Skip to content

พลิกปฐพี 459

ตอนที่ 459

คุณชายที่หล่อเหลา

วิถี เป็นความลึกลับในความลึกลับ ไม่สามารถถ่ายทอดกันได้อาศัยเพียงแค่ความ ‘เข้าใจ’เท่านั้น

มู่ชิงเกอยืนอยู่ตรงหน้าของผนังเงาและก็ไม่ได้รีบเลือกผนังเงาเพื่อนั่งลง

“ศิษยพี่จู ตอนนี้พวกท่านเข้าใจผนังเงามากน้อยแค่ไหน?” ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็เอ่ยถามขึ้นมา

จูหลิงยิ้มอย่างขมขื่น “พรสวรรค์ของข้าในหลินชวนยังถือว่าไม่เลว แต่เมื่อมาถึงตรงนี้กลับปานกลาง พวกเราเข้ามาในสำนักวิถีโอสถได้สามปี อยู่ส่วนนอกหนึ่งปี อยู่ในส่วนในสองปี ข้าสามารถเข้าถึงแก่นแท้ของผนังเงาได้สองแผ่น ศิษย์พี่จ้าวสามารถเข้าถึงแก่นแท้ของผนังเงาได้ห้าแผ่น จื่อซูสามารถเข้าถึงได้สามแผ่น”

พูดแล้วนางก็เสริมว่า “มีคนไม่น้อยที่ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่สามารถเข้าใจถึงแก่นแท้ของผนังเงาทั้งลิบสองแผ่นได้สักแผ่น นี่แสดงให้เห็นถึงความร้ายกาจของเหยาชิงไห่”

มู่ชิงเกอหรี่ตาเล็กลง

คนอื่นใช้เวลาหลายปีถึงเข้าใจแผ่นหนึ่ง หรือบางครั้งก็ไม่เข้าใจเลยสักแผ่น ส่วนเหยาชิงไห่กลับใช้เวลาเพียงสามปีก็เข้าใจผนังเงาทั้งสิบสองแผ่นได้แล้ว

ร้ายกาจจริงๆ!

“แต่ว่า ข้าเชื่อว่าชิงเกอจะต้องร้ายกาจกว่าเขาแน่นอน” จูหลิงยิ้มแล้วเอ่ย

มู่ชิงเกอยิ้มไม่พูดจา สิ่งที่เรียกว่าความเข้าใจนี้นางก็ไม่มีความมั่นใจเต็มที่ ในตอนนี้นางเพียงแต่กำลังคิดว่า ในเมื่อนางตัดสินใจว่าจะอยู่ในสำนักวิถีโอสถเพียงแค่ครึ่งปี และจะจากไปหลังงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถ

เพื่อค้นหาสถานที่พัฒนาระดับพลังของตนเองภายในเวลาอันจำกัด

เช่นนั้นนางจะจัดการผนังเงาทั้งสิบสองแผ่นนี้อย่างไรดี? ขโมยพวกมันไป?

ไม่ได้!

หากทำเช่นนั้นไป เกรงว่าชีวิตของนางต่อจากนี้ไปคงจะถูกสำนักวิถีโอสถไล่ฆ่าเป็นแน่

คัดลอกหิน?

นางขมวดคิ้ว หากมีวิธีเช่นนั้นจริงๆ คงไม่รอให้นางมาทำ

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วแน่นขึ้น เดินไปยังผนังเงาที่ใกล้ที่สุด นางคิดว่าลองสัมผัสดูก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร

เพียงแต่นางเพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าวก็หยุดลง หันไปบอกจูหลิงว่า “ศิษย์พี่จู ข้าจะลองดูอยู่หน้าผนังเงาแผ่นนี้สักครู่ หากว่าท่านไม่ไปไหนก็รอข้าอยู่ตรงนี้อีกอย่างขอให้จับตาดูความเคลื่อนไหวของศิษย์พี่เหมยด้วย เขาหลงใหลในวิถีโอสถ ข้ากลัวว่าหากเขาสัมผัสกับของเช่นนั้นแล้วจะเกิดตื่นเต้นมากไป อาจจะควบคุมตนเองได้ยาก”

