Skip to content

พลิกปฐพี 454

ตอนที่ 454

เข้าส่วนใน สร้างทุน

“มู่ชิงเกอ…ที่แท้เจ้าก็คือมู่ชิงเกอ” นัยน์ตาของเฟิงผิงฉายแววตกตะลึง ไม่สามารถถอนกลับไปได้ “เจ้า…ไม่ใช่ว่าเจ้าเป็นอาจารย์หลอมศาสตราหรือ?”

ชื่อเสียงอาจารย์หลอมศาสตราระดับมหาเทพของมู่ชิงเกอนั้นมีมาก่อนการเป็นอันดับหนึ่งบนทำเนียบชิงอิงเสียอีก

อาจารย์หลอมศาสตราระดับมหาเทพเพียงหนึ่งเดียวในโลกแห่งยุคกลาง เหตุใดเขาจึงจะไม่รู้จัก?

มู่ชิงเกอยิ้มบางๆ “คงไม่มีคนออกกฎว่าอาจารย์หลอมศาสตราไม่สามารถเป็นอาจารย์ปรุงยาได้หรอกใช่ไหม”

“…” เฟิงผิงไร้คำจะตอบโต้ ไม่มีกฎเช่นนี้จริง เพียงแต่มันน่ากลัวเกินไป อาจารย์ปรุงยาและอาจารย์หลอมศาสตราล้วนแต่เป็นสิ่งที่น้อยคนจะเป็นได้ ไม่ว่าจะเป็นการหลอมศาสตราหรือว่าปรุงยาล้วนแต่เป็นอาชีพที่ต้องใช้สมาธิและความตั้งใจมาก แล้วเขาเล่า?

อายุยังน้อยแต่กลับเป็นอาจารย์หลอมศาสตราระดับมหาเทพเพียงหนึ่งเดียวในโลกแห่งยุคกลาง ทั้งยังเป็นอันดับหนึ่งในรุ่นเยาว์ มาตอนนี้ก็ยังมีสถานะอาจารย์ ปรุงยาระดับเทวะอีก ที่น่ากลัวที่สุดก็คือเขาครอบครอบขอบเขตสมบูรณ์ที่คนปรุงยาทุกคนต่างถวิลหา

ดูเหมือนว่าสิ่งที่ดีที่สุดบนโลกจะมารวมอยู่แต่ในตัวของเขาคนนี้

“ปรมาจารย์เฟิงผิง ข้าผ่านด่านหรือยัง?” ความเงียบกริบด้านหลังทั้งยังมีความนิ่งเงียบของเฟิงผิงไม่ได้ทำให้อารมณ์ของมู่ชิงเกอเกิดการเปลี่ยนแปลง นางเพียงเอ่ย ถามออกไปตามปกติ

ผ่านหรือยัง?

ยังต้องพูดอีกหรือ? อัจฉริยะเช่นนี้ พรสวรรค์เช่นนี้…

เฟิงผิงสามารถจินตนาการได้เลยว่าเพียงแค่มู่ชิงเกอเข้าไปในส่วนในจะทำให้เกิดระลอกคลื่นได้มากมายแค่ไหน! เกรงว่าบรรดาปรมาจารย์ที่เร้นกายจากโลกเหล่า นั้นคงอดที่จะออกมาเพื่อแย่งศิษย์กันไม่ได้

ศิษย์?

ทันใดนั้นมุมปากของเฟิงผิงก็กระตุก มู่ชิงเกอเป็นถึงอาจารย์ปรุงยาระดับเทวะที่ครอบครองขอบเขตสมบูรณ์ แล้วใครยังจะมีสิทธิ์ไปเป็นอาจารย์เขาได้อีก?

