ตอนที่ 455
ศิษย์พี่เหยาต้องการพบเจ้า
ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็รู้สึกสนใจการแบ่งระดับพลังบนแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารขึ้นมา
แต่ซือมั่วกลับเอ่ยว่า “รอให้เจ้าเข้าสู่แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารแล้ว ข้าจะพูดให้เจ้าฟังอย่างละเอียด ตอนนี้เจ้าเพียงต้องบอกข้าว่า เจ้าต้องการหุ่นเชิดสองตัวนี้หรือ ไม่?”
อยาก! อยากแน่นอน!
สองตัวนี้เป็นนักสู้ที่ไร้เทียมทานเชียวนะ!
เพียงแต่นางยังมีข้อสงสัยจึงเอ่ยกับซือมั่วว่า “หากพวกเขาตื่นแล้วก็จะทำตามคำสั่งของข้าเลยหรือมีความคิดเป็นของตนเอง? ความสามารถในตอนมีชีวิต นอก จากระดับพลังแล้วยังเก็บรักษาความสามารถเอาไว้ได้เท่าไหร่? ที่สำคัญก็คือในตอนที่มีชีวิตอยู่พวกเขาอยู่คนละฝ่าย หลังจากตื่นขึ้นมาแล้วจะขัดแย้งกันหรือไม่?”
ถึงเวลานั้นหุ่นเชิดก็ไม่ได้ ช่องว่างของตนเองก็ถูกเทพมารเมื่อแสนกว่าปีก่อนทำลาย ซือมั่วเหลือบมองนาง นัยน์ตาฉายแววรักใคร่ พูดว่า “กังวลเรื่องไม่เป็นเรื่อง”
มู่ชิงเกอชะงัก นางกังวลเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างไร?
นางครุ่นคิดอีกรอบถึงได้เข้าใจ
ถ้าหากว่าปัญหาเหล่านี้ของนางเป็นปัญหา ซือมั่วคงไม่พานางมาที่นี่ และก็หมายถึงว่า ความกังวลใจของนาง ไม่ใช่ปัญหา!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ในใจของมู่ชิงเกอก็คาดหวังขึ้นมา
“ต้องทำอย่างไรบ้าง?” นางถามซือมั่ว
ซือมั่วพูดว่า “การสร้างหุ่นเชิดจำเป็นต้องใช้พญาเพลิงและเลือดของเจ้านาย และก็ต้องใช้พลังขั้นศักดิ์สิทธิ์ของเทพมารกระตุ้นให้ฟื้นคืนชีพ สามเงื่อนไขนี้ขาดไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว ส่วนเจ้ากลับมีครบทั้งหมด”
นัยน์ตาของเขาส่องแสงเป็นประกายลึกลํ้าดุจดั่งดวงดาว เพียงแต่ดวงดาวกลางอากาศไม่ได้โดดเดี่ยวเย็นชาอีกแล้ว แต่กลับมีความเอ็นดูอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเข้ามาแทน
มู่ชิงเกอมองจนตะลึง แม้ว่านางจะคุ้นเคยกับรูปโฉมของซือมั่ว แต่นางก็ยังถูกเขาทำให้ตะลึงอยู่ดี
“ส่งผลกระทบต่อบาดแผลของเจ้าหรือไม่?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม
เสียงนี้เหมือนเป็นเสียงกระซิบอย่างหลงใหล แต่ความหมายในคำพูดกลับทำให้ซีอมํ่วชะงักเล็กน้อยแล้วก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา
เขาโอบมู่ชิงเกอเข้ามาในอ้อมอก สัมผัสได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นและลมหายใจของตนเอง
“สมกับเป็นผู้หญิงที่ข้าชอบจริงๆ!” ซือมั่วพูดประโยคที่ไม่มีหัวไม่มีหางออกมา ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกมึนงง นางเงยหน้าสบตากับซือมั่ว ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยแสง ดาวระยิบระยับ อบอุ่นจนทำให้คนถลำลึกเข้าสู่ภายใน ภายในสถานการณ์เช่นนี้เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขาก็ยังเป็นห่วงร่างกายของเขา ทำให้เขามีความสุขและซาบซึ้งใจมาก
ดูเหมือนว่าจะไม่เคยมีใครใส่ใจเขาขนาดนี้มาก่อน
บิดาของเขาหรือ?
