ตอนที่ 444
คุณชายเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น!
“เรือลำนี้น่าจะฝืนทนต่อไปได้อีกไม่นาน!” ผู้หญิงคนนั้นมองมาที่มู่ชิงเกออย่างหวาดกลัว
เสียงของนางเพิ่งจะหลุดออกไป คลื่นใหญ่ลูกหนึ่งก็กระแทกเข้ามาจนเกือบทำให้เรือพลิกควํ่า นางร้องอย่างตกใจล้มไปชนเข้ากับกำแพงไม้อีกด้านอย่างรุนแรง
เสียง/uเท้าคนดังอลหม่านมาจากชั้นบน
มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นไป แล้วก็มองนาง “ไป ขึ้นไปก่อน”
ผู้หญิงคนนั้นสีหน้าซีดขาวเม้มริมฝีปาก ออกแรงพยักหน้าแล้วตามมู่ชิงเกอขึ้นไปอย่างทุลักทุเล
เหตุใดนางต้องมาเคาะห้องตนเองด้วย?
มู่ชิงเกอไม่มีเวลาไปถามนาง เมื่อขึ้นมานางก็เห็นคนคุมเรือที่ก่อนหน้านี้ควบคุมหางเสือกำลังตะโกนพูดอะไรกับคนบนเรือ ตอนนี้เขาไม่ได้สงบนิ่งเช่นเคยแล้ว ดูร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววหนักอึ้ง ก้าวเท้าไปหาเขา ตอนนี้เองผู้หญิงที่ตามนางขึ้นมาก็ดึงชายเสื้อของนางเอาไว้ ทำให้นางหันกลับไปมอง
สายตาของมู่ชิงเกอตกไปอยู่บนชายเสื้อที่นางดึง ขมวดคิ้วขึ้น ดวงตาฉายแววสงสัย
“พวกเรารีบไปเถอะ หากไม่ไปจะไม่ทันแล้ว!” ผู้หญิงคนนั้นพูดอย่างร้อนใจ เมื่อได้ยินคำพูดของนางแล้ว ดวงตาของมู่ชิงเกอก็หรี่เล็กลง นางจับข้อมือของผู้หญิงคนนั้นอย่างรุนแรง “เจ้ารู้เรื่องอะไร?”
ผู้หญิงคนนั้นถูกมู่ชิงเกอจับข้อมืออย่างแรง ทำให้สีหน้าดูแย่ลงไปอีกหลายส่วน
ส่วนคำพูดของมู่ชิงเกอก็ทำให้นางหลบสายตา
“เร็ว! หาที่จับยึดตัวเองเอาไว้กับเรือ อย่าให้ลมพัดไปได้!” เสียงคนคุมเรือดังมาจากด้านหลัง
แต่มู่ชิงเกอก็ไม่ได้สนใจความวุ่นวายด้านหลัง นางจ้องมองผู้หญิงที่นางจับเอาไว้
“ข้า…ข้า…” ผู้หญิงคนนั้นอํ้าอึ้งเล็กน้อย
เวลานี้เองก็มีคลื่นใหญ่ซัดเข้ามาอีกลูก ยกเรือทั้งลำจนราวกับจะลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า วาดเป็นเส้นโค้งแล้วค่อยตกลงบนทะเล
น้ำทะเลซัดเข้ามาในดาดฟ้าเรือ ตัวเรือโยกไปโยกมา คนบนเรือตกอยู่ในความอกสั่นขวัญแขวน พลังจิตของพวกเขาแทบไม่มีประโยชน์อะไรเลยในทะเลหยางไห่
มู่ชิงเกอมองออกไปก็เห็นคนคุมเรือผูกข้อมือตนเองเข้ากับหางเสือเรือ
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ ลากผู้หญิงคนนั้นไปหาคนคุมเรือ
คนคุมเรือที่กำลังผูกตนเองอย่างแน่นหนารู้สึกได้ว่ามีเงาร่างอยู่ด้านหน้าของตนเองสองร่างก็เงยหน้ามองขึ้นไป เขาไม่ทันได้ตะลึงถึงรูปโฉมของคนที่มาก็ตะคอกอย่างโมโหไปว่า “พวกเจ้าเข้ามาทำไม?”
