าเป็นครั้งที่สอง

ในตอนที่นางถูกโบยจนเกือบตายนั้น เขาไม่ได้ปรากฎตัวออกมาและพวกเขาทั้งสองก็ไม่ได้พูดคุยกัน หลังจากเสร็จศึกกับผู้เฒ่าเป่ยหมิงแล้วถึงถือเป็นการพบกันอย่างเป็นทางการครั้งที่สองของพวกเขา!

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” เมื่อซือมั่วฟังจบแล้วก็นิ่งลงไปครู่หนึ่งถึงได้เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ เจ้าโทษที่ข้าลืมเรื่องราวระหว่างเราไปหรือไม่?”

มู่ชิงเกอชะงัก ยิ้มแล้วส่ายหน้า “นี่ไม่ใช่ความต้องการของเจ้า ทั้งเจ้าก็ถูกคนทำร้ายมา ข้าจะโทษเจ้าได้อย่างไร? อีกอย่างลืมแล้วจะเป็นอย่างไร ข้าและเจ้าจะห่าง เหินกันเพราะเรื่องนี้งั้นหรือ ?”

ซือมั่วส่ายหน้าอย่างแน่ใจ “ไม่! ในตอนที่ข้าพบเจ้า ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าสำคัญสำหรับข้ามาก”

มู่ชิงเกอยิ้ม เอ่ยกับซือมั่วว่า “รอให้อาการบาดเจ็บของเจ้าหายดีก็จะมีพลังที่จะทำลายผนึกนั่นได้แล้ว ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะจำเรื่องทั้งหมดได้เอง”

ซือมั่วค่อยๆ พยักหน้า นัยน์ตาสีอำพันฉายแววจริงจัง

เขาหรี่ตาเล็กลงแววตามีไอสังหารวาบผ่าน รอจนร่างกายของเขาฟื้นฟูดีเมื่อไหร่ ก็จะเป็นเวลาไปล้างแค้นหลียวน

“ใช่แล้ว เจ้าไม่ต้องไปหาหลียวนก่อน ให้รอข้าด้วย” ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็พูดขึ้นมา

ซือมั่วคลายสายตามองดูนางอย่างสงสัย

มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก ใช้นิ้วจิ้มอกของเขาแล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “เจ้าเคยตกหลุมพรางนางไปครั้งหนึ่งแล้ว แสดงว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา หากเจ้าไปหานางอีก เกิดว่านางทำให้เจ้าความจำเสื่อมขึ้นมาเล่าจะทำอย่างไร?”

อาศัยแค่หลียวนน่ะรึ’?

ซือมั่วยิ้มเยาะในใจ

ที่หลียวนสามารถทำเช่นครั้งนี้ได้ก็เพราะเขาบาดเจ็บ ไม่สามารถออกแรงได้เต็มกำลัง รอเขาหายดีแล้ว หลีหยวนจะมีโอกาสลงมืองั้นหรือ?

แต่ในตอนที่เขาคิดทบทวนคำพูดของมู่ชิงเกอนั้น นัยน์ตากลับสว่างเจิดจ้า พูดอย่างยินดีว่า “หรือว่าเสี่ยวเกอเอ๋อร์หึง?”

หึง หึงอะไรกันเล่า!

มู่ชิงเกอแค้นใจอยากจะตอบกลับไปแรงๆ

แต่ว่านางก็ชะงักไป ความรู้สึกหึงหวงในใจทำให้นางต้องยอมรับว่านางไม่ชอบให้ซือมั่วไปสนิทสนมกับผู้หญิงคนอื่นมากเกินไป แม้ว่าจะไปเพื่อสังหารก็ไม่ได้

มู่ชิงเกอพบว่าตั้งแต่ที่ตนเองคบหากับซือมั่วมา ดูเหมือนนางจะใจแคบขึ้นเรื่อยๆ

ยังมีเลือดหัวใจอะไรนั่นอีก…

มู่ชิงเกอถลึงตาใส่ซือมั่วอย่างไม่พอใจแวบหนึ่ง “สรุปแล้ว เจ้ารอข้าระยะหนึ่ง ข้าจะพยายามพัฒนาฝีมือ แล้วไปล้างแค้นหลียวนกับเจ้า อีกอย่างวังไท่ฮวงของพวกเจ้า ทำไมถึงได้วิปริตถึงเพียงนี้ การสืบทอดยังต้องทิ้งเลือดหัวใจไว้เพื่อสร้างทายาทอีก”