นอกเสียจาก… แววตาของเฟิงผิงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เขาสงบสติอารมณ์แล้วก็เอ่ยกับมู่ชิงเกอด้วยนํ้าเสียงที่เคร่งขรึมว่า “ผ่านแล้ว นับแต่นี้ไป เจ้าก็คือศิษย์ส่วนในของสำนักวิถีโอสถ พรุ่งนี้เจ้ากับเขาก็เข้าสู่ส่วนในพร้อมกันเลย”

“ขอบคุณปรมาจารย์เฟิงผิง” มู่ชิงเกอกุมมือคารวะ แล้วก็หันกายเดินไปหาเหมยจื่อจ้งและจ้าวหนานซิง

คนนับหมื่นด้านล่างมองพวกเขาทั้งสามคนอย่างเงียบเชียบ

สถานะของมู่ชิงเกอถูกเปิดเผยแล้ว ทำให้พวกเขาไม่สามารถพูดอะไรได้อีก ดูเหมือนพูดอะไรไปก็ผิดหมด พูดอะไรก็ไม่สามารถแกใขคำเยาะเย้ยถากถางของพวกเขาก่อนหน้านี้ได้

“พวกเราไปกันเถอะ” มู่ชิงเกอยิ้มให้ทั้งสองคน

เมื่อเรื่องจบลงแล้วพวกเขาทั้งสามคนก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องอยู่ที่นี่ต่อ

เหมยจื่อจ้งไม่ชอบความวุ่นวาย จ้าวหนานซิงก็รู้จักการทดสอบเข้าส่วนนอกของสำนักวิถีโอสถมานานแล้ว มู่ชิงเกอก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้เท่าไหร่ แล้วยังจะอยู่ต่ออีกทำไม?

ทั้งสองคนพยักหน้า เดินไปด้านนอกกับมู่ชิงเกอ ตลอดทางที่เดินผ่าน กลุ่มคนที่แออัดกันอยู่พากันหลีกทางเกิดเป็นเส้นทางสายหนึ่งให้ทั้งสามคนเดินออกไป ส่วนสามคนนี้ก็เพียงเดินผ่านไปตรงกลาง ไม่ได้หันมองพวกเขาเลย

เงาร่างของคนทั้งสามค่อยๆ ไกลออกไปจนลับหายไป จากสายตาของคนนับหมื่น

ส่วนเส้นทางที่แยกออกให้พวกเขาเดินก็ปิดเข้ามาอีกครั้ง เสียงพูดคุยก็เริ่มดังขึ้นมา

“ดูสิ นี่คือความแตกต่าง!”

“คนที่ร้ายกาจอย่างแท้จริงมักจะไม่แสดงตัวตน!”

“เจ้าเมืองมู่ไม่ได้ใส่ใจที่พวกเราดูหมิ่น ดูแคลน เยาะเย้ยถากถางในก่อนหน้านี้เลย นี่เป็นความห่างชั้นของพวกเรา หากเป็นข้าเกรงว่าคงหาทางแก้แค้นแล้ว”

“เอ้ หากเจ้าทำเช่นนั้นอย่างมากก็เป็นได้แค่คนชั้นตํ่า คนเขาเป็นถึงเจ้าเมืองมู่ สูงส่งเหนือกว่าพวกเราไปนานแล้ว หากว่ามาเอาความกับพวกเราอีกก็เหมือนเป็นการลดตัวน่ะสิ?”

“ดังนั้นเจ้าเมืองมู่จึงเป็นแบบอย่างให้กับรุ่นของพวกเรา!”

“ข้าตัดสินใจแล้ว! ต่อไปเจ้าเมืองมู่จะเป็นแบบอย่างของข้า เป็นจุดมุ่งหมายในการต่อสู้ของข้า!”

“ชิ” เฟิงผิงสบถอย่างเย็นชา ขัดจังหวะประเด็นพูดคุยของกลุ่มคนที่ยิ่งคุยก็ยิ่งดุเดือด

เมื่อเสียงของเขาหลุดออกไป รอบด้านก็เงียบลงมา มองเขาอย่างหวาดกลัว

ไม่มีใครรู้ว่าเฟิงผิงที่โดนหักหน้าจะหันกลับมาสร้างความลำบากให้พวกเขาที่เป็นเพียงกลุ่มที่มีความสามารถเล็กน้อยนี้หรือไม่ มีไข่มุกลํ้าค่าอย่างมู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้งอยู่ข้างหน้า ใครจะกล้าเรียกตัวเองว่าอัจฉริยะได้อีก?