มู่ชิงเกอไม่พูดอะไร หยิบเชือกออกมามัดเอวของตนเองไว้กับหางเสือเรือ
คนคุมเรือมองการกระทำของนางด้วยความโมโห ถลึงตากว้าง
เมื่อผูกเชือกแน่นดีแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้เงยหน้าขึ้นมองคนคุมเรือด้วยสีหน้าที่เรียบสงบ เอ่ยว่า “เจ้าอาศัยอยู่บนทะเลมานาน ก็ต้องรู้ว่าจุดไหนบนเรือที่ปลอดภัยที่ สุด ตามเจ้าไปไม่พลาดแน่”
คำพูดของนางทำให้สีหน้าของคนคุมเรือเปลี่ยนไป ไร้คำพูดจะตอบโต้ ส่วนในตอนนี้มู่ชิงเกอก็หันไปมองผู้หญิงที่อยู่ข้างกาย แล้วเอ่ยถามว่า “ถ้าหากเจ้าไม่พูดออกมา ข้าก็จะปล่อยมือ”
หากนางปล่อยมือ ผู้หญิงคนนี้ต้องถูกม้วนลงไปสู่ก้นทะเลอย่างแน่นอน
“ไม่! ไม่เอา!” ผู้หญิงคนนั้นจับมือของมู่ชิงเกอแน่น ขอร้องออกมา
มู่ชิงเกอไม่ได้หวั่นไหวไปกับท่าทีน่าสงสารของนาง เพียงแต่เอ่ยต่อว่า “ความอดทนของข้ามีจำกัด”
“เรื่องเล่านั้นเป็นความจริง!” ในที่สุดผู้หญิงคนนั้นก็ตะโกนออกมา
คำพูดของนางทำให้มู่ชิงเกอและคนคุมเรือนิ่งเงียบ มองนางเพื่อรอคำพูดต่อไป
ผู้หญิงคนนั้นเอ่ยด้วยเสียงที่สั่นเทาว่า “บ้านของข้าอยู่ริมทะเลหยางไห่ บรรพบุรุษก็ล้วนแต่อยู่ที่นั้น เรื่องเล่าของทะเลหยางไห่นั้น บรรพบุรุษของข้าบอกว่าเป็นเรื่องจริง ใต้ทะเลหยางไห่มีสัตว์อสูรยักษ์อาศัยอยู่ ที่ลมฟ้าอากาศในทะเลเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันก็เป็นเพราะสัตว์อสูรยักษ์ตัวนั้นใกล้จะตื่นขึ้นมาแล้ว หากพวกเราไม่รีบจากไปก็จะถูกสัตว์อสูรยักษ์ตัวนั้นกลืนลงท้อง’’
คำพูดของนางทำให้มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว หันไปมองคนคุมเรือ
เมื่อคนคุมเรือถูกนางมองก็เข้าใจความหมายในสายตาทันที พูดเสียงเข้มว่า “ตำนานนี้ข้าก็รู้ แต่ข้าล่องเรืออยู่ในทะเลหยางไห่มาตั้งนาน พบเจอลมฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลงมาก็มาก แต่กลับไม่เคยพบเห็นสัตว์อสูรยักษ์มาก่อน ไม่สิ! ไม่ถูก!”
คนคุมเรือเบิกตากว้าง สีหน้าเปลี่ยนเป็นย่ำแย่ขึ้นมา เขาเอ่ยว่า “ข้าจำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่ข้ามองเห็นเรือโดยสารจากที่ไกลๆ กำลังแล่นอยู่ แต่เดิมทุกอย่างก็ราบ รื่น แต่อยู่ดีๆ ท้องฟ้ากลับเปลี่ยนสี มืดมิดลงอย่างกะทันหัน เกิดลมพายุฟ้าร้องฟ้าผ่า จากนั้นก็มีเงาดำตกลงมา แล้วเรือลำนั้นก็หายไป!”
พูดถึงท่อนสุดท้าย นํ้าเสียงของเขาก็สั่นระริกขึ้นมา เขาเอาเรื่องราวที่เขาเคยพบเห็นรวมเข้ากับเรื่องเล่าที่ผู้หญิงคนนั้นพูดถึง คำพูดของเขาเพิ่งจะสิ้นสุดลงไป ทุกคนก็รู้สึกได้ว่าท้องฟ้าเหนือหัวมืดมิดลง ทุกคนบนเรือเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า รู้สึกว่าท้องฟ้าที่มืดลงมาดูเหมือนกับปากของสัตว์อสูรยักษ์ที่กำลังค่อยๆ กลืนกินพวกเขา
“นี่…” สีหน้าของคนคุมเรือบิดเบี้ยวเขียวคลํ้า มองเงาดำที่ตกลงลงมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ภายในเงาดำ สามารถมองเห็นหลอดเลือดที่เต้นระริกและฟันแหลมคมน่าเกลียดน่ากลัวได้…กระทั่งยังมีความอบอ้าวร้อนชื้นปะปนไปด้วยกลิ่นคาวที่ไม่ได้มา จากทะเลค่อยๆ โอบล้อมพวกเขาเอาไว้
คลื่นทะเลที่ปั่นป่วนผลักดันเรือโดยสารให้ลอยคว้างเข้าไปสู่เงามืด
“สัตว์…สัตว์อสูรยักษ์…” สองขาของหญิงสาวคนนั้นอ่อนยวบจนเกือบล้มนั่งลงบนพื้นดาดฟ้าเย็นชื้น
“สวรรค์! นั่นคืออะไร?”
