ตอนที่ 451
อะไรเรียกว่าอัจฉริยะ!
นอกประตูสำนักวิถีโอสถ บนขั้นบันไดอันยาวไกลนั้น เป็นทั้งสัญลักษณ์ที่แสดงถึงฐานะของสำนักวิถีโอสถ และเป็นลานทดสอบ
ธูปที่ลอยอยู่กลางอากาศเหนือบันไดกำลังเผาไหม้จนเหลือเพียงแค่หนึ่งในสามส่วนเท่านั้น
เงาร่างสองเงาร่างบนบันได หนึ่งขาวหนึ่งแดงกำลังพุ่งขึ้นไปด้วยความรวดเร็ว…
คนนับหมื่นด้านล่างบันไดล้วนแต่อ้าปากค้างมองดูฉากนี้ ไม่กล้าเชื่อสายตาตนเอง!
ที่คุยกันว่าเป็นหมอนปักลายเล่า?!
ที่คุยกันว่าเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ไม่ไหวแล้วเล่า?!
ที่คุยกันว่าอาศัยสถานะมากดดันคนเล่า?!
ที่คุยกันว่าจะมาดูเรื่องตลกเล่า?!
แม้แต่เฟิงผิงเองก็ตกตะลึงมาก สองตาเบิกกว้าง เมื่อครู่เขายังลอบหัวเราะเยาะว่าสองคนนี้ไม่เจียมตนเองอยู่เลย แต่มาตอนนี้ ความรวดเร็วราวลมพัดและท่าทาง ผ่อนคลายนั้นกลับเหมือนเป็นการตบหน้าเขาอย่างรุนแรง ทำให้สองแก้มของเขารู้สึกชาหนึบขึ้นมา
คนนับหมื่นเงียบสงัด แม้แต่เข็มตกสักเล่มก็ยังได้ยินชัดเจน
จ้าหนานชิงที่ยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนนั้นรู้สึกอารมณ์ดีมาก รู้สึกเหมือนมีเสียงตบหน้าดังขึ้นมาในหูอย่างต่อเนื่อง เมื่อครู่คนเหล่านี้ดูแคลนพี่น้องของเขา ตอนนั้นดูแคลนแค่ไหน เยาะหยันเพียงใด ตอนนี้ก็คงใบหน้าชาและเจ็บปวดมากเท่านั้น!
เงาร่างสองเงาร่างตามกันมาติดๆ พุ่งเข้าสู่ส่วนยอดของบันไดจากนั้นก็มาปรากฎในสายตาของผู้คนอีกครั้งอย่างรวดเร็วพร้อมกับเข้าใกล้ด้านล่างบันไดมากขึ้น เรื่อยๆ
ธูปที่ลอยอยู่กลางอากาศยังเหลืออยู่เพียงส่วนเล็กๆ ส่วนเดียวเท่านั้น
ความเร็วของทั้งสองคนยิ่งเร็วขึ้นอีก เงาร่างสีแดงเหมือนจะเร็วกว่าก้าวหนึ่ง
ในความเป็นจริง ระยะห่างระหว่างทั้งสองคนห่างกันไม่ถึงสองฉื่อเท่านั้น ในที่สุดเงาร่างสีแดงก็มายืนอยู่ที่จุดด้านล่างก่อน
นางเพิ่งจะยืนได้อย่างมั่นคง เงาร่างสีขาวก็มาหยุดอยู่ข้างกายของนางแล้ว ทั้งสองคนสบตากันแล้วยิ้ม เวลานี้เองสายลมก็พัดผ่านธูปที่ลอยอยู่บนอากาศ ทำให้ขี้เถ้าธูปส่วนสุดท้ายถูดพัดหายไป
ธูปไหม้หมดแล้ว
มู่ชิงเกอกับเหมยจื่อจ้งกลับมาที่จุดเดิมก่อนที่ธูปจะไหม้จนหมด
‘เป็นไปได้อย่างไร!’ เฟิงผิงมองทั้งสองคนอย่างตกตะลึง หน้าอกเกิดความอึดอัด พูดไม่ออก
เขาไม่อยากจะเชื่อสายตากับภาพตรงหน้า แต่ว่ามันเป็นความจริง!