ใครยังจะกล้าพูดอีกว่าสำนักวิถีโอสถจำเป็นต้องมีตนเอง?

“พวกเจ้า เตรียมตัวสอบเข้าส่วนนอกได้” ดีที่เฟิงผิงไม่ได้สร้างความลำบากอะไร เพียงแต่ประกาศว่าเริ่มการทดสอบโดยตรงเลย

นี้ทำให้คนนับหมื่นลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก

เมื่อกลับมาถึงเรือนหลังเล็กแล้ว จ้าวหนานซิงก็เอ่ยกับมู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้งว่า “วันนี้พวกเจ้าเหนื่อยแล้ว พักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะมารับพวกเจ้าไปส่วนในด้วยกัน”

“ลำบากศิษย์พี่จ้าวแล้ว” มู่ชิงเกอยิ้มแล้วพูดออกมา

จ้าวหนานชิงเอ่ยว่า “กับข้ายังต้องเกรงใจขนาดนี้อีกหรือ?”

จากนั้นเขาก็หยุดลงครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยเตือนว่า “เมื่อเข้าสู่ส่วนในแล้วพวกเจ้าสามารถทำความคุ้นเคยไปก่อน แต่หลังจากเข้าไปได้ครึ่งปีก็จะต้องเลือกอยู่ภายใต้คำชี้แนะของปรมาจารย์สักคน กฎนี้คล้ายกับของโรงโอสถอยู่บ้าง”

“หลังจากนี้ครึ่งปี?” มู่ชิงเกอพูดออกมาอย่างหนักอึ้ง แล้วเงยหน้ามองจ้าวหนานชิง “หากว่าข้าจำไม่ผิดงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถก็จะจัดขึ้นหลังจากนี้ครึ่งปีเช่นกัน?”

จ้าวหนานชิงพยักหน้า “ไม่ผิด หากนับดูเวลาแล้วเพียงแค่งานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถจบลงพวกเจ้าก็ต้องเลือกอาจารย์แล้ว”

มู่ชิงเกอยิ้มแล้วส่ายหน้า “ไม่จำเป็น ข้าคิดจะอยู่ในสำนักวิถีโอสถถึงหลังงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถจบเท่านั้น”

“อะไรนะ! เร็วขนาดนั้นเชียว?” จ้าวหนานชิงแปลกใจ

เขารู้ว่ามู่ชิงเกอนั้นมีเวลากระชั้นชิด แต่ก็คิดว่าอย่างน้อยนางก็ต้องมีเวลาประมาณหนึ่งปี คิดไม่ถึงว่านางจะอยู่แค่เพียงครึ่งปีเท่านั้น

แม้แต่เหมยจื่อจ้งก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างแปลกใจ มองไปทางมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอพยักหน้า “จุดมุ่งหมายที่ข้ามาสำนักวิถีโอสถ นอกจากเพราะเรื่องที่ข้าเคยสัญญาไว้กับตาเฒ่าโรงโอสถแล้ว ก็หวังจะอาศัยการสนับสนุนของสำนักวิถี โอสถทะลวงขอบเขตสู่ระดับมหาเทพ จะจัดการเรื่องสองเรื่องนี้เวลาเพียงครึ่งปีก็เพียงพอแล้ว”

นางไม่แน่ใจว่าจะสามารถทะลวงขอบเขตเป็นอาจารย์ปรุงยาระดับมหาเทพได้ภายในครึ่งปี แต่เวลาครึ่งปีก็เพียงพอให้นางเข้าใจวิถีโอสถภายในสำนักวิถีโอสถแล้ว เมื่อถึงเวลานั้น จะกลายเป็นอาจารย์ปรุงยาระดับมหาเทพเมื่อไหร่ก็มีแค่ปัญหาเรื่องเวลาเท่านั้น

“เอาเถอะ เจ้ามักจะยุ่งอยู่เสมอ” จ้าวหนานซิงยิ้มอย่างหมดทางเลือก

มู่ชิงเกอพูดแผนการของตนเองออกไปแล้ว จ้าวหนานชิงมองไปทางเหมยจื่อจ้งแล้วถามว่า “ศิษย์พี่ ท่านละ?”