“สัตว์อสูรยักษ์ในตำนานรึ?”
“พวกเราถูกคลื่นซัดเข้าไปในปากของสัตว์อสูรยักษ์!”
“ช่วยด้วย! ข้ายังไม่อยากตาย!”
“เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร? สัตว์อสูรยักษ์ใต้ทะเลไม่ใช่เพียงแค่ตำนานงั้นหรือ? เหตุใดพวกเราถึงได้ซวยขนาดนี้?”
“รีบหนีเร็ว!”
คนทั้งยี่สิบสามสิบคนบนเรือเริ่มสับสนอลหม่านขึ้นมา
พวกเขารีบคลายเชือกที่ผูกตนเองไว้กับเรือ คิดจะกระโดดหนี ดูเหมือนพวกเขาจะคิดว่าเพียงแค่ว่า หากกระโดดลงไปในทะเลก็จะรอดพ้นจากสัตว์อสูรยักษ์ได้
“อย่าโดด!” คนคุมเรือตะโกนเสียงดังออกไปคิดจะห้ามไม่ให้พวกเขาฆ่าตัวตาย
แต่คนที่กำลังหนีตายอยู่มีหรือจะฟังที่เขาห้าม พากันกระโดดลงไปในทะเล
เพียงพริบตาเดียวบนเรือก็เหลือคนอยู่เพียงไม่กี่คน
ไม่กี่คนนี้ก็กำลังพยายามแก้เชือกที่มัดร่างของตนเองออก คิดจะกระโดดหนีลงไปในทะเลเช่นเดียวกัน
ในตอนนี้เอง คลื่นยักษ์ก็ม้วนเอาคนที่กระโดดลงทะเล เหล่านั้นส่งเข้าไปยังเงาดำ รวดเร็วยิ่งกว่าเรือเสียอีก
“อ๊าก! ไม่!”
ภายในทะเลเกิดเสียงร้องโหยหวนดังออกมา
พลังจิตสีเงิน สีเทาบนร่างของพวกเขาวาววาบ แต่ก็ไร้ประโยชน์ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของพวกเขาได้
เพียงพริบตาเดียว บรรดาคนที่กระโดดลงไปในนํ้าทะเลก็หายไปจากสายตาของคนบนเรือ ฉากนี้ทำให้บรรดาคนที่คิดจะกระโดดลงทะเลเพื่อหนีตายตะลึงชะงักอยู่ที่เดิม ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววหนักอึ้ง การนั่งรอความตายไม่ใช่นิสัยของนาง
‘จะต้องคิดหาทางออก…อีกอย่างเรือลำนี้และคนคุมเรือต้องรอด!’ มู่ชิงเกอลอบเอ่ยขึ้นในใจ
นางยังต้องการเรือลำนี้และคนคุมเรือผู้รู้เส้นทางพานางส่งไปภาคตะวันออก ดังนั้นพวกเขาต้องรอด
มู่ชิงเกอคิดในใจอย่างรวดเร็ว นางเริ่มเคลื่อนไหว คลายเชือกบนร่างของตนเอง แล้วก็มัดตัวผู้หญิงที่อยู่ด้านข้างเอาไว้
เมื่อมัดเสร็จแล้ว ผู้หญิงคนนั้นถึงได้สติขึ้นมา มองมู่ชิงเกออย่างตกตะลึง
มู่ชิงเกอไม่มีเวลาฟังนางพูดพร่ำ นางพูดกับคนคุมเรือว่า “หากไม่คิดจะตายอยู่ที่นี่ก็หาวิธีพาเรือออกไปจากขอบเขตควบคุมของสัตว์อสูรยักษ์ตัวนี้ให้ได้ ข้าจะถ่วงเวลาให้เจ้า”
พูดแล้วนางก็ไม่รอให้คนคุมเรือเข้าใจคำพูดของนาง นางหันไปมองผู้โชคดีที่ยังชะงักอยู่บนเรือแล้วตะโกนพูดกับพวกเขาว่า “หากไม่อยากตายก็มาช่วยคนคุมเรือพาเรือออกไป”
พูดแล้วมือขวาของนางก็มีแสงสีทองวาบขึ้น นางกุมทวนหลิงหลงไว้ในมือ
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววดุดัน ชูทวนหลิงหลงขึ้นพุ่ง เข้าไปยังเงาดำบนท้องฟ้า ทวนหลิงหลงดุจดั่งลูกศรพุ่งทะลวงเข้าสู่เงาดำนั้น
ปัง!