ผู้ชายคนนั้นเอาแต่หลงมัวเมาอยู่กับอิสตรี เกรงว่าแม้แต่เขาผู้เป็นลูกก็คงจำไม่ได้
มารดาของเขาหรือ?
ผู้หญิงดื้อดึงที่เผาทำลายตัวเองเพียงเพื่อความรักในใจ มีเพียงแค่ก่อนตายเท่านั้นถึงได้พูดขอโทษกับเขา
บรรดาพี่น้องของเขาหรือ?
ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานอกจากการแย่งชิงบัลลังก์แล้วยังเหลืออะไรด้วยหรือ?
มุมปากของซือมั่วเผยรอยยิ้มบางๆ ความเงียบและเย็นชาในดวงตามองไปบนใบหน้าของมู่ชิงเกอ เขาคิดไปถึงครั้งยังเด็ก คิดถึงครั้งที่เคยถูกกดขี่และทรมาน และก็คิดถึงชีวิตที่ต้องหนีตายนับครั้งไม่ถ้วน เขาเคยชินกับการอยู่คนเดียวมานับหมื่นปี
ส่วนตอนนี้เมื่อมองหญิงสาวในอ้อมแขนกลับทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้น
เขาใช้มือใหญ่กดหัวของมู่ชิงเกอลงมาที่อกของตนเอง คางของเขาเกยอยู่บนหัวของมู่ชิงเกอ สูดดมกลิ่นหอมจากร่างกายของนาง พูดอย่างน่าหลงใหลว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ ขอบคุณที่มาปรากฎตัวอยู่ข่างกายของข้า”
หากว่าสูญเสียนางไปเขาก็ไม่ขออยู่ต่อ!
ความเศร้าโศกอย่างฉับพลันของเขาทำให้มู่ชิงเกอปวดใจ
เพียงนางยังไม่ทันปลอบใจ ความเศร้าโศกก็หายไปแล้ว
ซือมั่วยังคงเป็นซือมั่วที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานเช่นเคย แม้ว่าจะถูกผนึกทุกอย่างที่เกี่ยวกับนางไป แต่ก็ระบุตัวนางออกมาได้ในพริบตา เป็นผู้ชายที่ไม่เคยทำให้นาง ต้องผิดหวัง!
นางพิงอยู่ในอ้อมแขนของซือมั่ว มุมปากมีรอยยิ้มปรากฎ ลอบเอ่ยในใจว่า “อามั่ว ก็ขอบคุณเจ้าเช่นกัน ที่มาปรากฎอยู่ข้างกายข้า ทั้งไม่ได้วางมือเมื่อข้า
ปฏิเสธ”
นางไม่กล้าคิดเลยว่าถ้าหากทั้งสองคนคลาดกันไปแล้ว นางจะสูญเสียอะไรไปบ้าง!