ไม่เพียงแต่เขาที่ตกตะลึง คนนับหมื่นเองก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน
คนนับหมื่นที่แออัดกันอยู่ในลานเงียบเป็นเป่าสาก พวกเขารู้สึกตกตะลึงแต่ก็ไม่เท่ากับเฟิงผิง เพราะพวกเขาไม่รู้จักความร้ายกาจของบันได แต่เฟิงผิงนั้นรู้ดีว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็ยากที่จะเดินไปกลับในเวลาหนึ่งก้านธูปได้ ทางสำนักกำหนดเวลาให้เขาทดสอบสองก้านธูป แต่ก็สั่งให้เขา ‘ดำเนินการได้ตามสบาย’ มาอีกหนึ่งประโยคอย่างคลุมเครือ
ดังนั้นเขาถึงได้เปลี่ยนจากสองก้านธูปเป็นหนึ่งก้านธูป
เดิมเขาคิดว่าเพียงแค่ด่านแรกก็จะทำให้เจ้าสองคนที่อวดดีคิดท้าทายกฎอยากเข้าประตูหลังกลับไปได้แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าพวกเขากลับทำให้เขาต้องตกตะลึงเช่นนี้
“นี่…”
“ข้าตาฝาดไปใช่ไหม?”
“หรือว่านี่เป็นบันไดปลอม?”
กลุ่มคนรอบด้านเริ่มได้สติขึ้นมา มีคนไม่เชื่อว่าบันไดนี้จะขึ้นยาก ภายใต้ความสงสัยจึงลอบเดินขึ้นบันไดไป แต่เขาเพิ่งจะขึ้นบันไดไปก้าวแรกก็รู้สึกได้ถึงแรงผลักอันแข็งแกร่งที่กดลงมาจนยากที่จะหายใจ
เขาหน้าแดงไปทั้งหน้า กัดฟันฝืนก้าวไปอีกก้าว
เท้าของเขาเพิ่งจะตกลงบนบันไดขึ้นที่สองก็รู้สึกเหมือนจิตวิญญาณของตนเองได้รับการโจมตีอย่างรุนแรง กระอักเลือดแล้วปลิวลอยออกมา
ร่างกายของเขาวาดเป็นเส้นโค้งกลางอากาศแล้วตกลงไปบนพื้น คนที่คอยดูอยู่รอบๆ รีบถอยหลังจนเกิดเป็นช่องว่างในทันที ส่วนเขาก็ตกลงบนพื้นอย่างรุนแรง ทุกคนได้ยินเพียงเสียงกระดูกหัก
การทดลองของเขาและผลลัพธ์ทำให้คนนับหมื่นที่คิดจะเข้าสู่สำนักวิถีโอสถพากันสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าลึก
รอบด้านเปลี่ยนเป็นเงียบยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ทุกคนเพียงได้ยินเฟิงผิงสบถออกมาอย่างดูแคลนว่า “ไม่เจียมตัว”
เพียงครู่เดียวก็มีคนของสำนักวิถีโอสถเข้ามาแบกคนๆ นั้นออกไปและแน่นอนว่าเขาหมดโอกาสที่จะทดสอบต่อแล้ว คนที่เดินขึ้นบันไดได้เพียงแค่สองขั้นไม่อาจผ่านการทดสอบได้
แต่การกระทำของเขากลับทำให้ทุกคนค้นพบว่าบันไดนั้นอันตรายมาก ไม่ได้ขึ้นได้ง่ายๆ การขึ้นไปอย่างรวดเร็วและผ่อนคลายแบบมู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้งก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้กันทุกคน
เมื่อมีแบบอย่าง สายตาของผู้คนที่มองมู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้งก็เปลี่ยนไป
พวกเขากำลังคิดว่าเจ้าคนสองคนที่สามารถขึ้นบันไดได้อย่างสบายนี้เป็นเพียงแค่ก้อนหญ้าไร้สมองที่คิดใช้ทางลัดเข้าสู่สำนักจริงๆ น่ะหรือ?