จูหลิงพยักหน้าอย่างจริงจัง เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่ไปไหนจะอยู่รอพวกเจ้าที่นี่ หากเวลาพอสมควรแล้วข้าจะเรียกให้พวกเจ้าตื่นเอง”

“ดี” มู่ชิงเกอพยักหน้าเบาๆ เดินไปตรงหน้าผนังเงา นางค่อยๆ เงยหน้าพิจารณาผนังเงาที่เรียบลื่น มองจากบนลงล่างไม่ยอมพลาดอะไรไป

แต่ไม่ว่านางจะมองอย่างละเอียดเพียงใดก็มองหาร่องรอยใดไม่เจอ

นางดึงสติกลับมา สะบัดชายชุดแล้วก็หาที่ว่างนั่งสมาธิลงเผชิญหน้ากับผนังเงา

เพียงนางนั่งลงก็รู้สึกว่าตรงหน้ามีแสงสีทองวาบผ่าน ดึงเอาจิตวิญญาณของนางออกมาใส่เข้าไปในผนังเงา

จากนั้นภายในสายตาของนางก็เห็น ผนังเงาดำที่เรียบเหมือนกระจกเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา

เหมือนนางจะถูกพาเข้าไปในช่องว่างแห่งหนึ่ง และก็มองเห็นคนที่มีแสงสีทองคนหนึ่งกำลังปรุงยาอยู่ ไม่ได้มีเพียงแต่คนๆ นั้น น่าจะบอกว่าลิ่งที่นางมองเห็นทั้งหมด ล้วนแต่เคลือบด้วยชั้นสีทอง เหมือนกับเป็นภาพมายา

ยากที่จะแยกแยะเท็จจริงออกได้

คนที่อยู่ในผนังเหมือนจะไม่ได้รับอิทธิพลอะไรจากการมองของนาง ยังคงตั้งใจปรุงยาต่อไป

ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็สังเกตเห็นว่าภายในมือของคนๆ นั้น ไม่มีเตาปรุงยาแต่ใช้มือปรุงยา เขาใส่วัตถุดิบยาลงในมือ เพียงแค่วัตถุดิบยาเหล่านั้นตกลงในมือของเขาก็กลายเป็นผง ปรุงออกมาเป็นแก่นแท้

เขารวดเร็วมาก ผงยาเหล่านั้นค่อยๆ ขึ้นรูปขึ้นในมือของเขา แล้วก็กลายเป็นโอสถ อิกทั้งยังมีสีสันสวยงาม ด้านบนยังปรากฎลวดลายงดงามให้เห็น

มู่ชิงเกอเบิกตากว้าง ความตกตะลึงในหัวใจเหมือนดั่งมีพายุคลื่นลมยักษ์โหมเข้าใส่ นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าสามารถปรุงยาเช่นนี้ได้ด้วย!

วิธีปรุงยาเช่นนี้ เป็นสิ่งที่นางไม่เคยได้สัมผัสและได้ยินมาก่อน!

‘การมาสำนักวิถีโอสถในครั้งนี้ไม่เสียเปล่า!’ นางตกตะลึงเอ่ยในใจ

ทำเพียงแค่นั้นเม็ดยาในมือก็ค่อยๆ ลอยขึ้นมา ผนังเงาเหมือนกับการฉายภาพในชาติก่อนของนาง ที่สามารถดูภาพและได้ยินเสียงได้แต่กลับไม่สามารถดมกลิ่นหรือสัมผัสได้

ดังนั้น นางจึงไม่รู้ว่าคนๆ นั้นปรุงยาระดับอะไรออกมา เพียงคาดเดาจากการมองว่ายาเม็ดนี้ไม่ใช่ระดับเทวะ น่าจะอยู่เหนือระดับเทวะขึ้นไปอีก

‘ยาระดับมหาเทพ!’ นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหดตัวลงและมีคำตอบในใจ

ยาระดับมหาเทพสามารถปรุงออกมาได้ง่ายดายเช่นนี้เลยงั้นหรือ?