เสียงปะทะอย่างรุนแรงทำให้เงาดำได้รับผลกระทบอย่างหนัก เลือดสายหนึ่งหยดลงมาบนดาดฟ้าเรือ
มู่ชิงเกอเหลือบมองเลือดบนดาดฟ้าเรือแล้วก็รู้สึกหนักอึ้งในใจ ‘เป็นสัตวอสูรจริงๆ!’
“โฮก!”
เสียงคำรามดุจฟ้าผ่าดังออกมา ดูเหมือนสัตว์อสูรยักษ์โมโหที่ถูกมู่ชิงเกอโต้กลับ
คนบนเรือก็พากันตกตะลึง
พวกเขามองไปยังมู่ชิงเกออย่างตกตะลึง คิดไม่ออกว่าเขาไปเอาความกล้ามาจากไหนไปต่อสู้กับสัตว์อสูรยักษ์ พวกเขาไม่รู้ว่าความกล้าของมู่ชิงเกอนั้นมาจากความคิดที่ว่าเขาจะไม่ยอมตายอยู่ที่นี่
ในเมื่อไม่อยากตายก็ต้องลุกขึ้นต่อสู้เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไป
มู่ชิงเกอกุมทวนหลิงหลงกระโดดลอยขึ้นกลางอากาศ โจมตีต่อไป
นางใช้พลังจิตโจมตีเข้าไปยังเงาดำอย่างไร้จุดหมาย ทำให้สัตว์อสูรยักษ์ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
ทันใดนั้นปลายทวนของนางก็พ่นเปลวไฟของพญาเพลิงปาฮวงซูคงเข้าใส่เงาดำ พญาเพลิงปาฮวงซูคงไร้รูปไร้สี ตามติดเผาไหม้เงาดำไปเรื่อยๆ ทำให้มันกลายเป็นเพียงเงาเลือนราง
“โฮก โฮก!”
สัตว์อสูรยักษ์ร้องโหยหวนออกมา มันถูกมู่ชิงเกอยั่วโมโห แค้นจนอยากจะฆ่ามดปลวกที่กล้ายั่วยุท้าทายมัน
ส่วนในตอนนี้เอง ในที่สุดคนคุมเรือก็รู้สึกได้ว่าเรือหลุดออกจากการควบคุมแล้ว สิ่งนี้ทำให้เขาดีใจมาก คว้าโอกาสจัดทิศทางเรือใหม่ พุ่งไปด้านตรงกันข้าม
การเคลื่อนไหวของเรือนำแสงสว่างแห่งชีวิตมาสู่ทุกคนบนเรือ
คนที่เหลือรีบเข้ามาช่วยคนคุมเรือพาเรือออกไป
กลางอากาศ มู่ชิงเกอยังดำเนินการโจมตีต่อ นางไม่ได้คิดจะฆ่าสัตว์อสูรยักษ์เพราะนางไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ มันสามารถซ่อนตัวอยู่ในทะเลมาเป็นเวลายาวนาน คิดว่าคงจะฆ่าให้ตายได้ไม่ง่าย ดังนั้นนางหวังเพียงแค่หนีไปได้อย่างราบรื่นก็พอแล้ว คงจะไม่คุ้มหากทั้งนางและสัตว์อสูรยักษ์บาดเจ็บกันทั้งสองฝ่าย อีกทั้งเรือโดยสารที่กำลังพยายามแล่นไปบนทะเลก็คงไม่รอนางกลับไปก่อนแล้วค่อยจากไป
ไม่สมควรแก่เวลาก็ไม่ฆ่า!