รอบด้านเงียบกริบ
“แค่ก” มู่ชิงเกอไอเบาๆ ทำลายความสงบรอบด้าน เสียงของนางดึงดูดความสนใจของเฟิงผิง นัยน์ตาที่ยังคงตะลึงอยู่หันมามองนางโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
มู่ชิงเกอยิ้ม เอ่ยถามว่า “ด่านแรกถือว่าผ่านหรือยัง?”
นํ้าเสียงของนางไม่มีความหยิ่งผยอง เพียงแต่ฟังดูเรียบสงบ ไม่ได้รู้สึกเลยว่าการกระทำของตนเองและเหมยจื่อจ้งทำให้ทุกคนตกตะลึงมากแค่ไหน
นัยน์ตาของเฟิงผิงมืดครึ้มขึ้นมา เขาไม่ได้คาดคิดถึงผลลัพธ์เช่นนี้
แต่สามารถเดินขึ้นลงบันไดได้ภายในเวลาที่กำหนดก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขามีสิทธิ์ที่จะเข้าสู่ส่วนใน!
ส่วนในของสำนักวิถีโอสถเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของสำนักวิถีโอสถในโลกแห่งยุคกลาง ไม่ใช่สถานที่ที่หมูหมากาไก่ที่ไหนก็สามารถเข้าไปได้?
นัยน์ตาของเฟิงผิงฉายแววแค้นใจ พูดอย่างไม่ใคร่จะยินยอมว่า “ถือว่าผ่าน” จากนั้นก็เอ่ยในทันทีว่า “แต่พวกเจ้าก็อย่าเพิ่งได้ใจไป พวกเจ้าเพียงแต่โชคดีผ่าน ด่านที่หนึ่งไปก็เท่านั้น ที่เหลืออีกสองด่านยิ่งยากกว่านี้อีก”
มุมปากของมู่ชิงเกอเผยรอยยมขบขัน บ่นในใจว่า ‘ตาข้างไหนของเจ้ามองเห็นว่าข้าได้ใจ?’
“พูดมาเถอะ” มู่ชิงเกอขี้เกียจโต้เถียงกับเฟิงผิง จึงสะบัดชุด เอามือไพล่ไว้ด้านหลังพูดกับเขา
เฟิงผิงยิ้มเย็นเอ่ยว่า “ด่านที่สองก็คือแยกแยะวัตถุดิบยา”
“แยกแยะวัตถุดิบยา? นี่มีอะไรยาก? คนที่สามารถมาถึงสำนักวิถีโอสถได้มีใครที่จะไม่รู้จักวัตถุดิบยามาบ้าง?”
“หรือสำนักวิถีโอสถคิดจะเปิดทางให้งั้นหรือ?”
“เป็นไปไม่ได้ หากคิดจะเปิดทาง ก็ลอบนำพวกเขาเข้าสู่ส่วนในไปเลยก็แล้วเรื่อง เหตุใดต้องมาดำเนินการในการทดสอบวันนี้ด้วย?”