สิ่งนี้เกือบจะทำลายความรู้ที่นางรู้มาทั้งหมดไป เวลานี้เองคนที่ปรุงยาคนนั้นก็กำนิ้วมือทั้งห้าบีบจนยาที่เพิ่งปรุงออกมาเป็นอย่างดีจนเละ แสงของเม็ดยาแตก กระจายตกลงมาแล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

มู่ชิงเกออ้าปากค้าง ไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร

“ใช้ใจเป็นหม้อหลอม ปรุงได้ทุกสรรพสิ่ง ทุกสิ่งมีวิญญาณ เพื่อให้ข้าได้ใช้ใจปรุงยา ฟ้าดินล้วนเป็นโอสถ!”

เหมือนกับมีเสียงระฆังดังขึ้นในหัวของมู่ชิงเกอ ดูเหมือนเสียงพูดของอาจารย์ปรุงยาในผนังเงาจะสั่นสะเทือนจนมู่ชิงเกอเกิดความรู้สึกเหมือนหูจะหนวก

ดูเหมือนประโยคนี้จะไปเปิดประตูที่ไม่เลยถูกเปิดมาก่อนให้กับนาง

‘ใช้ใจเป็นหม้อหลอม ปรุงได้ทุกสรรพสิ่ง ทุกสิ่งมีวิญญาณ เพื่อให้ข้าได้ใช้ใจปรุงยา ฟ้าดินล้วนเป็นโอสถ!’

‘ใช้ใจเป็นหม้อหลอม ปรุงได้ทุกสรรพสิ่ง ทุกสิ่งมีวิญญาณ เพื่อให้ข้าได้ใช้ใจปรุงยา ฟ้าดินล้วนเป็นโอสถ!’

‘ใช้ใจเป็นหม้อหลอม ปรุงได้ทุกสรรพสิ่ง ทุกสิ่งมีวิญญาณ เพื่อให้ข้าได้ใช้ใจปรุงยา ฟ้าดินล้วนเป็นโอสถ!’

ในใจของมู่ชิงเกอสะท้อนประโยคนี้ไปมาซํ้าๆ ดูเหมือนนางจะสัมผัสได้ถึงวิถีโอสถของคนในผนังเงา แต่รายละเอียดเป็นอย่างไรนั้นนางกลับยังไม่ทันได้เข้าใจอย่างชัดเจน

ความรู้สึกคลุมเครือหลอกหลอนอยู่ในใจนาง เหมือนกับว่าระหว่างตัวนางและวิถีโอสถในผนังเงาจะมีเพียงแผ่นกระดาษบางๆ ขั้นอยู่ แต่แผ่นกระดาษบางๆ นี้กลับยากที่จะผ่านไปได้

ในมุมที่ลับตาคนแห่งหนึ่งภายในส่วนใน ซางจื่อซูถูกจ้าวหนานชิงโอบกอดไว้ในอ้อมกอดอย่างแน่นหนา เหมือนกับกอดสมบัติที่หายไปนานแล้วเพิ่งได้กลับคืนมา

ซางจื่อซูไม่ได้เย็นชาดังเดิมแล้ว สองแก้มของนางแดงก่ำ เผยร่อยรอยของความเอียงอาย

“จี่อซู ต่อจากนี้ไปข้าไม่อนุญาตให้เจ้าคิดเหลวไหลอีกแล้ว ไม่ยอมให้เจ้าคิดว่าตนเองต่ำต้อย ในใจของข้านั้น เจ้าบริสุทธิ์อยู่เสมอ เป็นบัวหิมะบนภูเขานํ้าแข็งที่งดงามที่สุดในโรงโอสถของแคว้นอวี๋” จ้าวหนานชิงข่มกลั้นอารมณ์มานานหลายปี มาถึงวันนี้ในที่สุดก็ได้ปลดปล่อย

