ตอนที่ 450
ในที่สุด เจ้าก็มา!
สำนักวิถีโอสถที่เคร่งครัดในกฎระเบียบมาตลอดยอมอะลุ่มอะล่วยงั้นหรือ?
นี่เป็นการชักนำความโกรธเคืองของกลุ่มคนโดยแท้!
เฟิงผิงไม่ได้เรียกชื่อ อีกทั้งยังใช้การพูดยั่วยุผู้คนเช่นนั้น เรียกมู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้งออกมา เห็นได้ชัดว่าอยากให้พวกเขาต้องตกที่นั่งลำบาก
“เหตุใดพวกเขาถึงสามารถสอบเข้าสู่ส่วนในได้เลย?”
“นั้นน่ะสิ! ทุกคนล้วนแต่เท่าเทียมกัน ใครก็ไม่อาจยกเว้นได้!”
“เข้าสู่สำนักวิถีโอสถก็ต้องอยู่ส่วนนอกก่อนปีหนึ่ง นี่เป็นกฎ เหตุใดวันนี้สำนักวิถีโอสถถึงยอมทำลายกฎ?”
“ข้าว่าไม่ใช่สำนักวิถีโอสถคิดจะทำลายกฎ แต่มีคนบีบบังคับให้สำนักวิถีโอสถทำลายกฎมากกว่า”
“ให้ตายเถอะ! ใครมีความสามารถถึงขนาดนั้น สามารถบีบบังคับสำนักวิถีโอสถได้เชียวหรือ?”
“ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นลูกหลานของตระกูลชั้นสูง หรืออาจจะเป็นผู้มีความสามารถจากตระกูลใหญ่ ไม่เช่นนั้นก็คงจะเป็นเจ้าสองคนที่คิดว่าตัวเองเก่งกาจดูแคลนไม่ อยากเรียนร่วมกับพวกเราที่ส่วนนอก”
“ถุย! ล้อเล่นอะไร คิดว่าตนเองเก่งกล้าสามารถถึงขนาดนั้นเลยหรือ!”
“ก็คนเขาเก่งกว่าพวกเราจริงๆ นี่! พวกเขาสามารถทำให้สำนักวิถีโอสถยอมเปลี่ยนแปลงกฎได้ พวกเจ้าทำได้งั้นหรือ?”
“เหอ เหอ คิดจะเข้าสู่ส่วนในโดยตรง ส่วนในนั้นสอบเข้าง่ายถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?”
รอบด้านเกิดเสียงพูดคุยวิเคราะห์อย่างไม่พอใจดังขึ้น ส่วนสีหน้าของเฟิงผิงก็ปรากฎรอยยิ้มเยาะออกมา
จ้าวหนานซิงพูดด้วยสีหน้าที่ดูย่ำแย่ว่า “ปรมาจารย์เฟิงผิงผูนี้มีชื่อเสียงว่าเป็นพวกเถรตรงและเคร่งครัดในกฎระเบียบมาก เพียงแต่เถรตรงจนเกินไป ดื้อดึงไม่ยอม เปลี่ยน ไม่รู้จักการยืดหยุ่น ข้าคิดว่าความคิดที่พวกเจ้าสองคนไม่อยากเข้าส่วนนอกคงทำให้เขาไม่พอใจ คิดว่าพวกเจ้าไม่มีความอดทนของการเป็นอาจารย์ปรุงยา จึงจงใจสร้างความลำบากให้พวกเจ้า”
มู่ชิงเกอยิ้มเยาะ “ไม่เป็นไร ตอนนี้คือดูถูก ต่อไปถึงจะหักหน้า”
นางปัดฝุ่นบนชุดของตนเองแล้วยิ้มให้เหมยจื่อจ้ง “ศิษย์พี่เหมย เตรียมตัวดีแล้วหรือยัง?”
เหมยจื่อจ้งยิ้มแล้วก็พยักหน้า
“ข้าจะพาพวกเจ้าเข้าไป” จ้าวหนานชิงเอ่ย
แต่ก็ถูกมู่ชิงเกอห้ามเอาไว้ “ศิษย์พี่จ้าว ท่านได้ช่วยพวกเราแล้ว ตอนนี้ไม่ต้องออกหน้าอีก”
จ้าวหนานชิงเกิดความอบอุ่นขึ้นในใจ รู้ว่ามู่ชิงเกอกลัวว่าเขายุ่งเรื่องนี้มากเกินไปแล้ววันต่อไปจะอยู่ในสำนักวิถีโอสถได้ยาก แต่เขาเป็นคนที่เอาแต่ห่วงตนเองงั้น หรือ?
