ตอนที่ 457
วิถีโอสถของสำนักวิถีโอสถ
“…เจ้ารู้ไหมว่าข้าเห็นอะไร?” เหยาชิงไห่จ้องตามู่ชิงเกอ ดูเหมือนกำลังจะดูภายในใจของเขาว่าคิดอย่างไร
มู่ชิงเกอหรี่ดวงตาเล็กลงฉายแววระมัดระวัง
“ข้าไม่เคยคิดตัวเองตํ่าต้อย แต่ก็รู้ว่าความสามารถของตนเองอยู่ที่ไหน หากจะพูดถึงการเป็นผู้นำ การมองภาพกว้างหรือวางกลอุบายนั้นข้าไม่สู้เจ้า’’ เหยาชิงไห่ พูดตรงๆ
สายตาของเขาเปิดกว้างมาก ปราศจากความเจ้าเล่ห์
แต่มู่ชิงเกอได้ฟังแล้วกลับยิ่งมึนงง นางไม่ได้รู้สึกยินดี เพียงแต่เกิดความสงสัย
“ประมุขน้อยเหยา วันนี้ที่เจ้าเรียกขามาเพื่ออะไร?”
“เรื่องสุสานเทพ เจ้าเคยได้ยินแล้วใช่ไหม” ในที่สุดเหยาชิงไห่ก็พูดประเด็นหลักออกมา
ที่แท้ก็เป็นเพราะเรื่องสุสานเทพ!
มู่ชิงเกอเข้าใจขึ้นมา
เหยาซิงเหยาพูดถึง ‘สุสานเทพ’ นางก็เดาออกแล้วว่าที่เขาเรียกนางมาก็เพื่อพูดเรื่องอะไร
“ข้ารู้ว่าเจ้าสนิทกับจีเหยาฮั่วและอิ๋งเจ๋อ พวกเจ้าสามคนอาจจะเดินทางไปสุสานเทพด้วยกัน” เหยาชิงไห่พูดการคาดเดาของตนเองอย่างมั่นใจ
มู่ชิงเกอยิ้ม ไม่ได้ปฏิเสธหรือยอมรับ ยิ่งไม่ได้อธิบายว่านอกจากจีเหยาฮั่วและอิ๋งเจ๋อแล้วก็ยังมีซีเซียนเสวี่ยอีกคน
แต่ความเงียบของมู่ชิงเกอกลับทำให้เหยาชิงไห่มองว่าเขายอมรับเงียบๆ เขาพยักหน้ายิ้มแล้วเอ่ยว่า “ดูแล้วข้าคงคิดไม่ผิด ที่ข้าคิดจะพูดในวันนี้ก็คือข้าอยากจะถามว่า ข้าขอเข้ากลุ่มกับพวกเจ้าได้ไหม?”
“เจ้า?” มู่ชิงเกอยิ้มที่มุมปาก
ในตอนที่เหยาชิงไห่พูดถึงเรื่องสุสานเทพนั้น นางก็เดาความคิดของเขาออกแล้ว ดังนั้นการเสนอตัวของเขาจึงไม่ได้ทำให้นางแปลกใจแต่อย่างใด
“ไม่ผิด ข้า” เหยาชิงไห่พยักหน้าอย่างจริงจัง
มู่ชิงเกอเคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบาๆ พูดอย่างขี้เล่นว่า “ที่เจ้าพูดเช่นนั้นก็เพราะอยากจะเข้าร่วมกับพวกเราหรือ?”