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ไม่ต้องกังวลใจ ถึงแม้ว่าในตอนนี้ข้าจะไม่สามารถเคลื่อนไหวพลังจิตได้ แต่พลังฝึกปรือก็ยังคงอยู่ เพียงแค่กระตุ้นหุ่นเชิดสองตัวเท่านั้นไม่มีอะไรใหญ่โต”
แม้เขาจะพูดเช่นนี้แต่มู่ชิงเกอก็ยังส่ายหน้าปฏิเสธ “รอให้เจ้าฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์แล้วค่อยว่ากันเถอะ”
ซือมั่วขมวดคิ้ว คิดจะพูดโน้มน้าว
แต่มู่ชิงเกอกลับยกมือขัดจังหวะเขา “ตอนนี้ข้าอยู่ใ สำนักวิถีโอสถ ไม่มีอันตรายอะไร อีกอย่างหากว่าพบเจอเรื่องเหนือความคาดหมาย ข้าก็สามารถเข้ามาหลบ ในช่องว่างได้ ดังนั้นให้เจ้าเชื่อฟังข้า รอให้เจ้าฟื้นฟูสมบูรณ์แล้วค่อยช่วยข้าสร้างหุ่นเชิดทั้งสอง”
ซือมั่วขมวดคิ้ว พูดต่อว่า “หากว่ามีอันตรายจริงๆ ด้วยนิสัยของเจ้าก็คงไม่เข้ามาหลบอยู่ในช่องว่างง่ายๆ หุ่น เชิดสองตัวนี้ เพียงแค่สร้างได้แล้วพลังของพวกเขาจะถูกกดอยู่ในขอบเขตของโลกที่อยู่ มีพวกเขาคอยคุ้มกัน ข้าถึงได้วางใจในความปลอดภัยของเจ้า”
“หากว่าข้าเอาแต่ให้เจ้าคุ้มครองในทุกๆ เรื่อง ข้าก็ไม่อาจจะเติบโตได้” มู่ชิงเกอพูดอย่างแน่วแน่
ประโยคนี้ทำให้ซือมั่วพูดไม่ออก
เขาเดินมาทีละก้าวๆ จนมาถึงตำแหน่งเจ้าแห่งมาร ก็รู้ดีว่าเส้นทางแห่งผู้แข็งแกร่งนั้นจำเป็นต้องเดินไปด้วยตนเอง แต่เมื่อมาถึงตามู่ชิงเกอ เขากลับทนไม่ได้
มู่ชิงเกอมองสีหน้าที่ขรึมลงมาของซือมั่วแล้ว ก็ยิ้มบางๆ นางจับแก้มทั้งสองของเขาแล้วเขย่งปลายเท้าจูบที่ริมฝีปากของเขาเบาๆ เหมือนปลอบเด็กน้อย
เพียงแค่จูบเดียวก็ทำให้ความอึมครึมในดวงตาของซือมั่วสลายไป
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์พวกเรามาทำเรื่องอื่นกันเถอะ” หัวใจของซือมั่วเริ่มมีความปรารถนาขึ้นมาอีกครั้ง
เพียงแต่มู่ชิงเกอกลับถอยได้ทัน ทิ้งเอาไว้หนึ่งประโยคว่า “เวลาสิบวันยังมาไม่ถึง เจ้าพักผ่อนให้ดีๆ เถอะ”
แล้วนางก็หันกายจากไป
รอจนนางหายไปจากตรงหน้าของซือมั่วแล้ว รอยยิ้มรักใคร่ของเขาถึงได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย กลับมาสู่ภาพลักษณ์ที่สูงส่งเย็นชาอีกครั้ง
ซือมั่วยกมือขึ้นคว้าบนความว่างเปล่า
เสียงร้องสายหนึ่งดังออกมาจากที่ไกลๆ จากนั้นเงาร่างสายหนึ่งก็ถูกดูดเข้ามาอย่างรวดเร็ว
เมื่อเสียงปังดังขึ้น เหมิงเหมิงก็มานั่งอยู่ข้างเท้าของซือมั่ว
นางย่นจมูกลูบก้นที่เจ็บปวดของตนเอง แล้วเงยหน้ามองซือมั่วอย่างโมโห กัดฟันเอ่ยว่า “อย่าคิดว่าเจ้านายพาเจ้าเข้ามาแล้วจะทำอะไรก็ได้นะ! ชิ!”