เขากำลังจะยืนยันคำเดิม แต่มู่ชิงเกอกับเหมยจื่อจ้งก็ก้าวเดินออกไปหาเฟิงผิงแล้ว
มู่ชิงเกอสวมชุดสีแดงเจิดจ้า รูปโฉมงดงามเป็นหนึ่ง เหมยจื่อจ้งสวมชุดสีขาวทั้งร่าง สง่างามดุจเมฆ ทั้งสองคนแค่เดินออกมาอย่างเงียบๆ ก็แผ่บรรยากาศออกมา ทำให้บรรดาผู้คนที่กำลังพูดคุยวิเคราะห์กันอยู่เงียบลงไป
กลุ่มคนที่แออัดกันจนเดินไม่ได้แยกออกเปิดทางให้ทั้งสองคนเดินไปที่ด้านหน้าบันได
‘เป็นเขา!’ ภายในกลุ่มคน ซ่งจิ่นซานมองเห็นมู่ชิงเกอเดินมากับเหมยจื่อจ้งแล้วหัวใจก็กระตุกวาบ แต่จากนั้นนางก็โล่งใจ มู่ชิงเกอโดดเด่นถึงเพียงนี้ สามารถมา ถึงที่นี่ได้ก็ต้องไม่เหมือนกับศิษย์ทั่วๆ ไปที่ต้องอยู่ส่วนนอกหนึ่งปีอยู่แล้ว
เพียงแต่…
ดวงตาของซ่งจิ่นซานมืดทึบลง หากว่ามู่ชิงเกอเข้าไปส่วนในโดยตรงเลย เช่นนั้นตนเองก็ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งปี ถึงจะได้พบกับเขาอีกน่ะสิ?
ช่งจิ่นซานที่คิดจะได้เรียนร่วมกันกับมู่ชิงเกอพลันเกิดพลังอันไร้ขีดจำกัดขึ้นในใจ
หากมู่ชิงเกอได้เข้าไปในส่วนในอย่างราบรื่น เช่นนั้นช่วงเวลาที่นางอยู่ส่วนนอกหนึ่งปีก็ต้องขยันให้มากขึ้นจนถึงขั้นที่จะสามารถเข้าสู่ส่วนในได้
หลังจากตัดสินใจในใจแล้ว นัยน์ตาของซ่งจิ่นซานก็ฉายแววแน่วแน่ ทำให้เพื่อนที่อยู่ข้างกายนางรู้สึกไม่เข้าใจ
มู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้งเดินมาถึงตรงหน้าของเฟิงผิง อีกฝ่ายมองมาอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้าเป็นสองคนที่ต้องการการยกเว้น สอบเข้าสู่ส่วนในเลยงั้นหรือ?”
“ไม่ผิด” มู่ชิงเกอตอบ
เหมยจื่อจ้งก็พยักหน้าตาม
เฟิงผิงถอนสายตากลับ มองไปยังผู้เข้าทดสอบนับหมื่นรอบด้าน แล้วก็ใส่พลังจิตเข้าไปในเสียง พูดให้ทุกคนได้ ยินว่า “ไม่ผิด การคาดเดาของพวกเจ้าไม่ผิด ครั้งนี้กฎของสำนักวิถีโอสถถูกสองคนนี้ทำลาย ด้วยเหตุใดนั้นข้าเองก็ไม่เข้าใจ สรุปแล้วคือคำสั่งจากเบื้องบน ข้าก็ทำได้แต่ทำตามคำสั่ง”
คำพูดของเขาไม่ใช่การปลอบโยนให้สงบลงแต่เป็นการกระตุ้นความโมโหของคนอื่นๆ
มู่ชิงเกอยิ้มเยาะในใจ
เฟิงผิงจงใจสร้างความลำบากให้ แต่ท่าทางของนางก็ยังคงสงบไม่มีอารมณ์ใดๆ
“เกินไปแล้ว! อาศัยอะไร!”
“มีคนอยู่เบื้องหลังก็เก่งแล้วหรือ! อาศัยอะไรมาทำลายกฎ!”