ก่อนหน้านี้เหยาชิงไห่วิเคราะห์บรรดาคนที่อยู่ด้านหน้าบนทำเนียบชิงอิงไปรอบหนึ่ง ในตอนที่ได้ยินครั้งแรกก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเขามีจุดมุ่งหมายอะไร
ส่วนตอนนี้มันชัดเจนแล้ว
เหยาชิงไห่พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “สุสานเทพไม่ได้เปิดมานับพันปี ใครก็ไม่รู้ว่ามีอันตรายอะไรบ้าง อีกอย่างคนที่เข้าไปในครั้งนี้คงจะไม่ได้มีเพียงแต่รุ่นเยาว์ เช่นพวกเรา คนที่อยากมีโอกาสเข้าไปสู่แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารล้วนแต่จะพยายามหาวิธีเข้าไป ไม่รู้ว่าจะดึงดูดตัวประหลาดที่ซุ่มซ่อนอยู่ให้ออกมามากมายเท่าไหร่ เมื่อเข้าไปด้านในแล้วพวกเราจะไม่ได้เผชิญหน้ากับคนวัยเดียวกันเท่านั้น ยังมีผู้อาวุโสและผู้แข็งแกร่งที่เคยมีชื่อเสียงในโลกแห่งยุคกลางอีก รวมไปถึงเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้นในสุสานเทพ ยังมีอีกอย่าง ข้าได้รับข่าวมาว่าสุสานเทพจะเปิดขึ้นพร้อมกับสุสานมาร ทำให้มีสถานที่ทับซ้อนกัน และก็หมายถึงว่า พวกเราอาจจะเจอกับคนที่ฝึกบำเพ็ญเป็นมารด้วย เมื่อคำนวณดูแล้วมีอันตรายอยู่รอบด้าน ดังนั้น…”
ทันใดนั้นเขาก็หยุดพูดแล้วมองมู่ชิงเกอ
“ดังนั้น…” รอยยิ้มที่มุมปากของมู่ชิงเกอยิ่งกดลึกขึ้น
“เจ้าต้องการหาเพื่อนร่วมทางที่เชื่อถือได้และมีความสามารถเพียงพอ ถึงจะได้ในสิ่งที่เจ้าต้องการ”
นางพูดถึงจุดมุ่งหมายของเหยาชิงไห่ออกมา
ต้องการอะไรน่ะหรือ?
แน่นอนว่าว่าสิทธิ์แห่งเทพในสุสานเทพ ของสิ่งนี้ไม่เพียงแค่เหยาชิงไห่เท่านั้นที่ต้องการ มู่ชิงเกอก็ต้องการ ทุกคนที่เข้าสู่สุสานเทพก็ล้วนแต่ต้องการ
เหยาชิงไห่ยิ้มบางๆ แล้วพยักหน้า เขาเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ความสามารถของข้านั้นไม่ได้แย่ เพิ่มข้าเข้าไปจะไม่เป็นตัวถ่วงอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยอะไรได้บ้าง”
“แต่ทว่า” นัยน์ตาของเหยาชิงไห่ฉายแวววาววาบ ยิ้มให้กับมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยว่า “ถึงจะเป็นเช่นนี้ แต่ข้าก็ยังหวังจะได้ประลองกับเจ้าในงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถสักครั้ง”
“เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้ว” มู่ชิงเกอยิ้มแล้วพูดออกมา สำหรับการประลองนั่นนางไม่เคยกลัว แล้วจะนับประสาอะไรกับวิถีโอสถที่เป็นสิ่งที่นางถนัดเล่า?
“เช่นนั้น เจ้ายอมรับข้าเข้าร่วมกลุ่มเดินทางไปสุสานเทพหรือไม่?” เหยาชิงไห่เอ่ยถาม
เหยาชิงไห่ต้องการเข้าร่วมกลุ่ม จุดนี้มู่ชิงเกอไม่ได้ขัดแย้ง ก็เหมือนดั่งที่เขาพูด เขาก็มีความสามารถ ไม่ใช่ตัวถ่วง
แต่นางก็ยังเอ่ยถามอย่างแปลกใจว่า “เหตุใดเจ้าไม่ไปรวมกลุ่มกับเว่ยมั่วลี่?”