เรื่องระหว่างเขาและซางจื่อซูนั้นชักช้ามานานเกินไปแล้ว นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาเข้ามาในโรงโอสถและเห็นซางจื่อซูเขาก็ชอบผู้หญิงที่เย็นชาเป็นภูเขานํ้าแข็งคนนี้เข้าแล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้เขาไม่กล้าลบหลู่เทพธิดาในใจของเขา คิดเพียงจะเฝ้ามองไปเงียบๆ หวังว่าจะมีสักวันที่นางหันกลับมาแล้วพบว่าเขาอยู่ตรงนี้

ในตอนที่เขารวบรวมความกล้าคิดจะสารภาพทุกอย่าง ซางจื่อซูกลับพบกับเรื่องนั้นเข้าพอดี นับแต่นั้นมานางก็ปิดกั้นหัวใจมาโดยตลอด ไม่ยอมและก็ไม่กล้าที่จะใกล้ชิดกับใคร

หากไม่ใช่เพราะว่าเขาบังคับอย่างบ้าอำนาจในวันนี้ เกรงว่าเรื่องราวระหว่างทั้งสองคงจะคลาดกันไปแล้ว จ้าวหนานชิงพูดอย่างยินดีในใจ ‘ยังดี ยังดี ยังดีที่ข้า ถามมากไปอีกหนึ่งประโยค หากไม่มีคำพูดของชิงเกอเกรงว่าข้าคงต้องเสียใจแน่’

“จี่อซู ขอบคุณเจ้า ขอบคุณเจ้าที่ยอมรับข้า ข้าซาบซึ้งใจมาก” จ้าวหนานชิงพูดด้วยความรู้สึกกลัว

คำพูดของเขาไม่ได้เกินจริงเลยแม้แต่น้อย

เพราะว่าเขาไม่อาจจะยอมรับการสูญเสียซางจื่อซูไปได้ ไม่อาจทนรับความเจ็บปวดจากการคลาดกับนางได้

นี่เป็นผู้หญิงที่เขาหมายตาเอาไว้แล้ว และก็เป็นผู้หญิงของเขาเท่านั้น!

ซางจื่อซูเงยหน้าขึ้นมาจากอ้อมอกของเขา นัยน์ตาฉายแววเอียงอายเอ่ยถามว่า “เหตุใดวันนี้เจ้าถึง…ถึงเป็นเช่นนี้…”

ใจกล้าและบ้าอำนาจ บีบบังคับนางเช่นนี้?

จ้าวหนานซิงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์แล้วเอ่ยกับนางว่า “เป็นความลับ”

“ความลับ?” ซางจื่อซูขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจ

นางยังคิดจะถามต่อ แต่จ้าวหนานซิงกลับปล่อยนาง แล้วก็ดึงมือนางขึ้นมาเอ่ยกับนางว่า “พวกเราไปกันก่อนเถอะ อย่าให้พวกเขาต้องรอนานเลย”

เมื่อคิดถึงยังมีเพื่อนอีกสามคนกำลังรออยู่แล้ว ซางจื่อซูก็ได้แต่ข่มเอาความสงสัยในใจลงไป พยักหน้าแล้วตามจ้าวหนานซิงเดินออกไปจากที่ลับตา

เพิ่งจะเดินออกมาจากที่ลับตา ซางจื่อซูก็ดึงมือของตนเองออกมาจากมือของจ้าวหนานซิง

จ้าวหนานซิงหันมองมาก็พบว่านางกำลังขบริมฝีปากอย่างเอียงอาย

เดิมทีนางก็ไม่ใช่คนที่ชอบใกล้ชิดกับคนอื่นมากเกินไป และมีนิสัยเย็นชา แล้วจะไม่รู้สึกกระดากอายหากจะทำตัวสนิทสนมกับจ้าวหนานซิงต่อหน้าสาธารณชนได้อย่างไร?