“สำนักวิถีโอสถไม่ใช่บ้านเจ้าเป็นคนเปิดเสียหน่อย เจ้าคิดจะทำอย่างไรก็ได้งั้นหรือ?”
“พวกเขาเป็นใคร?”
ความโมโหเพิ่มขึ้นจากรอบบริเวณ
เฟิงผิงยิ้มอย่างพอใจ
เมื่อมู่ชิงเกอมองเห็นรอยยิ้มนี้ของเขาแล้วนัยน์ตาของนางก็ฉายแววดูแคลน นางหันหน้ากลับไป เผชิญหน้ากับคนนับหมื่นที่กำลังส่งเสียงตำหนิ แล้วก็เอ่ยขึ้นในทันใดว่า “พวกเราขอทดสอบเข้าส่วนใน ก็เพราะพวกเรามีความสามารถนี้ ในเมื่อมีความสามารถแล้วเหตุใดต้องไปเสียเวลาอยู่ในส่วนนอกด้วย? หากพวกเจ้าคิดว่าตนเองก็สามารถทำได้ ก็ก้าวออกมาทดสอบกับพวกเรา!”
คำพูดของนางทำให้เสียงความโมโหค่อยๆ เงียบลงไป
นัยน์ตาของเฟิงผิงมืดครึ้มลง
หลังจากระงับความโกรธเกรี้ยวของผู้คนแล้ว มู่ชิงเกอก็ยิ้มเยาะออกมา หันมามองที่เฟิงผิงและเอ่ยว่า “ปรมาจารย์เฟิงผิง ขอแนะนำสักประโยค คำที่ควรพูดก็ พูด คำที่ไม่ควรพูดก็อย่าได้พูดให้เสียเวลา ที่ท่านถ่วงเวลาอยู่ในตอนนี้นั้นเป็นเวลาของพวกเราทุกคน”
สีหน้าของเฟิงผิงหนักอึ้งขึ้น นัยน์ตาฉายแววโมโหมองไปยังมู่ชิงเกอ
“บังอาจ!”
“อวดดี!”
เด็กฝึกหัดสองคนด้านหลังของเขาส่งเสียงขึ้นมาพร้อมกัน
เฟิงผิงยกมือขึ้น ขวางไม่ให้พวกเขาพูดต่อ แล้วก็ยิ้มเย็น พูดว่า “ได้ ข้าจะขอดูสิว่าพวกเจ้ามีความสามารถแค่ไหน ถึงได้ทำให้สำนักวิถีโอสถยกเว้นให้พวกเจ้าได้!”
พูดแล้วเขาก็เอ่ยกับคนอื่นๆ ว่า “การยกเว้นในครั้งนี้ พวกเราก็ไม่อาจลำเอียงได้ การทดสอบเข้าส่วนในของสองคนนี้จะทดสอบต่อหน้าทุกคน ให้พวกเจ้าเป็นพยาน ดูว่าพวกเขามีสิทธิ์เข้าสู่ส่วนในหรือไม่ หากว่าไม่สามารถผ่านได้สำนักวิถีโอสถก็จะยกเลิกสิทธิ์ในการเข้าทดสอบของทั้งสองคน ไม่สามารถมาสมัครเป็นศิษย์ได้อีกตลอดไป!”
ทุกคนส่งเสียงดังอื้ออึงขึ้นในทันที!
นัยน์ตาของจ้าวหนานซิงหดตัวลง
เขาไม่รู้ถึงคำพูดส่วนหลังนี้มาก่อน หากไม่ผ่านการทดสอบในครั้งนี้ก็จะไม่สามารถมาสมัครเป็นศิษย์สำนักวิถีโอสถได้อีกตลอดไปหรือ? โหดเหี้ยมมาก! เขาไม่แน่ใจว่านี่เป็นความคิดของเฟิงผิงเองหรือว่าเป็นคำสั่งจากเบื้องบน
แม้ว่าเขาจะเชื่อใจในความสามารถของมู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้ง แต่ก็ยังรู้สึกเป็นกังวลแทนพวกเขาจนเหงื่อซึมออกมาอยู่ดี
“ค่อยดีขึ้นหน่อย!”
“สมควรเป็นเช่นนี้! ให้พวกเขาทดสอบเลย!”