เทียบกับนางที่เป็นอันดับหนึ่งคนใหม่บนทำเนียบชิงอิงแล้ว เว่ยมั่วลี่ที่อยู่บนตำแหน่งมานานก็ยิ่งน่าเชื่อถือกว่า
เหยาชิงไห่ส่ายหน้ายิ้มอย่างขมชื่น “ข้าได้พูดไว้แล้วว่า เว่ยมั่วลี่แข็งทื่อเป็นไม้กระดานเกินไป อีกทั้งยังไปมาตัวคนเดียวจนเคยชิน เขาจะต้องไม่ยอมรับเพื่อนร่วมทางอย่างข้าแน่นอน ส่วนข้าก็ไม่มีวิธีจะควบคุมเขา”
ข้อเสนอของมู่ชิงเกอนั้นเขาก็เคยคิด
แต่เขาเคยสัมผัสกับนิสัยของเว่ยมั่วลี่มาหลายครั้ง ภาพจำที่มอบให้แก่เขาก็คือความรู้สึกของการไปมาคนเดียว ไม่คิดจะฟังคำของคนอื่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทำงานเป็นกลุ่มเลย
หากพวกเขาสองคนรวมกลุ่มกัน เช่นนั้นคนที่จะเป็นมันสมองของกลุ่มก็ต้องเป็นเขา ไม่ใช่เว่ยมั่วลี่ แต่เขาก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถทำให้เว่ยมั่วลี่ฟังคำสั่งของเขาได้ ดังนั้น…
“ดูแล้ว ประมุขน้อยเหยาคงคิดอย่างรอบคอบมาแล้ว ถึงได้ตัดสินใจ” มู่ชิงเกอเอ่ย
เหยาชิงไห่พยักหน้า
ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็ถ่อมตัวขึ้นมา”เรื่องนี้ข้าตัดสินใจเองคนเดียวไม่ได้ ในเมื่อพูดว่าเป็นกลุ่ม เช่นนั้นข้าก็ต้องฟังความคิดเห็นของทุกคนก่อน ดีที่จีเหยาฮั่วและอิ๋งเจ๋อจะมาตอนงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถ ถึงตอนนั้น ประมุขน้อยเหยาก็สามารถเอาคำพูดในวันนี้ไปพูดให้พวกเขาฟังอีกรอบได้ ถ้าหากทั้งสองคนไม่โต้แย้ง ข้าก็ไม่มีความคิดเห็นอะไรอีก”
พูดแล้วนางก็ดื่มชาในมือจนหมดแล้วก็ลุกขึ้นขอตัวลา
ที่จริงแล้วนางสามารถตัดสินใจตกลงได้ แต่นางแค่ขัดตากับท่าทีที่ดูรู้ทุกอย่างของเหยาชิงไห่ดังนั้นจึงจงใจพูดเช่นนี้เพื่อยับยั้งอารมณ์ของเขา
นางเคยพูดแล้วว่านางใจแคบ!
