ตอนที่ 452
ให้ตายเถอะ! ปีศาจจากตระกูลไหนกัน!
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
ร้ายกาจเกินไปแล้ว!
นี่มันเป็นวัตถุดิบยาแทบทุกชนิดเลย! วัตถุดิบยาเหล่านี้มองแค่แวบเดียว พวกเขาแม้แต่มองก็ยังมองไม่ชัด จำไม่ได้ แต่สองคนนี้กลับตอบออกมาโดยไม่แม้แต่จะคิด
เพียงแค่จุดๆ นี้ ก็ทำให้ทุกคนรับรู้ได้ถึงความคุ้นเคยกับวัตถุดิบยาของมู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้งแล้วว่าอยู่ในระดับสูงที่สุด
แต่เดิมพวกเขาคิดว่าทั้งสองจะทดสอบไม่สำเร็จ แต่การแสดงออกของทั้งสองคนในเวลานี้กลับทำได้อย่างง่ายๆ สบายๆ
สีหน้าของเฟิงผิงดูย่ำแย่ขึ้นเรื่อยๆ
ภาพคนนับหมื่นชะงักและตกตะลึงทำให้เฟิงผิงรู้สึกหงุดหงิดในใจ
เขากับมู่ชิงเกอรวมทั้งเหมยจื่อจ้งล้วนแต่ไม่เคยมีความแค้นส่วนตัวอะไรกัน เหตุผลอย่างเดียวก็คือไม่ชอบหน้า ที่คิดสร้างความลำบากให้ก็เพราะทั้งสองคนนี้ไม่ทำตามกฎ คิดจะทำลายธรรมเนียมของสำนักวิถีโอสถก็เท่านั้น
แต่ในตอนนี้ทั้งสองคนกลับกำลังใช้ความสามารถที่แท้จริงในการหักหน้าเขา ทำให้ในใจของเขาเกิดความรู้สึกชื่นชมในความสามารถและพรสวรรค์ของพวกเขา แต่ใน ขณะเดียวกันก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
เพราะว่ายิ่งทั้งสองคนนี้แสดงออกอย่างโดดเด่นมากแค่ไหน ก็ยิ่งแสดงถึงความใจแคบของเขาออกมามากเท่านั้น
เด็กฝึกหัดสองคนของเฟิงผิงปิดหนังสือเล่มหนาในมือ สีหน้าซีดขาว สายตาที่มองมู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้งฉาย แววหวาดกลัว
แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
พวกเขาติดตามเฟิงผิงมาตั้งนานและคุ้นเคยกับเนื้อหาบนหนังสือแต่ก็ยังไม่สามารถพูดชื่อวัตถุดิบยาทุกชนิดออกมาได้อย่างรวดเร็วเช่นสองคนนี้
“ส่วนหลัง” เฟิงผิงเอ่ยด้วยเสียงหนักอึ้ง
คนนับหมื่นล้วนแต่นิ่งเงียบลง กลั้นลมหายใจ รอดูความเยี่ยมยอดในส่วนหลัง
เสียงที่ตั้งข้อสงสัยแก่มู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้งค่อยๆ จางหายไป ที่เหลือก็คือความตกตะลึงและนับถือ!
เด็กฝ็กหัดสองคนเก็บหนังสือเล่มหนากลับไปแล้วก็ยื่นผ้าคาดสีดำเส้นหนึ่งให้แก่ทั้งสองคน มู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้งสบตากันแล้วยิ้ม รับผ้าคาดมาอย่างสงบนิ่งแล้วก็ปิดตาของตนเอง
เมื่อทั้งสองคนปิดตาแล้ว เฟิงผิงก็โบกมือทำให้กองวัตถุดิบยาปรากฎขึ้นตรงหน้าของพวกเขา
“อะไรเนี่ย! กองรวมกันงั้นหรือ!”