“ด่านที่สองง่ายเกินไปแล้ว”
เสียงพูดคุยค่อยๆ ดังขึ้นมา
ส่วนมากล้วนแต่สงสัยกับการทดสอบนี้ ความสงสัยนี้โจมตีความตกตะลึงที่พวกเขามีให้กับมู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้งหลังการทดสอบด่านแรกไป
เฟิงผิงยกมือขึ้นขวางการพูดคุยรอบด้าน
หลังจากที่เสียงรอบด้านเงียบลงแล้ว เขาถึงพูดว่า “การแยกแยะวัตถุดิบในครั้งนี้แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกสามารถดูวัตถุดิบได้เพียงแวบเดียวก็ต้องพูดชื่อของพวกมันออกมา หากลังเลก็คือพลาด ต้องถูกคัดออก ส่วนหลังก็คือปิดตาใช้การดมกลิ่นแยกแยะวัตถุดิบ หากพลาดก็คัดออกเช่นเดียวกัน”
ให้ตายสิ!
แยกแยะวัตถุดิบได้จากการดูเพียงแวบเดียว? ดมกลิ่นแยกแยะวัตถุดิบ?
อีกทั้งยังผิดพลาดไม่ได้?
ต้องรู้ว่าวัตถุดิบยามีเป็นพันๆ หมื่นๆ ชนิด รูปลักษณ์มีรายละเอียดที่แตกต่างกัน หากไม่สังเกตอย่างละเอียดก็ผิดพลาดได้ง่ายมาก อีกทั้งกลิ่น…สำหรับคนที่ไม่รู้จักวัตถุดิบยาแล้ว ก็แทบจะเป็นกลิ่นเดียวกันหมด สำหรับคนที่รู้จักวัตถุดิบยาหากจะต้องกำหนดชื่อวัตถุดิบยาก็ไม่อาจจะอาศัยเพียงแค่การดมกลิ่นได้
ยากมาก!
ยากมากจริงๆ!
คนที่ก่อนหน้านี้ยังพูดว่าการทดสอบง่าย หรือพูดว่าสำนักวิถีโอสถยอมเปิดทางก็พากันหุบปากไปในทันที
“เกินไปแล้ว! ยากขนาดนี้อย่างน้อยก็ต้องยอมให้ผิดพลาดบ้างสิ ที่เดียวก็ไม่ยอมให้ผิดเช่นนี้ คนของสำนักวิถีโอสถเองสามารถทำได้งั้นหรือ?” ทันใดนั้นก็มีเสียง ผู้หญิงคนหนึ่งพูดแทนพวกมู่ชิงเกอ
เสียงนี้ทำให้สีหน้าของเฟิงผิงมืดครึ้มขึ้นมา
ส่วนมู่ชิงเกอกลับเลิกคิ้วขึ้น เสียงนี้ไม่ได้แปลกหน้าสำหรับนาง เป็นเสียงของซ่งจิ่นซาน เพียงแต่สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกคาดไม่ถึงก็คือซ่งจิ่นซานกลับพูดแทนตนเองในเวลานี้
“เด็กโง่! หากเป็นอาจารย์ปรุงยาแล้วไม่คุ้นเคยกับวัตถุดิบยาทุกชนิด แล้วใช้วัตถุดิบยาผิดตอนปรุงยาทำให้ยาช่วยชีวิตกลายเป็นยาพิษ เช่นนั้นจะทำอย่างไร? การแยกแยะวัตถุดิบเป็นทักษะพื้นฐานของอาจารย์ปรุงยา ที่เดียวก็ไม่อาจผิดพลาดได้ เป็นเงื่อนไขขั้นพื้นฐานที่สุดของการเป็นอาจารย์ปรุงยา” เฟิงผิงตำหนิ
เขาพูดไปแล้วก็มองไปทางมู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้ง พูดเย้ยว่า “หากว่าทำเรื่องแค่นี้ไม่ได้ ก็จะมาปรุงยาอีกทำไม ไม่สู้กลับบ้านไปเล่นดินเล่นโคลนเถอะ”
“เจ้า!” ซ่งจิ่นซานโกรธและต้องการจะพูดต่ออีก
แต่สหายที่อยู่ด้านข้างของนางกลับดึงนางเอาไว้ กระซิบที่ข้างหูของนางว่า “เจ้าหุบปากเถอะ! เรื่องของพวกเขา เกี่ยวอะไรกับเจ้า? ท้าทายผู้อาวุโสและปรมาจารย์ของสำนักวิถีโอสถเช่นนี้ เจ้าไม่อยากจะเข้าสำนักวิถีโอสถแล้วงั้นหรือ?”