ตอนมู่ชิงเกอจากไป เหยาชิงไห่ก็ไม่ได้ห้าม เขาเหลือบมองเงาร่างแผ่นหลังของเขา ขมวดคิ้วเล็กน้อยดูเหมือนไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด
เดิมคิดว่ามู่ชิงเกอคงจะรับเขาเข้าร่วมกลุ่มโดยไม่ลังเล แต่คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วเขาจะให้คำตอบที่ไม่ชัดเจนเช่นนี้แก่เขา
ตลอดการพูดคุยดูเหมือนว่าเขาจะเหนือกว่าและเป็นคนควบคุมจังหวะ แต่คิดไม่ถึงว่าการโต้กลับของมู่ชิงเกอก่อนจากไปจะทำให้เขาพลิกกลับมาเป็นฝ่ายชนะได้
ทันใดนั้นเหยาชิงไห่ก็หัวเราะขึ้นมา พึมพำว่า “น่าสนใจ ขึ้นเรื่อยๆ แล้วสิ ความรู้สึกว่าเจอคู่มือนี้ไม่เลวจริงๆ”
มู่ชิงเกอออกมาจากที่พักของเหยาชิงไห่ก็เดินตามทางในความทรงจำ ย้อนกลับไปยังสถานที่ที่นางแยกกับจ้าวหนานชิง แล้วก็มองเห็นว่ามีผู้หญิงสวมชุดขาวคนหนึ่ง อยู่ใต้ต้นอวี้หลานกำลังมุ่งหน้ามาที่นาง
เมื่อมองเห็นนางแล้วมู่ชิงเกอก็ยิ้มออกมา เพิ่มความเร็ว
“ศิษย์พี่ซางตั้งใจรอข้าอยู่ที่นี่งั้นหรือ?” เมื่อเดินไปถึงใต้ต้นไม้ มู่ชิงเกอก็เอ่ยกับซางจื่อซู
ซางจื่อซูยิ้มบางๆ พยักหน้าเล็กน้อย “หลังจากเจ้าจากไป ศิษย์พี่จ้าวถึงคิดขึ้นได้ว่า เจ้ายังไม่คุ้นเคยกับส่วนใน กลัวว่าจะหาที่พักไม่เจอ ข้าจึงอยู่รอ”
“ลำบากศิษย์พี่ซางแล้ว” มู่ชิงเกอคำนับซางจื่อซู
นัยน์ตาเย็นชาของซางจื่อซูฉายแววขบขัน เพียงแค่ส่ายๆ หน้าแสดงว่าไม่เป็นไร
“พวกเขาล่ะ?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม
ซางจื่อซูเอ่ยว่า “เจ้ากับศิษย์พี่เหมยถูกจัดที่พักไว้ที่เดียวกัน พวกเขารออยู่ที่นั่น พวกเราไปรวมตัวกับพวกเขาก่อนแล้วค่อยพาพวกเจ้าไปดูวิถีโอสถของสำนักวิถี โอสถ”
“วิถีโอสถของสำนักวิถีโอสถ!” มู่ชิงเกอพึมพำออกมาประโยคหนึ่ง ดวงตาเปล่งประกาย
นี่ถึงเป็นสิ่งที่นางสนใจ!
ซางจื่อซูพามู่ชิงเกอเดินไปยังที่พักและก็แนะนำนางไปตลอดเส้นทาง “ส่วนในแบ่งออกเป็นเมืองชั้นนอกและเมืองชั้นใน เมืองชั้นนอกก็คือสถานที่ที่พวกเราผ่านมาเมื่อครู่ ส่วนเมืองชั้นในก็คือที่ฝึกวิชาของศิษย์ หากไม่มีป้ายไม่สามารถเข้าไปได้”
มู่ชิงเกอจดจำคำของซางจื่อซูไว้ในใจทันที พูดแล้วเมืองชั้นนอกก็คือสถานที่อยู่อาศัย ส่วนเมืองชั้นในก็คือสถานที่เรียน จุดนี้เหมือนกับรูปแบบของมหาวิทยาลัยในชาติก่อน
“พวกเราจะอาศัยอยู่เมืองชั้นนอก มีเพียงแค่ตอนต้องการปรุงโอสถ ค้นหาเทียบยาและมาขอคำแนะนำจากอาจารย์เท่านั้นถึงจะเข้ามาในเมืองชั้นใน” พูดแล้วนางก็ ขบริมฝีปากเล็กน้อยแล้วพูดอีกว่า “ที่จริงแล้วเวลาส่วนมากของพวกเราก็อยู่ในเมืองชั้นใน”
มู่ชิงเกอพยักหน้า ฟังไปเงียบๆ
“ชิงเกอ เจ้ารูไหมว่าเหตุใดสำนักวิถีโอสถถึงได้ชื่อว่า สำนักวิถีโอสถ?” ซางจื่อซูเอ่ยถาม
เรื่องนี้…
มู่ชิงเกอชะงัก นางไม่เคยศึกษาอย่างละเอียดมาก่อน แต่เมื่อนางคิดไปถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของซางจื่อซูจึงถามกลับว่า “หรือจะเกี่ยวข้องกับวิถีโอสถของสำนักวิถีโอสถ?”