เหมยจื่อจ้งนิ่งลงไป มองไปทางมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ศิษย์พี่เหมย ท่านไม่ต้องสนใจข้า และก็ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องของลั่วซิงเฉิง ในเมื่อยากที่เข้ามาในสำนักวิถีโอสถได้ ก็อยู่กับศิษย์พี่จ้าว ศิษย์พี่ซาง ศิษย์พี่จูเถอะ”

“ได้” เหมยจื่อจ้งทำตามคำพูดของมู่ชิงเกอ

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตอนนี้พวกเจ้าก็พักผ่อนไปก่อน ทุกอย่างเอาไว้ค่อยพูดกันหลังจากเข้าไปในส่วนใน ในวันพรุ่งนี้แล้ว” จ้าวหนานซิงเอ่ยกับทั้งสองคน

จากนั้นจ้าวหนานซิงก็ออกไปจากเรือนหลังเล็ก

ก่อนหน้านี้เหมยจื่อจ้งสูญเสียพลังจิตไปมาก แม้ว่าจะได้ยาของมู่ชิงเกอฟื้นฟูขึ้นมาบ้างแต่ก็ยังเผยร่องรอยของความอ่อนล้าออกมา

เขาเอ่ยขอตัวกับมู่ชิงเกอแล้วก็ย้อนกลับไปห้องของตนเองเพื่อฝึกฝน

ถึงแม้ก่อนหน้านี้มู่ชิงเกอก็อยู่ในการทดสอบเช่นเดียวกัน แต่กลับไม่ได้รู้สึกเหนื่อยเลย กลับมีเสียงๆ หนึ่งคอยเร่งให้นางเข้าไปในช่องว่างตั้งแต่ที่นางมาถึงเรือนหลังเล็ก

นางเข้ามาในห้องของตนเองและปิดประตู เพียงหันกายก็หายไปจากที่เดิมเข้าไปในช่องว่าง

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์”

มู่ชิงเกอรู้สึกว่าสองเท้าของตนเองยังไม่ทันได้ยืนดีก็ถูกใครบางคนอุ้มเอาไว้แล้ว นางยื่นแขนของนางไปโอบรอบคอเขาอย่างเป็นธรรมชาติ มองไปยังทิศทางที่เขาเดินไปแล้วก็เอ่ย ถามอย่างแปลกใจว่า “เจ้าจะพาข้าไปไหน?”

ซือมั่วมองนาง นัยน์ตาสีอำพันฉายแววขบขัน “ที่นี่เป็นสถานที่ของเจ้า เจ้ายังจะกลัวข้าจะพาเจ้าหลงอีกหรือ?”

มู่ชิงเกอถูกหยอกล้อจนสีหน้าเกิดความอายขึ้นมา

นางไม่ได้กลัวเขาจะพาตนเองไปหลง เพียงแต่กลัวว่า ผู้ชายคนนี้จะเริ่มกระทำอะไรบางอย่างขึ้นมาอีกต่างหาก…

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์วางใจได้ เรื่องที่ข้าสัญญาไว้กับเจ้าจะไม่ผิดสัญญาแน่นอน”

แค่ก แค่ก!

คำพูดของซือมั่วเกือบทำให้มู่ชิงเกอสำลัก นางเงยหน้ามองเขากลับเห็นว่านัยน์ตาของเขาหรี่เล็กลง

น่าตายนัก! เจ้าบ้านี่จงใจ!