นางไม่ได้สังเกตเลยว่าคำพูดที่ตนเองกำลังพูดอยู่นั้น เหมือนผู้หญิงที่กำลังแง่งอน

นางกำลังบ่นความไม่พอใจของตนเองให้ซือมั่วฟัง

ซือมั่วมองท่าทางที่หาได้ยากนี้ของนาง ดวงตาปรากฎร่องรอยขบขันขึ้น รอจนนางบ่นเสร็จแล้วเขาถึงได้เอ่ยว่า “เจ้าตามข้ามา”

พูดแล้วเขาก็จูงมือนางเดินออกไปจากตำหนักบรรทม

มู่ชิงเกอเดินตามหลังเขาไปอย่างไม่เข้าใจ

เขาพานางไปยังตำหนักใหญ่ที่ดูเคร่งขรึมแห่งหนึ่ง

ภายในตำหนักดูเย็นยะเยือก เป็นกลิ่นอายของแดนมาร

มู่ชิงเกอมองเห็นว่าท่ามกลางรูปปั้นสัตว์อสูรภายในตำหนักขนาดใหญ่ มีก้อนแสงลอยอยู่ พวกมันอยู่ที่นี่อย่างสงบนิ่งมาอย่างยาวนาน

“พวกนี้คืออะไรหรือ?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามอย่างสงสัย ซือมั่วคงจะไม่พานางมาดูก้อนแสงพวกนี้เฉยๆ หรอกนะ

“เป็นเลือดหัวใจที่เจ้าแห่งมารทุกรุ่นทิ้งเอาไว้ตอนสืบทอดตำแหน่งตามธรรมเนียม” ซือมั่วตอบ

มู่ชิงเกอมองเขาอย่างแปลกใจ

นางแค่เพียงอยากถามเขาว่าพานางมาที่นี่ทำไม?

“เจ้าพาข้ามาที่นี่ทำไม?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม

ซือมั่วหันมองนาง ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าเป็นห่วงเลือดหัวใจของข้างั้นหรือ?”

ซือมั่วพูดแล้วก็โบกมือ แสงก้อนหนึ่งก็ค่อยๆ ลอยออกมาจากกลุ่มแล้วตกลงในมือของเขา

เขายื่นก้อนแสงในมือไปที่ตรงหน้าของมู่ชิงเกอ “เจ้าดูสิ”

มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจความหมายของเขา แต่ก็ทำตามที่เขาพูดมองก้อนแสงนั้นอย่างละเอียด

ทันใดนั้นนัยน์ตาของนางก็หดตัวลง ถอนสายตากลับแล้วมองเขาอย่างตกตะลึง “ว่างเปล่า!

ก้อนแสงที่เป็นของซือมั่วกลับว่างเปล่าไม่มีเลือดหัวใจของซือมั่วอยู่

ซือมั่วพยักหน้าแล้วพูดกับมู่ชิงเกอว่า “ลูกของข้าจะเกิดออกมาจากท้องของผู้หญิงที่ไหนก็ได้ ได้อย่างไร? อีกอย่าง…,

ทันใดนั้นเขาก็หยุดชะงัก ออกแรงบีบทำให้ก้อนแสงนั้นแตกสลายหายไป

มู่ชิงเกอมองฉากนั้นอย่างตกตะลึง

ซือมั่วใช้นิ้วช้อนคางนางขึ้นมาเบาๆ ริมฝีปากสีแดงอ่อน ยกยิ้มบางๆ แล้วพูดออกมาอย่างขี้เล่นว่า “ตอนนี้ข้าก็มีเจ้าแล้ว จะต้องการของสิ่งนี้ไปอีกทำไม? ลูกของข้าต้องเกิดจากเจ้าเท่านั้น”

มู่ชิงเกอชะงัก ลอบเอ่ยในใจว่า ‘เหตุใดถึงวกมาที่ประเด็นนี้อีกแล้วล่ะ?’