“ไม่ผิด หากว่าครั้งนี้ทดสอบล้มเหลว พวกเจ้าก็รอร้องไห้ได้เลย! ฮ่าๆๆๆๆๆ…”
“นี่ถึงเป็นสำนักวิถีโอสถในใจของข้า! ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งวิถีโอสถ จะให้คนเหล่านี้มาใช้อำนาจบาตรใหญ่ทำให้แปดเปื้อนมลทินได้อย่างไร?”
รีบเริ่มเถอะ! ข้ารอถล่มคนไม่ไหวแล้ว!”
“ใช่ ใช่ ใช่! รีบเริ่มการทดสอบเถอะ พวกเราจะรอให้พวกเขาไสหัวออกไปจากที่นี่แล้วจะได้ทดสอบเสียที!”
ทุกคนพูดคำต่อคำดูเหมือนจะแน่ใจแล้วว่ามู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้งจะไม่ผ่านการทดสอบ
แต่คนที่พวกเขาแน่ใจว่าต้องพ่ายแพ้นั้นกลับไม่ได้รับอิทธิพลใดๆ เลย เพียงแต่รอเฟิงผิงประกาศเนื้อหาในการทดสอบเท่านั้น
เฟิงผิงยิ้มอย่างได้ใจมองไปยังมู่ชิงเกอ เขาไม่ชอบใบหน้าที่ดูมั่นใจและเย่อหยิ่งนี้ของมู่ชิงเกอ แต่กลับไม่ได้มีความรู้สึกไม่ดีต่อเหมยจือจ้งที่เงียบสงบอยู่ตลอด
มู่ชิงเกอไม่ได้รู้สึกอะไรกับความได้ใจนั้นของเขา
โต้เถียงกับคนประเภทนี้ไปก็ไร้ประโยชน์ มีแต่ความจริงปรากฎขึ้นแล้วเท่านั้นถึงจะทำให้เขาหุบปากได้
“การทดสอบมีสามส่วน ส่วนแรกก็คือต้องเดินจากที่นี่ ไปให้ถึงส่วนยอดภายในเวลาหนึ่งก้านธูป” เฟิงผิงพลิกมือชี้ไปส่วนยอดของบันได
ส่วนยอดนั้นดูเหมือนอยู่ภายในก้อนเมฆ มีเมฆหมอกปกคลุม
“จากนั้นก็ย้อนกลับมาที่นี่!” เขาชี้ไปที่ที่มู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้งยืน
“อะไรกัน? เดินขึ้นบันไดลงบันไดงั้นหรือ?” ทุกคนตะลึง
เฟิงผิงได้ยินคำพูดคุยจึงยิ้มเย็นแล้วอธิบายว่า “อย่าได้ดูถูกบันไดนี้ไป นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนที่อยากเข้าสู่สำนักวิถีโอสถทุกคนต้องเดินขึ้นไป สิ่งที่ทดสอบก็คือความแข็งแกร่งทางพลังจิตของพวกเจ้า หากว่าจิตวิญญาณไม่แข็งแกร่งพอก็จะเดินขึ้นไปไม่ได้ การทดสอบของพวกเจ้าก็คือต้องเดินไปและกลับมาให้ได้ภายในสามก้านธูป ถึงจะผ่านได้ แต่สำหรับพวกเขาทั้งสองคนก็เหลือเพียงเวลาแค่หนึ่งก้านธูป”
“อา!”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!”