นางคิดจะหลบเลี่ยง แต่จ้าวหนานชิงไม่ยอม

เขารู้จักนิสัยของนาง แต่อะไรก็สามารถยอมได้ แต่มีสิ่งนี้สิ่งเดียวที่ยอมไม่ได้ จ้าวหนานชิงยื่นมือออกไปคว้าเอามือเล็กของซางจื่อซูมากำเอาไว้ในมือแน่น แล้วเอ่ยกับนางว่า “สิ่งนี้หลบซ่อนไม่ได้ เจ้าทำได้แค่ต้องทำความคุ้นเคย เพราะว่ามือนี้ข้าจะจูงไปชั่วชีวิต เจ้าสลัดไม่หลุดแล้ว”

ซางจื่อซูถูกคำพูดของเขาทำให้หน้าแดงกํ่าขึ้นมา พยายามดึงมือกลับแต่ก็ทำไม่ได้ได้แต่พูดว่า “งั้นรีบไปเถอะ”

การก้าวเท้าอย่างรวดเร็วและท่าทางที่เอียงอายของนาง ทำให้หัวใจทั้งดวงของจ้าวหนานซิงมีความสุข ไม่มีวันที่เขาจะเบื่อฉากนี้แน่นอน

ตรงหน้าของผนังเงาทั้งสิบสองแผ่น มู่ชิงเกอและเหมยจื่อจ้งแบ่งกันคนละแผ่น นั่งทำความเข้าใจวิถีโอสถบนผนังเงาร่วมกับคนอื่นๆ

‘ใช้ใจเป็นหม้อหลอม ปรุงได้ทุกสรรพสิ่ง ทุกสิ่งมีวิญญาณ เพื่อให้ข้าได้ใช้ใจปรุงยา ฟ้าดินล้วนเป็นโอสถ! จะใช้ใจเป็นหม้อหลอมอย่างไร? จะใช้ฟ้าดินเป็นโอสถอย่างไร?’ มู่ชิงเกอดำดิ่งอยู่ภายในแต่ก็ยังรักษาสติเอาไว้ได้อยู่

ทันใดนั้นก็รู้สึกเข้าใจขึ้นมาหน่อยแล้วว่าเหตุใดผนังเงาเหล่านี้ถึงดึงดูดคนได้ทำให้อาจารย์ปรุงยาในสำนักวิถีโอสถเหมือนกับคนติดยาที่หลงลืมวันคืน

กระทั่งในตอนที่กำลังจะตระหนักรู้ได้นั้นยังสามารถทำให้สติหลุดลอยได้

เพราะวิถีโอสถที่ซ่อนอยู่ภายใน! เกี่ยวพันถึงวิถีในการปรุงยา!

เพียงดูแค่ผนังเงาแผ่นเดียวก็ทำให้นางตกตะลึงได้ถึงขนาดนี้แล้ว หากว่าดูทั้งสิบสองแผ่นจนหมดล่ะ? มู่ชิงเกออดสูดลมหายใจลึกๆ ไม่ได้นัยน์ตาเปล่งประกาย

นางมีความมั่นใจที่จะเป็นอาจารย์ปรุงยาระดับมหาเทพเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งก้าวแล้ว

จิตวิญญาณของมู่ชิงเกอถอยออกมาจากผนังเงามาสู่ตัวเองอย่างอัตโนมัติ

นางกะพริบตาแล้วลุกขึ้นมาจากพื้นสลัดฝุ่นบนเสื้อแล้ว มองไปรอบด้าน ยังมีคนนับร้อยกำลังเฝ้าดูผนังเงาที่นางเพิ่งดูอย่างมัวเมา นางยิ้มบางๆ แล้วก็เดินไปหาจูหลิงที่รออยู่ด้านนอก

“ศิษย์พี่จู” มู่ชิงเกอร้องเรียก

จูหลิงละสายตาจากร่างของเหมยจื่อจ้งกลับมาที่ร่างของมู่ชิงเกอ นางยิ้มแล้วเอ่ยว่า “สามารถตัดใจยอมออกมาได้เร็วขนาดนี้ข้าเพิ่งเคยเห็นเจ้าเป็นคนแรก”