“บางทีตอนนี้เด็กคนนั้นอาจจะอยู่ในท้องของมารดาเขาแล้วก็ได้” ซือมั่วโอบมู่ชิงเกอจากด้านหลัง วางสองมือลงบนท้องที่เรียบแบนของนาง

ประโยคนี้ทำให้มู่ชิงเกอตกใจจนเกือบกระโดดออกมา รีบโต้กลับว่า “เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!”

ปฏิกิริยาที่รุนแรงของนางทำให้สีหน้าของซือมั่วมืดครึ้มขึ้น กลิ่นอายบนร่างก็เย็นยะเยือกลงหลายส่วน

“แค่ก คือ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” มู่ชิงเกอฝืนยิ้มออกมาเพื่อปลอบเขา “ไม่ได้พูดว่าจะไม่มีลูก เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม”

“เช่นนั้นตอนไหนถึงเป็นเวลาที่เหมาะสม?” ซือมั่วบีบคั้นถาม

ดูเหมือนว่าวันนี้เขาต้องได้คำสัญญาจากมู่ชิงเกอให้ได้

“…” คำถามนี้ทำให้มู่ชิงเกอลำบากใจ ตอนไหนถึงเป็นเวลาที่เหมาะสม? หน้าที่บนตัวของนางไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถจัดการให้เสร็จภายในชั่วครู่ได้ นางขมวดคิ้วรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย “สรุปแล้วยังไม่ใช่ตอนนี้”

อารมณ์ของมู่ชิงเกอทำให้ซือมั่วถอนหายใจ เขาจับมือของนางแล้วเดินออกจากตำหนัก เมื่อถึงนอกตำหนักแล้ว ซือมั่วก็มองไปยังหมอกควันสีม่วงในวังไท่ฮวงแล้วค่อยๆ เอ่ยว่า “เรื่องในอดีตถูกผนึกเอาไว้ชั่วคราว แต่ข้าก็รู้ดีว่า ไม่ว่าจะตอนนั้นหรือตอนนี้ข้าก็ฝืนใจเจ้าไม่ได้”

คำพูดของเขาทำให้มู่ชิงเกอหมดคำพูดได้แต่มองเขาอย่างรู้สึกผิด

แต่ซือมั่วก็ไม่ได้โกรธ เพียงแต่หันมองนางแล้วเอ่ยว่า “หากเจ้าไม่ยอมแต่งงานมีลูกกับข้าจริงๆ ข้าก็จะไม่บังคับเจ้า แต่ว่าก่อนหน้านี้เจ้ารับปากข้าไว้เรื่องหนึ่ง จำ ได้หรือไม่?”

รับปากเรื่องอะไร?

คำพูดระหว่างทั้งสองคนในตอนที่อยู่หลุมงูปรากฎขึ้นในหัวของมู่ชิงเกอ นางจึงพยักหน้า

เห็นนางไม่ได้บ่ายเบี่ยงแล้วซือมั่วก็ยิ้มออกมา “จำได้ก็ดีแล้ว ตอนนี้เจ้าต้องรับปากข้าว่าหากมีลูกจริงๆ เจ้าก็ต้องคลอดเขาออกมา”

เอ่อ!

มู่ชิงเกออ้าปากค้างมองเขา

ซือมั่วพูดต่อว่า “ข้ารู้ว่าวิชาการแพทย์ของเจ้านั้นร้ายกาจมาก แต่เจ้าต้องรับปากข้าว่าเมื่ออยู่กับข้า จะไม่กินยาเลี่ยงบุตร หากว่าไม่มีก็แล้วไป แต่หากว่ามีโดยไม่ตั้งใจเจ้าก็ต้องคลอดเขาออกมา แล้วก็ต้องแต่งงานกับข้าทันที”

มู่ชิงเกอกะพริบตา คิดทบทวนถึงคำพูดของเขาอย่างละเอียด รู้สึกร้อนใจขึ้นมา ‘น่าตายนัก! ช่วงระยะปลอดภัย ช่วงเวลาเสี่ยงนับกันอย่างไร? ความรู้ที่มีในชาติก่อนสามารถนำมาใช้ที่นี่ได้หรือไม่? คิดๆ ดูแล้ว ทางที่ดีก็อย่ามีอะไรกันจะดีกว่า!’