ทุกคนตกตะลึง
เด็กฝึกหัดด้านหลังเฟิงผิงจุดธูปแล้วยื่นมาที่ตรงหน้าของเฟิงผิง
เฟิงผิงสะบัดมือ ธูปก้านนั้นก็ลอยขึ้นกลางอากาศทำให้ทุกคนสามารถมองเห็นการเผาไหม้ได้
“สามารถเริ่มได้แล้ว” สายตาของเฟิงผิงตกไปยังร่างของมู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้งอีกครั้ง ยิ้มเย็นแล้วเอ่ยออกมา
ท่าทางของเขาดูเหมือนจะแน่ใจว่าเหมยจื่อจ้งและมู่ชิงเกอคงไม่สามารถเดินขึ้นและเดินลงบันไดภายในเวลาหนึ่งก้านธูปได้
มู่ชิงเกอมองเขาด้วยสายตาที่เรียบสงบ จัดเสื้อเล็กน้อย แล้วก็เริ่มก้าวแรก เหมยจื่อจ้งรีบก้าวตาม ท่าทางเรียบสงบทำให้คนที่มองเห็นรู้สึกจิตใจสงบไม่รู้สึกหงุดหงิด
ความมั่นคงและความสงบนิ่งของพวกเขาทำให้เฟิงผิงขมวดคิ้วขึ้น ความแน่ใจที่เคยมีเริ่มสั่นคลอน
ตอนนี้เหมือนมีคนๆ หนึ่งยืนอยู่บนยอดของบันไดที่มีก้อนเมฆบดบัง
เขาไพล่มือเอาไว้ที่ด้านหลัง สวมชุดหรูหรา ท่าทางไม่ธรรมดา ใบหน้าหล่อเหลาเด็ดเดี่ยว เขายืนอยู่บนบันได เมฆหมอกปกคลุมร่างของเขา แต่เขากลับสามารถมองเห็นมู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้งที่กำลังเดินขึ้นบันไดมาได้
เมื่อมองเห็นสีแดงแสบตา มุมปากของเขาก็ปรากฎรอยยิ้ม พึมพำออกมาว่า “ในที่สุดเจ้าก็มา!”
ภายใน นัยน์ตาของเขาเกิดเปลวไฟลุกโชน เปลวไฟแห่งการต่อสู้นั้นคือความปรารถนาที่อยากจะประลองฝีมือเต็มกำลัง!
คำพูดของเขาเพิ่งจะหลุดออกไป มู่ชิงเกอก็เงยหน้ามองขึ้นไปบนเมฆพอดี
แต่ภายในสายตาของนางกลับมองเห็นแต่เพียงเมฆหมอก ไม่มีอะไรอื่นอีก มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น เหตุใดนางถึงได้รู้สึกเหมือนมีคนจับตามอง?
“ชิงเกอ?” เหมยจื่อจ้งเดินมาข้างกายนาง เมื่อเห็นนางหยุดลงอย่างกะทันหันก็อดถามไม่ได้
มู่ชิงเกอถอนความคิดและสายตากลับ ส่ายหน้าให้กับเหมยจือจ้ง
ทั้งสองคนเพิ่งจะเดินไม่กี่ก้าวก็หยุดอยู่บนบันได
สิ่งนี้ทำให้เฟิงผิงยิ้มอย่างได้ใจออกมา เขาก็คิดว่าจะเก่งกาจเสียอีก คิดไม่ถึงว่าเพียงแค่เดินถึงตรงนั้นก็เดินไม่ไหวแล้ว
คนอื่นๆ ก็รอดูด้วยความรู้สึกสนุก เมื่อเห็นสีแดงและสีขาวหยุดลงก็รู้สึกสนุกที่ได้เห็นความย่อยยับของคนอื่นขึ้นมา
“แหวะ! เดิมทีดูท่าทางสง่างามหล่อเหลาไม่ธรรมดา คิดว่าจะมีความสามารถอะไรเสียอีก ที่แท้ก็เป็นแค่พวกหมอนผ้าปักลาย”
ผู้หญิงที่อยู่ด้านข้างซ่งจิ่นซานสบถออกมาอย่างดูแคลน
มู่ชิงเกอจะเป็นหมอนผ้าปักลายงั้นหรือ?
ซ่งจิ่นซานส่ายหน้า นางไม่เชื่อ นางกระซิบเตือนเพื่อนของนางว่า “อย่าพูดเหลวไหล”
“ข้าพูดเหลวไหลอะไรกัน?” ผู้หญิงคนนั้นชี้ไปที่มู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้ง แล้วก็พูดเสียงแหลมว่า “เจ้าดู พวกเขาเพิ่งจะเดินไม่กี่ก้าวก็หยุดลงแล้ว ส่วนธูปก็หมดไปครึ่งหนึ่งแล้ว พวกเขาสามารถเดินจนจบได้งั้นหรือ? แม้แต่ข้าก็คิดว่าไม่สามารถทำได้”
‘ใช่! ธูปดอกนั้นไหม้เร็วมาก!’ ซ่งจิ่นซานมองไปที่ธูป นัยน์ตาฉายแววกังวลใจ
เสียงของเพื่อนนางเพิ่งจะหลุดออกไป เสียงดูแคลนรอบด้านก็ดังขึ้นมา
“เหอ เหอ ครั้งนี้พวกเจ้าจะผ่านไปได้อีกไหม? ด่านแรกก็ผ่านไม่ได้แล้วยังจะพูดถึงอีกสองด่านที่เหลืออีกหรือ? รีบไสหัวออกไปเถอะ!”