“นี่มันจะเกินไปหน่อยหรือไม่? รวมไว้ด้วยกันเช่นนี้ กลิ่นก็จะผสมกันหมดแล้วจะแยกแยะได้อย่างไร?”
“ใช่ ใช่! ยากเกินไปแล้ว!”
“ภายในกองมีวัตถุดิบยาเกือบพันชนิดวางกองรวมกัน เพียงแค่ดมกลิ่นจะแยกออกได้อย่างไร?”
เพียงแค่วัตถุดิบยาเหล่านี้ปรากฎออกมา กลิ่นวัตถุดิบยาที่ฉุนจมูกก็ทำให้มู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้งอดขมวดคิ้วไม่ได้’ นางถ่ายทอดเสียงไปพูดกับเหมยจื่อจ้งว่า ‘ศิษย์พี่เหมย เฟิงผิงผู้นี้จงใจเลือกวัตถุดิบยากลิ่นฉุนมา เกรงว่าคงไม่หวังดีให้พวกเราผ่านด่าน ข้าสงสัยว่าภายในนี้อาจจะมีวัตถุดิบยาที่มีกลิ่นอ่อนๆ ผสมอยู่ด้วย คงคิดจะทำ ให้พวกเราสับสน อีกเดี๋ยวต้องระวังให้ดี’
เหมยจื่อจ้งส่งเสียงมาตอบแค่ ‘อืม’ คำเดียว
หลังจากเตือนเหมยจื่อจ้งแล้ว มู่ชิงเกอก็ไม่ขยับอีก เสียงวิเคราะห์รอบด้านทำให้นางรู้สึกขบขันในใจ ก่อนหน้านี้คนเหล่านี้ยังดูแคลนที่นางใช้ทางลัดอยู่เลย แต่มาตอนนี้กลับเริ่มทวงความยุติธรรมให้นางแล้ว
ดูแล้วทุกอย่างล้วนแต่มีขอบเขตของมัน หากทำเกินไปแล้วก็ง่ายที่จะผลักผู้สนับสนุนไปทางผู้ที่อ่อนแอกว่า
“ชิ เริ่มเถอะ” เฟิงผิงสบถออกมา
เมื่อเสียงของเขาหลุดออกไป มู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้งก็เริ่มขานชื่อวัตถุดิบยาออกมา
ความเร็วไม่ได้ด้อยไปกว่าเมื่อครู่เลย
จิวเขียงฉง”
“ลิ่วเสินชวี”
“ไห่จินซา”
“สาหร่าย”
“หม่าป๋อ”
“กำยานสงบใจ”
ไขต้นเฟิง”
“ก้านชี”
“สั่วหยาง”
“หญ้าทงเฉ่า”
u เถาลั่วสอ”
“เถาโกว”
“กุยเจี้ยนอวี่”
“ขู่มู่”
“เถาชิงเฟิง”
ทุกครั้งที่ทั้งสองคนพูดชื่อวัตถุดิบยาออกมา ก็เหมือนกับตัวยาชนิดนั้นถูกแยกออกไป จนกองวัตถุดิบยาเปลี่ยนเป็นเล็กลงเรื่อยๆ ส่วนความเร็วของมู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้งก็ยิ่งเร็วมากขึ้น
“หญ้าทงซน”
“หญ้าทงชิน”
วัตถุดิบยาชนิดสุดท้ายถูกเด็กฝึกหัดของเฟิงผิงถือเอาไว้ในมือ มู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้งก็ราวกับพูดออกมาในเวลาเดียวกัน
เด็กฝึกหัดยืนตะลึงอยู่กับที่ ลืมไปแล้วว่าตนเองอยู่ที่ไหน และต้องทำอะไร
ไม่เพียงแต่เขาที่เป็นเช่นนี้ คนนับหมื่นด้านล่างก็เช่นเดียวกัน
พวกเขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ครั้งนี้พวกเขาถูกความเก่งกาจของมู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้งโจมตีอย่างเด็ดขาด!