ซ่งจิ่นซานขัดขืนคิดจะพูดต่อ แต่ในเวลานี้มู่ชิงเกอกลับพูดว่า “เริ่มเถอะ”
เป็นคำพูดที่คมชัดจนคนต้องเหลียวมอง ในเวลานี้เองคนนับหมื่นถึงได้สังเกตเห็นว่าเจ้าสองคนที่คิดจะใช้เส้นสายนั้นมีสีหน้าที่เรียบสงบมาก ไม่มีร่อง
รอยของความตกใจหรือสับสนเลย
พวกเขาไปเอาความมั่นใจขนาดนี้มาจากไหนกัน?
ความมั่นใจนี้ทำให้เฟิงผิงไม่พอใจ เขาสบถไปหนึ่งคำแล้วโบกมือ
เด็กฝึกหัดสองคนด้านหลังเขาก้าวออกมาในทันที แต่ละคนถือหนังสือเล่มหนาเล่มหนึ่งไว้ในมือ
ทั้งสองคนเปิดหนังสือออกพร้อมกัน ชั่วขณะนั้นแสงสีทองสายหนึ่งก็พุ่งออกมา ฉายขึ้นกลางอากาศเป็นรูปร่างของพืช
“ให้ตายสิ! ดูแค่ภาพก็ต้องแยกแยะแล้ว! นี่มันทดสอบสายตาเกินไปแล้ว!”
“อีกทั้งเพียงแค่ครู่เดียวก็ต้องระบุออกมาแล้ว…ดูก็ยังดูไม่ชัด จะระบุได้อย่างไร?” เกิดเสียงพูดคุยวิเคราะห์ขึ้นมารอบด้าน แต่มู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้งก็ไม่ได้ฟัง
เฟิงผิงพูดอย่างเย็นชาว่า “เริ่มได้”
เมื่อเสียงของเขาหลุดออกมา เด็กฝึกหัดที่ยืนอยู่ด้านซ้ายและขวาของเขาก็เริ่มพลิกหน้าหนังสืออย่างรวดเร็ว พวกเขาสองคนเปิดหน้าที่แตกต่างกันมาทดสอบมู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้งพร้อมกัน
เมื่อชื่อของวัตถุดิบยาที่แตกต่างกันดังออกมาจากของทั้งสองคนในเวลาเดียวกัน ทุกคนถึงได้เข้าใจ ‘ความลำบากและทุ่มเท’ ของเฟิงผิง
‘เกินไปแล้ว!’ ใบหน้าดุจหยกชั้นดีของจ้าวหนานซิงเต็มไปด้วยความอึมครึม คนอื่นล้วนแต่มองออก แล้วเหตุใดเขาถึงจะมองไม่ออก ที่เฟิงผิงทำเช่นนี้ก็เพื่อเพิ่ม ความยากลำบากให้กับมู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้ง คิดจะให้พวกเขารบกวนสมาธิกันเอง
“ฉงหยาเฉ่า”
“เหลียวเกอหวัง”
“เตาโต้ว”
“เซียนหลี่กวง”
“เฟิ่งเหยียนกั๋ว”
“ซานไป๋เฉ่า”
“ซานยาขู่”
จิวหลงเถิง”
ชีเย่เหลียน”
“ปาเจี่ยวเฟิง”
ชีเย่อีจือฮวา”
“เย่เซี่ยงฮวา”
“ภู่หยา”
หลังจากที่ชื่อวัตถุดิบยาแต่ละชนิดถูกตอบออกไป ใบหน้าของคนนับหมื่นก็ฉายแววตะลึง…