รอยยิ้มของซางจื่อซูกดลึกขึ้น นางพยักหน้า “ไม่ผิด เป็นเพราะวิถีโอสถ ที่นี่ถึงได้ชื่อว่าสำนักวิถีโอสถ”
“วิถีโอสถคืออะไร?” มู่ชิงเกอถามอย่างสงสัย
แต่ซางจื่อซูกลับยังไม่บอก เอ่ยกับนางว่า “รอเจ้าเห็นแล้วก็จะเข้าใจเอง”
นางพูดอย่างลึกลับ ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกคันหัวใจขึ้นมา แค้นใจจนอยากจะไปดูวิถีโอสถในสำนักวิถีโอสถเสียเดี๋ยวนี้
มีซางจื่อซูนำทางทำให้มู่ชิงเกอไปถึงที่พักของตนเองได้อย่างรวดเร็ว
ที่นี่มีสิ่งปลูกสร้างเยอะมาก ค่อนข้างหนาแน่น น่าจ เป็นเพราะว่าศิษย์ใหม่ที่เข้าสู่ส่วนในนั้นเทียบไม่ได้กับหนึ่งในสิบของเหยาชิงไห่
“ภายในสำนักมีคะแนน สามารถใช้คะแนนแลกวัตถุดิบยาและที่พักได้” ซางจื่อซูเอ่ยแนะนำ
มู่ชิงเกอรู้สึกแปลกใจมาก ไม่คิดว่าจะมีกฎที่ทันสมัยเช่นนี้อยู่ในสำนักวิถีโอสถด้วย
“แล้วจะได้คะแนนมาอย่างไร?” มู่ชิงเกอถามออกไป
ซางจื่อซูอธิบายว่า “ภายในเมืองชั้นนอกและเมืองชั้นใน มีสถานที่รับภารกิจ บนนั้นจะประกาศภารกิจที่ยังไม่สำเร็จและคะแนนที่จะได้รับ ศิษย์ส่วนในสามารถไปรับภารกิจได้ เมื่อทำสำเร็จแล้วก็จะได้รับคะแนน ภารกิจในเมืองชั้นในจะยากกว่าภารกิจในเมืองชั้นนอกหน่อย แต่คะแนนก็มากกว่า หากว่าเจ้าไม่ชอบสภาพแวดล้อมที่นี่ ที่ข้าก็ยังมีคะแนนอยู่หน่อยเจ้าสามารถเอาไปใช้ก่อนได้ เพื่อเปลี่ยนเป็นที่พักที่เจ้าชอบ”
“ไม่จำเป็น” มู่ชิงเกอปฏิเสธ นางไม่ใช่คนเรื่องมาก สถานที่อะไรจะอยู่ไม่ได้? อีกอย่างที่นางมาสำนักวิถีโอสถก็ไม่ได้มาเพื่อดื่มด่ำบรรยากาศ อยู่ที่ไหนก็เหมือน กัน
เมื่อเห็นนางไม่คิดจะเปลี่ยนที่พักจริงๆ ซางจื่อซูก็ไม่ได้ดื้อดึงต่อ
ทั้งสองคนเพิ่งจะเข้าไปในเรือนก็มองเห็นคนสามคนกำลังคุยกันอย่างมีความสุข
เพียงแค่มู่ชิงเกอปรากฎตัว เหมยจื่อจ้งก็ยืนขึ้นมาในทันที เผยท่าทีอดทนไม่ไหวออกมา พูดกับคนอื่นๆ ว่า “ไปกันเถอะ”