คนนับหมื่นคิดในใจว่าหากเปลี่ยนเป็นตนเอง พวกเขาจะสามารถร้ายกาจเช่นนี้ได้หรือไม่
มุมปากของจ้าวหนานชิงเผยรอยยิ้มออกมา เขารู้ว่าไม่มีปัญหาอะไรที่จะยากสำหรับเหมยจื่อจ้งและมู่ชิงเกอ ตอนนี้เขาหวังเพียงจะให้ทั้งสองคนแสดงออกมาอย่างโดดเด่นกว่านี้อีก เพื่อหักหน้าคนกลุ่มนี้
‘เขาจะพลาดได้อย่างไร? เป็นข้าคิดมาไปเองแท้ๆ’ เมื่อถึงตอนนี้ซ่งจิ่นซานถึงได้วางใจลงได้ นางยิ่งรู้สึกนับถือมู่ชิงเกอมากขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกว่าเขาเป็นอัจฉริยะแท้ๆ
“ตอบ…ตอบถูกทั้งหมดเลย!”
ทุกคนที่ตกตะลึงเริ่มที่จะได้สติกลับคืนมา
พวกเขามองไปยังเงาร่างสีแดงและสีขาวที่ยืนอยู่บนบันไดอย่างยากจะเชื่อ มีคนที่ไม่ยอมเชื่อขยี้ๆ ตาตนเอง
“ร้าย…ร้ายกาจเกินไปแล้ว!”
“อัจฉริยะ! เป็นอัจฉริยะจริงๆ!”
“เหตุใดถึงมีคนที่อัจฉริยะเช่นนี้? อีกทั้งยังมีถึงสองคนในคราวเดียว? นี่จะให้พวกเราใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร?”
“ข้ารู้สึกว่าอยากจะให้พวกเขาเข้าไปในส่วนในเลย”
“ทำไมเล่า?”
“เพราะหากพวกเขาไม่เข้าสู่ส่วนในแล้วอยู่ส่วนนอก ความโดดเด่นทุกอย่างก็จะถูกพวกเขาดึงดูดเอาไว้ แล้วพวกเราจะทำอย่างไรเล่า?”
คำพูดของคนบางคนทำให้คนรอบด้านสูดลมหายใจเข้า ลึกๆ ยอมรับในจุดๆ นี้
ไม่ผิด! หากว่าอัจฉริยะสองคนอยู่ในส่วนนอก แล้วพวกเขาจะยังเงยหน้าได้อีกหรือ?
อีกอย่าง ความสามารถที่พวกเขาแสดงออกในตอนนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนไม่มีความสามารถจะทำได้ เหลือเพียงด่านสุดท้ายก็สามารถเข้าสู่ส่วนในได้แล้ว
“แค่ก พวกเราคิดมากเกินไปหรือไม่?” มีคนเตือนขึ้น มาในกลุ่มคน “ถ้าหากพวกเขาผ่านด่านที่สามไม่ได้ก็ไม่มีวาสนากับสำนักวิถีโอสถแล้ว”
อา ไม่ผิด!
แต่ว่า…
สองคนนี้เหมือนกับคนที่ไม่มีวาสนากับสำนักวิถีโอสถหรือ?
นัยน์ตาของคนนับหมื่นล้วนแต่มีร่องรอยของความตะลึง และสงสัย มองไปยังคนสามคนที่กำลังเผชิญหน้ากันบนบันได
เด็กฝึกหัดของเฟิงผิงได้ถอยออกไปแล้ว
ส่วนสีหน้าของเฟิงผิงในตอนนี้ก็ดูวุ่นวายสับสนมาก อารมณ์ที่ยุ่งเหยิงทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขากระตุก
“ด่านที่สาม” เขากัดฟันพูดออกมา ถ้าหากว่าสองคนนี้ผ่านด่านที่สามไป เช่นนั้นสิ่งที่เขาทำในวันนี้ ใบหน้าแก่ๆ นี้…
นัยน์ตาของเฟิงผิงดุดันขึ้นมา เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พูดกับมู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้งว่า “ด่านต่อไปคือปรุงยา พวกเจ้าสองคนใครจะเริ่มก่อน?”