มู่ชิงเกอยิ้มเอ่ยว่า “เรื่องทำความเข้าใจนั้นรีบไม่ได้ ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป”

จูหลิงพยักหน้า “อาจารย์ของข้าเคยพูดว่าการทำความเข้าใจผนังเงาต้องใช้เวลาดูหลายรอบ ส่วนจะเข้าใจเมื่อไหร่นั้นก็อาศัยความสามารถในการเข้าใจของตนเอง ความเข้าใจนี้ไม่เกี่ยวกับพรสวรรค์แต่อาศัยใจ หัวใจที่ฝักใฝ่ในวิถีโอสถ”

มู่ชิงเกอฟังอย่างละเอียดแล้วก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย

การปรุงยาก็เหมือนกับการหลอมยุทธภัณฑ์ที่หากมีอาจารย์แนะนำก็จะไม่เดินอ้อม

ส่วนตัวนาง อาจารย์คนแรกของนางก็คือมรดกจากเทพโอสถ!

เพียงแต่น่าเสียดายที่เทพโอสถเสี่อมสลายไปไม่รู้กี่ปีมาแล้ว ทำให้นางไม่สามารถจะยกชาทำความเคารพเขาอย่างที่ศิษย์ควรจะทำได้

“เวลาก็พอสมควรแล้ว ข้าจะไปปลุกศิษย์พี่เหมย” จูหลิงเอ่ยกับมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอพยักหน้า “ดี”

จูหลิงเดินไปทางเหมยจื่อจ้ง ส่วนมู่ชิงเกอก็ยืนรออยู่ที่เดิม สายตาที่จูหลิงใช้มองเหมยจื่อจ้งนั้น นางมองเห็นได้อย่างชัดเจน ทันใดนั้นนางก็รู้สึกขบขันขึ้นมา แต่ก่อนตนเองไม่เคยรู้จักและเข้าใจคำว่าความรู้สึกมาก่อน ตอนนี้เมื่ออยู่กับซือมั่วแล้วนางก็ค่อยๆ ค้นพบเรื่องบางอย่างของคนรอบข้าง ในขณะที่นางกำลังรออยู่นั้นก็มีคนๆ หนึ่งเข้ามาใกล้นางอย่างกระทันหัน

“ช่างเป็นใบหน้าที่งดงามมากจริงๆ! ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน คงไม่ใช่ว่าเป็นคนที่กำลังโด่งดังว่า ทำลายกฎเข้ามาในส่วนในคนนั้นหรอกใช่ไหม?” เสียงที่ทำให้คนรู้สึกไม่สบาย ดังขึ้นข้างหูของมู่ชิงเกอ นางค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นหันไปมองคนที่มา

มีคนห้าคนเดินเข้ามา หนึ่งคนในนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นหัวหน้า เป็นผู้ชายชัดๆ แต่กลับดูตุ้งติ้ง แต่งชุดลายดอกก็แล้วไปแต่ยังทาแป้งอีก ดูแล้วทำให้คนรู้สึกไม่ค่อยสบายนัก

เพียงแค่เขาเข้ามาใกล้กลิ่นแป้งฉุนก็พุ่งเข้ามาในจมูก ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกทรมาน นางหันมองไปทำให้นัยน์ตาของผู้ชายคนนั้นเปล่งประกาย หัวเราะเอ่ยว่า “เมื่อครู่อยู่ไกลๆ ก็รู้สึกว่าหล่อแล้ว ตอนนี้เมื่อดูใกล้ๆ ก็ยิ่งหล่อไร้ที่เปรียบ ใบหน้าเช่นนี้ แม้แต่ข้าก็ยังชอบ คิดว่าน่าจะถูกใจพี่สาวแน่นอน”

‘อะไรกัน?’ นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหนักอึ้ง ใบหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมในพริบตา

นางรู้สึกแปลกใจว่าเหตุใดภายในสำนักวิถีโอสถถึงได้ มี…อืม แนวนี้อยู่ด้วย!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!