ซือมั่วกวาดตามองมาอย่างเรียบนิ่ง
ความเย็นยะเยือกในดวงตาทำให้เหมิงเหมิงรู้สึกว่า บรรยากาศรอบตัวตนเองถูกดึงออกมา ทำให้รู้สึกถึงภัยอันตราย
“เจ้าก็คือจิตวิญญาณของช่องว่างแห่งนี้งั้นหรือ? ทำให้ความเร็วเวลาในช่องว่างนี้เร็วขึ้นอีกเท่าหนึ่ง” เดิมที ซือมั่วคิดจะให้เหมิงเหมิงปรับเป็นหนึ่งต่อสิบแต่หากเป็นเช่นนั้นอาจจะทำให้มู่ชิงเกอคลั่งได้ ดังนั้นจึงต้องอดทน
เหมิงเหมิงคิดจะปฏิเสธแต่เมื่อดวงตาที่เต็มไปด้วยไอสังหารของซือมั่วกวาดมา นางก็ได้แต่ก้มหน้า
‘ฮือ ฮือ ฮือ! เจ้านาย ข้าขอโทษ! เจ้าแห่งมารบังคับข้า!’
หากไม่มีป้ายเข้าออกแล้วก็จะเข้าส่วนในของสำนักวิถีโอสถไม่ได้ แม้จะเป็นศิษย์ส่วนนอกของสำนักวิถีโอสถก็ตาม
มู่ชิงเกอกับเหมยจื่อจ้งตามจ้าวหนานซิงมาที่นอกประตูใหญ่ส่วนใน
“ประตูใหญ่ของส่วนในมักจะปิดอยู่ตลอด กำแพงที่สูงใหญ่ปิดบังสายตาของคนนอกรวมถึงซ่อนความลึกลับของส่วนในจากคนส่วนนอก ส่วนในของสำนักวิถีโอสถ เป็นสถานที่ที่ศิษย์ส่วนนอกสงสัยใคร่รู้มากที่สุด แน่นอนว่าเป็นสถานที่ที่พวกเขาเคารพนับถือและอยากเข้ามาอยู่” จ้าวหนานซิงแนะนำ
พูดแล้วเขาก็หัวเราะและเอ่ยว่า “ที่จริงรอจนได้เข้ามาแล้วถึงจะพบว่าด้านในไม่ได้มีอะไรให้แปลกใจเลย เป็ เหมือนกับเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง เพียงแต่ว่าด้านในเป็นที่รวมตัวของคนที่มีพรสวรรค์ในการปรุงยาและก็ยังมีอาจารย์ปรุงยาที่ร้ายกาจของทั่วทั้งโลกแห่งยุคกลางอยู่”
ประตูที่ปิดสนิทถูกคนเปิดออกมาจากด้านใน
มีคนรุ่นเยาว์เดินออกมาสามคน
แต่เรื่องอายุมากหรืออายุน้อยของโลกนี้ไม่ได้เป็นไปตามกฎธรรมชาติ หากมองแค่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกของพวกเขาก็แทบดูอายุของพวกเขาไม่ออกเลย
ก็เหมือนกับคนตรงหน้า หากไม่ใช่เพราะจ้าวหนานซิงส่งเสียงบอกมู่ชิงเกอว่าพวกเขามีอายุถึงสามสี่ร้อยปีแล้ว นางก็คงคิดไม่ถึง
และก็เหมือนกับมู่ชิงเกอ หากว่านางไม่บอกว่านางเพิ่งจะอายุได้ยี่สิบกว่าปี คนที่ไม่คุ้นเคยกับนางคงไม่รู้ว่านางยังอายุน้อยอยู่
‘สำนักวิถีโอสถมีความสามารถในการรักษารูปโฉมจริงๆ!’ มู่ชิงเกอพูดในใจ คิดถึงตอนที่นางอยู่ในโรงโอสถสาขาย่อยในแคว้นอวี๋ เพียงแค่ปรุงยาคงรูปโฉมออกมาเม็ดหนึ่งก็ดึงดูดให้ผู้หญิงมากมายเข้ามาแย่งชิงอย่างบ้าคลั่งได้แล้ว
“ตามพวกเราเข้ามา” ผู้นำพูดกับมู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้งจบแล้วก็หันกายไปนำทาง