ปรุงยา?!
ด่านที่สามกลับเป็นการปรุงยา?
ด้านล่างเกิดเสียงประหลาดใจดังเข้ามา
แม้แต่จ้าวหนานซิงก็รู้สึกสงสัย ในใจของเขาเกิดความรู้สึกว่าด่านที่สามไม่น่าจะง่ายดายขนาดนั้น แม้จะเป็นการปรุงยาก็จะต้องไม่ใช่การปรุงยาธรรมดาแน่
เฟิงผิงผละสายตาไปจากร่างของมู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้ง เขาพูดกับตนเองว่า ‘หากว่าสองคนนี้สามารถผ่านด่านที่สามได้จริงๆ เขาก็ไม่อาจจะใช้อารมณ์ของตนเอง ไปสร้างความลำบากอะไรให้ได้อีกแล้ว’
“ข้าก่อน” เหมยจื่อจ้งแย่งมู่ชิงเกอเอ่ยปากขึ้นมาก่อน
มู่ชิงเกอหันมองเขา นัยน์ตาฉายแววประหลาดใจ
เหมยจื่อจ้งเองก็ส่งสายตาที่เรียบนิ่งมาบอกแก่นางว่า ‘ให้ข้าก่อนเถอะ’
มู่ชิงเกอรู้สึกซาบซึ้งในใจ นางรู้ว่าเหมยจื่อจ้งกังวลใจเรื่องด่านที่สามว่าจะมีอุบาย ซ่อนเอาไว้ถึงได้ลองเชิงให้นาง
สายตาที่แน่วแน่ของเหมยจื่อจ้งทำให้นางพูดคำปฏิเสธไม่ออก
นางหันหน้าไปแล้วเอ่ยกับเหมยจื่อจ้งว่า “ศิษย์พี่ ข้าเชื่อมั่นในตัวท่าน”
เหมยจื่อจ้งพยักหน้า แล้วก็มองไปทางเฟิงผิงรอคำพูดต่อไปของเขา
“การปรุงยาในด่านที่สาม ก็คือให้เจ้าปรุงยาระดับตํ่า ระดับกลาง ระดับสูงและระดับจิตวิญญาณพร้อมกัน ให้ปรุงตามระดับขั้นอาจารย์ปรุงยาของเจ้า อีกอย่างยา ทุกๆ ระดับต้องให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน และต้องมีคุณภาพสูงขึ้นไป” เฟิงผิงเอ่ย
คำพูดของเขาทำให้เหมยจื่อจ้งและมู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น แต่กลับทำให้คนนับหมื่นด้านล่างตะลึงขึ้นมา
“ให้ตายสิ! ปรุงยาต่างระดับพร้อมกัน ยังต้องให้มีผลลัพธ์ต่างกันอีก และต้องมีคุณภาพสูงขึ้นไปด้วย? นี่ มันยากเกินไปแล้ว?”
“ยากมากจริงๆ! การปรุงยานั้นที่สำคัญเลยคือห้ามแบ่งสมาธิ มาตอนนี้กลับให้ทำกลับกัน หนึ่งสมาธิใช้หลายทาง…นี่มัน…”
“ด่านที่สามไม่ใช่แค่ยากธรรมดา แต่ยากเกินไปแล้ว”
คนนับหมื่นด้วนแต่รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ จึงรู้สึกสงสารต่อสถานการณ์ของมู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้งมาก รู้สึกว่าหากอาศัยความสามารถของพวกเขาทำ ตามกฎเข้าไปยังส่วนนอกเรียนรู้ก่อน หลังจากหนึ่งปี ค่อยเข้าสู่ส่วนในก็คงจะเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก แต่มาตอนนี้เป็นเช่นนี้แล้ว หากว่าพ่ายแพ้ก็ไม่สามารถเข้าได้แม้แต่ประตูใหญ่ของสำนักวิถีโอสถ
สีหน้าของจ้าวหนานซิงดูยํ่าแย่มาก เขาเบียดคนก้าวไปยังบันได
สัญลักษณ์บนชุดของเขาทำให้คนที่มองดูอยู่รู้สึกแปลกใจและหลีกทางให้
รอจนเขาเบียดไปจนถึงด้านหน้าสุดและยืนอยู่ตรงกลางระหว่างมู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้งแล้วก็ได้ยินเขาพูดกับเฟิงผิงว่า “ปรมาจารย์เฟิงผิง นี่เป็นบททดสอบที่สำนักให้มาจริงๆ น่ะหรือ?”