“ไสหัวไป! ไสหัวไป ไสหัวไป!”
“รีบไปเถอะ อย่ามาขายหน้าที่นี่เลย ธูปจะไหม้หมดดอกแล้ว ถอยตอนนี้ยังพอรักษาหน้าได้บ้าง”
“หน้า? พวกเขายังมีหน้าเหลืออยู่อีกงั้นหรือ? ช่างชวนให้คนหัวเราะจนฟันหลุดแท้ๆ! หากความคึกคักในวันนี้ ถูกเล่าลือออกไป โลกแห่งยุคกลางคงมีเรื่องตลกหลังอาหารเย็นเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเรื่องแล้ว”
“ฮ่าๆๆๆๆๆ…เจ้าพวกไร้สมองสองคนนี้ยังคิดจะเข้าส่วนในโดยตรงอีกหรือ?”
“ข้าดูแล้วแม้แต่ประตูใหญ่สำนักวิถีโอสถพวกเขาก็เข้าไปไม่ได้”
เสียงดูแคลนทำให้นัยน์ตาของจ้าวหนานชิงที่ยืนอยู่ในกลุ่มคนฉายแววเสียดสี เขาก็เคยเข้ารับการทดสอบนี้และก็รับรู้ถึงแรงกดดันบนบันไดดี
อาศัยความแข็งแกร่งทางพลังจิตของเหมยจื่อจ้งและมู่ชิงเกอหากคิดจะผ่านด่านนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก แต่กลุ่มคนเหล่านี้กลับเริ่มพูดดูแคลนทันทีที่เห็นทั้งสองคนนั้นหยุด
จ้าวหนานชิงยิ้มเยาะในใจ เขารอที่จะตบหน้าคนอยู่
“ศิษย์พี่เหมย พวกเราไปเถอะ” มู่ชิงเกอเก็บความคิดกลับแล้วพูดกับเหมยจื่อจ้ง ไม่ได้รับอิทธิพลจากเสียงรอบด้านแต่อย่างใด
เหมยจื่อจ้งพยักหน้า “ดี”
เขากำลังรอมู่ชิงเกอ มิเช่นนั้นจะหยุดอยู่ที่นี่ทำไมเล่า?
ทั้งสองคนเริ่มก้าวเดินอีกครั้ง
พลังที่ส่งมาจากบันไดทำให้มู่ชิงเกอยิ้มขึ้นมา เอ่ยกับเหมยจื่อจ้งว่า “บันไดนี้คล้ายกับหอสติปัญญาในโรงโอสถมาก ศิษย์พี่พวกเรามาแข่งกันดีไหม?”
ในเมื่อนางนึกสนุก เหมยจื่อจ้งเองก็ไม่คัดค้านอยู่แล้ว เขามองนางอย่างตามใจ พยักหน้าเอ่ยว่า “ได้ เจ้าว่าอย่างไรก็ตามนั้น”
ไม่มีร่องรอยของความอยากเอาชนะ ในดวงตาของเขาเลย
มู่ชิงเกอเตือนว่า “ท่านห้ามจงใจแพ้ให้ข้า”
“ไม่หรอก” เหมยจื่อจ้งหัวเราะเอ่ยออกมา มู่ชิงเกอยังต้องการให้เขาอ่อนข้อให้งั้นหรือ ?
เขายังจำปาฏิหาริย์ในหอสติปัญญาของโรงโอสถสาขาย่อยที่นางนำมาให้แก่ทุกคนได้เสมอ วันนี้นางก็จะต้องทำให้ทุกคนที่นี่ตกตะลึง ทำให้สำนักวิถีโอสถสั่น สะเทือน!
ทั้งสองคนสบตากันแล้วหัวเราะออกมา เร่งความเร็วขึ้น
เฟิงผิงจ้องมองธูปที่กำลังเผาไหม้ เดิมคิดจะเตือนทั้งสองคนอย่างหวังดีว่าธูปเหลือเพียงหนึ่งในสามส่วนแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่า เขายังไม่ทันได้พูด ก็มองเห็นเงาร่างสองร่างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วบนบันไดแล้ว…