มู่ชิงเกอดึงดูดความสนใจของสัตว์อสูรยักษ์ ส่วนเรือโดยสารก็ค่อยๆ แล่นออกไปจากปากของสัตว์อสูรยักษ์อย่างช้าๆ
ไม่เคยมีใครเคยเห็นว่ารูปร่างของสัตว์อสูรยักษ์เป็นอย่างไรมาก่อน
คนคุมเรือพยายามเร่งความเร็วไปยังผิวทะเลที่สว่างไสว
“พวกเราต้องรอเขา!” ผู้หญิงที่ถูกมู่ชิงเกอผูกเอาไว้กับหางเสือเรือร้อนใจมากเมื่อมองเห็นว่าออกห่างจากมู่ชิงเกอเรื่อยๆ จึงรีบตะโกนไปยังคนคุมเรือ
นัยน์ตาของคนคุมเรือวุ่นวายสับสนเล็กน้อย มีความลังเล
แต่คนอื่นๆ กลับรีบพูดขึ้นมา
“ยังจะรออะไร? หากรออีกพวกเราก็จะถูกตัวประหลาดตนนั้นกลืนลงท้องไปหมดทุกคนนะ”
“ไม่ผิด เขาตายเพียงแค่คนเดียวก็ดีกว่าตายทั้งหมด!”
“พวกเราหนีไปได้อย่างปลอดภัยก็คือการปลอบโยนเขาแล้ว การเสียสละของเขาจะได้ไม่เสียเปล่า!”
“พวกเจ้า! เหตุใดพวกเจ้าถึงเป็นเช่นนี้? หากไม่ใช่เขาเป็นคนดึงดูดความสนใจของสัตว์ประหลาดตัวนั้นให้ พวกเราจะสามารถหนีรอดออกมาได้หรือ?” ผู้หญิงคนนั้นพูดขึ้นอย่างร้อนใจ
“หากยังวุ่นวายอีก เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าพวกเราจะโยนเจ้าเข้าไปในปากของสัตว์ประหลาด?” มีคนข่มขู่ขึ้นมา
“ใช่ เจ้าเป็นห่วงเขาขนาดนี้ก็อยู่กับเขาเถอะ เขาโง่เองที่ทำเช่นนั้น พวกเราไม่ได้บังคับเขาเสียหน่อย!”
เมื่อคนคุมเรือได้ยินที่ไม่กี่คนนี้พูดขึ้นมาแล้ว เขาก็เริ่มแน่วแน่ขึ้นมา
เขากัดฟันเพิ่มความเร็วของเรือ ดูเหมือนเขาจะหวั่นไหวไปกับคำพูดของคนอื่นๆ จึงตัดสินใจทิ้งมู่ชิงเกอเพื่อหนีเอาชีวิตรอด
ผู้หญิงคนนั้นร้อนใจมาก เมื่อเห็นว่าโน้มน้าวใจคนอื่นไม่ได้ นางจึงทำได้เพียงเงยหน้าตะโกนไปยังมู่ชิงเกอ “รีบลงมาเร็ว พวกเขาจะไปแล้ว!”
มู่ชิงเกอหันไปมองแวบหนึ่ง นัยน์ตาฉายแวววาววาบ ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ
การที่คนพวกนี้จะทิ้งนางแล้วหนีไปนั้นอยู่ในการคาดเดาของนาง
เรือโดยสารแล่นไปยังผืนนํ้าที่สดใส
พวกเขาแน่ใจแล้วว่ามู่ชิงเกอจะตายในปากของสัตว์อสูร
แต่พวกเขากลับไม่รู้ว่า หลังจากเรือหลุดออกจากการควบคุมของสัตว์อสูรยักษ์แล้ว นัยน์ตาของมู่ชิงเกอก็เปลี่ยนเป็นสีทอง พลังโจมตีทางจิตวิญญาณไร้รูปร่าง สายหนึ่งพุ่งเข้าโจมตีสัตว์อสูร ทำให้มันมึนงงไปชั่วขณะ
ส่วนมู่ชิงเกอก็อาศัยช่องว่างลอยหนีไปอย่างรวดเร็ว หายตัวไปจากปากของสัตว์อสูรยักษ์
เมื่อหนีออกมาได้แล้วทุกคนบนเรือก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก มีเพียงแค่ผู้หญิงคนนั้นที่กัดฟันมองดูคนกลุ่มนี้
ทันใดนั้นบนดาดฟ้าก็มีเสียงดังขึ้น เรือเหมือนจะหนักขึ้น และทำให้ทุกคนตกใจ พวกเขาหันมองไปถึงได้พบว่ามู่ชิงเกอยังไม่ตายและกำลังยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ
ที่สำคัญก็คือร่างกายของเขาเปล่งแสงสีทอง
“ผู้…ผู้แข็งแกร่งระดับสีทอง…
ทุกคนมองดูเขาอย่างตกตะลึงและหวาดกลัว
เมื่อครู่ที่มู่ชิงเกอโจมตีอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นทำให้ พวกเขาไม่ได้สังเกตระดับพลังของเขา ตอนนี้พวกเขาถึงได้พบว่า คนที่พวกเขาละทิ้งกลับเป็นถึงผู้แข็งแกร่ง ระดับสีทอง