มู่ชิงเกอคิดในใจอย่างแค้นเคือง

ขณะที่นางกำลังคิดว่าจะตอบโต้คืนนั้น ซือมั่วก็วางนางลงในทันใด

เมื่อสองเท้าของมู่ชิงเกอยืนอยู่บนพื้น นางก็มองไปยังคนสองคนตรงหน้านาง เอ๋ ไม่น่าจะพูดว่าสองคน ต้องเป็นสองซากร่างมากกว่า

“นี่เป็นของที่ข้านำออกมาจากสนามรบโบราณแห่งเทพมาร” มูชิงเกอเอ่ยอย่างแปลกใจ ตอนแรกนางกังวลว่า ในตอนที่จะเค้นเอาหยดเลือดของเทพมารออกมาจากซากร่างและในตอนที่ปรุงยาเพื่อฟื้นคืนชีพให้มู่หลียนเฉิงนั้นจะเกิดเรื่องเหนือความคาดหมาย ดังนั้นจึงนำมาเผื่อ

ซือมั่วอยู่ในช่องว่างของนางมาระยะหนึ่งพบซากร่างสองร่างนี้ก็ไม่ได้รู้สึก แปลกใจ

ที่น่าแปลกใจก็คือเขาพาตนเองมาที่นี่ทำไม’?

‘คงไม่ใช่ว่าหนึ่งในซากร่างนี้เป็นญาติของซือมั่วหรอกนะ?’ มู่ชิงเกอคิดในใจ พึมพำเอ่ยว่า “เรื่องนั้น ข้าก็เพียงมองแล้วถูกใจถึงได้นำมา หากว่าเจ้าคิดว่าไม่ เหมาะสม ข้าก็จะหาสถานที่ฝังพวกเขาให้เรียบร้อย?”

สายตาที่แอบเหลือบมองน้อยๆ ของนางนั้นน่ารักมาก ซือมั่วคิดอยากจะชมดูให้นานยิ่งขึ้น แต่ก็อดใจเห็นนางคิดเหลวไหลไปไกลไม่ไหว เขาจึงส่ายหน้า “ที่เรียกเจ้ามาก็เพราะอยากจะบอกเจ้าว่า มีวิธีหนึ่งที่สามารถทำให้พวกเขามีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งเพื่อรับใช้เจ้าได้”

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเปล่งประกาย ตั้งอกตั้งใจฟัง

“วิธีอะไร?” นางถามอย่างอดใจไม่ไหว

ซือมั่วพอใจมากที่นางไม่ปิดบังนิสัยที่แท้จริงต่อหน้าตนเอง ทำให้ร่องรอยขบขันในดวงตาของเขาลํ้าลึกมากขึ้น เขาอดยื่นมือออกไปบีบปลายจมูกของมู่ชิงเกอไม่ได้

ในตอนที่นางตวัดมือมาเขาก็รีบถอนมือกลับในทันที แล้วก็จับกุมมือเล็กของนางเอาไว้ สิบนิ้วเกี่ยวกันเข้ามา กลางมือ “สายตาของเสี่ยวเกอเอ๋อร์ไม่เลวเลย คน สองคนนี้ในตอนที่มีชีวิตอย่างน้อยก็ต้องมีระดับพลังอยู่ในขั้นศักดิ์สิทธิ์ขั้นสี่ลงไป หากว่าใช้วิชาลับเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นหุ่นเชิดแล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็จะสามารถรักษาพลังอยู่ในระดับขั้นถํ้าวิญญาณขั้นแปดได้”

ให้ตายเถอะ!

มู่ชิงเกอเบิกตากว้าง ภายในส่วนลึกของดวงตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง

ถึงแม้นางจะไม่รู้ว่าระดับขั้นถํ้าวิญญาณขั้นแปดหมายถึงอะไร แต่ก็ฟังดูเหมือนจะร้ายกาจมาก! กู่หยาเคยพูด แล้วว่าเผ่าอี้ต้องใช้พลังระดับขั้นจิตวิญญาณขั้นสามขึ้นไปถึงจะฆ่าให้ตายได้

เช่นนั้นระหว่างขั้นจิตวิญญาณและขั้นถํ้าวิญญาณห่างกันมากแค่ไหน?

ทุกๆ เขตแดนพลังใหญ่ของแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร แบ่งออกเป็นเขตแดนเล็กๆ กี่เขตแดนกัน?

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!