สามคนนี้กุมมือไว้ด้านหน้า ดูก็รู้แล้วว่าเป็นพวกที่ทำตามกฎอย่างเคร่งครัด
เมื่อตามทั้งสามคนเข้าไปในส่วนในแล้ว ประตูใหญ่ที่เปิดออกครึ่งหนึ่งก็ปิดสนิทอีกครั้ง ปิดกั้นสายตาจากภายนอก
เมื่อเข้ามาในส่วนใน มู่ชิงเกอถึงได้เข้าใจคำพูดที่จ้าวหนานชิงพูดว่าหมายความว่าอย่างไร ส่วนในของสำนักวิถีโอสถเป็นเหมือนเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง
มีโรงนํ้าชาและร้านค้าต่างๆ
“เหล่านี้เป็นบรรดาตระกูลของผู้คุ้มกันส่วนในจัดขึ้น เป็นการแก้ปัญหาความต้องการประจำวันของศิษย์ส่วนใน เจ้าสำนักจึงอนุญาติ” จ้าวหนานชิงอธิบายให้ทั้งสองคนฟังเบาๆ
ใบหน้าที่แปลกใหม่ของมู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้งดึงดูดความสงสัยของศิษย์ส่วนในจำนวนไม่น้อย พวกเขาพากันลอบพิจารณาและก็พูดคุยกัน
คนที่นำทางทั้งสามคนพามู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้งไปยังเรือนที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง พวกเขามาถึงก็มองเห็นซางจื่อซูและจูหลิงที่มารออยู่ด้านนอกเรือนทันที
สองสาวเดินมาข้างกายของมู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้ง ทั้งห้าคนมารวมตัวกันอีกครั้ง
คนที่นำทางหันมาเอ่ยกับมู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้งว่า “ป้ายประจำตัวพวกเจ้าแล้วก็ที่พักล้วนแต่รับเอาได้จากที่นี่ หลังจากพวกเจ้าผ่านพิธีการแล้วก็เดินชมตาม สบาย”
“ลำบากศิษย์พี่แล้ว” จ้าวหนานซิงคำนับ
ทั้งสามคนจากไปอย่างหยิ่งผยอง อีกสองคนยังไม่ได้พูดอะไรเลย เป็นเหมือนเครื่องประดับที่แสดงให้เห็นว่าคนตรงกลางนั้นไม่ธรรมดา
“พวกเขาไปแล้ว พวกเราถึงได้ทำตัวตามสบายได้หน่อย” จูหลิงหัวเราะแล้วเอ่ยออกมา
เสียงหัวเราะของนางดูเป็นธรรมชาติเสมอ
“ไปเอาของก่อน หลังจากผ่านพิธีการแล้ว พวกเราจะพาเจ้าเดินชมส่วนใน” จ้าวหนานซิงพูดกับทั้งสองคน
มู่ชิงเกอกับเหมยจื่อจ้งพยักหน้าแล้วตามเข้าไปจัดการพิธีการด้านในอย่างราบรื่น รับป้ายประจำตัวของตนเอง รวมไปถึงกุญแจที่พัก เพียงแต่ในตอนที่พวกเขาเดินออกมานั้น กลางเรือนก็มีคนเพิ่มมาคนหนึ่ง ดูเหมือน…กำลังรอพวกเขาอยู่
จ้าวหนานซิงมองเห็นคนๆ นั้นแล้วนัยน์ตาก็หดตัวลง เอ่ยเตือนว่า “นี่เป็นคนของศิษย์พี่เหยา”
ศิษย์พี่เหยา? เหยาชิงไห่น่ะหรือ’?
มู่ชิงเกอคิดถึงรูปลักษณ์ของคนๆ นั้นขึ้นมาในหัว เวลานี้เอง คนที่มาก็ก้าวมาข้างหน้าแล้วประสานมือทั้งสองไว้ด้านหน้าทักทายมู่ชิงเกอ “ศิษย์น้องมู่ใช่หรือไม่’? ศิษย์พี่เหยาเชิญไปพบ”