คำถามของเขาทำให้เฟิงผิงขมวดคิ้วขึ้น พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “เจ้าเป็นใคร? เจ้าพูดเช่นนี้ คิดว่าข้ากุเรื่องขึ้นมางั้นหรือ?”
มู่ชิงเกอกับเหมยจื่อจ้งมองไปที่จ้าวหนานซิง ไม่อยากจะให้เขาเข้ามาเกี่ยว
แต่จ้าวหนานขิงกลับพูดต่อว่า “ข้าเป็นศิษย์ส่วนใน อยู่ภายใต้การชี้แนะของปรมาจารย์ต้านกุย ที่ข้าถามคำถามนี้ไม่ใช่เพราะคิดว่าปรมาจารย์เฟิงผิงกุเรื่องขึ้นมา เพียงแต่สงสัยว่าเหตุใดทางสำนักถึงได้ออกการทดสอบที่ยากจะเป็นจริงเช่นนี้ออกมา! ไม่ต้องพูดถึงสองคนนี้ ยังไม่ทันได้เข้าสู่สำนักวิถีโอสถอย่างเป็นทางการเลย ถึงแม้คนที่อยู่ในสำนักวิถีโอสถส่วนในมานาน ก็เกรงว่าคงทำไม่ได้?”
“ที่แท้ก็เป็นศิษย์ของปรมาจารย์ต้านกุย” เฟิงผิงเก็บความดุดันในดวงตาไปหลายส่วน แต่ก็ยังคงทำหน้านิ่ง พูดว่า “เห็นแก่อาจารย์เจ้า สิ่งที่เจ้าทำผิดในวันนี้ ข้าจะ ไม่เอาความ ที่นี่ไม่มีเรื่องของเจ้า รีบถอยออกไป”
“ปรมาจารย์เฟิงผิง…” จ้าวหนานชิงขมวดคิ้ว
“ศิษย์พี่จ้าว” มู่ชิงเกอเอ่ยปากขวางจ้าวหนานชิงแล้วส่ายหน้าให้เขา
“พวกเจ้ารู้จักกันหรือ?” เฟิงผิงมองเห็นการเคลื่อนไหวระหว่างมู่ชิงเกอและจ้าวหนานชิง นัยน์ตาก็ฉายแววยิ้มเยาะ “หากคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ก็สามารถถอยออกไปตอนนี้ได้”
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอดูเรียบสงบกวาดมองผ่านเฟิงผิงไปยังเหมยจื่อจ้ง นางเอ่ยถามว่า “ศิษย์พี่เหมย ท่านคิดว่าอย่างไร?”
เหมยจื่อจ้งยิ้มบางๆ พยักหน้าเอ่ยว่า “ถึงแม้ว่าจะไม่เคยทำเช่นนี้มาก่อน แต่ข้าก็ยินดีที่จะลองดูสักครั้ง”
เขายังคงนิ่งสงบดุจเมฆ ไม่ได้โมโหเพราะความยากลำบากเช่นนี้เลย
มู่ชิงเกอยิ้มแล้วพยักหน้า ลากจ้าวหนานซิงที่มีสีหน้าโกรธเคืองถอยไปก้าวหนึ่ง