“และก็ห้ามใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างไม่ยอมใกล้ชิดข้าด้วย” คำพูดของซือมั่วทำลายความคิดของมู่ชิงเกอลงในทันที ในขณะที่นางกำลังตะลึง ซือมั่วก็พูดอย่างจริงจังว่า “อย่างไรข้าก็เป็นผู้ชายปกติ มีความต้องการก็เป็นเรื่องธรรมดา”

“…” มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก เมื่อมองเห็นใบหน้าที่จริงจังของซือมั่วแล้ว ความปากเก่งของนางก็ เหมือนโดนโห่วกินไปก็ไม่ปาน

ครู่หนึ่งนางถึงสงบใจลงได้ พูดอย่างหมดทางเลือกว่า “เหตุใดเจ้าถึงได้คิดแต่เรื่องนี้?”

เมื่อก่อนซือมั่วไม่ได้เป็นเช่นนี้

“เพราะข้าคิดว่าขอเพียงมีลูกกับเจ้าแล้ว พวกเราถึงจะเหนียวแน่นกันยิ่งขึ้น ข้าถึงจะไม่สูญเสียเจ้าไปอีก” ซือมั่วพูดเหตุผลออกมา

มู่ชิงเกอชะงัก นางคิดไม่ถึงว่าซือมั่วจะพูดคำเช่นนี้ออกมา

ที่แท้เขามีความกลัวอยู่ในใจตลอดเลยงั้นหรือ? เป็นนางที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเช่นนี้งั้นหรือ?

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ เจ้าไม่ใช่ผู้หญิงที่ยอมให้คนปกป้องตลอดเวลา เจ้ามีโลกของเจ้า มีความต้องการของเจ้า การขัดขวางก็เป็นเพียงการผลักเจ้าออกห่าง ถึงแม้ข้าจะจำเรื่องเมื่อก่อนไม่ได้ แต่ความรู้สึกนี้บอกข้าอยู่ตลอดเวลา” ซือมั่วโอบมู่ชิงเกอเข้ามาในอ้อมอก ฝังใบหน้าเข้าไปในเส้นผมของนาง สูดดมกลิ่นอายของนาง

ซือมั่วในตอนนี้ ดูไม่มีมาดของเจ้าแห่งมาร แต่ดูเหมือนเด็กที่หวาดกลัวจะสูญเสียของรักคอยซุกอยู่ในอ้อมอกนางเพื่อขอการปลอบประโลม

ซือมั่วที่เป็นเช่นนี้ทำให้มู่ชิงเกอปวดใจ

นับตั้งแต่ที่ทั้งสองคนรู้จักกันมา มีแต่เขาที่คอยเสียสละให้นาง เขาอยู่ที่สูง สูงจนนางทำอะไรให้เขาไม่ได้

แม้จะมีบางเรื่องที่ทำได้ แต่หากเทียบกับสิ่งที่เขาทำมาแล้วก็ดูเล็กน้อยลงไป

‘เพียงแค่คลอดลูกเท่านั้นเองมิใช่หรือ?’ มู่ชิงเกอให้กำลังใจตัวเอง ปลุกความรู้สึก ‘วีรบุรุษตัดสินใจแล้วไม่หวนกลับ’ ขึ้นมา นางพยักหน้าแล้วกัดฟันเอ่ยว่า “ได้! ข้าตกลง หากว่ามีจริงๆ ก็จะคลอด! และข้าก็จะไม่ใช้เล่ห์เหลี่ยมในการเลี่ยงบุตรด้วย!”

“เจ้าพูดจริงหรือ?” ซือมั่วยกศีรษะขึ้นมาจากไหล่ของมู่ชิงเกอ นัยน์ตาสีอำพันเปล่งประกาย ดุจดั่งเด็กน้อยที่ได้ลูกอมตนที่ชื่นชอบ

“แค่ก แค่ก” มู่ชิงเกอยกมือขึ้นมากุมปากไอเบาๆ ด้วยความอาย หลีกเลี่ยงสายตาที่เร่าร้อนคู่นั้น แล้วส่งเสียงขึ้นจมูกตอบกลับไป

นัยน์ตาของซือมั่วฉายแววยินดี

‘ที่แท้เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขาชอบไม้อ่อน ไม่ชอบไม้แข็ง ที่แท้วิธีนี้ก็ใช้กับเสี่ยวเกอเอ๋อร์ได้ผลดีขนาดนี้!’ ความเจ้าเล่ห์แวบผ่านนัยน์ตาของซือมั่วไป ทำให้มู่ชิงเกอที่ กำลังคิดเรื่องมีลูกอยู่ไม่ทันได้สังเกต

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์พวกเราไปกันเถอะ” ทันใดนั้นซือมั่วก็พูดกับมู่ชิงเกอ

“ไปไหน?” มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้น มองเขาอย่างมึนงง

“กลับตำหนักบรรทม” คำตอบของซือมั่วสั้นมากอีกทั้งยังชัดเจน

“…” มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก ดึงเขาเอาไว้ “ร่างกายของเจ้าไม่อาจหักโหมเช่นนั้นได้”

“เชื่อข้า ทำได้” ซือมั่วรับรองอย่างจริงจัง

“ข้าเป็นอาจารย์ปรุงยานะ” มู่ชิงเกอขบฟัน ฝืนความปวดขมับถลึงตามองผู้ชายตรงหน้า

ท่าทางที่ดุร้ายของนางทำให้ซือมั่วสงบลงเล็กน้อย วางแผนการมีลูกอันยิ่งใหญ่เอาไว้ชั่วคราว

หลังจากเห็นเขายอมทิ้งความคิดแล้ว มู่ชิงเกอถึงเอ่ยขึ้นว่า “เคราะห์ที่เจ้าเจอในครั้งนี้ถือเป็นเคราะห์เป็นตายหรือไม่?”

เมื่อนางพูดจบถึงได้คิดขึ้นมาว่าซือมั่วอาจจะจำเรื่องศาสตร์ต้องห้ามหวนคืนไม่ได้ แต่ซือมั่วกลับพูดอย่างดูแคลนว่า “หลียวน? นางคู่ควรงั้นหรือ?”

คำตอบนี้ทำให้มู่ชิงเกอชะงัก หัวใจแขวนลอยขึ้นสูง

‘หรือว่านี่เป็นผลของศาสตร์ต้องห้ามหวนคืนงั้นหรือ?’

แต่กู่หยาและกู่เย่ก็พูดอย่างชัดเจนว่า…

ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็เข้าใจ

กู่หยาและกู่เย่ไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับร่างกายของซือมั่ว การหายไปของเขาทำให้ทั้งสองคนคิดว่าผลข้างเคียงของศาสตร์ตองห้ามหวนคืนเริ่มมีผลแล้ว

ส่วนตอนนี้ ซือมั่วลืมเรื่องราวทั้งหมดที่เกี่ยวกับนาง จึงจำผลลัพธ์ของการใช้ศาสตร์ต้องห้ามหวนคืนในครั้งนั้นไม่ได้

คำถามของนางจึงถูกเขาเปลี่ยนเป็นข้อสงสัยง่ายๆ ดังนั้นเขาถึงได้พูดว่า ‘หลียวนไม่คู่ควรที่จะเป็นเคราะห์เป็นตายของเขา’

ใบหน้าของมู่ชิงเกอซีดขาวเล็กน้อย หากว่าไม่ใช่ เช่นนั้นเคราะห์เป็นตายของซือมั่ว ผลข้างเคียงของศาสตร์ต้องห้ามหวนคืนจะปรากฎขึ้นเมื่อไหร่กัน? ซือมั่วจะต้องผ่านเคราะห์เป็นตายอีกครั้งงั้นหรือ?

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์เจ้าเป็นอะไรไป?” ซือมั่วมองออกว่านางดูผิดปกติ จึงถามออกมาในทันที

มู่ชิงเกอสูดหายใจเข้าลึกๆ เก็บความคิดกลับมา ส่ายหน้า ยิ้มแล้วเอ่ยกับเขาว่า “ไม่มีอะไร”

นางต้องรีบพัฒนาฝีมือของตนเองก่อนที่เคราะห์เป็นตายที่แท้จริงของซือมั่วจะมาถึง และจะร่วมฝ่าฝันมันกับเขา!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!